ทำงานที่ต้องอยู่กับคน​ ​ระหว่างวันพยายามบริกรรม​ รู้กายเคลื่อนไหวเวลาไม่ได้อยู่หน้างาน​ แต่ยังหลงบ่อย​

คำถาม: ทำงานที่ต้องอยู่กับคน​ รับฟังเรื่องราวต่างๆ​ แก้ …

Read more

มีปัญหาสุขภาพ จิตไม่เป็นกลาง มีโทสะเป็นพื้น บางครั้งก็เกิดความเครียดเป็นระยะๆ

คำถาม: ช่วงนี้มีปัญหาสุขภาพ จิตไม่เป็นกลาง จิตดิ้นรนบัง …

Read more

ระหว่างวันยังมีลืมการปฏิบัตินาน และเรื่องทางโลกยังดึงดูดไปง่าย ที่ผ่านมาพลาดตรงไหนถึงไม่พัฒนาเท่าที่ควร

คำถาม: เริ่มเข้าใจมากขึ้นที่ว่า ต้องพยายามฝึกจิต ให้เคย …

Read more

รู้สึกว่ากิเลสเบาบางลง สิ้นสงสัยในพระรัตนตรัยแล้ว ผมติดวิปัสสนูปกิเลสไหม

คำถาม: ผมเปลี่ยนวิหารธรรมเป็นรู้ทันจิตที่คิด เพราะทำงาน …

Read more

เป็นคนรักกายมาก แต่ดูกายแล้วไม่มีความสุข ใจมันเฉย ไม่สดชื่น พอมาดูจิต ใจตื่นเบิกบาน

มีปัญญาแก่กล้า ดูกายแล้วจืดๆ เฉยๆ ถ้าดูจิตมันโลดโผน ทำงานสารพัด ดูจิตก็ได้ แต่ไม่ทิ้งสมาธิ ถ้าทิ้งสมาธิแล้วจะดูจิตไม่ได้จริง จิตมันจะไปว่างๆ อยู่ข้างนอก ฉะนั้นเราก็อยู่กับกรรมฐานของเราไป หายใจไป พุทโธไป จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตสงบก็รู้ จิตหนีไปก็รู้ ถ้าจิตไม่มีที่อยู่ มันหนีไปเราไม่รู้หรอกว่ามันหนี แต่ถ้าจิตมันมีฐานที่มั่นอยู่ พอมันหลุดออกจากที่มั่นของมัน เราจะรู้ว่ามันเคลื่อนไปแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เรามีวิหารธรรมเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นพระพุทธเจ้าไม่สอนหรอก ในสติปัฏฐาน 4 ตัวแรกเลยที่ท่านสอนคือการมีวิหารธรรม ให้ใช้กายในกายเป็นวิหารธรรม เวทนาในเวทนาเป็นวิหารธรรม เริ่มต้นก็คือต้องมีวิหารธรรมก่อน

ภาวนาโดยดูร่างกายที่หายใจและใจที่หลงคิด รู้สึกยังไม่ค่อยพัฒนา

ภาวนาที่ปฏิบัติมีสติ มีสมาธิ ลงมือปฏิบัติอะไรนั้นก็ดีทั้งสิ้น ค่อยๆ สะสมไป แต่ว่าเราอย่าโลภ ภาวนาถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ไม่ได้หวังผลว่าจะต้องได้อันนั้น จะต้องได้อันนี้ จะต้องได้เมื่อนั้นเมื่อนี้ภาวนาแบบไม่หวังผล ถึงเวลาสงบ ถึงเวลาควรสงบก็ทำความสงบ ถึงเวลาควรเจริญปัญญาดูความจริงของกายของใจ ก็เจริญปัญญาไป ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรเมื่อไร

ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ แต่2-3 เดือนนี้ฟุ้งซ่านเยอะ และถูกอารมณ์ครอบงำง่าย

เราอยู่กับปัจจุบันจริงๆ ร่างกายเรานั่งอยู่นี่ ไม่เห็นจะถูกใครทำร้าย ร่างกายหายใจอยู่นี่ ก็ไม่มีใครมาทำร้าย จิตใจก็ไม่เห็นจะต้องทุกข์ร้อนอะไร มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะมีความสุขอยู่ในปัจจุบัน พอเราไปเสพข่าวมากๆ ใจเราเศร้าหมอง ถ้าเสพข่าว 3 เดือนก็เศร้าหมอง 3 เดือน ฉะนั้นเสพเท่าที่จำเป็น ดูข่าวเท่าที่จำเป็น ข่าวลือข่าวอะไรก็อย่าไปสนใจมัน เอาข่าวที่มันเป็นทางการจริงๆ ที่ภาวนาอยู่ใช้ได้ ภาวนาอยู่ดี ขันธ์มันแยกได้ชัดเจนดี เราอย่าไปยุ่งกับโลก เราคอยดูของเราไป ฉวยโอกาสตอนนี้ยุ่งกับคนอื่นน้อยๆ ดูตัวเองเยอะๆ

เป็นคนโกรธง่าย เซลฟ์จัด ขาดความเมตตา ฟุ้งซ่านมาก พยายามรักษาศีลและฝึกตนมา 6 ปีแล้ว ดูเหมือนว่ามันไม่ลดลงกลับจะเพิ่มขึ้น

เราไม่จำเป็นต้องทำกรรมฐานแบบจะไปดูจิตดูใจอะไรอย่างเดียว รู้สึกร่างกายไว้ ดูไปสิ ร่างกายไม่เคยโกรธเลย ความโกรธเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แทรกเข้ามา รู้สึกกายบ่อยๆ แล้วจะเห็นร่างกายเป็นวัตถุธาตุ ไม่ใช่ตัวเรา ความโกรธก็ไม่ใช่ตัวเรา ความโกรธไม่ใช่ร่างกายด้วย ความโกรธไม่ใช่จิตใจด้วย ค่อยๆ แยกๆๆ ไป แล้วก็เจริญเมตตาให้เยอะหน่อย วิธีเจริญเมตตาไม่ใช่นั่งท่อง วิธีเจริญเมตตาก็คือหัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่างเราโกรธใครเกลียดใคร เราลองสมมติตัวเองว่าถ้าเราเป็นเขา อยู่ในสถานการณ์อย่างเขา ในเงื่อนไข ในข้อจำกัดอย่างเขา เราจะคิดเหมือนเขาไหม บางทีเราคิดเหมือนกัน เราก็จะทำอย่างที่สิ่งที่เราไปว่าคนอื่นเขานั่นล่ะ พอเราเข้าใจ เกิดความเข้าใจแล้ว โทสะมันจะหาย

ในเวลาทำงานที่ต้องเจอผู้คนหรือมีผัสสะมากระทบ ยังไหลไปคลุกกับอารมณ์บ่อยๆ

เวลาทำงานต้องยุ่งกับคน จิตมันก็ต้องออกนอก ต้องไปดูเขา ต้องไปคุยกับเขา ต้องคิด ตอนนั้นเป็นเวลาทำงาน เป็นเวลาทำมาหากิน ไม่ใช่เวลาปฏิบัติ เวลาที่เหลือจากการทำงานกับการนอนหลับนั่นล่ะเป็นเวลาปฏิบัติ พยายามหายใจไป พุทโธไปเรื่อยๆ จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ หายใจไป พุทโธไป ไม่ใช่เพื่อบังคับให้จิตนิ่ง ไม่บังคับหรอก หายใจไปแล้วจิตเป็นอย่างไร ก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ต่อไปสติปัญญามันแก่กล้า มันก็จะรู้เลย ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา จิตใจที่เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลงอะไรอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่มี ก็ไม่มีที่ตั้งของความทุกข์แล้ว ความทุกข์มันก็อยู่ที่กายที่ใจ กายไม่ใช่เรา ใครทุกข์ กายมันทุกข์ ใจไม่ใช่เรา ใครมันทุกข์ ใจมันทุกข์ ไม่ใช่เรา

Page 8 of 14
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14