ช่วงนี้พวกเราภาวนาดีขึ้นเยอะมากๆ เลย แต่ละคนดูดีเชียว แต่กว่าจะดีได้ต้องอดทนภาวนาล้มลุกคลุกคลาน ถ้าใจมุ่งมั่น ต้องการพ้นทุกข์ อดทน เดินไปทุกวันทีละก้าวๆ ถึงวันหนึ่งก็ต้องถึงจุดหมาย เราปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น ฉะนั้นทุกข์เกิดขึ้น ห้ามมันไม่ได้ เรียนรู้มัน หนีมันไม่ได้ อย่างเราเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เราต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่พอใจ ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ มันเป็นธรรมดา หนีไม่พ้น
เราเรียนรู้ธรรมะเพื่อให้จิตยอมรับความจริง ถ้ามันเห็นว่าความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นเรื่องธรรมดา เวลาเผชิญกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ใจก็ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ถ้ามันเห็นว่าการประสบกับสิ่งที่ไม่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นเวลาเราเจอสิ่งที่ไม่พอใจ ก็รู้สึกมันธรรมดา เวลาเราพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก จากคนที่เรารัก เราก็รู้สึกว่าธรรมดา ปฏิบัติจนกระทั่งมันเห็นความเป็นธรรมดา ยอมรับความเป็นธรรมดาได้ แล้วเวลาสิ่งธรรมดาเหล่านั้นเกิดขึ้น ใจมันจะไม่หวั่นไหว
ฝึกจนยอมรับความเป็นธรรมดา
ฉะนั้นไม่ใช่ฝึกเพื่อจะเหนือธรรมดา ฝึกจนยอมรับความเป็นธรรมดา บางคนคิดว่าฝึกแล้วเหนือธรรมดา ไม่เจ็บไม่ไข้ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังอาพาธตั้งหลายที ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นธรรมดา ต้องเป็นอย่างนั้น มีธาตุมีขันธ์ของมนุษย์แล้วหนีทุกข์ไม่พ้น ถ้าใจเห็นจริงว่ากายนี้ใจนี้มีธรรมดาเป็นทุกข์ ก็จะไม่เกิดความหวั่นไหว เมื่อมันไม่หวั่นไหว ใจมีความสุข มีความสงบเกิดขึ้น เพราะเห็นตามความเป็นจริง มันเบื่อหน่ายคลายความยึดถือ มันเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไร โลกนี้ว่างๆ ร่างกายจิตใจเราก็ไม่มีอะไร มันว่างๆ
แต่กว่าเราจะภาวนาจนเห็นว่าโลกนี้ว่าง กายนี้ใจนี้ว่าง ก็ต้องเดินตามเส้นทางที่พระพุทธเจ้าสอนให้ เจริญสติปัฏฐานให้มาก ทำให้มาก เจริญให้มาก แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็น ว่างนั้นมันเป็นสภาวธรรม ที่เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นล่ะ เมื่อมันไม่วุ่นมันก็ว่าง ถ้าใจเราวุ่นวาย เราก็ไม่เห็นความว่าง ถ้าใจเราไม่มีความวุ่นวาย มันก็ว่างอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว ไม่ได้ทำความว่างให้เกิดขึ้น อย่างพระนิพพานเป็นความว่าง “นิพพานัง ปะระมัง สุญญัง” นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง มันว่างอยู่โดยตัวของมันเอง เพราะมันไม่วุ่น มันพ้นจากความวุ่นวาย
ความวุ่นวายเกิดจากอะไร เกิดจากความไม่รู้ไม่เห็นธรรมดาของกายของใจ เมื่อมันไม่เห็นธรรมดา หรือเรียกว่ามันมีอวิชชา มันก็เริ่มวุ่นวาย มันก็เกิดความอยาก มันอยากอะไร ถ้าแจกแจงความอยากตามตำรา ความอยาก อยากได้มา อยากให้มันคงอยู่ อยากให้มันหมดไป แจกแจงให้ละเอียดเข้าไปอีก อยากได้อะไร อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วก็เรื่องราวทางใจที่พอใจ อยากให้ไม่ต้องสัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วก็ธัมมารมณ์ เรื่องที่รู้ด้วยใจที่มันไม่ดี ไม่อยากได้
เพราะฉะนั้นรูปที่เราเห็น เราก็เกิดความอยากได้ 3 แบบ อยากได้รูปอย่างนี้ อยากให้รูปอย่างนี้คงอยู่ อยากให้รูปอย่างนี้ดับไป อยากให้เสียงอย่างนี้เกิดขึ้น อยากให้เสียงอย่างนี้คงอยู่ อยากให้เสียงอันนี้ดับไป ไล่ๆ ไปจนกระทั่งอยากให้ความรู้สึกทางใจอันนี้เกิดขึ้น อันนี้ตั้งอยู่ และอยากให้อันนี้ดับไป มีความอยากเกิดขึ้น ความอยากมันเลยเกิดได้ 6 ช่องทาง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละช่องทางเกิดความอยากได้ 3 แบบ กามตัณหา อยากได้มา ภวตัณหา อยากให้คงอยู่เป็นอมตะ วิภวตัณหา อยากให้หมดไปสิ้นไป
ดูแล้วมีเยอะ แต่ถ้ามองให้ดี ถ้าย่อๆ ลงมามันเหลือแค่ว่า มันอยากให้กายให้ใจมีความสุข มันอยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ อยากอยู่แค่นั้นล่ะจริงๆ อยากรวย 1,000 ล้าน ก็คิดว่ารวยแล้วจะมีความสุข เห็นไหม สิ่งที่อยากได้ อยากให้มีความสุข รวยๆ แล้วอยากซื้ออะไรก็ได้ บริโภคอะไรก็ได้ ในร่างกายก็มีความสุข จิตใจก็มีความสุข อยากไม่แก่ แต่ความจริงก็คือ อยากให้ร่างกายมันดีตลอด มีความอยาก
ฉะนั้นความอยาก มันก็แค่อยากให้กายให้ใจเป็นสุข อยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ ความอยากมันเกิดจากความไม่รู้ ว่าจริงๆ แล้วกายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ ความไม่รู้ทุกข์เรียกอวิชชา อวิชชาเกิดขึ้น ก็ผลักดันให้เกิดตัณหาคือความอยาก ถ้าเราล้างอวิชชาได้ ตัณหาก็ไม่เกิดขึ้น ล้างอวิชชาได้ตัณหาก็ไม่เกิด อย่างเราภาวนาจนเราเห็นความจริง กายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ มันก็ไม่เกิดความอยาก ที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข เพราะเรารู้แล้วว่ามันคือตัวทุกข์ มันจะไม่เกิดความอยาก ว่าจะให้กายให้ใจไม่ทุกข์ ความอยากนี้ไร้เดียงสา เพราะจริงๆ กายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ เห็นไหม
เพราะฉะนั้นถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ความอยากมันจะไม่มี จะไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่มีตัณหา ความดิ้นรนวุ่นวายในจิตใจของเราก็ไม่เกิดขึ้น ความดิ้นรนวุ่นวายในจิตใจของเรา เรียกว่าความปรุงแต่ง หรือเรียกว่าภพ กรรมภพ ความปรุงแต่งของใจเรา ดิ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นไปด้วยอำนาจของตัณหา ท่านถึงสอนว่า “ตัณหาเป็นผู้สร้างภพ” ถ้ามีความอยาก ใจก็เกิดความดิ้นรน ใจที่ดิ้นรน ใจก็มีความทุกข์เกิดขึ้น ใจที่พ้นความดิ้นรนปรุงแต่งก็พ้นทุกข์ มันพ้นความดิ้นรนปรุงแต่งได้ เพราะมันสิ้นตัณหา หมดความอยาก มันก็หมดความดิ้นรน หมดความดิ้นรน มันก็หมดทุกข์ มันหมดตัณหาได้ เพราะมันล้างความเห็นผิด คือล้างอวิชชาได้
ยึดทิฏฐิ ยึดความเห็นว่าจะไม่ยึดอะไรสักอย่าง
เพราะฉะนั้นตัวอวิชชา ตัณหา อุปาทาน นำไปสู่ทุกข์ อุปาทานคือความยึดถือ บางคนก็พูดมักง่าย ได้ยินว่าถ้าอยากถ้ายึดก็ทุกข์ ไม่อยากไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ ก็พยายามที่จะไม่อยาก พยายามที่จะไม่ยึด ดิ้นรนหาทางที่จะไม่อยาก หาทางที่ไม่ยึด อย่างเช่นว่ามองทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็คิดเอา ทุกอย่างว่างเปล่า ทุกอย่างเป็นความว่าง เราไม่ยึดอะไรสักอย่าง แต่ความจริงยึดเรียบร้อยแล้ว ยึดอะไร ยึดความว่าง ไม่ใช่ไม่ยึด สุดท้ายก็ยึดความว่าง
ความว่างยังไม่เห็น ก็อยากให้เห็น เห็นไหม มีกามตัณหา ช่วงไหนจิตมันว่างๆ ไป อยากให้มันคงอยู่ นี้ภวตัณหา ตอนไหนไม่เห็นความว่าง ดิ้นรนไม่พอใจ อยากให้มัน ที่มันปรุงแต่งฟุ้งซ่านให้หมดไปสิ้นไป ฉะนั้นความว่างที่เราจงใจสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาด้วยตัณหาทั้งสิ้น อย่าเมาความว่าง ความว่างที่เราสัมผัส เป็นผลจากการเจริญปัญญาอย่างยิ่งยวดแล้ว ไม่ใช่อยู่ๆ ก็นึกเอา โลกนี้ว่าง ไอ้นั่นเราก็ไม่ยึด ไอ้นี่เราก็ไม่ยึด สุดท้ายมันก็ยึดความไม่ยึดนั่นล่ะ
สมัยพุทธกาลมีหลานพระสารีบุตรคนหนึ่ง ชื่อนายเล็บยาว นายเล็บยาว นายทีฆนขะ นายเล็บยาวก็ไปเยี่ยมพระสารีบุตร ไปเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยคุยด้วยที่ถ้ำสุกรขาตา บนเขาคิชฌกูฏ ใครเคยไปไหม ไหนยกมือให้ดูหน่อย อนุโมทนา ขึ้นไปเห็นได้ เก่ง แก่แล้วขึ้นไม่ไหว ถ้ำนั้นเราเห็นเล็กนิดเดียว แต่เดิมมันคงใหญ่ แล้วนี้อยู่ไปนานๆ เล็กนิดเดียว เหมือนถ้ำที่ท่านทำสังคายนากัน แผ่นดินไหวเลยเหลือเล็กนิดเดียว พระ 500 องค์จะเข้าไปนั่งได้อย่างไร นั่งไม่ได้ ภูมิประเทศมันเปลี่ยน
ทีฆนขะ จะมาหาพระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านพักอยู่ที่ถ้ำนี้ ส่วนพระพุทธเจ้าอยู่บนคันธกุฎี สูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านมาอยู่ที่ถ้ำนี้พอดี นายเล็บยาวเขาก็แสดงวาทะ “ในความเห็นของข้าพเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยสมควรกับข้าพเจ้า” เขาพูดว่า “จริงๆ แล้วข้าพเจ้าไม่ยึดอะไรเลย ไม่มีอะไรสมควรที่ข้าพเจ้าจะยึดเลย ข้าพเจ้าไม่ยึดอะไรสักอย่าง” พระพุทธเจ้าท่านก็สอน “นี่กำลังยึด ยึดทิฏฐิ ยึดความเห็นว่าจะไม่ยึดอะไรสักอย่าง มีมานะว่ากูเก่ง กูไม่ยึดอะไรสักอย่าง” เห็นไหม มีกิเลสตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็น
แล้วพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมะให้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องเวทนา มีเวทนาเกิดขึ้นจิตก็ปรุง เกิดตัณหา อุปาทานอะไรขึ้นมา พระสารีบุตรนั่งอยู่หลังพระพุทธเจ้า นั่งพัดให้พระพุทธเจ้าอยู่ ก็ฟังที่พระพุทธเจ้าเทศน์ พระสารีบุตรก็บรรลุพระอรหันต์ นายเล็บยาวรู้สึกจะได้โสดาบัน ทฤษฎีที่ข้าพเจ้าไม่เอาอะไร ไม่ยึดอะไรสักอย่าง ที่จริงก็คือยึด อย่างน้อยมันก็ยึดวาทะ ว่ามันจะไม่เอาอะไรสักอย่าง ความไม่ยึดเป็นผล ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจงใจทำขึ้นมา แต่มันเป็นผลจากการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
เพราะฉะนั้นก่อนจะพูดถึงความว่างๆ ให้ดูของจริงที่เรามี ของจริงที่เรามีคือความวุ่น ไม่ใช่ความว่าง เรียนจากของที่มีจริง ไม่ใช่เรียนจากของที่จินตนาการ เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่องค์หนึ่งมีชื่อเสียงมาก คือท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสท่านไปเลือกเฟ้นพระสูตร ที่ท่านเห็นว่าสำคัญ รวบรวมออกมา แล้วท่านก็สอน สอนลงมาที่ว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” บอกนี้เป็นหัวใจ คราวนี้พอลูกศิษย์ได้ยิน อะไรๆ ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น คราวนี้เตลิดเลย ฟุ้งแล้ว
หลวงพ่อเคยไปถามท่าน ตอนนั้นหลวงพ่อก็อ่านของท่านเยอะ มีกี่เล่มอ่านหมดเลย เพราะธรรมะของท่านแปลกใหม่ ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ธรรมะที่พระทั่วไปเทศน์ แหม มันไม่เร้าใจ ท่านอาจารย์พุทธทาสเทศน์ มันเร้าใจ มันแปลกใหม่ มีกี่เล่มๆ อ่านหมดเลย พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ปฏิจจสมุปบาท อะไรๆ จากพระโอษฐ์อะไรนี้อ่านหมด รวมทั้งอ่านหนังสืออื่นๆ ของท่านด้วย อ่านไปอ่านมา หลวงพ่อกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ อะไรๆ ก็ว่าง ไอ้นั่นก็ว่าง ไอ้นี่ก็ว่าง
ถ้ามันว่างหมด ทำชั่วก็ได้สิเพราะมันว่าง ความดีไม่ต้องทำก็ได้ เพราะทุกอย่างทำไปมันก็ว่าง มีมิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วก็สูญ เพราะคนเรายังไม่มี คนเราก็ว่าง ไม่มีคนหรอก ฉะนั้นเทวดามันก็ไม่มี ผีมันก็ไม่มี ชาติหน้าก็ไม่มี นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี พออ่านธรรมะที่เร้าใจ แหม มันสะใจ อ่านไปอ่านมา เลยกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีวันหนึ่งไปประชุมคณะอนุกรรมการศาสนา อยู่ในทำเนียบกรรมการนี้ หลวงพ่อไปเป็นกรรมการนี้ด้วย
ในกรรมการจะมีพวกที่ท่านมีความรู้ทางศาสนาพุทธหลายท่าน หลวงพ่อนั่งก็คุยกับคนที่นั่งใกล้ๆ อะไรก็ว่าง ไม่ยึดถือ อะไรก็ว่าง ชาติหน้าไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี เพราะทุกอย่างมันว่าง อาจารย์สุชีพท่านได้ยิน สุชีพ ปุญญานุภาพ ท่านนี้เก่ง ท่านเคยเป็นเจ้าคุณฯ เปรียญ 9 แล้วท่านสึกออกมามีครอบครัว ท่านเป็นคนที่ประมวลหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าอ่าน คือพระไตรปิฎกฉบับประชาชน สำหรับฆราวาสทั่วๆ ไป อ่านดี จะได้รู้เรื่อง เห็นภาพกว้างๆ ของพระพุทธศาสนา
ท่านได้ยินหลวงพ่อพูด เรื่องตายแล้วสูญ อะไรๆ ก็ไม่มี เพราะไม่ยึดถือ แล้วท่านก็เรียกเข้าไปหา เราก็เข้าไป หลวงพ่อก็เข้าไป นั่งที่พื้น ท่านนั่งเก้าอี้อยู่ เราเคารพนับถือท่านเป็นผู้ใหญ่มีความรู้ เข้าไปด้วยความอ่อนน้อม ท่านเรียกก็เข้าไป แล้วท่านก็บอก ว่าที่เข้าใจมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่านบอกอย่างนี้เลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น แล้วท่านก็ท่องภาษาบาลีให้ฟัง พระสูตรอันนี้ว่าอย่างนี้ พระสูตรอันนี้ว่าอย่างนี้ โต้แย้งทัศนะที่ผิดของเรา ทุกอย่างมันว่าง ตายแล้วสูญ บอกนั่นมิจฉาทิฏฐิแท้ๆ เลย ชาติหน้าไม่มี เทวดาไม่มี นรกไม่มี ผีไม่มี
แล้วท่านพูดๆ ให้ฟัง ยกพระสูตรมาให้ฟังตั้งมากมาย เก่ง ท่านพูดภาษาบาลีแล้วก็แปลไทย บาลีแล้วก็แปลไทยให้ฟัง เราฟังแล้วใจมันยอมสยบเลย เราเข้าใจผิดจริงๆ ไม่ดื้อ พอนักปราชญ์ท้วงติง หลวงพ่อจะไม่ดื้อเลย รับสภาพเลยว่าเราเข้าใจผิด พอรู้ว่าเข้าใจผิด แหม เจ็บใจหลวงพ่อพุทธทาส ไปอ่านหนังสือท่านแล้วกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้โอกาสรีบลงไปสวนโมกข์เลย ไปหาท่าน ไปถามท่าน “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อสอนว่าตายแล้วสูญหรือ”
ท่านตอบว่าอย่างไรรู้ไหม “คุณเห็นเราเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือ” โอ๊ย ลงไปกราบเท้าท่านเลย เรามันโง่เอง อ่านหนังสือของท่านแล้วไม่รอบคอบ ไอ้นั่นก็ว่าง ไอ้นี่ก็ว่าง ไม่ยึดถือ ไอ้นั่นก็ไม่ยึดถือ ความจริงแล้วยึดถืออยู่ เราไม่รู้ ไปกราบท่าน แล้วก็ถามท่านอีกประโยคหนึ่ง “หลวงพ่อครับ ถ้าผมอ่านหนังสือหลวงพ่อทุกเล่มเลย ผมจะได้โสดาบันไหม” ท่านบอกอะไรรู้ไหม “ไม่ได้หรอก ต้องปฏิบัติเอา” โอ้ อย่างนี้ดี อย่างนี้ดี
ฉะนั้นอ่านตำรับตำราเท่าไร ตำราวิเศษแค่ไหน มันก็ได้แค่นั้น ได้แต่ทรงจำเอาไว้ บางทีก็ทรงจำไว้ผิดๆ อ่านแล้วก็ตีความไปผิดๆ เราเลยรู้ เรามันโง่ อ่านธรรมะของท่านแล้วเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ หัวดื้อหัวรั้น ดีว่าหลวงพ่อไม่ดื้อ บางคนมันหัวดื้อหัวรั้น ยึดทิฏฐิมานะของตัวเอง อันตรายมากเลย แล้วเอาไปพูดต่อ ถ่ายทอดสิ่งที่ผิดต่อไปนี้ บาปกรรมหนักหนาเลย พอมาภาวนาแล้วก็เข้าใจขึ้นมา สิ่งทั้งหลายมันเป็นจากเหตุ
ภาวนาแล้วก็เข้าใจขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเป็นจากเหตุ
ฉะนั้นเรามาทำสติปัฏฐาน เรียนรู้กายอย่างที่กายเป็น เรียนรู้จิตอย่างที่จิตเป็น ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ไปดัดแปลงมัน ร่างกายนี้ไม่เที่ยง หายใจออกแล้วก็ต้องหายใจเข้า อยู่ในอิริยาบถนี้แล้วก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เคลื่อนไหวแล้วก็ต้องหยุดนิ่ง หยุดนิ่งแล้วก็ต้องเคลื่อนไหว ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมร่างกายนี้ต้องไม่เที่ยง หายใจออก หายใจเข้า ยืน เดิน นั่ง นอน เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง ทำไมร่างกายนี้เต็มด้วยความไม่เที่ยง เพราะว่ามันทุกข์ มันถูกความทุกข์บีบคั้น ลองนั่งนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก จะทุกข์ไม่ทุกข์เดี๋ยวก็รู้เอง
ฉะนั้นจริงๆ ธรรมะแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาที่จะรู้เอง อย่างร่างกายเรานี้ มันมีความทุกข์แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่สนใจมัน ทำไมเราต้องนั่งแล้วก็เมื่อย แล้วเราก็ขยับ เห็นไหม ต้องขยับตัวอยู่เป็นระยะๆ เพราะมันทุกข์ ทำไมเราต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะนั่งนานมันก็ทุกข์ ยืนนานมันก็ทุกข์ เดินนานมันก็ทุกข์ นอนนานมันยังทุกข์เลย ทำไมหายใจออกแล้วต้องหายใจเข้า ทำไมหายใจเข้าแล้วต้องหายใจออก เพราะว่ามันทุกข์
หายใจเข้าเรื่อยๆ มันก็ทุกข์ เราต้องหายใจออกแก้ทุกข์ หายใจออกมากๆ ก็ทุกข์อีกแล้ว ก็ต้องหายใจเข้าแก้ทุกข์ พอเรามีสติตามรู้อยู่ในกาย เราก็จะเห็นร่างกายนี้ มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ร่างกายนี้มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกอิริยาบถ ตามรู้ตามเห็นไป นี้ทำไมคนทั่วไปไม่รู้ ว่าร่างกายมันทุกข์ สิ่งที่มาปิดบังก็คือเรามีมูฟเมนต์ เราเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหวมันมาปิดบัง ไม่ให้เราเห็นทุกข์
อย่างพอร่างกายเราทุกข์ นั่งนานๆ มันเมื่อย เราก็ขยับ อิริยาบถคือความเคลื่อนไหว เป็นตัวที่ปิดบังทุกข์ของร่างกาย ทำให้เราไม่เห็นทุกข์ของร่างกาย คราวนี้แทนที่จะขยับไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก่อนที่เราจะเคลื่อนไหว รู้สึกหน่อย รู้สึกก่อน ทำไมเคลื่อนไหว ไม่ใช่คิด รู้สึก บางท่าน ท่านก็สอนว่าเวลาเราจะเคลื่อนไหว ตั้งคำถามกับตัวเองก่อน ทำไมเราจะต้องขยับ แล้วก็ตอบตัวเอง เพราะมันทุกข์ พอถามตอบเสร็จแล้วค่อยขยับ อย่างนี้เรื่องเยอะไป เรื่องเยอะไป รู้สึกเอาก็พอแล้ว ไม่ต้องนั่งตั้งคำถามคำตอบ มันเหนื่อย
มี บางที่ท่านสอนกัน ส่วนมากเป็นสายอภิธรรม ร่างกายทำไมต้องกระดุกกระดิก เพราะมันทุกข์ เลยสอนอย่างนี้ ให้คิดไปเรื่อยๆ อันนี้มันจะไม่ใช่ ยังไม่ถึงวิปัสสนา เป็นแค่หัดหมายรู้ ผิดไหม ไม่ผิดหรอก แต่ถ้าก้าวไปไม่ได้ หยุดอยู่แค่นี้ ก็ไม่เจริญหรอก หัดทีแรก อาจจะหัดหมายรู้ ที่เราต้องเคลื่อนไหวเพราะมันทุกข์ อะไรอย่างนี้ ต่อไปจิตมันจำสภาวะนี้ได้ มันเห็นร่างกายนี้ ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ทั้งวันเลย อย่างนี้ใช้ได้ เห็นสภาวะแล้ว
เราก็จะเห็นเวลาร่างกายมีความทุกข์เกิดขึ้น เราจะมีความอยากเกิดขึ้น อยากเคลื่อนไหว มีความอยากเกิดขึ้นที่จะแก้ทุกข์ แล้วก็จะแก้ไปเรื่อยๆ มีทุกข์แล้วก็แก้ทุกข์ไปเรื่อยๆ ค่อยรู้ค่อยเห็น ฝึกไปเรื่อย ต่อไปจะรู้เลย ร่างกายเราเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เคยหนุ่ม เคยสาว เดี๋ยวนี้ก็ไม่หนุ่มไม่สาว เคยแข็งแรง เดี๋ยวนี้ไม่แข็งแรง ตามดูไปเรื่อย มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
หรือบางคนถ้าสมาธิดีๆ จิตตั้งมั่น มีสมาธิดีๆ อันนี้จะเห็นอนัตตาได้ เห็นร่างกายเป็นแค่ก้อนธาตุมาประชุมกัน ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมกัน ตั้งอยู่ในสเปซ ในอากาศธาตุ แล้วมีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออก ร่างกายไม่ได้คงที่ มีธาตุไหลเข้าไหลออกตลอดเวลา หายใจเข้า หายใจออก กินอาหาร ขับถ่าย ดื่มน้ำแล้วก็ขับถ่าย เห็นมีแต่ธาตุหมุนเวียนไป ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ถ้าสมาธิดีก็จะเห็นร่างกาย เป็นธาตุที่เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ไม่ใช่คน สัตว์ เรา เขา
ในเบื้องต้น ถ้ากำลังสมาธิเราไม่พอ ดูความไม่เที่ยง ดูความเป็นทุกข์ของกายไป หัดรู้ไป ถ้าไม่ยึดกายได้ ได้อนาคามี ได้ถึงพระอนาคามี หมดความยึดถือกาย พอหมดความยึดถือกาย เวลาสติระลึกลงที่กาย มันจะเห็นกายนี้ว่าง เมื่อก่อนหลวงพ่อพุทธทาส ท่านชอบพูดถึงความว่าง พวกที่เรียนอภิธรรมโจมตีท่านเลย ท่านชอบพูดบอกทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง พวกที่เรียนปริยัติมากๆ บอกสอนผิด จิตไม่เคยว่าง จิตต้องมีอารมณ์เสมอ ไปจับผิด
ความจริงที่ท่านบอกว่าง มันว่างจากความเป็นตัวเป็นตน ว่างจากความเป็นคน สัตว์ เรา เขา มันไม่ใช่ว่างเปล่า ที่ว่าว่างๆ ว่างจากความปรุงแต่ง ว่างจากความเป็นตัวตน ว่างจากความเป็นคน สัตว์ เรา เขา มันว่างอย่างนี้ ฉะนั้นอย่างเราภาวนา เราเห็นกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นเต็มภูมิแล้ว จิตหมดความยึดถือในกาย มันจะเห็นกายว่าง ไม่ใช่ว่างเปล่า กายนี้ยังเกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ตามเหตุปัจจัยของมัน แต่มันว่างจากความเป็นตัวตน บุคคล สัตว์ เรา เขา ว่างตรงนี้
เพราะฉะนั้นอย่างบางคนได้ยินคำว่าว่างแล้วก็ทำใจให้ว่าง พวกที่อ่านหนังสือเซน แล้วอ่านแล้วไม่ดี อ่านได้ไม่ดี ไม่รอบคอบ จะไปติดว่าง มองอะไรแวบ ทำใจ เดี๋ยวทำให้ดู ไม่เห็นยากเลย ทำมาตั้งแต่เด็ก แล้วมันก็โง่อยู่แค่นั้น มันไม่ได้เดินสติปัฏฐาน ไม่ได้เดินวิปัสสนา มันคนละว่าง ว่างที่ Build ขึ้นมา มันว่างจอมปลอม ฉะนั้นบางทีอ่านหนังสือ อ่านหนังสือ ว่างๆๆ ไอ้โน่นไม่ยึดนี่ไม่ยึด แล้วใจมันว่างขึ้นมา ยังว่างเก๊ หลวงพ่อทำมาแต่เด็กแล้ว
ทำวิปัสสนาไป เห็นตามความเป็นจริง คือเห็นร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นมุมใดมุมหนึ่งก็ได้ อย่างหลวงพ่อตอนหลังดูกาย หลวงพ่อเห็นแค่ธาตุ เห็นธาตุ เห็นอนัตตา บังคับไม่ได้ มีอยู่วันหนึ่งนอนอยู่ นอนแล้วมันถึงเวลาที่ต้องลุกไปรดต้นไม้ ถึงเวลาแล้วมันกระดิกตัวไม่ได้ กระดุกกระดิกไม่ได้เลย หายใจได้อย่างเดียว นอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น พยายามจะขยับตัว พยายามลุก ก็ไม่ได้ ก็ดูลงไป โอ้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราสั่งอะไรมันไม่ได้ ยึดถือไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ สั่งให้มันลุกขึ้นมาไปรดต้นไม้ ทำไม่ได้ นอนนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก
ถ้าคนปกติก็จะคิดว่าผีอำ หลวงพ่อไม่ได้คิดว่าผีอำ หลวงพ่อเห็นว่าธรรมะกำลังสอนเราอยู่ สอนให้เห็นร่างกายนี้เป็นอนัตตา สั่งมันไม่ได้จริง อย่างพวกเราตอนนี้ยังสั่งได้ ร่างกายกระดุกกระดิก สั่งได้ หันซ้าย หันขวา ยืน เดิน นั่ง นอน จิตมันสั่งทั้งหมด แต่ถ้าพอจิตรวมลงไปแล้ว ดูลงไปนี้เห็น โอ้ ร่างกายมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นอะไรท่อนหนึ่ง เป็นธาตุก้อนหนึ่งที่มาประชุมกัน ธาตุมารวมกัน เห็นอย่างนี้
พอเห็นอย่างนี้ ถัดจากนั้น มันก็จะเห็นร่างกายนี้ว่าง ก็จะเห็นร่างกายว่างเรื่อยๆ มา เห็นตามความเป็นจริงก็เบื่อหน่าย คลายความเกาะเกี่ยวยึดถือสำคัญมั่นหมายอะไรไป มันก็ว่าง แต่ว่างไม่ใช่แปลว่าไม่มี มีแต่ไม่ใช่ตัวเราของเรา มีแต่ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มีแต่สักว่าเป็นธาตุ ธาตุไม่ใช่ทาส ดูไปเรื่อย ใจมันก็คลายความยึดถือออกไป เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
เรียนรู้ความวุ่น ก่อนที่จะสัมผัสความว่าง
ดูกายมาเรื่อยๆ สุดท้ายจิตมันก็พรากออกจากกายแล้ว ไม่เข้าไปเกาะกายแล้ว ไม่ยึดกาย เรียกจิตมันพรากออกจากขันธ์ อันนี้เป็นขันธ์อันแรก พรากจากรูปขันธ์ ไม่เกาะรูปแล้ว ก็เหลือนามขันธ์ทั้งหลาย จิตยังเกาะ ก็ต้องภาวนาดูความจริงของนามธรรมต่อไป บางคนจิตมีกำลังมาก เริ่มต้นไม่ต้องดูรูปธรรม ถ้าดูเข้ามานามธรรมได้เลย ดูจิตได้ดูเลย ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้ เพราะการดูจิตเป็นแนวทางปฏิบัติที่ลัดสั้นที่สุดเลย ถ้าดูได้ดูไปเลย ถ้าดูไม่ได้ก็ดูกาย
หลวงปู่ดูลย์ให้หลวงพ่อดูจิตไปเลย หลวงพ่อก็ดูไปเรื่อย ดู เห็นจิตมันไม่เที่ยง เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เห็นจิตมันเป็นทุกข์ จิตแต่ละชนิดเกิดขึ้นมาแล้ว กำลังถูกบีบคั้นให้แตกสลายไป ถูกบีบคั้นตลอดเวลา จิตนั้นจะดีหรือจะชั่ว จะสุขหรือจะทุกข์ เราสั่งไม่ได้ อันนั้นคืออนัตตา ตามรู้ตามเห็นเรื่อยๆ บอกถ้าเราเห็นพอ ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ เราเห็นพอ มันก็รู้เลย จิตเองก็ไม่ใช่ตัวเราของเรา จิตก็เป็นแค่ธาตุอันหนึ่งเท่านั้นเอง เรียกว่าวิญญาณธาตุ จิตเป็นธาตุอันหนึ่งเท่านั้นเอง
ธาตุมี 6 ธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุคือสเปซ ช่องว่าง แล้วก็วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ก็จะเห็นแต่ละธาตุๆ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา จิตเราก็ว่าง มันจะเห็นกายว่างก่อน วางกายแล้วมันจะเข้ามาตะลุมบอน ลุยอยู่ที่จิตนี้ แล้วก็จะเห็นจิตเองก็ว่าง ว่างไม่ใช่แปลว่าไม่คิดไม่นึก พระอรหันต์เองก็ยังคิดเป็น พระอรหันต์ไม่ใช่ต้นไม้ นั่งซื่อบื้อไม่คิดอะไร พระอรหันต์ไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่คิดไม่นึกอะไร
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอก คนเราชอบวาดภาพพระอรหันต์ให้ผิดธรรมดามากเลย เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ นั่ง ต้องนั่งเฉยๆ ยิ้มก็ไม่ได้ บอกมีโลภะ พอไม่ยิ้มนานๆ บอกหน้าบึ้ง มีโทสะ โอ๊ย เป็นยากเหลือเกิน มาตรฐานเธอผิดมนุษย์มนา ไม่รู้จักคำว่า “วาสนา” ความเคยชิน ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ถ้าเราเคยสัมผัสด้วย หลวงพ่อเคยเข้าไปหาครูบาอาจารย์ 30 กว่าองค์ 30 กว่าองค์ ครูบาอาจารย์ที่ดี ส่วนที่ไม่ได้เรื่องนี้ ตัดทิ้งไปไม่มานับด้วย เข้าไป พบ แต่ละองค์ไม่เคยเหมือนกันสักองค์หนึ่ง แต่ละองค์มีวาสนาไม่เหมือนกัน
อย่างหลวงตามหาบัว ดูกระโดกกระเดก ดูยุกยิกๆ ตลอดเวลา ไม่นิ่งเลย หลวงตาท่านพูดเองว่า ใครอย่าเอาอย่างท่าน ถ้าพระองค์ไหนมาเลียนแบบกิริยาท่าทางท่านนี้ ไม่สวยไม่งาม ท่านบอกท่านงามเฉพาะตัว เพราะท่านไม่ได้เสแสร้ง ท่านบอกถ้าอยากดูพระงามๆ โน่นไปดูหลวงปู่ เทสก์โนน่ หลวงปู่เทสก์งามจริงๆ เลย มีรูปอยู่นี่ หลวงปู่เทสก์นี้ นี่ลายเซนต์จริงของท่าน ลายเซนต์จริงๆ ของท่าน
ใจดูลายเซ็นต์ อะไรเกิดขึ้น ทำไมคอเรายืดขึ้น เพราะว่าจิตเรากลายเป็นเปรตแล้ว เห็นไหม พวกเปรตจะคอยาว ที่เขาวาดรูป นึกออกไหม คอยาวๆ พวกพ่อแม่ห่วงลูก คอยชะเง้อ ลูกจะกลับบ้านหรือยัง มาถึงบ้านหรือยัง ก็เป็นเปรต คอยืดคอยาว หลวงปู่เทสก์จะเป็นพระที่งามๆๆๆ ในห้องนี้ก็มีหลายคนที่เคยกราบท่าน แถวหน้านี้คนหนึ่ง แถวที่ 2 อีกคนหนึ่ง เป็นทีมที่ไปกราบท่านกับหลวงพ่อพวกนี้
ท่านงาม จะทำอะไรก็ดูงามไปหมดเลย เวลาท่านหัวเราะ ท่านยังงามเลย ท่านหัวเราะอย่างนี้ หัวเราะอย่างนี้ ถ้าเป็นหลวงตาอย่างนี้เลย แต่ละองค์ วาสนามันไม่เหมือนกัน กิริยาอาการทางร่างกายเป็นความเคยชิน ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นไม่ใช่ภาวนาแล้วทุกคนเหมือนซาลาเปา ในที่นึ่งอันเดียวกัน ออกมาแล้วเหมือนกันเป๊ะเลย ทุกลูกเลย ไม่ใช่ แต่ละคนไม่เคยเหมือนกันเลย แต่ว่าสิ่งที่ท่านเหมือนๆ กัน คือท่านไม่ยึดถือ
ท่านเห็นโลกนี้ว่าง โลกนี้ว่าง อะไรเรียกว่าโลก รูปนามเรียกว่าโลก อะไรเรียกว่าโลก หมู่สัตว์เรียกว่าโลก ท่านเห็นว่าง อย่างนั่งกันสลอนนี้ ถ้าใจพระอรหันต์มองพวกเรา มองหลวงพ่ออะไรอย่างนี้ ท่านก็คงเห็นว่างๆ ไม่มีอะไร แต่ถามว่าว่างเปล่าไหม ไม่ใช่ ว่างกับว่างเปล่าไม่เหมือนกัน ว่างเปล่ามันไม่ใช่ อะไรๆ ก็ไม่เอา อะไรก็ไม่ยึดอะไรอย่างนี้ อันนี้มโนเอา ฉะนั้นก่อนที่เราจะสัมผัสความว่างนี้ ให้เราเรียนรู้ความวุ่นไว้ อะไรเป็นตัววุ่นวาย ขันธ์ 5 เป็นตัววุ่นวาย เป็นตัวปรุงแต่ง
ตามรู้ตามเห็นมันไป ตามรู้ตามเห็นจนกระทั่งวาง มันวางเอง ไม่ต้องอวดอุตริไปวาง แล้วว่างอันนี้มันจะไม่เหมือนว่างที่เราไปอ่านหนังสือเซน เลยทำใจว่างๆ ขึ้นมา ไม่เหมือนกันเลย ว่างอันนั้นเป็นภพแบบหนึ่ง เป็นภพชนิดหนึ่งเลย ว่างที่แกล้งทำเป็นภพอันหนึ่ง ส่วนว่างจริงมันพ้นจากภพแล้ว คนละแบบ แล้วคนละเรื่องกันเลย คนละวิธีการ ว่างอันนั้นมโนเอา คิดเอา ถ้าว่างจริงเกิดจากปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในความจริงของรูปนาม ขันธ์ 5 ไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นเวลาฟังธรรมะ บางท่านแสดงธรรมะวิจิตรพิสดาร เราฟังเราต้องระมัดระวัง บางทีเราเข้าใจท่านผิดไป อย่างหลวงพ่อเคยเข้าใจหลวงพ่อพุทธทาสผิด เราเข้าใจว่าท่านสอนแล้ว ทุกอย่างว่าง ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเทวดา ไม่มีผี ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีชาติก่อน ไม่มีชาติหน้า อะไรอย่างนี้ อันนั้นมิจฉาทิฏฐิ สิ่งทั้งหลายมีเหตุมันก็มี เหตุดับมันก็ดับ ไม่ใช่ไม่มี เวลาว่าง ว่างปลอม ก็คิดว่าไม่มีอะไรเลย
ถ้าว่างจริงก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ จะเห็นอย่างนี้ คนละเรื่องกัน ถ้าใจมันไม่ปรุงก็ว่าง ไม่เหมือนกัน มันมีความว่างด้วย มีความอิ่มเอิบ เบิกบาน มีความสุขอันมหาศาลด้วย ไม่ใช่ว่างแห้งแล้งเฉยๆ อยู่ ฉะนั้นนิพพาน นอกจากเป็นปะระมัง สุญญัง นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง นี่บอก “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง บางคนก็ อ้าว ว่างแล้วทำไมสุขอีก นี่เพราะไม่รู้จักว่างตัวจริง คิดว่าว่างตัวจริงนี้คือว่างเปล่า ไม่ใช่ว่างเปล่า คนละเรื่องกัน
ไม่ยึดถือ เพราะเห็นความจริง
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ สรุปต้องลงมือปฏิบัติ ทำสติปัฏฐานไป พื้นฐานเลยศีล 5 จำเป็น ใครสอนเราว่า ถือศีลไม่ได้ไม่ต้องถือ ก็อย่าไปฟัง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น ถือศีลไม่ได้ก็ให้พยายามถือ ถือพลาดไปแล้ว ให้ตั้งใจรักษาให้ดี ตั้งใจเอาใหม่ ไม่ใช่ถือไม่ได้แล้วไม่ต้องรักษา แล้วไม่เอาศีล สมาธิ ปัญญา มันก็พินาศล่มจมหมดเท่านั้นเอง
ฉะนั้นตั้งใจรักษาศีล 5 ทำในรูปแบบ วันไหนจิตฟุ้งซ่าน น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง น้อมจิตไป ไม่ใช่บังคับจิต บังคับจิต จิตอึดอัด บังคับจิต ห้ามหนีไปที่อื่นนี้ อึดอัด สมาธิไม่เกิดหรอก จิตไม่มีความสงบสุข ฉะนั้นวันไหนจิตฟุ้งซ่าน น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง รู้สึกไปเรื่อยๆ สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง อยู่กับกรรมฐานของเรา แป๊บเดียวก็สงบแล้ว
ถ้าอยากสงบจะไม่สงบ จิตจะฟุ้งซ่าน นี้วันไหนเราทำในรูปแบบ จิตเราสงบ เราก็อัปเกรดขึ้นไปให้จิตตั้งมั่น แทนที่จะน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข ก็ทำกรรมฐานอันเดิม แต่คอยสังเกตจิตใจ มันแอบทำงาน มันลืมอารมณ์กรรมฐาน หนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน มันไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน อันนี้คือความสุดโต่ง 2 ด้าน ลืมอารมณ์กรรมฐานเรียกว่าย่อหย่อนไป เพ่งอารมณ์กรรมฐาน ร่างกายก็แน่น ใจก็แน่น อันนี้ตึงไป ให้รู้อารมณ์กรรมฐาน แล้วรู้ทันจิตตัวเองไป แล้วต่อไปทำบ่อยๆ จิตจะมีกำลังขึ้นมา
อย่างหลวงพ่อใช้พวกเราไปเดินจงกรม 3 ชั่วโมง นี้ทำในรูปแบบ ให้เดินจงกรม เมื่อวานก็มีคนมาบอกได้ 4 ชั่วโมงแล้ว บางคนก็ได้มากกว่านั้นอีก เขาไม่ได้เดินรวดเดียวตลอด บางทีก็เดินไปชั่วโมงหนึ่ง ก็เบรก 5 นาที เดี๋ยวมาเดินอีก เดินรวดไปก็ทรมานมาก เป็นอัตตกิลมถานุโยค แต่บอกให้เดินไว้ เพราะอะไร จะได้ไม่ขี้เกียจ ให้ไปนั่งเดี๋ยวก็นั่งคิดโน่นคิดนี่เคลิ้มๆ ไป เวลาเดินแล้วใจลอย เดี๋ยวก็หัวโขกข้างฝาเอง ที่พวกเราเจริญขึ้นมา เพราะเรื่องนี้
พอเรามีสติไปเรื่อย รู้เท่าทันจิตตัวเองไปเรื่อย จิตมีกำลังมากขึ้นๆ จิตมันตั้งมั่น ทรงตัวเด่นขึ้นมา แล้วคราวนี้พอสติระลึกรู้ขันธ์ มันจะเห็นขันธ์มัน อย่างสติระลึกรู้รูป ร่างกาย มันจะเห็นเลย ร่างกายไม่ใช่จิต ร่างกายกับจิตมันคนละอันกัน สติระลึกรู้เวทนา ก็เห็นเวทนากับจิตเป็นคนละอัน สติระลึกรู้สังขาร ปรุงดี ปรุงชั่ว ก็จะเห็นสังขารกับจิตเป็นคนละอันกัน อย่างนี้เรียกว่าเราแยกรูป แยกนาม แยกธาตุขันธ์ แยกอย่างนี้เป็นจุดตั้งต้น เป็นการเจริญปัญญาขั้นแรกเลย คือการแยกขันธ์
ที่จริงแล้วจะบอกความลับให้ ที่จริงแล้วขันธ์มันแยกกันอยู่แล้ว สัญญา ความหมายรู้ผิดของเรา ไปรวบเอาขันธ์ 5 มารวบเข้ามาเป็นตัวเดียวกัน เป็นก้อนเดียวกัน แล้วก็นี่กู นี่กู นี่ตัวเราของเรา ถ้าจิตตั้งมั่น ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว ไม่ต้องไปแยกขันธ์แล้ว คำว่า “แยกขันธ์” เป็นแค่โวหาร พูดให้คนซึ่งจิตยังไม่ตั้งมั่น เฮ้ย ต่อไปต้องแยกขันธ์ให้ได้ ไม่ใช่สงบอยู่เฉยๆ สงบอยู่เฉยๆ ผิด พอจิตตั้งมั่นแล้วก็ต้องแยกขันธ์ นี่เป็นโวหาร ที่จริงก็คือถ้าจิตตั้งมั่น ขันธ์มันแยกเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จิตตั้งมั่น จิตก็ไม่หลง ไม่หลงไปตามสัญญา การหมายรู้ผิดๆ ไม่หลงไปตามสังขาร ความปรุงแต่งผิดๆ ไม่หลงไป จิตมันก็มีกำลัง จิตมันเดินถูก ต่อไปความเห็นถูกมันก็จะเกิดขึ้น ฉะนั้นหมายรู้ถูก จิตคิดถูก มันก็จะเกิดความรู้ถูก ความเข้าใจถูก คือตัวสัมมาทิฏฐิ ถ้าเราเข้าถึงสัมมาทิฏฐิ ก็คือเราทำลายอวิชชาได้แล้ว สัมมาทิฏฐิก็คือขันธ์ 5 นี้คือตัวทุกข์
ถ้าเรายึดมัน เราจะทุกข์ ถ้าเราไม่ไปยึดมัน ไม่ทุกข์ ทำไมมันไม่ยึด เพราะมันเห็นความจริงแล้ว มันไม่น่ายึด เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันเห็นอย่างนี้ มันถึงไม่ยึด ไม่ใช่จงใจไม่ยึด จงใจไม่ยึด ไม่มีใครทำได้ เป็นไปไม่ได้
หลวงพ่อสอนมานาน เดี๋ยวนี้พวกเราภาวนาเริ่มรู้ เริ่มเข้าใจกันเยอะแยะเลย ได้เป็นพยานให้หลวงพ่อได้ ว่าหลวงพ่อไม่ได้สอนแบบมั่วๆ สอนแบบไม่มีมนุษย์หน้าไหนทำได้ ไม่ใช่ เป็นของที่ทำได้ วิญญูชนทำได้ ทรชนมันไม่ทำ ที่มันทำไม่ได้เพราะมันไม่ทำ ดี เห็นแล้ว เหมือนนักปลูกต้นไม้ แล้วเห็นดอกไม้กำลังบาน
วัดสวนสันติธรรม
20 กันยายน 2568