เวลาเจอความทุกข์ก็จะขยันภาวนา เวลามีความสุขก็จะเผลอเพลิน

คำถาม:

ปฏิบัติมาหลายปี เวลาเจอความทุกข์ก็จะขยันภาวนา เวลามีความสุขก็จะเพลิน ระหว่างวันมีสติรู้การเคลื่อนไหวการเปลี่ยนแปลงของกายและใจ ปีนี้มีวินัยในการทำรูปแบบมากขึ้น แต่สมาธิไม่ได้ดีมาก เป็นคนขี้หงุดหงิดฟุ้งซ่าน จริงจังเรื่องงาน เห็นมานะเทียบตัวเองกับคนอื่น บางทีจิตก็คิดอกุศล พยายามฝึกตัวเองให้มีวินัย แต่พอทำงานเหนื่อยมากก็จะหลุดไปดูหนังการ์ตูน หรือชอปปิ้งให้ใจคลายขึ้น สติไม่เข้มแข็งพอก็จะเสพติดหลงเพลิน เมื่ออยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ใจมีความสุข ก็จะพักหายใจเพิ่มพลังระหว่างวัน แต่ก็ยังมีจุดที่เพลินออกไปกับความสุข ไม่เป็นกลาง ไม่ตั้งมั่น ขอให้หลวงพ่อแนะนำเพิ่มเติมจากที่ปฏิบัติอยู่ค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ภาวนามันต้องอดทน ต้องเด็ดเดี่ยว คนในโลกส่วนใหญ่เวลาสบายมันจะเผลอเพลิน เวลาทุกข์ก็จะคิดถึงการปฏิบัติ เป็นธรรมดาของโลก แต่ว่าอย่างนั้นมันลักษณะของความประมาท เราไม่ประมาท มีวินัย วินัยจำเป็นต้องฝึก แต่ว่าทั้งวันเราทำงานเหนื่อยแล้ว เราจะไปนั่งสมาธิตอนกลางคืนมันไม่มีแรง เราทำตั้งแต่เช้าเลยตื่นให้เร็วขึ้นสักครึ่งชั่วโมง มานั่งสมาธิเดินจงกรมอะไรก็ทำไป ถ้าทำกลางคืนแล้วมันหลับก็ทำมันตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ตื่นนอนเลย หรือกลางวันกินข้าวแล้วก็เดิน เดินจงกรม เวลาจิตมันเครียดก็มีอุบายทำให้มันผ่อนคลาย อย่างเช่นดูการ์ตูน

หลวงพ่อก็เคยใช้แต่หลวงพ่อไม่ไปตามที่ที่คนเยอะๆ หลวงพ่อไม่ไปเดินศูนย์การค้า ที่ศูนย์การค้ากระแสกิเลสมันแรง มันมากระทบกระทั่งใจเราสะเทือนไปหมดเลย ยิ่งที่ไหนกลุ่มวัยรุ่นอยู่เยอะๆ หลวงพ่อจะไม่เข้าเลย อันนี้หมายถึงตอนเป็นโยม ไม่เข้าใกล้หรอก คลื่นไส้ คลื่นไส้จริงๆ ไม่ได้ว่าแกล้งขยะแขยงอะไร คือกระแสของกิเลส กระแสของความฟุ้งซ่านมันรุนแรง เราไม่ชอบ หลวงพ่อซื้อการ์ตูนมาอ่านที่บ้าน ซื้อมาอ่านเป็นเล่มๆ เมื่อก่อนมันมีอะไร ขายหัวเราะ มหาสนุกอะไรการ์ตูนพวกนี้ การ์ตูนเด็ก ดูแล้วไม่มีพิษมีภัยอะไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า ไม่ได้เห็นหนังสือมานานแล้ว

ฉะนั้นพยายามอย่าไปพักผ่อนด้วยการไปที่ที่คนเยอะๆ เลย มันสงบยาก ไปแล้วไม่ได้แรงแต่ไปแล้วเหนื่อยมากกว่าเก่าอีก หรือเดี๋ยวนี้ดูการ์ตูนอยู่ในบ้านเราก็ดูได้ แต่ต้องมีวินัยว่าจะดูกี่นาที ถ้าดูทีเป็นชั่วโมงๆ ไม่ต้องพูดเรื่องภาวนา ไม่มีเวลาแล้ว ฉะนั้นตัวสำคัญ คือความมีวินัย มีวินัยในตัวเอง ผ่อนคลายได้ จะดูการ์ตูน ดูดอกไม้ ดูต้นไม้อะไรอย่างนี้ ผ่อนคลายได้ นิดๆ หน่อยๆ พอใจผ่อนคลายแล้วภาวนา ถ้าเราอยากดีเราก็ต้องทำอย่างนี้ แต่ถ้าเราเอาเวลาไปเล่นนานเกินไป จิตใจเคยชินที่จะวุ่นวายอยู่กับโลกมันภาวนายาก ไม่มีแรงภาวนามีแต่ความสุข

อดทนนะ อดทนเข้า กว่าแต่ละท่านจะพ้นทุกข์ได้ท่านอดทนมาเยอะแล้ว ดูเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็อดทนมาเยอะ พระโมคคัลลา พระสารีบุตร หรือครูบาอาจารย์ ลองไปดูประวัติแต่ละองค์ แต่ละท่าน สู้มาอย่างโชกโชนแล้วทั้งนั้น เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองให้มันห่างโลกไปเรื่อยๆ ถ้าเรายังคลุกกับโลก ยินดีอยู่กับโลก เราก็พ้นโลกไม่ได้ ที่จริงแล้วไม่มีใครมาจับเราไว้อยู่ในโลก จิตเราไปผูกพันอยู่กับโลกเอง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เบื้องต้นอาศัยศรัทธาก่อน เออทำไมพระพุทธเจ้า ทำไมครูบาอาจารย์ท่านพยายามจะพ้นโลก ไม่อยากยุ่งกับโลก พอท่านพ้นไปแล้วดูท่านสงบ ดูท่านผ่องใส ดูท่านมีความสุข ทำอย่างไรเราจะได้อย่างท่าน

ทีแรกก็ใช้วิธีอย่างนี้ที่หลวงพ่อทำ เห็นครูบาอาจารย์ท่านหมดจดงดงาม เราเกิดศรัทธาอยากได้เป็นอย่างท่านบ้าง หรืออ่านพุทธประวัติ อ่านประวัติพระสาวก เราอยากสงบ อยากดี อยากเป็นอย่างท่านบ้าง เกิดศรัทธาขึ้นมา พอเราลงมือภาวนาเราเห็นผล ศรัทธาคราวนี้ยิ่งแน่นแฟ้นใหญ่ อย่างเราภาวนา เราเห็นความทุกข์มันสั้นลง ความทุกข์มันน้อยลง ความทุกข์มันเบาลง เรื่องอย่างนี้สมัยก่อนจะเป็นจะตาย พอภาวนาไปช่วงหนึ่งเรื่องนี้หรือ เศร้าใจนิดหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว จิตใจมันมีภูมิต้านทานความทุกข์ได้เยอะขึ้นๆ พอเราเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ศรัทธาเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น เป็นศรัทธาจากการที่เราได้เจริญสติเจริญปัญญา ส่วนศรัทธาที่น้อมใจให้ศรัทธา อ่านประวัติท่านแล้วศรัทธา ศรัทธาพวกนี้ยังคลอนแคลนง่าย เราค่อยๆ ยกระดับ เบื้องต้นก็อาศัยศรัทธาก่อน เตือนตัวเองให้ภาวนาเหมือนที่ครูบาอาจารย์ทำ เหมือนที่พระพุทธเจ้าทำ ชีวิตเราจะได้ดีอย่างท่าน มีความสุขอย่างท่าน

อดทนไว้ โลกไม่มีอะไรหรอก โลกนอกจากทุกข์แล้วไม่มีอย่างอื่นหรอก เราเข้าใจเราก็จะคลายออกจากโลกได้ แต่ตอนแรกยังไม่พ้นโลก เรายังไม่เห็นหรอกว่าโลกมันทุกข์ เราเห็นแค่ว่าโลกนี้ทุกข์บ้างสุขบ้าง ไม่เป็นไปอย่างที่ใจอยาก เรียนรู้ตรงนี้เยอะๆ ต่อไปเจอความทุกข์มันก็ไม่ทุกข์นาน ไม่ทุกข์แรง เพราะมันเริ่มเข้าใจ โลกมันเป็นอย่างนี้ ฝึกไป พอเข้าใจโลกก็จะเข้าใจธรรม ไม่เข้าใจโลกไม่เข้าใจธรรม ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การหนีโลก สิ่งที่เรียกว่าโลกคือรูปกับนาม คือกายกับใจเรานี้ ถ้าเราเข้าใจกาย เข้าใจใจของเรา เรียกว่าเราเข้าใจโลก เข้าใจโลกเราก็จะถึงธรรม ถ้าไม่เข้าใจโลกหนีโลกอย่างเดียว ไม่มีทางได้ธรรมะหรอก

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 กรกฎาคม 2564