เจริญแล้วเสื่อม


ถ้าจิตติดล็อคนิ่งๆ พัฒนาไม่ได้
ปัญญาจะไม่เกิด
จิตที่จะเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจได้
คือจิตธรรมดา จิตที่กำหนดไว้จนกระทั่งนิ่ง แทนที่จะเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์
ก็เห็นว่ามันสุข มีความสุขได้ไม่กระทบกระเทือน
คนชมคนด่าเฉยตลอด
ดูมีความสุข ดูบังคับได้
แทนที่จะเห็นว่าบังคับไม่ได้

ถ้าเป็นธรรมชาติ
มันเจริญแล้วเสื่อม
ไม่ว่าระดับไหน
ปฏิบัติไปก็ยังเจริญแล้วเสื่อมอยู่


เวลาเราภาวนาผิด แทนที่เราจะเห็นไตรลักษณ์
เราจะเห็นของไม่เที่ยงเห็นว่าเที่ยง
ของเป็นทุกข์เห็นว่าเป็นสุข
ของไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้
เห็นว่าเป็นตัวเรา บังคับได้
ถ้าเรารู้สึกอย่างนั้นต้องเฉลียวใจว่าไม่ถูก
ค่อยๆ สังเกตว่าผิดตรงไหน


บางวันก็ภาวนาไม่เป็น
ภาวนาเป็นทุกวันทำสมถะแน่นอน
บางวันดูไม่รู้เรื่องเลยไม่เหมือนกับไม่ดูอะไรเลย
ไม่ดูกับดูไม่รู้เรื่อง
ดูไม่รู้เรื่อง ถามว่ารู้เรื่องไหม
รู้เรื่องว่าดูไม่รู้เรื่อง


บางทีก็ภาวนาแล้วงงดูอะไรไม่ออก
งงก็เป็นสภาวะอันหนึ่ง
ก็รู้ว่างง
พองงแล้วมัวแต่คิดหาคำตอบมันก็เลยไม่รู้สักที
ถ้าเมื่อไหร่งงแล้ว รู้ว่างงใช้ได้


ถ้าเป็นธรรมชาติมันเจริญแล้วเสื่อม
ไม่ว่าระดับไหน
ปฏิบัติไปก็ยังเจริญแล้วเสื่อมอยู่
บางวันสติปัญญาแหลมคม
บางวันสติปัญญาไม่ทำงาน
ถ้าต่ำกว่านั้นบางวันก็ฟุ้งซ่านดูอะไรไม่รู้เรื่องเลย

เพราะจิตรู้ความจริงว่าทุกอย่างเจริญแล้วเสื่อม เกิดแล้วดับ
เจริญขึ้นมา จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
เสื่อมไป จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางหมดความปรุงแต่ง
เมื่อจิตหมดความปรุงแต่ง ก็หมดภพ


ภาวนารู้สึกวันนี้ดีวันนี้ไม่ดี อย่างนี้ใช้ไม่ได้
เพราะว่าปัญญา คือความเข้าใจไม่เกิด
ถ้าปัญญาเกิดจะเห็นเลย จิตเจริญแล้วเสื่อม เป็นเรื่องธรรมดา
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ เป็นเรื่องธรรมดา
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางจะพ้นจากความเจริญและความเสื่อม
หมายถึงว่าความเจริญเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว
ความเสื่อมเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว

อาศัยปัญญาเข้าใจความเป็นจริง
จิตก็หมดความปรุงแต่งหมดความดิ้นรน
ไม่ใช่พอเจริญจิตก็ดิ้นรนอยากรักษา
พอเสื่อมจิตก็ดิ้นรนอยากแก้ไข
เพราะจิตรู้ความจริงว่าทุกอย่างเจริญแล้วเสื่อม เกิดแล้วดับ
เจริญขึ้นมา จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
เสื่อมไป จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางหมดความปรุงแต่ง
เมื่อจิตหมดความปรุงแต่ง ก็หมดภพ

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๐ (600409B)