ความอดทนเป็นจุดสำคัญ

สมัยพุทธกาลพระตั้งพันกว่าองค์ฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ไม่มีไมค์ ไม่แปลก ถ้าเราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์บางทีท่านพูดทางไกลได้ อยู่ที่ไหนที่ไหนท่านพูดด้วยได้ยิน

วันนี้มีคอร์สคนลาว คนลาวอุตส่าห์ข้ามโขงมาเรียนเยอะแยะ หลายสิบเหมือนกัน เรียนธรรมะอย่าไปติดอยู่ที่แค่รูปแบบ ในเมืองไทยก็มีสำนักต่างๆ มากมาย แต่ละสำนักเขาก็มีวิธีการมีรูปแบบอะไรที่แตกต่างกัน บางทีพวกลูกศิษย์ ตัวอาจารย์ไม่เท่าไร ลูกศิษย์ยังไม่เข้าใจธรรมะก็บลัฟกันไปบลัฟกันมา แบบนี้ดีแบบนี้ไม่ดี จริงๆ แล้วจุดสำคัญคือเรามีสติไว้นั่นล่ะ สติเป็นตัวระลึกได้ ระลึก ระลึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย ระลึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ เวลาที่เราขาดสติมีกายก็ลืมกาย มีใจก็ลืมใจ ฉะนั้นพยายามฝึกสติรู้สึกกายรู้สึกใจบ่อยๆ เวลาที่ไม่ต้องทำงานที่ต้องคิดกลับมาอยู่กับร่างกายที่เคลื่อนไหว หรือมาอยู่กับจิตใจที่เปลี่ยนแปลง มาอยู่ตรงนี้บ่อยๆ ฝึกให้มันชิน ไม่ต้องอ้อนวอนให้มันกลับมา ฝึก ฝึกจนมันกลับมาเอง

อย่างหลวงพ่อพอเวลามีเวลาว่างปุ๊บมันกลับมาภาวนาทันทีอัตโนมัติเลย หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ มันทำเอง แล้วจิตใจของเราเป็นอย่างไรมันก็รู้เองล่ะ เพราะเรามีสติ เราใส่ใจสนใจที่จะรู้ ฉะนั้นจุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่รูปแบบของการปฏิบัติ รูปแบบของการปฏิบัติเป็นแค่ตัวเอื้ออำนวยให้เรามีสติดีเท่านั้นล่ะ แต่ละคนมีรูปแบบแตกต่างกัน เหมือนผลไม้แต่ละชนิดมีเปลือกไม่เหมือนกัน ถามว่าเปลือกอย่างไหนดีกว่าอย่างไหน มันดีสำหรับตัวมันเอง เปลือกของทุเรียนมันก็ดีสำหรับทุเรียน เปลือกของมะม่วงมันก็ดีสำหรับมะม่วง รูปแบบของการปฏิบัติ แบบไหนที่เหมาะกับเราทำแล้วสติเกิดบ่อย อันนั้นล่ะดี ถ้าทำแล้วเครียดหรือทำแล้วก็ใจลอย ทำแล้วก็เพลินๆ อันนั้นไม่ดี

ฉะนั้นเราก็ดูกรรมฐานที่เหมาะกับตัวเราเอง เราอยู่กับอะไรแล้วจิตใจเรามีสติบ่อย เราเอาอันนั้นล่ะ อย่างหลวงพ่อหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ แล้วถ้าเผลอปุ๊บรู้ปั๊บ เผลอปุ๊บรู้ปั๊บ รู้บ่อยๆ มันก็เผลอสั้นลงๆๆ ภาวนาไปถึงจุดหนึ่งมันก็ไม่เผลอแล้ว แต่ต้องใช้เวลาในการสะสมไป ทีนี้พอเรามีสติแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญามันจะสมบูรณ์ขึ้นเป็นลำดับๆ ไป

 

ความอดทน
การรู้จักรอเป็นเรื่องสำคัญมาก

ก่อนที่เราจะมีสติได้เราต้องมีจิตใจต่อสู้ก่อน ถ้าใจเราไม่สู้ ใจเราอ่อนแอท้อแท้ ภาวนาไม่ได้หรอก ใจที่กล้าหาญ ใจที่คิดจะสู้กิเลส ใจที่คิดจะพัฒนากุศลที่ยังไม่มีให้มันเกิดขึ้น ใจที่คิดจะพัฒนากุศลที่มีแล้วให้พัฒนาต่อไป ใจอย่างนี้เป็นใจที่กล้าหาญ เรียกว่าสัมมาวายามะ เป็นใจที่เข้มแข็ง ถ้าเริ่มต้นก็ท้อแท้ป้อแป้ออดอ้อนครูบาอาจารย์จะให้ประคบประหงม พวกนี้ภาวนาไม่ขึ้นหรอก ก็หลอกตัวเองไปวันๆ หนึ่ง อย่างวันไหนครูบาอาจารย์คุยด้วยก็ดีใจ วันไหนไม่คุยด้วยเสียใจ พวกนี้ไม่ได้เรื่องหรอก ใจอ่อน ใจอ่อนแอ

ฉะนั้นถ้าเราคิดจะพ้นทุกข์ เราต้องเข้มแข็ง ต้องกล้าหาญ เพราะว่าการจะพ้นทุกข์ได้นั้นเราจะต้องรู้ทุกข์ ไม่ใช่หนีทุกข์ คนขี้ขลาดคนอ่อนแอไม่กล้ารู้ทุกข์หรอก มันพร้อมจะหนีทุกข์ตลอดเวลา อย่างนั่งภาวนานั่งไป โอ้ ต้องนั่งอีก 3 ชั่วโมง ครูบาอาจารย์สั่งไว้ ง่วงเต็มทีแล้วทำอย่างไร แอบหลับอะไรอย่างนี้ หนีทุกข์จากการอดนอน ตรงนี้ไม่ได้เรื่อง คนส่วนใหญ่มันก็หนีทุกข์ทั้งนั้นล่ะ ฉะนั้นมันก็ไม่สามารถรู้ทุกข์ได้ เมื่อรู้ทุกข์ไม่ได้ก็รู้ธรรมไม่ได้ จะรู้ธรรมได้ก็ต้องรู้ทุกข์ เพราะการรู้ธรรมเราก็รู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์ รู้สมุทัยเหตุของทุกข์คือความอยากทั้งหลาย รู้นิโรธคือความดับสนิทของทุกข์คือพระนิพพาน อันนี้เรายังไม่รู้ รู้มรรคคือการที่จะพัฒนาจิตใจตัวเอง พัฒนาไปตามลำดับของศีลสมาธิปัญญา นี่คือการเจริญมรรคการปฏิบัติธรรม

ขั้นแรกเราต้องรู้อย่างนี้ก่อน รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค แล้วทุกข์หน้าที่ต่อทุกข์ หน้าที่ต่อทุกข์คืออะไร หน้าที่ต่อทุกข์คือรู้ไม่ใช่หนีไม่ใช่ละ หน้าที่ต่อสมุทัยคือความอยาก คือละไม่ใช่ตามใจ อย่างพวกเราพอมีความอยากขึ้นมาเราก็ตามใจมัน ตามใจกิเลส อย่างนี้ไม่มีทางรู้ทุกข์ ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้เลย

ฉะนั้นคนที่เข้มแข็งถึงจะภาวนาได้ ถ้าอ่อนแอยอมแพ้กิเลส สู้ไม่ไหวหรอก กิเลสมันแข็งแรงครองโลกมาตั้งนาน ครองหัวใจของเรามาตลอดเวลา ฉะนั้นกว่าเราจะรู้ธรรม รู้ธรรมเราก็รู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค รู้หน้าที่ รู้กิจต่อทุกข์ รู้กิจต่อสมุทัย รู้กิจต่อนิโรธ รู้กิจต่อมรรค รู้กิจต่อทุกข์ก็คือรู้ ทุกข์ให้รู้ไม่ใช่ให้ละ ไม่ใช่ให้หนี รู้กิจต่อสมุทัยคือให้ละ ไม่ใช่ให้ตามใจมัน รู้กิจต่อนิโรธคือการเข้าไปเห็นเข้าไปประจักษ์ ไม่ใช่พยายามที่จะเข้าถึงนิพพาน อยากนิพพานไม่มีวันนิพพานหรอก เพราะอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อยากไม่ได้เป็นเหตุให้นิพพาน

ตัวที่จะส่งผลให้เราไปสู่วิมุตติคือมรรค มรรคก็คือการที่เราพัฒนาตัวเองด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เราจะต้องรู้สิ่งเหล่านี้ อย่างเราจะถือศีลเราก็ต้องเข้มแข็ง เราจะมีสมาธิเราก็ต้องเข้มแข็ง เจริญปัญญาเราก็ต้องเข้มแข็ง ถ้าจิตใจอ่อนแอมันก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เบื้องต้นเราจะฝึกสติ ฝึกให้จิตมีสติก็ต้องเข้มแข็ง ฉะนั้นความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ ความอดทนเป็นจุดสำคัญ บางคนไม่อดทนเลย ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ท้อแท้ยอมแพ้แล้ว พวกนี้ไม่ได้กินหรอก ไม่ได้เรื่องหรอก

หลวงพ่อบอกพวกเราทุกที หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่ง หลวงพ่อก็พอๆ กับพวกเราล่ะ สติปัญญาไอคิวอะไรต่ออะไรพอๆ กับพวกเรา อีคิวอาจจะเยอะกว่าพวกเราเพราะทำสมาธิมาเยอะ จิตใจมันก็สงบ จิตใจมันก็มีเรี่ยวมีแรง อีคิวมันก็ดี ไอคิวก็พอๆ กับพวกเรา แต่สิ่งที่หลวงพ่อเหนือกว่าพวกเรามากเลยคือความอดทน ความกล้าที่จะต่อสู้กับกิเลส อดทนสำคัญมากเลย ตอนเทียบกับทางโลกให้ฟังจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ตอนหลวงพ่อเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ไปเข้าชมรมฟันดาบ ฟันดาบรุ่นพี่เขาก็สอน อาจารย์มาสอนบ้างอะไรบ้าง ท่าที่หนึ่ง ท่าจดดาบ ถือดาบเฉยๆ นี่ล่ะแล้วก็ขยับก้าวไปถอยหลัง ขยับ นี่เรียกท่าเบสิก เพื่อนๆ มันเรียนมันทนไม่ได้ ทำอยู่ท่าอย่างนี้น่าเบื่อ ในขณะที่หลวงพ่อเล่นอยู่ท่าเดียว เราฝึกเบสิกของเรา ทำแล้วทำอีก ทำแล้วทำอีก ไม่ยอมเลิก แล้วเวลาสู้กันจริงๆ พวกนั้นสู้เราไม่ได้ พวกนั้นมั่วแต่ร่ายรำ พอมันเงื้อดาบเราก็ตีหัวมันเสียก่อน เพราะฉะนั้นหลวงพ่อฝึกตัวเองมาแบบนี้ อดทน

ตอนเด็กๆ พ่อก็เคยสอนให้อดทน เคยเล่าให้พวกเราฟัง ตอนนั้นบ้านอยู่ริมถนน มีคนจีนหาบของเล่นเด็กมาขาย มันมีรถไฟ มีหัวรถจักรอันหนึ่ง แล้วก็มีตู้ผู้โดยสารอันหนึ่ง 2 อันนี้ต่อกัน อยากได้จะเอามาลากเล่น พ่อบอกว่าจะซื้อให้วันละอัน เราก็ได้ เราจะเอาหัวรถจักร พ่อบอกเอาท้ายขบวน หัวรถจักรไม่ต้องเอา ให้รู้จักรอ ให้รู้จักรอ พรุ่งนี้ค่อยซื้อหัวรถจักร มันแค่อันละบาทเดียว สมัยนั้นบาทเดียวเอง เขาซื้อทีเดียวก็ได้ แต่เขาซื้อให้เราทีละอัน แล้วซื้ออันที่เราไม่ชอบ เราก็มาเล่น เราก็รอถึงพรุ่งนี้เราจะได้หัวรถจักรมา ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นหัวรถจักรไม่อยู่แล้ว เขาขายไปแล้ว โอ๊ย เสียใจ เสียใจ แล้วก็มีให้ลาก เอาเชือกผูกให้ลากรถไฟตู้โดยสารเราลากไปลากมา ไปเจอเด็กอีกคนหนึ่งลากหัวรถจักรมา ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วเราก็รีบลากกลับบ้าน ได้ไปคนละอัน

ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ทำกับเราอย่างนี้ เขาสอนเขาบอกเลยคนเราต้องรู้จักอดทน ต้องรู้จักรอ ไม่ใช่ใจร้อน จะเอาแต่ได้ จะเอาเร็วๆ ผู้ใหญ่ฝึกหลวงพ่อมาอย่างนี้เลย เราตอนเด็กๆ เราไม่รู้ว่ามีประโยชน์ขนาดไหน โตขึ้นมารู้เลยมันมีคุณค่ามากจริงๆ ความอดทน การรู้จักรอเป็นเรื่องสำคัญมากเลย การปฏิบัตินี่ล่ะเวลาที่ลงมือปฏิบัติ หลวงพ่อก็อดทน รู้จักรอด้วย ไม่ได้หวังผลเร็วๆ ไม่ใช่นั่งสมาธิ 3 วันแล้วกะจะเข้าฌานได้ ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ครูบาอาจารย์ให้นั่งสมาธิ หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ หลวงพ่อก็นั่ง นั่งอยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วครูบาอาจารย์ท่านสิ้นไปแล้ว ท่านพ่อลีท่านอยู่ไม่นานสิ้นไป หลวงพ่อไม่มีครูบาอาจารย์อื่น เราเด็กเราไปหาครูบาอาจารย์ไม่ได้ ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์อยู่ภาคอีสาน อยู่ภาคเหนือภาคอีสานส่วนใหญ่ เราเด็กเราไปไม่ได้ ไม่มีครูบาอาจารย์

 

การที่เราเห็นจิตมันทำงานคือการรู้ทุกข์

หลวงพ่อก็ทำกรรมฐานเท่าที่ทำได้อยู่แล้ว หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ ทำทุกวัน ทำไม่เลิก ไม่เบื่อ อดทน บางทีเบื่อ บางวันขี้เกียจก็อดทน ถึงเวลาก็ต้องปฏิบัติ ฝึกตัวเองมาแบบนี้ แล้วก็ไม่ได้หวังผลอะไร ไม่ได้คาดหวังอะไรทั้งสิ้นเลย ภาวนาของเราทุกวันๆๆ จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต หลวงพ่อก็ดูจิตทุกวัน ไม่ต้องให้ครูบาอาจารย์มาสั่งครั้งที่ 2 ครั้งแรกดูไม่เป็น ครั้งแรกก็ไปเพ่งจิต ให้จิตมันว่าง ให้จิตมันนิ่ง ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง แล้วบอกว่านี่คือจิต ดูจิตได้ ไปส่งการบ้าน หลวงปู่บอกทำผิดแล้ว จิตมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง ไปทำจนมันไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง ทำผิดแล้วไปทำใหม่

ครูบาอาจารย์แต่ก่อนโหด ไม่บอกรายละเอียด ทำผิดบอกนี่ผิด ไปทำใหม่ โอ้โห ไม่บอกเลยว่าทำอย่างไร ผิดอย่างไร ไม่บอก เราต้องมาสังเกตตัวเอง ต้องอดทนในการเรียนรู้ เอ๊ะ ทำไมท่านว่ามันผิด ท่านบอกว่าจิตมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง เราไปทำให้มันไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง นี่ผิด ให้ไปทำใหม่ ทำอย่างไร โอ้ จิตมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง ให้มันคิดนึกปรุงแต่งสิ แล้วเราก็มีสติตามรู้ตามเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของมันไป

แต่เดิมเราไปทำตัวผิด เราดูจิตเหมือนเราเป็นคนเขียนบทละคร เราจะกำหนดให้จิตเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างนี้ จิตต้องดี จิตต้องสุข จิตต้องสงบ ทำตัวเป็นคนเขียนบทละคร ทีนี้ท่านบอกมันผิด ปล่อยให้มันทำงานไป เราก็เลยเป็นแค่คนดู ดูละคร ในจิตเรามีตัวละครมากมาย ทั้งตัวดี ทั้งตัวร้าย ทั้งตัวเป็นกลางๆ ทั้งตัวสุข ทั้งตัวทุกข์ ทั้งตัวเฉยๆ ตัวละครในจิตเราผลัดกันมาแสดงตลอด ประเดี๋ยวก็ตัวอันธพาลออกมา ตัวขี้โมโหออกมา ประเดี๋ยวตัวขี้ขโมย ตัวขี้โลภอะไรออกมา เราสังเกตของเราดูละคร ละครโรงนี้อยู่ที่ใจเรา คอยเรียนรู้ดูละครตัวนี้ไปเรื่อยๆ

การที่เราเห็นจิตมันทำงานอะไรอย่างนี้นี่คือการรู้ทุกข์ แล้วตัวขันธ์ 5 กระทั่งตัวจิตคือตัวทุกข์ ฉะนั้นการที่หลวงพ่อตามดูเห็นจิตใจมันทำงานเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ เรียกว่าเรารู้ทุกข์ รู้ไปรู้ไปถึงจุดหนึ่งสติสมาธิปัญญามันค่อยแก่กล้ามากขึ้นๆ ทีแรกหลงนานกว่าจะรู้ทีหนึ่ง ต่อมาก็หลงสั้นลง รู้ได้เร็วขึ้น รู้ได้ถี่ขึ้น ต่อมาก็หลงปุ๊บรู้ปั๊บ หลงปุ๊บรู้ปั๊บ เห็นซ้ำๆๆๆ น่าเบื่อจะตายไป มันเหมือนเราอ่านหนังสือหน้าเดิมทุกวัน หรือดูละครเรื่องเดิมทุกวัน วันแรกมันก็สนุก วันที่ 4 วันที่ 5 วันที่ 10 วันที่ 365 อะไรอย่างนี้มันเบื่อ ตรงนี้ล่ะที่ว่าต้องอดทน ต้องอดทน เก่งแค่ไหนไม่สำคัญหรอก ต้องอดทน

หลวงพ่อเหนือกว่าพวกเราตรงที่อดทน หลวงพ่อทนดู ตอนเด็กก็ทนนั่งสมาธิฝึกจิตให้สงบ พอเจอหลวงปู่ดูลย์ดูละครเรื่องเดิมทุกวัน ดูทั้งวันเท่าที่ดูได้ ตัวละครมันดูไปดูมามันก็ซ้ำๆ อย่างนั้นล่ะ ตัวโกรธมันก็โกรธอย่างนั้นล่ะ หน้าตามันก็แบบนี้ล่ะ ตัวโลภมันก็หน้าตาเป็นอย่างนี้ ตัวหลงมันก็เป็นอย่างนี้ ตัวดีใจ ตัวเสียใจ ตัวอิจฉา ตัวอาฆาตพยาบาท สารพัดตัว ตามรู้ตามดู มันก็กิเลสเก่าๆ กิเลสตัวเดิมที่เคยรู้เคยเห็นนั่นล่ะ

แล้วทำไมเราต้องนั่งดูมัน เพราะเราต้องรู้มัน ต้องรู้ทุกข์ ของหลวงพ่อตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่ารู้ทุกข์หรอก หลวงปู่ดูลย์สั่งให้ดูก็ดู เห็นไหมครูบาอาจารย์บอกให้ดู ดูเลยไม่ยอมถอย ดูตลอดเลย ต้องอดทน ฉะนั้นภาวนาแล้วแป๊บเดียวก็ขี้เกียจ โอ้ย ไร้สาระไม่ได้เรื่องหรอก ฉะนั้นจุดสำคัญจุดตั้งต้นคือตัวในการฝึกจิตตัวแรกคือสัมมาวายามะ ใจเราต้องกล้าหาญ กล้าที่จะสู้กับกิเลส กล้าที่จะพัฒนาตัวเอง ต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ ถ้าใจเราเป็นอย่างนี้ได้ เราจะขยันดู พอเราไม่ยอมแพ้ เราจะขยันดู กิเลสมาเรารู้ กุศลมาเรารู้ สุขทุกข์มา ดีชั่วมา เรารู้ไปเรื่อยๆ รู้ไป ตามรู้เรื่อยๆ ไป

การที่เราตามรู้เนืองๆ สิ่งที่เราได้มาคือสัมมาสติ การที่เราเห็นสภาวะในจิตใจของเราเกิดดับเปลี่ยนแปลงถี่ยิบทั้งวันเลย ถ้าใจเราอ่อนแอเราก็ดูบ้างไม่ดูบ้าง แต่ถ้าใจเราเข้มแข็งห้าวหาญเราดูได้ทั้งวันเลย สู้ตาย ดูไปเพื่ออะไร จะได้อะไร ไม่สนใจทั้งสิ้น เราจะเรียนรู้มันลูกเดียวเลย ไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้ดูแล้วหวังว่าจะได้มรรคผลเมื่อไร ไม่ได้สนใจแล้ว ตอนนี้มีหน้าที่รู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น ดูซ้ำๆๆ ด้วยความอดทน บางวันเบื่อ เบื่อก็ดูเบื่อ เบื่อรู้ว่าเบื่อ บางวันท้อแท้ รู้ว่าท้อแท้ ดูท้อแท้ ไม่เลิก ไม่เลิกดู ไม่ใช่ท้อแล้วก็เลิก เบื่อแล้วก็เลิก ไม่เลิก ตามรู้ตามดูไปเรื่อย นี่ล่ะคือสัมมาวายามะมีความเพียรชอบ ใจเราห้าวหาญที่จะต่อสู้ การที่เราหัดดูบ่อยๆ จิตจำสภาวะได้แม่น สติก็จะเกิดอัตโนมัติ อย่างเราเห็นใจเราโกรธเรารู้ เดี๋ยวประเดี๋ยวโกรธอีกแล้ว รู้อีก จิตจำความโกรธได้แม่นแล้ว พอจิตจำความโกรธได้แม่น ต่อไปพอความโกรธเกิดปุ๊บสติเกิดเองเลย

เพราะฉะนั้นสัมมาวายามะเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ สติรู้ทันปั๊บๆๆๆ รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ อย่างจิตเราโกรธ เรารู้ว่าโกรธปุ๊บ ความโกรธดับ จิตจะกลายเป็นจิตที่ไม่โกรธแล้วตั้งมั่น เห็นว่าความโกรธกับจิตคนละอันกัน จิตมันโลภขึ้นมาเรามีสติรู้ทัน รู้ทันความโลภ ความโลภดับ จิตตั้งมั่นขึ้นมาก็รู้ว่าจิตกับความโลภมันคนละอันกัน

ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยแล้วจิตมันจะค่อยตั้งมั่นมากขึ้นๆๆ ที่หลวงพ่อไล่พวกเราไปเดินจงกรม 3 ชั่วโมง พวกเรา 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ทำได้แล้ว มีสถิติมาเมื่อเช้าบอกคนที่ส่งการบ้านส่ง Zoom ตอนนี้ 14 เปอร์เซ็นต์เดินได้วันละ 3 ชั่วโมงแล้ว พวกนี้พัฒนา ใจมันเข้มแข็ง ใจมันเข็มแข็งไม่ได้ท้อแท้ มีสัมมาวายามะแล้ว คิดจะสู้แล้ว เมื่อคิดจะสู้มันจะคอยสังเกตกายสังเกตใจของตัวเองไปเรื่อย ทำให้สติเกิด

 

เรียนรู้จิตตัวเอง

อย่างหลวงพ่อสู้ คอยอ่านจิตตัวเองเรื่อยๆ เบื่อก็ดู ท้อก็ดู ไม่เลิก ดูตลอด จิตมันจำสภาวะได้แม่น สติก็เกิดเอาเกิดเอา ทุกครั้งที่สติเกิด สัมมาสติเกิดเมื่อไร สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมออัตโนมัติ สมาธิตัวนี้ไม่ต้องเข้าฌาน คนละแบบกัน ส่วนการเข้าฌานมีประโยชน์ ไม่ใช่ไม่มี แต่ถ้าจะเอามรรคผลนิพพานแล้วเราเข้าฌานไม่เป็น ไม่สำคัญหรอก มีสัมมาสติถี่ๆ สัมมาสมาธิมันจะเกิดเอง จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นได้ การเจริญปัญญาจะเกิดขึ้น สัมมาวายามะเมื่อทำให้มากเจริญให้มากจะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มากจะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ คือจิตใจเราจะตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว สัมมาสมาธิเมื่อทำให้มากเจริญให้มากจะทำให้สัมมาญาณะคือการเจริญวิปัสสนาบริบูรณ์

มันบริบูรณ์อย่างไร พอจิตเราตั้งมั่น เราจะเห็นขันธ์มันกระจายตัวออก ที่เราพูดว่าแยกขันธ์ แยกขันธ์นั้นพูดด้วยโวหาร ในความเป็นจริงขันธ์มันแยกกันอยู่แล้ว เราเองหมายรู้ผิด คิดผิด เชื่อผิด ว่าขันธ์นี้เป็นก้อนเดียวกันคือตัวเรา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าจิตเราตั้งมั่น ขันธ์นั้นมันกระจายตัวอยู่แล้ว บางครั้งสติระลึกรู้กาย มันก็เห็นว่ากายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ไม่ใช่ตัวเรา จิตตั้งมั่นอยู่สติระลึกรู้เวทนาสุขทุกข์ ก็เห็นสุขทุกข์มันเป็นไตรลักษณ์ไม่ใช่ตัวเรา จิตตั้งมั่นอยู่สติระลึกรู้ความจำได้หมายรู้ ก็เห็นความจำได้หมายรู้เป็นไตรลักษณ์ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่เราจำได้ มันจำได้ ความจำได้เป็นสภาวะอีกอันหนึ่ง จิตเป็นคนรู้ มันจะแยกๆๆ กันไปหมด

หรือสังขารทั้งหลายสติไประลึกรู้ จิตตั้งมั่นสติระลึกรู้สังขาร เช่นกุศลอกุศลทั้งหลาย มันจะเห็นกุศลอกุศลทั้งหลายไม่ใช่จิตหรอก มันเป็นไตรลักษณ์มันไม่ใช่จิต ขันธ์มันแยก มันแยกอยู่แล้ว เราเองไปหมายรู้ผิด ไปคิดผิด ไปเชื่อผิด ไปรวบเอาขันธ์ 5 มาเป็นก้อนเดียวกัน กอดมันไว้แน่นเลย กอดมันไว้แน่นจนกระทั่งมันกลายเป็นตัวเราขึ้นมา แต่ถ้าจิตเราทรงสมาธิ แหม มันผึ่งผาย กล้าหาญ เบิกบาน แจ่มใส เห็นขันธ์มันแยกตัวออกไปจิตเป็นคนดู จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่ง 4 ขันธ์นั้นมีรูปธรรม 1 คือรูปขันธ์นามธรรมอีก 3 ขันธ์ คือ เวทนา สุข ทุกข์ สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารความปรุงดีปรุงชั่ว อันนี้ไม่ใช่จิต รูปขันธ์ไม่ใช่จิต เวทนาไม่ใช่จิต สัญญาไม่ใช่จิต สังขารไม่ใช่จิต จิตคือคนรู้คนเห็น แต่ละตัวที่จิตไปรู้ไปเห็นล้วนแต่ไม่ใช่ตัวเรา มันรู้สึกทันทีไม่ต้องคิดมากเลย มันไม่ใช่ตัวเรา ขอให้จิตตั้งมั่นเถอะ ถ้าจิตตั้งมั่นปัญญามันจะเกิด

อย่างถ้าเราจิตตั้งมั่นเราเห็นแก้วน้ำนี้ แก้วน้ำมันถูกรู้ถูกเห็น ใครมันจะบ้าไปเห็นว่าแก้วน้ำเป็นตัวเรา ไม่มีหรอก ถ้าเราจิตตั้งมั่น เราเห็นขันธ์แต่ละขันธ์ เราไม่โง่ที่จะคิดว่าขันธ์คือตัวเราหรอก มันจะเห็นอย่างนี้เหมือนเห็นที่แก้วน้ำมันถูกรู้ มันไม่ใช่เรา ขันธ์มันก็ถูกรู้ มันไม่ใช่เราหรอก สุดท้ายมันเหลือแต่จิตตัวเดียว ตัวรูปเราเห็นแล้วร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา มันถูกรู้ เวทนา สัญญา สังขารเป็นส่วนของเจตสิกเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวเราเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตที่เป็นคนรู้คนดูนี่ล่ะที่มันแฝงความเห็นผิดว่าเป็นตัวเราอยู่

ทีนี้ถ้าเรามีสติตั้งมั่นจริงๆ ไม่ต้องไปทำอะไรมัน ไม่ต้องไปหาทางแก้ไขอะไร ถ้าจิตเราตั้งมั่นสติระลึกลงที่จิตได้ เราจะเห็นจิตก็เป็นอีกขันธ์หนึ่ง มันตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนกัน ไม่ใช่ตัวเราของเราเหมือนกัน จิตมันทำงานได้เอง ใครเคยเห็นตรงนี้ไหม จิตมันปรุงดีก็ได้เอง ปรุงชั่วก็ปรุงได้เอง ปรุงสุข ปรุงทุกข์ มันก็ปรุงได้เอง จิตมันจะเห็นรูปมันก็เห็นเอง เราไม่ได้เจตนาเห็นมันยังเห็นเลย จิตจะได้ยินเสียงมันก็ได้ยินเอง เราไม่ได้เจตนาจะได้ยิน มันก็ได้ยินได้เอง จิตจะคิดมันก็คิดได้เอง เราไม่ได้เจตนาคิด มันก็คิดได้เอง เห็นไหมจิตมันทำงานได้เอง

พอดูซ้ำๆๆๆ ไป ถึงจุดหนึ่งปัญญาแก่รอบ ศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์แล้ว ปัญญาสมบูรณ์ได้ก็เพราะสมาธิสมบูรณ์ สมาธิเรามาได้ดีเพราะเราปรับพื้นฐานของเราตั้งแต่ศีลของเรา แล้วก็พัฒนาใจที่คิดจะสู้กิเลส พัฒนาสติขึ้นมา พัฒนาจิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วปัญญามันเกิด มันจะเห็นความจริง ตัวจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตนี้ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน จิตนี้ก็บังคับไม่ได้เหมือนกัน

 

ภาวนาหวังผลแล้วจะไม่ได้ผล

เมื่อก่อนเคยมีฆราวาสคนหนึ่ง เขาภาวนาทุกวัน ทุกวันเขาก็ดูจิตของเขานี่ล่ะ เห็นจิตมันทำงานอย่างโน้น จิตมันทำงานอย่างนี้ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะบรรลุมรรคผลนิพพานอะไรทั้งสิ้น ไม่หวังอะไรทั้งสิ้นเลย สนุกกับการเรียนรู้จิตตัวเอง มีความสุขที่ได้เรียนรู้จิตตัวเอง พวกเราถ้ายังท้อแท้ที่จะเรียนรู้จิตตัวเอง อินทรีย์ยังอ่อนหน่อย ถ้าขยันดูไปเรื่อยๆ สนุก

เมื่อวานก็มีทิดคนหนึ่งมาส่งการบ้าน อยู่เฉยๆ ก็มีความสุขผุดขึ้นมา เพราะปกตินั้นจิตมีสมาธิ สมาธิที่ไม่ต้องเข้าสมาธิอะไรเลย สมาธิอยู่ในจิตปกตินี้เอง แล้วความสุขมันก็ผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ พวกเราจำนวนมากก็ทำได้ อยู่ๆ ความสุขมันก็ผุดขึ้นมาเองโชยขึ้นมาเอง เรามีสมาธิ แล้วเขาบอกว่าต่อมาเขาเห็นเขามีความสนุก ทีแรกเขามีความสุข บอกมันมีความสุขจากสมาธิ แล้วต่อมาเขาบอกเขาสนุกจังเลย เขาเห็นจิตใจมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขาภาวนามาเยอะ อินทรีย์เขาแก่กล้าขึ้น แทนที่เขาจะเห็นแล้วเบื่อ โอ้ เห็นแล้วทุกวันๆ เหมือนกันแล้วเบื่อ เขาไม่เบื่อ เขาเห็นแล้วเขาก็สนุก เออ จิตใจนี้มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักปฏิบัติยิ่งภาวนายิ่งห้าวหาญ ยิ่งภาวนายิ่งสนุก หรือบางทีอยู่ๆ ก็มีความสุขเป็นอาหารให้จิตอิ่มเอิบขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว ภาวนาไปเรื่อยๆ

ทีนี้โยมคนหนึ่งที่หลวงพ่อเล่า นั่นเขาก็ดูจิตอย่างนี้ จิตมีความสุข จิตมีความสนุกที่จะได้เรียนรู้จิตใจตัวเองทุกวันๆๆ ไม่คิดหวังผลอะไรทั้งสิ้นเลย แล้ววันหนึ่งพายุมันเข้ากรุงเทพ พายุโครมครามโครมคราม คนนี้ออกจากที่ทำงานมาแล้วเปียกฝน แล้วเขาก็ไปหลบอยู่ที่กุฏิพระหลังหนึ่งใกล้ๆ ที่ทำงาน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่กุฏิพระ แล้วใจมันกังวลว่า โอ้ เปียกฝนอย่างนี้ไม่นานต้องป่วยแน่เลยต้องเป็นหวัด เพราะเปียกฝนทีไรเป็นหวัดทุกทีเลย วันนี้ฝนแรงที่สุดเลย แล้วฟ้าก็น่ากลัว พายุกำลังมา ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงๆๆ น่ากลัว

เขาก็ภาวนาเขาก็เห็นจิตที่กังวล กังวลว่ามันต้องป่วยแน่เลย พอเห็นจิตที่กังวล มันเห็นอัตโนมัติ ไม่ได้เจตนาจะเห็น แล้วก็สักว่ารู้ว่าเห็น ไม่ได้หวังว่าเห็นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ปรากฏว่าพอสติระลึกรู้ความกังวล ความกังวลขาดสะบั้นลงไป จิตรวม จิตรวมลงไป ร่างกายนี้หายไป โลกข้างนอกก็หายไป พายุฟ้าผ่าอะไรหายไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ เลย แล้วก็เห็นจิตมันทำงาน 2 – 3 2 ขณะอะไรอย่างนี้ เสร็จแล้วอาสวกิเลสมันก็แหวกออก จิตมันอุทานขึ้นมาเลยว่า เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรา อันนี้ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินเลยว่าจิตไม่ใช่เรา เราก็รู้สึกมาตลอดว่าจิตเป็นเรา

เห็นไหมภาวนาแล้วไม่ได้หวังผล ถ้าหวังผลแล้วจะไม่ได้ผล ถ้าหวังผลความโลภมันเกิด ความโลภก็คือตัวตัณหานี้ล่ะ ตระกูลตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดมรรคผลนิพพานอะไรทั้งสิ้น ฉะนั้นถ้ายังภาวนาด้วยความอยาก ไม่ได้กินหรอก อดทน ไม่ต้องหวังผล ทำไปเรื่อยๆ ถึงจุดที่มันพอมันก็เป็นเองล่ะ จิตมันก็ก้าวกระโดดไปเอง มันจะรู้ถูกเข้าใจถูกขึ้นมาเอง พอมันรู้แจ้งเห็นจริงมันก็ล้างกิเลสไป ล้างความเห็นผิด นับแต่นั้นมาจิตไม่เป็นตัวเราแล้ว ตัวเราไม่มีแล้ว ค่อยๆ ฝึกๆๆ อดทน ถ้าไม่อดทนไม่ได้กินหรอก

หลายคนที่ฝึกไม่ได้ฝึก มาเรียนกรรมฐาน ไม่ได้มุ่งที่ความพ้นทุกข์ มุ่งอย่างอื่น หวังว่าชีวิตจะดีขึ้น จะร่ำรวยจะทำมาหากินสะดวก เพราะได้ยินว่านั่งสมาธิ นั่งปฏิบัติธรรมได้บุญเยอะ หวังว่าอย่างโน้นจะดี หวังว่าอันนี้จะดี ไม่ได้หวังที่จะเรียนรู้ตัวเอง ถ้าไปหวังสิ่งอื่นถามว่าได้ไหม เออ ถ้าบุญให้ผลมันก็ได้ ถ้าบุญยังไม่ได้ให้ผลมันก็ไม่ได้อย่างที่หวังหรอก แต่ถ้าเรามุ่งอย่างเดียว เราจะเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้กาย เรียนรู้ใจ มีจิตที่ตั้งมั่น ดูความจริงของร่างกาย ดูความจริงของจิตใจไปเรื่อยๆ ไม่หวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกนี้จะได้ผลเร็ว เพราะจิตไม่มีโลภะ ไม่มีเจตนาความจงใจที่เจือด้วยโลภะที่จะปฏิบัติ จงใจปฏิบัติแต่เจือด้วยโลภะด้วยความอยาก พวกนี้ไม่ได้ผล

แต่เบื้องต้นเราอาจจะมีความอยากก่อนก็ได้ เราอยากได้มรรคผลนิพพานไม่ว่ากัน เบื้องต้นอยากไปก่อน แต่ตอนที่ลงมือปฏิบัติลืมมันไปเลย อย่าไปคิดถึงมัน ถึงเวลามันก็ได้เอง เหมือนเรากินข้าวไม่ต้องอยากอิ่ม กินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็อิ่มเอง พอจะเริ่มกินข้าวก็อยากอิ่ม ไม่ได้เรื่อง กินไป กินๆ ไปเดี๋ยวก็อิ่ม ปฏิบัติเหมือนกัน ไม่ต้องอยากได้ผลหรอก ปฏิบัติไปเถอะ ปฏิบัติให้ถูก ปฏิบัติให้พอ ถึงเวลามันได้ผลเอง ผลของมันถ้าทำสมาธิได้ ผลของมันก็เป็นความสุขเป็นความสงบในจิตในใจเรา คล้ายๆ ไปเจอ โอเอซิส ในโลกนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เราทำสมาธิได้เราเข้ามาอยู่ตรงนี้รู้สึกร่มเย็น มีโอเอซิส มีที่พักหลบความเร่าร้อนจากทะเลทรายข้างนอกได้ชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวเราก็ต้องเดินต่อ แล้วไปเจอทะเลทรายต่อ ฝึกไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็ไปเจอแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีชีวิตที่สบาย

การปฏิบัติเหมือนกัน ลุ่มๆ ดอนๆ ทุกข์ไปอะไรต้องทนเอา ถ้าเราฝึกจิตของเราสงบได้ก็คล้ายๆ เรามีที่พักเป็นระยะๆ ไป มีโอเอซิสให้ในทะเลทราย หรือเราเดินทางไกล ขับรถไปไกลๆ บางประเทศมันไกลมาก ในอเมริกาขับรถก็หลายๆ วันกว่ามันจะทะลุ 5 – 6 วัน แล้วถ้าขับรวดเดียวเลยก็ตาย รถก็ตาย คนก็ตาย ถ้าเขามีที่พักกลางทาง ถึงตรงนี้ เอ้า แวะพักโฮมสเตย์อันนี้ อีกวันนี้ไปพักตรงนี้ มีที่พักเป็นระยะๆ ไป มันก็ผ่านไปได้ ไม่ทรมานมาก ถ้าจิตเรามีสมาธิ เราก็จะมีที่พักเป็นระยะๆ การภาวนาของเราก็จะไม่ทรมานมาก อันนี้เรียกเป็นสุขาปฏิปทา

ถ้าเราไม่มีที่พักเลย โอ๊ย ไปอย่างทุรนทุรายยากแค้นแสนเข็ญก็เป็นทุกขาปฏิปทา ไปลำบาก พวกกิเลสแรงจิตมันไม่ได้ที่พัก พวกกิเลสเบาบางภาวนาสบาย ไปๆ ได้สบาย ถ้ากิเลสเบาบางมันจะได้เป็นสุขาปฏิปทา ภาวนาสบาย ถ้ากิเลสแรงมันจะเป็นทุกขาปฏิปทา ภาวนาลำบาก ต้องอดทน ต้องต่อสู้ ยากแค้นลำเข็ญก็ต้องสู้ แล้วถ้าเราเป็นพวกที่บารมีเยอะเราจะบรรลุเร็ว เขาเรียกขิปปาภิญญา ถ้าอินทรีย์เรายังอ่อน บารมีเรายังน้อย ต้องสะสมมากก็บรรลุช้า เขาเรียกทันธาภิญญา

 

การปฏิบัติเราไม่แข่งกับคนอื่นอย่างเด็ดขาด
สู้กับกิเลสตัวเอง

บางคนปฏิบัติสบายบรรลุเร็ว เพราะว่ากิเลสเขาอ่อน บารมีเขาเยอะ เขาเลยปฏิบัติสบายบรรลุเร็ว บางคนปฏิบัติสบายแต่บรรลุช้า อันนี้กิเลสเขาเบาบางแต่บารมีเขาก็น้อยสะสมมาน้อย เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้เวลา บางคนปฏิบัติลำบาก กิเลสแรง แต่ได้ผลเร็ว มี ได้ผลเร็ว กิเลสก็แรง บารมีก็แรง อินทรีย์แกร่งกล้า แรงทั้งดีทั้งชั่ว พวกนี้ปฏิบัติลำบากแล้วก็ได้ผลเร็ว บางคนปฏิบัติลำบากแล้วยังได้ผลช้า บุญก็น้อย กิเลสแรง บุญก็น้อย บารมีน้อย แต่ละคนไม่เท่ากัน

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเราไม่แข่งกับคนอื่นอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องดูคนอื่น หน้าที่เราพัฒนาตัวเองเท่านั้นล่ะ สู้กับกิเลสตัวเอง ไม่ได้ไปสู้กับคนอื่น ต้องเอาชนะความเกียจคร้านความท้อถอย 2 ตัวนี้ตัวร้ายเลย ภาวนาแล้วท้อถอย โอ้ ไม่เห็นผลสักที ทำไมรู้สึกว่านานจัง ไม่เห็นผล ที่รู้สึกว่านานเพราะว่าอยากได้เร็วๆ ถ้าไม่ได้อยากได้เร็วมันจะไม่รู้สึกว่านานหรอก ที่รู้สึกนานมันไม่ใช่ของจริง มันเป็นสิ่งที่เกิดจากความรู้สึกที่อยากได้ผลเร็ว มันจะรู้สึกว่าช้า

อย่างเราขับรถไป ขับเพลินๆ เอ้า แป๊บเดียวถึงแล้ว ถ้ารีบร้อนอยากถึงเร็วๆ รู้สึกไหมทำไมถนนเส้นนี้วันนี้มันยาวเป็นพิเศษ การภาวนาก็แบบเดียวกัน ถ้าเราอยากได้ผลเราจะรู้สึกช้า ถ้าเราทำไปทุกวันๆๆ ทำของเราไปไม่แข่งกับคนอื่น ไม่มองคนอื่น ดูของเราไป มันก็ไปได้เรื่อยๆ มันจะไม่รู้สึกช้า ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย แล้วถ้าบางครั้งบางคราวมันเบื่อ เบื่อก็กลับมาทำความสงบบ้าง แล้วก็บางทีรู้ทันความเบื่อ หรือรู้แล้วยังไม่หายเบื่อทำอย่างไร อดทน เบื่อก็ไม่เลิกภาวนา มาเดินจงกรมอย่างนี้ เบื่อแล้วไม่อยากเดินแล้ว ไม่อยากเดินแล้วทำอย่างไร ไม่อยากเดินแล้วก็เดิน แค่นี้เอง ใจเราจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เดินจงกรมชั่วโมงแล้วเบื่อแล้ว ไปนั่งเล่นมือถือก่อนแล้วเดี๋ยวกลับมาเดินชดเชย ไม่ได้กินหรอก ไม่ได้กินหรอก ใจมันอ่อนแอเกินไป

วันนี้เทศน์ดุเดือดไปไหม สิ่งที่อยากบอกก็คืออดทน ต้องอดทนที่จะเรียนรู้ตัวเอง ไม่ต้องหวังผลว่าจะต้องเร็ว ตอนที่เรามุ่งมั่นที่จะสู้กับกิเลสของตัวเราเอง ที่จะพัฒนากุศลของเราเอง เราต้องอดทน ต้องอดทนต่อสิ่งยั่วยุ อดทนต่อสิ่งที่มาคอยขัดขวาง ต้องอดทน บางทีอย่างเราทำงานเสร็จเราอยากกลับบ้านอย่างนี้ เอ้า เจ้านายเราเรียกวันนี้ไปกินข้าวด้วยกัน ไม่ไปก็ไม่ได้ ไม่ไปก็ลำบาก เดี๋ยวเจ้านายเขม่น จำเป็นต้องไป เราอยากกลับบ้าน ทำอย่างไร อดทน แล้วระหว่างไปกินเลี้ยงมีสติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติ ไม่ได้หยุดปฏิบัติ ถ้าเขาชวนไปกินเลี้ยงแล้วก็เฮฮาเผลอไปเลย อันนี้ไม่ได้เรื่อง

ฉะนั้นเวลากินเลี้ยงเวลาอะไรมีสติไปเรื่อยๆ เขาหัวเราะก็หัวเราะไปกับเขา นั่งอยู่ในวงเขากินเหล้ากัน เราก็นั่งกินกับไป กินโซดาไป กินโค๊กไป เขาถามทำไมไม่กินเหล้า โอ๊ยแพ้ กินแล้วแพ้ เขานึกว่าเราจะแพ้ขึ้นผื่นคัน เปล่า เรากลัวแพ้กิเลส เราก็ไม่กิน เราก็นั่งอยู่กับเขาล่ะ เขาพูดอะไรก็หัวเราะกันเฮฮา เราก็ยิ้มไปยิ้มมา ในใจเรา พูดอยู่ได้เสียเวลา มีแต่เรื่องโง่ๆ เรื่องไม่มีสาระ ใจเรามีโทสะขึ้นมา รู้ว่ามีโทสะ นี่ปฏิบัติอยู่ในวงขี้เมา ยังทำได้เลยเห็นไหม เออ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติถ้าเราเจริญสติเป็น ไม่เลือกกาล ไม่เลือกกาละ ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกว่าเรากำลังอยู่กับใคร มันปฏิบัติได้ทั้งนั้นล่ะ ขอให้จิตใจเราเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น แล้วมีสติรู้จิตใจของเราไปเรื่อยๆ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวทราม เราก็ยังสามารถภาวนาได้

หลวงพ่อถึงเคยบอกว่าการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติไม่เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวเราก็ยังปฏิบัติได้ เราไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ ปฏิบัติได้ทุกที่เลย ต้องทำให้ได้อย่างนี้ จิตใจเราเข้มแข็งถึงจะทำได้ ถ้าจิตใจอ่อนแอมันทำไม่ได้หรอก อย่างไปนั่งในวงเขากินเหล้า เขาคุยเรื่องตลก เดี๋ยวเราเผลอแล้วเราก็ตลกไปกับเขาด้วย หรือเราไปนั่งเพ่ง เขาคุยเรื่องตลก เราก็เพ่ง วงกินเหล้าเขาเครียดไปหมดเลย รู้สึกแย่จริงๆ ไม่น่าชวนไอ้นี้มาเลย อย่างนี้ไม่รู้จักประชุมชน

นี่ประชุมชนคือที่ที่ตรงนี้ คนเหล่านี้เขาเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องรู้จักถึงจะเป็นคนดี มีธรรมะอันหนึ่งเป็นธรรมะของคนดีมี 7 ประการ รู้จักประชุมชน รู้จักที่นี่เขาเป็นอย่างนี้ อยู่กับเขาแต่เราไม่เป็นอย่างเขา กลมกลืนกับเขาแต่เราไม่ได้เป็นอย่างเขา เราก็ยังเป็นตัวของตัวเอง พัฒนาตัวเราเองได้ตลอด แต่ไม่ต้องไปต่อต้าน ไม่ต้องไปว่าเขา เขาชวนไปนั่งกินเหล้า ไปถึงนั่ง สุราเมรยมัชชปมา โอ๊ย มันได้ถีบตกเก้าอี้เลย เห็นไหม เออ นี่รู้กาลเทศะ แต่ว่าไม่ทิ้งการปฏิบัติ อยู่กับโลกอยู่ให้เป็น เราไม่เป็นปฏิปักษ์กับโลก ไม่เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งแวดล้อมจะมาถ่วงการปฏิบัติของเราไม่ได้

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
30 พฤศจิกายน 2568