การเตรียมใจภาวนา

 

เราค่อยๆ พัฒนาคุณธรรมขึ้นในใจของเรา ไม่มีอะไรดีเท่าธรรมะเลย เรามีธรรมะแล้วตัวเรามีความสุข คนรอบๆ ตัวเรา เขาก็มีความสุขด้วย ความสุขนี่มันจะเผื่อแผ่ออกไป มันจะล้นออกไป อย่างคนที่ตัวเองยังขาดนี่ให้คนอื่นยาก สมมุติใจเราเต็มไปด้วยความทุกข์ เราจะมาสัพเพสัตตาฯ สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเถิดได้ไหม

หิวข้าวมากเลยนะ เห็นไก่ป่าเดินมา สัพเพสัตตาฯ จงเป็นสุขเถิด ตัวไหนถึงฆาตขอให้มา แต่ถ้าใจที่เต็มไปด้วยความสุข เต็มไปด้วยความเมตตา มันเต็มอิ่มนะ ไม่หิว ถ้าหิวก็ยังเบียดเบียนคนอื่นอีก ใจที่มันมีธรรมะนะ มันเต็มอิ่มอยูในตัวเอง ความสุขมันล้นออกไป ใครเข้าใกล้เรา เราไม่ต้องทำอะไรหรอกเขาก็มีความสุขแล้ว

เราค่อยๆ พัฒนาใจของเรา ให้เติมเต็มด้วยคุณธรรมด้วยธรรมะ วิธีทำใจของเราให้เต็มไปด้วยธรรมะนะ ขั้นแรก อุดรอยรั่วเสียก่อน ใจเราเหมือนตุ่มน้ำ ก่อนจะเติมน้ำให้เต็มได้ ต้องดูก่อนว่าใจเรามีรอยรั่วที่ไหนบ้าง ใจเรายังมีบาปมีอกุศลอะไรบ้าง เช่นใจเราไม่มีศีลห้า ที่ผ่านมาไม่เคยมีเลยมีแต่ทุศีลตลอด ใจที่ผ่านมาไม่เคยมีความสงบสุขมีแต่ฟุ้งซ่านตลอด ไม่มีสมาธิเลย ตลอดมาก็หลงโลกอย่างเดียวเลย ตามโลกเขาไปเรื่อย ๆ ไม่เคยมีปัญญา เราก็สำรวจใจเรานะ ตรงไหนกิเลสอะไรที่ยังมีอยู่ก็รู้ทันมัน แล้วค่อยๆ ลด ค่อยๆ ละไป

เครื่องมือในการละกิเลสก็มีหลายระดับ เครื่องมืออย่างหยาบเรียกว่า ศีล ศีลไม่ได้ล้างกิเลสจริงหรอก แต่ศีลข่มกิเลส เวลากิเลสครอบงำใจนะ มันอยากทำชั่วทางกายทางวาจา ก็มีศีลกั้นเอาไว้ก่อน ไม่ทำความชั่วทางกายทางวาจา แต่ใจยังไม่สงบสุข เราก็พัฒนาให้จิตมีความตั้งมั่นมีสมาธิ ใจไม่สงบเหรอ ค่อยๆ ฝึกให้ใจมันรู้จักความสุข ความสงบเสียบ้าง วิ่งพล่านมาทั้งวัน มาอยู่กับความสุขความสงบบ้าง คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรม คิดถึงพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ คิดถึงคนดีๆ คิดถึงบุญทานที่เราเคยทำ คิดถึงศีลที่เราเคยรักษา คิดถึงอะไรที่ดีๆ ใจฟุ้งซ่านมาก โกรธแรง เกลียดคนโน้นคนนี้อาละวาดไปเรื่อย ก็คิดถึงความตายเสียบ้าง ไม่นานก็ตายจะโกรธกันทำไม นี่คิดดีๆ พอเราคิดดีๆ นะ ใจจะสงบสุข ใจที่เร่าร้อนทุรนทุราย ก็ค่อยสงบลงด้วยสมาธิ สมาธิเป็นธรรมตรงข้ามกัน ใจมีราคะ พิจารณาอสุภะ ใจมีโทสะ เจริญเมตตา ใจฟุ้งซ่าน มารู้ลมหายใจ ทำสิ่งกลับข้างกัน เหมือนมันมีกรดมากก็เติมด่างเข้าไป มันก็สมดุลกันขึ้นมา ใจมันชั่วนะ เติมความดีลงไปก็สมดุลกันขึ้นมา ใจก็สงบชั่วครั้งชั่วคราว

อย่าไปวาดภาพการปฏิบัติธรรมว่าคือ การนั่งหลับหูหลับตา
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ
แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงก็คือการมีสติ

ที่ไม่เคยมีศีลก็ให้มีศีล ไม่เคยมีสมาธิก็ให้มันมีบ้าง ไม่เคยเจริญปัญญาที่จะคอยรู้กายรู้ใจก็ให้มาหัดที่จะคอยรู้กายรู้ใจบ้าง คอยรู้สึกอยู่ที่กายคอยรู้สึกอยู่ที่ใจ อย่าไปวาดภาพการปฏิบัติธรรมว่าคือ การนั่งหลับหูหลับตา การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงก็คือการมีสติ คนไหนชอบรู้ลมหายใจ ก็ให้มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก มีสติไปเรื่อย คนไหนชอบทำอริยาบถสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ให้มีสติ มีสติในการยืนเขาก็เรียกรู้ตัว มีความรู้ตัวขึ้นมา ยืนด้วยความรู้ตัว มีสติในการนั่ง นั่งสมาธิที่แท้จริงที่ถูกต้อง ถ้านั่งสมาธิแล้วเคลิ้มขาดสติ ใช้ไม่ได้ เป็นมิจฉาสมาธิ มีโมหะ ถ้านั่งสมาธิอยู่ก็ต้องนั่งด้วยความรู้สึกตัว มีสติ ถ้าขาดสติเมื่อใดจิตเป็นอกุศลเมื่อนั้น ถ้าเรานั่งอยู่นะ ไม่ว่านั่งท่าไหน นั่งแบบหลวงพ่อคูณก็ยังได้นะ นั่งยอง ๆ นี่แหละ นั่งยอง ๆ ด้วยความมีสติ นั้นแหละเรียกว่านั่งสมาธิอยู่ เราเดินจงกรมไม่จำเป็นต้องเดินกลับไปกลับมาก็ได้ เรามีธุระเราจะเดินไปหน้าบ้าน ก็เดินไปด้วยความรู้สึกตัว มีธุระจะเดินขึ้นข้างบนชั้นสองอะไรอย่างนี้ ก็ขึ้นไปด้วยความรู้สึกตัว นี่เรียกว่าเดินจงกรมทั้งสิ้นเลย

ฉะนั้น ถ้าเดินอยู่ด้วยความรู้สึกตัวทุกก้าวเรียกว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ เราเดินจงกรมอยู่ ความสำคัญจึงอยู่ที่คุณธรรมในใจเรา คือความมีสตินี่แหละ คุณธรรมสำคัญคือมีสติขึ้นมา คอยรู้สึกกาย รู้สึกใจ เห็นกายทำงานเห็นใจทำงาน คุณธรรมอื่นๆ ก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ

พอเรามีสตินะกิเลสเกิดที่ใจเราจะรู้ทัน เราจะละอายใจหลายคนภาวนาเริ่มเห็นความจริงแล้วว่าตัวเองร้าย ใครภาวนาแล้วดูออกไหมว่าตัวเองร้ายกว่าที่คิดเอาไว้ กิเลสเพียบเลย นี่ภาวนาเป็นจะเห็นเลยว่ากิเลสเยอะ พอรู้ทันมันจะรู้สึกว่าน่ากลัวน่าเกลียด กิเลสไม่ใช่ของดีของวิเศษเลย ละอายแก่ใจเลย ละอายตัวเองเลยว่าทำไมกิเลสมันเยอะอย่างนี้ เรียกว่ามี หิริ หิริคือความละอายแก่ใจที่จะทำความชั่ว โอตัปปะเคยได้ยินไหม หรือลืมหมดแล้ว สมัยก่อนนักเรียนต้องเรียน หิริโอตัปปปะ เดี๋ยวนี้ไม่มี ยุคนี้ไม่เน้นหิริโอตัปปะ แต่เน้นความหน้าด้านทุกกวงการ หิริคือความละอายที่จะทำบาป ส่วนโอตัปปะคือความเกรงกลัวผลของการทำบาป คนยุคนี้ไม่เป็นนะหน้าด้านขึ้นทุกทีแล้ว โกงได้โกง มีหน้ามาเผยแพร่ลัทธิขี้โกงด้วยนะ อย่างนักการเมืองบางยุคนี่เคยประกาศทฤษฎีใหม่เลยที่ขัดกับพระพุทธเจ้า บอกคอร์รัปชั่นไม่เป็นไรขอให้มีผลงาน โกงได้ขอให้มีผลงาน นี่คือไม่มีหิริโอตัปปะ แต่ถ้าเราหัดภาวนานะ เรามีสติ เราจะรู้ทันกิเลสที่เกิดในใจ เราเลยอายตัวเอง

คุณธรรมสำคัญคือมีสติขึ้นมา คอยรู้สึกกาย รู้สึกใจ เห็นกายทำงานเห็นใจทำงาน คุณธรรมอื่นๆ ก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ

เวลาคนภาวนาดี ๆ นี่มีมาตรฐานวัดอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าบอกว่าเห็นความน่าเคารพของตัวเองไหม ภาวนาแล้วจะรู้สึกว่าน่ากราบน่าไหว้ตัวเองได้ ไม่ใช่หน้าด้านนะ อยู่ๆ ก็กราบเอาๆ ต้องดูแล้วมันสะอาดมันแจ่มใส ไม่ละอายแก่ใจตัวเอง ไม่ละอายฟ้าดิน สำนวนบู๊ลิ้มว่า “ยืนหยัดท้าฟ้าดิน” แต่พวกนั้นพวกมารทั้งนั้นแหละ เอะอะก็ไล่ฟัน มีหิริโอตัปปะนะ เราไม่ทำชั่วนะ ศีลมันจะเกิดขึ้นเอง ราคะเกิดขึ้นนี่ ละอายแก่ใจก็ไม่เป็นชู้กับเขา ไม่ขโมยเขา โทสะเกิดขึ้นรู้ทัน ละอายแก่ใจไม่ยอมให้โทสะครอบงำก็มีศีล กิเลสเกิดเรารู้ทัน เราละอายแก่ใจ ศีลจะเกิดอัตโนมัติ จิตใจจะมีความสุข คนที่มีศีลจิตใจจะมีความสุข จิตใจมีความสงบ คนทุศีลไม่มีความสุขหรอก

มีศีลแล้วก็เกิดสมาธิ สังเกตดู คนมีศีลจะมีสมาธิง่าย คนไม่มีศีลจะมีสมาธิยาก เช่น คิดจะเป็นชู้กับเขานี่ ถามว่าใจจะสงบไหม ไม่สงบนะ คิดจะขโมยเขาหรือระหว่างขโมยหรือหลังจากขโมย จิตใจจะสงบไหม ไม่สงบนะ คิดจะฆ่าเขาหรือระหว่างฆ่าหรือฆ่าเสร็จแล้วนี่ใจจะสงบไหม ต้องคอยปิดบังอีก เห็นไหมถ้ามีศีลนะใจมันสงบง่าย ศีลเลยเป็นบทเป็นฐาน เป็นพื้นฐานให้จิตใจมีความสุข จิตใจมีความสงบเกิดขึ้น จิตใจที่มีความสุขมีความสงบจะไม่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ที่มายั่วทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตใจมันคอยรู้เนื้อรู้ตัวรู้กายรู้ใจเนืองๆ มันง่ายที่ปัญญาจะเกิด

ปัญญาคืออะไร ปัญญาคือความเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ ปัญญาไม่ใช่ฉลาด คิดเลขเก่งแล้วมีปัญญา โกงเขาเก่งมีปัญญา อย่างนี้ไม่ใช่ ปัญญาในทางศาสนาพุทธ คือความเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ พอใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวเราก็จะเห็นร่างกายมันทำงานไป เห็นจิตใจมันทำงานไป มันจะรู้เลยว่าไม่ใช่ตัวเราหรอก รูปมันเคลื่อนไหว นามมันเคลื่อนไหว เห็นมันทำงาน มันก็จะมีปัญญา เมื่อมีปัญญาแก่รอบอะไรจะเกิดขึ้นอีก วิมุตติจะเกิดขึ้น

เมื่อวิมุตติเกิดขึ้น จิตพ้นจากความยึดถือกายยึดถือใจแล้ว วิมุตติญาณทัสสนะคือความเข้าใจนิพพานก็แจ้งขึ้นมา เข้าใจถึงสิ่งซึ่งพ้นจากรูปนาม จะพบว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตาตลอดเวลา นิพพานไม่เคยหายไปไหนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเดินชนนิพพานแต่ไม่เคยเห็นหรอก เพราะว่าใจเราฟุ้งซ่านตลอด ใจเรามีกิเลส นิพพานไม่มีกิเลส ใจที่มีกิเลสก็ไม่เห็นนิพพาน ใจเราฟุ้งซ่านปรุงแต่ง นิพพานเป็นสภาวะที่พ้นความฟุ้งซ่านปรุงแต่ง เมื่อเราฟุ้งซ่านเราปรุงแต่งเราก็ไม่เห็นนิพพาน

นิพพานเป็นสภาวะที่พ้นจากขันธ์ เรายึดถือกายยึดถือใจอยู่ เราก็ไม่เห็นนิพพาน นิพพานไม่ใช่ของใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น นิพพานมีมาแล้ว นิพพานไม่เคยหายไปไหน แต่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเพราะใจของเราไม่มีคุณภาพพอ

ค่อย ๆ หาธรรมะขึ้นมาในใจเราเป็นลำดับ ๆ ไป เริ่มต้นด้วยการมีสติไว้นี่แหละ มีสติคอยรู้กายมีสติคอยรู้ใจ รู้ไป ๆ หิริโอตัปปะก็เกิด ละอายบาปเกรงกลัวผลของบาป พอละอายบาปเกรงกลัวผลของบาปมันจะมีศีลขึ้นมา ไม่กล้าทำผิดหรอก พอมีศีลจิตใจมีความสุขมีความสงบขึ้นมา มีความตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา เห็นไหมวิธีทำให้จิตใจสงบมีสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว รักษาศีลเอาไว้จิตก็สงบได้ เรียกว่า “สีลานุสติ”

รูปมันเคลื่อนไหว นามมันเคลื่อนไหว เห็นมันทำงาน มันก็จะมีปัญญา เมื่อมีปัญญาแก่รอบอะไรจะเกิดขึ้นอีก วิมุตติจะเกิดขึ้น

แค่เรามีศีลนะใจเราก็สงบใจเราก็ตั้งมั่น พอใจเราสงบใจเราตั้งมั่นก็รู้กายรู้ใจต่อไปอีก รู้ตามความเป็นจริงเมื่อใด ใจก็ปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ พระอริยเจ้าทั้งหลายก็เดินมาตามเส้นทางนี้แหละ เส้นทางที่ท่านทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เรา เราก็มีหน้าที่เดินตามท่าน มีสติรู้กายรู้ใจเรื่อยไป วันหนึ่งเราก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตรตรัย

ทุกวันนี้ชอบสวดนะ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ….พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ความจริงเรายังไม่มีที่พึ่งหรอก คนที่มีที่พึ่งที่แท้จริงต้องเป็นพระโสดาบันแล้ว ถึงพระรัตนตรัยจริง ๆ นะ ของเรานับถือพระรัตนตรัยก็นับถือหลอก ๆ นับถือเล่น ๆ นับถือแก้ขัดไปอย่างนั้นเอง ถ้าผลประโยชน์ขัดกันนะ เราเอาผลประโยชน์ก่อน เอาพระรัตนตรัยไว้ทีหลัง เราพร้อมจะทิ้งธรรมะถ้ามีผลประโยชน์ขึ้นมา

จิตใจของปุถุชนยังกลับกลอก ศรัทธาของปุถุชนยังกลับกลอกอยู่ ฉะนั้นเราไม่ประมาทนะ เรารีบภาวนาเข้าให้เป็นพระอริยะ ศรัทธาของเราก็จะแน่นแฟ้นขึ้นมา ความเพียรในการปฏิบัติก็จะมากขึ้น สติ สมาธิ ปัญญาก็จะมากขึ้น ๆ วันหนึ่งวิมุตติมันก็ต้องเกิดขึ้น

ชาตินี้อย่างน้อยเอาให้ได้โสดาฯ ไม่ยากเกินไปหรอกถ้าจะเอาโสดาฯ ก็แค่จิตมันยอมรับความจริงเท่านั้นแหละว่าตัวเราไม่มี กายก็ไม่ใช่เรา ใจก็ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวเราที่ไหนเลย จิตยอมรับความจริงได้ก็เพราะเราดูความจริงในกายในใจบ่อยๆ กายมันก็ทำงานของมันทั้งวัน ไม่ใช่เราหรอก สั่งมันไม่ได้จริงหรอก จิตมันก็สั่งไม่ได้นะ ดูมันทำงานดูของจริงไปเรื่อย ไม่ใช่โปรแกรมจิตให้เชื่อ แต่เป็นการเอาข้อเท็จจริงมาให้จิตมันดูทุกวันๆ จนมันเห็นมันรู้นะมันถึงยอม

ฉะนั้นการภาวนาไม่มีอะไรหรอก มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงเรื่อยๆ ไป

 

จากหนังสือประมวลธรรมเทศนา ฉบับหน้าที่ชาวพุทธ หน้าที่ ๔๓