เมื่อเช้าก็มีโยมมาส่งการบ้าน 2 คน ที่จริงหลายคน ที่น่าสนใจมีคนไปทำสมาธิจิตนิ่งๆ อีกคนหนึ่งมีสมาธิจิตตั้งมั่น 2 คนนี้ไม่เหมือนกัน คนที่ทำสมาธิให้จิตนิ่งๆ เขาก็รู้สึกว่าทำอย่างไรมันจะพัฒนา จิตใจมันก็อยู่เฉยๆ อยู่อย่างนี้ สมาธิสงบอยู่เฉยๆ สมาธิที่ขี้เกียจ ถามว่ามีประโยชน์ไหม มันก็มีประโยชน์ มันทำให้ร่างกายจิตใจของเราได้พักผ่อน ทีนี้พักผ่อนมากๆ ไม่รู้จักทำมาหากิน แล้วทำอย่างไรจะรวย เป็นคำถามที่ Nonsense พักผ่อนแล้วมันจะไปรวยได้อย่างไร หรือทำสมาธินิ่งๆ จะให้ไปบรรลุมรรคผลนิพพาน ทำได้อย่างไร ทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิชนิดสงบ ไม่ทำเลย จิตใจเราก็จะเหนื่อยอ่อน ถ้าเหนื่อยมากๆ แล้วเราฝืน บางทีจิตมันก็ใช้วิธีหลับไปเลย นอนหลับไปเลย จิตมันทรมานมาก
คนที่ทำสมาธิแล้วจิตมันเข้าไปสงบ ไปนิ่ง ไปเฉย อันนี้ต้องกระตุ้นให้จิตมันเจริญปัญญา พามันคิดพิจารณาธรรมะอันใดอันหนึ่งก็ได้ แต่ธรรมะที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำสายวัดป่าท่านแนะนำคือการพิจารณากายตัวเอง ที่จริงแล้วพิจารณาธรรมะหมวดอื่นก็ได้เหมือนกัน หลวงพ่อก็เคยทำ อย่างเวลาจิตมันไปติดความสงบเฉยอยู่อย่างนี้ พิจารณาธรรมะ พิจารณาโพชฌงค์ พิจารณาอะไรอย่างนี้ พิจารณาธาตุ พิจารณาขันธ์ อะไรก็ได้ คือกระตุ้นให้จิตมันคิด ไม่ให้มันอยู่เฉย ถ้าจิตมันอยู่เฉยๆ ปัญญามันไม่เกิดหรอก มันขี้เกียจ ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ท่านเอาแบบง่ายๆ ปลอดภัย คิดพิจารณาธรรมะ เดี๋ยวมันไม่เลิก คิดหมวดนี้แล้วเดี๋ยวก็ไปพิจารณาหมวดอื่นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่รู้จักจบ กลายเป็นฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านในธรรมะไป
ส่วนมากครูบาอาจารย์ในสายวัดป่าที่หลวงพ่อเรียนกับท่านมา ท่านจะให้พิจารณาร่างกาย พิจารณาร่างกาย เราพิจารณาได้ 4 แบบ พิจารณาเป็นปฏิกูลอสุภะก็ได้ พิจารณาว่า มันไม่เที่ยง มันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา หรือมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับ มันไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ พิจารณาอย่างนี้ก็ได้
ทีนี้พวกที่เขาเรียนตำรามากๆ เขาบอกว่าพิจารณาอสุภะเป็นสมถกรรมฐาน ไม่ดี ต้องพิจารณาไตรลักษณ์ ที่จริงแล้วไม่ว่าจะพิจารณาอะไรก็เป็นสมถะทั้งนั้นล่ะ เพราะมันยังเจือด้วยความคิด ถ้าพิจารณาร่างกายเรามันไม่เที่ยงอย่างโน้นอย่างนี้ มันยังคิดอยู่ พิจารณาว่าร่างกายเราถูกความทุกข์บีบคั้น มันก็ยังคิดอยู่ พิจารณาร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก ตราบใดที่ยังคิดอยู่มันก็ไม่ใช่วิปัสสนา เป็นสมถกรรมฐาน พิจารณาไปแล้วจิตมันสงบ มีความสุข มีความสงบเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในขั้นนี้ที่เราจะแก้จิตที่ติดเฉย ติดสมาธิเฉยๆ นิ่งๆ พิจารณาอสุภะก็ได้ ไม่ใช่ไม่ได้ อย่างไรไม่ว่าพิจารณาอสุภะหรือพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็เป็นสมถะทั้งนั้นล่ะ
ข้อดีของการพิจารณาอสุภะ
ท่านให้พิจารณาอสุภะมันมีข้อดีสำหรับพระ พระหนุ่มเณรน้อยอะไรอย่างนี้ กามราคะมันแรง พระไม่ใช่ว่าพอบวชปุ๊บแล้วไม่มีราคะเสียเมื่อไร เป็นโยมมีราคะอย่างไรมาบวชแล้วราคะมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วเป็นโยมมันยังมีการผ่อนคลาย เป็นพระมันเก็บกด เก็บกดมากๆ เครียดมากๆ ก็เพี้ยนไป ทีนี้การพิจารณาปฏิกูลอสุภะเลยเป็นข้อดี เพราะมันเป็นสมถกรรมฐานที่ใช้ข่มราคะโดยตรง เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์กรรมฐานท่านจะสอนลูกศิษย์ให้พิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ วิธีพิจารณาปฏิกูลอสุภะทำได้หลากหลาย แล้วแต่กลวิธีของใคร บางคนก็ผลิตวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมา ทำได้ทั้งนั้นล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของการคิด คิดอย่างไรก็ได้ให้มันลงอสุภะให้ได้ อย่างนี้ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะ
อย่างบางคนก็พิจารณา ร่างกายนี้ที่ดูว่ามันสวยมันงาม มันสวยที่ไหน มันสวยที่ผม ที่ขน ที่เล็บ ที่ฟัน ที่หนัง คิดดู ถ้านางงามจักรวาลผมร่วงเป็นหย่อมๆ มีสิ่งโสโครกอยู่บนหัว มีเหาเต็มหัว แหม มันไม่สวยแล้ว มันน่ารังเกียจ เป็นพวกขนร่วง ขนคิ้วขนตาแหว่งๆ อะไร ดูพิลึก ไม่สวยแล้ว มีเล็บพิกลพิการก็ดูน่าเกลียด มีฟันหลอ นางงามยิ้มออกมาฟันหลอ มันสวยไหม เห็นแล้วสยอง โอ้โห ไม่รู้จักปิดประตูหน้าต่าง หรือหนังถลอกไปทั้งตัว ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สาวงามถูกน้ำร้อนลวก ตัวด่างไปหมดเลย เปรียบเหมือนกับวัวด่างๆ ดูแล้วมันไม่น่ารักไม่น่าพอใจ ดูอย่างนี้ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังอย่างนี้ก็ได้
พิจารณาผู้หญิงคนนี้สวยๆ ถูกใจเรา เมื่อก่อนเขาไม่ได้สวยอย่างนี้ แต่ก่อนเป็นเด็กๆ มันน่ารัก พอเป็นสาวขึ้นมามันสวย คิดพิจารณาไปมันจะสาวอย่างนี้ตลอดกาลไหม มันก็ไม่สาวตลอดกาลหรอก ต่อไปผมก็เริ่มหงอก ต้องไปย้อม หนังเหี่ยว ต้องไปดึงหน้า บางคนเขาล้อกัน มันดึงจนกระทั่งหนังหน้าตอนนี้ไปอยู่ที่ท้องแล้ว ดึงไปเรื่อยๆ พิจารณาอย่างนี้ก็ได้ มันแก่
เวลาแก่ก็เริ่มจากผมมันเริ่มหงอก หนังมันเริ่มเหี่ยว หนังตรงไหนเหี่ยวก่อน หนังที่มือ หลังมือ มันเริ่มเหี่ยวก่อน บางคนก็เริ่มชำเลืองแล้ว เหี่ยวหรือยัง ไม่ใช่คนเดียว เมื่อกี้เยอะเลย กลัวแก่นั่นล่ะ ส่วนเรื่องผมหงอกยอมแล้วเพราะมันหงอก มันยอมรับแล้ว แต่พอถึงหนังเหี่ยว อันนี้ชักจะยอมไม่ได้ เริ่มแอบชำเลืองเหี่ยวหรือยัง แถวนี้มันเหี่ยวก่อน ค่อยๆ เหี่ยวไป พิจารณาไปเรื่อยๆ ผมหงอก หนังเหี่ยว ฟันหลุด ตาฝ้าฟาง ตาเคยใสแจ๋ว สวยงามเหมือนตากวาง เพราะว่าตากวางมันสวย ใครเคยสบตากวางแล้วจะรู้ ตากวางมันโตๆ แล้วมันใสๆ น่าดู พอแก่แล้วตามันก็ชักขุ่นๆ แต่บางคนมันตาขุ่นตั้งแต่ยังไม่แก่ พวกขี้โมโห ตาขุ่นๆ ขวางๆ ดูไม่สวย
พิจารณาว่ามันต้องแก่ ต่อไปมันก็ไม่สบาย กินข้าวไม่ได้แล้ว เนื้อหนังมังสาหาย ผอมลงไปเรื่อยๆ เป็นหนังติดกระดูก พอตายไป ตายช่วงแรกตัวก็ยังอุ่นๆ อยู่ มันเริ่มเย็นมาตั้งแต่ปลายเท้า เวลาตายเท้ามันเริ่มเย็น มันจะเย็นก่อนตายด้วยซ้ำไป ที่จากปลายเท้าค่อยๆ เย็น ค่อยลามๆๆ ขึ้นมา พิจารณาไปเรื่อยๆ สาวงามของเราเคยอยากได้มา ตอนนี้แก่ ตอนนี้เหี่ยว ตอนนี้เจ็บ ตอนนี้กำลังจะตายแล้ว ตัวค่อยๆ เย็นๆๆ ตายทีแรกตัวยังนิ่มๆ อยู่ ตายไม่กี่ชั่วโมงตัวก็เริ่มแข็ง แล้วพอเลย 24 ชั่วโมงไปเริ่มนิ่มอีกแล้ว มันเริ่มเน่า จะค่อยๆ เน่า
แต่เดี๋ยวนี้เขาใส่โลงเย็น ถ้าใส่โลงเย็นเราไปคอยดู เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง โลงเย็นช่วยไม่ได้หรอก บางทีเชื้อราขึ้นทั้งตัวเลย ร่างกายเรามันอสุภะจริงๆ สิ่งโสโครกมันอยู่ในตัวเราเอง ขนาดเอาไปใส่ตู้เย็นไว้มันก็ยังขึ้นราได้ น่าเกลียดน่ากลัว ถ้าพิจารณาไปเรื่อย ถ้าไม่ได้ใส่ตู้เย็นไว้ไม่ได้ฉีดยาไว้ ถ้าฉีดยาปุ๊บ ตัวเขียวๆ ไปเลย ฉีดยาเสร็จตัวเขียวเปลี่ยนสีไปเลย พิจารณาไปเรื่อย ถ้าไม่ได้ฉีดยา พอพ้น 24 ชั่วโมงก็เริ่มเน่า อาการเน่าในร่างกาย
มันจะได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหลไปมาก๊อกแก๊กๆ อยู่ข้างในได้ เลือดมันจะค่อยไหลตกไปอยู่ตามแผ่นหลัง จับศพไปพลิกดู ข้างหลังมันจะมีแดงๆ เป็นจ้ำๆ ต่อไปมันก็เน่ามากขึ้นๆ ตัวมันพอง น้ำเลือดน้ำหนองก็ไหลออกมา สิ่งโสโครกไหลออกทางทวารต่างๆ เดี๋ยวนี้เขาเอาสำลีอุดจมูกๆ อุดปาก อุดก้น กลัวสิ่งโสโครกไหลออกมา ถ้าเราพิจารณาไปเรื่อย ให้พอ ราคะมันก็ไม่เอาแล้ว สุดท้ายมันก็ตายมันก็เน่า สุดท้ายเน่าไปเรื่อยๆ ไปหมกดินไว้ไปอะไรไว้ ก็เหลือแต่หนังแห้งๆ หุ้มกระดูก ถ้าไม่เผาจะเหลือหนังแห้งๆ หุ้มกระดูก นานไปหนังนั้นก็หายไป
พิจารณาอสุภะอย่างนี้ก็ได้ ราคะวิ่งหนีแต่วันหลังมาใหม่ แต่วันหลังมาอีก พิจารณาซ้ำอีก ซ้ำไปซ้ำมา เอาไม่ลงแล้ว มันเริ่มคิดคร่าวๆ คิดให้จบเร็วๆ คิดย่อๆ เพราะว่ารู้มากแล้ว รู้ว่าเวลาตายแล้วมันมีกระบวนการอย่างนี้ๆ ก็เลยขี้เกียจคิด เพราะฉะนั้นกรรมฐานที่เราเคยใช้ได้ในช่วงหนึ่ง ผ่านไปอีกช่วงหนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ก็ได้ ต้องไปพิจารณามุมอื่น
การพิจารณาปฏิกูลพิจารณาอสุภะ
พิจารณาได้หลากหลาย
มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อจำไม่ได้ว่าอาจารย์วันหรืออาจารย์จวน จำไม่ได้ ท่านไปชอบผู้หญิงคนหนึ่งแล้วท่านก็ไปเห็น บ้านนอกผู้หญิงเวลาไปอึ ก็ไปอึตามทุ่งตามที่พุ่มไม้ตามอะไรอย่างนี้ วันหนึ่งท่านไปเห็นผู้หญิงคนนี้ออกมาจากพุ่มไม้ ไปอึมา ท่านก็เข้าไปดู โสโครก นี่เราจะรักของโสโครกอย่างนี้หรือ นี่พิจารณา อันนี้ไม่ได้เจตนาพิจารณาแต่บุญบารมีพาท่านพิจารณา แล้วท่านก็เลยไม่เอาแล้ว ไม่หลงผู้หญิงแล้ว ออกมาบวชแล้วก็เข้มแข็ง
บางองค์ท่านก็พิจารณาอย่างอื่น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค สมัยหนุ่มๆ ท่านจะบวช แล้วท่านก็ เอ๊ะ ผู้ชายมันติดอะไร ผู้ชายมันก็ติดผู้หญิง ผู้หญิงมันดีอย่างไร ท่านก็ไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง มีศักดิ์เป็นพี่ท่าน ยกมือไหว้บอกขอจับตัวผู้หญิงหน่อยเถอะ อยากรู้ว่าผู้หญิงเป็นอย่างไร คนโบราณผู้หญิงผู้ชายเขาไม่ยุ่งกัน เรียบร้อยมาก พอผู้หญิงอนุญาตท่านก็ไปจับนมของเขา จับบีบๆ ดู เสร็จแล้วก็มันเหมือนอะไร ลองมาจับน่องตัวเองก็เหมือนกันล่ะ คล้ายๆ กัน น่องยังแข็งแรงกว่าเสียอีก มันก็แค่นี้ล่ะๆ ท่านก็เลยออกบวช เป็นพระโพธิสัตว์ที่สำคัญองค์หนึ่ง บารมีเยอะ
การพิจารณาปฏิกูลพิจารณาอสุภะ พิจารณาได้หลากหลาย เป็นกลวิธีที่แต่ละองค์ท่านพัฒนาขึ้นมา วิธีนี้เคยใช้ได้ อีกช่วงหนึ่งใช้ไม่ได้ ก็ต้องพลิกวิธีเป็นอย่างอื่น ต้องใช้สติใช้ปัญญา บางองค์ท่านอยากสึก เคยอยากสึก ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อองค์แรกคือท่านพ่อลี เกือบจะไม่ได้เป็นท่านพ่อลี ตอนหนุ่มๆ มาอยู่วัดสระปทุม เดิมอยู่ทางอีสาน อยู่อุบลราชธานีอยู่อะไรก็ภาวนาดี มาอยู่ในเมืองมาอยู่กรุงเทพฯ อยู่ไปๆ อยากสึก พออยากสึก ไหนๆ ก็จะสึกแล้ววันนี้ขอพิจารณาขอปฏิบัติธรรมโต้รุ่งสักวันเถอะ
ขึ้นไปนั่งที่ลานพระเจดีย์ในวัดสระปทุม ไปนั่งแล้วท่านก็คิดไป ตอนนั้นไม่ได้คิดธรรมะ ใจมันอยากสึกเต็มที่เลย คิดเรื่องจะสึก สึกแล้วจะไปทำอะไรดี เรามีเพื่อนอยู่โรงพิมพ์หรืออะไรหลวงพ่อจำไม่ได้ จะให้เขาฝากงานให้ สึกไปแล้วก็จะได้ให้เพื่อนฝากไปทำงานที่นี่ล่ะ ที่เดียวกับเพื่อน เสร็จแล้วก็พิจารณา คิดไป ไม่ใช่พิจารณาธรรมะ คิดทั้งหมดเลย คิดฟุ้งซ่าน ถ้าเราทำงานแล้วเราจะตั้งอกตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง เงินเดือนเราก็จะเยอะขึ้น แล้วพอเราขยันมากๆ เถ้าแก่ก็จะเมตตาจะไปขอลูกสาวเถ้าแก่ ได้ลูกสาวเถ้าแก่เป็นเมีย คราวนี้ได้เป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว
ฝันเฟื่องๆ ก็ขยันขยายกิจการอะไรเยอะแยะเลย งานก็มากขึ้นๆ ลูกก็เยอะขึ้นๆ เมียที่เคยช่วยทำงานก็ช่วยไม่ได้ มัวแต่เลี้ยงลูก ทำอยู่คนเดียว ทำจนเหนื่อยเลยเพราะว่าธุรกิจขยายไม่รู้จักจบ พอเหนื่อยมากๆ ชีวิตก็เริ่มมีปัญหา เมียไม่สบาย คิดไปได้ขนาดนั้นว่าเมียเหนื่อย เลี้ยงลูกเยอะ ไม่สบาย เมียตาย ตรงนี้รายละเอียดหลวงพ่อจำไม่ได้แม่นแต่ทิศทางเป็นอย่างนั้น เมียตายต้องเลี้ยงลูกด้วยทำงานด้วย เหนื่อยจังเลย ทำอย่างไร ในที่สุดงานการก็ทำไม่เต็มที่ กิจการก็แย่ลงๆ ภาระก็เยอะ ลูกก็ร้องงอแง กลางคืนก็ไม่ได้นอน ชีวิตลำบากจริงๆ เลย อยู่เป็นฆราวาสมันลำบากจริงๆ เราควรจะทำอย่างไรดี ไปบวชดีกว่า พอท่านฝันเฟื่องมาแล้วลงท้ายว่าไปบวชดีกว่าก็สะดุ้งขึ้นมา เฮ้ย ตอนนี้บวชอยู่แล้ว เรื่องอะไรไปหานรกใส่ตัว เลยไม่สึก เลยเป็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญองค์หนึ่งเลย
ลูกศิษย์ท่านเยอะ หลวงพ่อนี่เรียกว่าตัวจิ๋วเลย ตอนที่เข้าไปหา 7 ขวบเอง ท่านก็สอนแบบสอนเด็ก ไม่ได้เรียนกรรมฐานอะไรลึกซึ้งหรอก สอนให้หายใจเข้าพุทหายใจโธ นับ 1 ให้นับถึง 10 แล้วลดลงมาเป็น 9 8 7 6 5 แบบปล่อยจรวด หลวงพ่อก็มาทำ ทำไม่ได้ นับเลขถอยหลังไม่เป็น ตอนนั้นเล็กๆ นับแล้วต้องคิดเยอะ เหนื่อย ก็เลยนับ 1 ถึง 100 แล้วก็เริ่ม 1 ถึง 100 ใหม่ นับอย่างนั้น
การพิจารณาร่างกาย พิจารณาอสุภะก็ได้ พิจารณาว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยงก็ได้ อย่างท่านพ่อลีเห็นชีวิตนี้ไม่มีสาระแก่นสาร หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายทุกอย่างก็ว่างเปล่า ท่านก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นอนัตตา สุดท้ายมันก็ไม่อยู่อำนาจของเรา ทุกอย่างสูญเสียไปหมดที่ได้มา สิ่งที่ได้จากการคิดพิจารณาแบบนี้คือสมถกรรมฐาน ความสงบในจิตใจจะเกิดขึ้น
พวกที่ไปเสียท่า ยาย ก. ไก่นั่นเพราะเอาแต่เรียนเปรียญ 9 ไม่เคยพิจารณาอสุภะ ดูถูกอสุภะพวกนี้ บอกว่าไม่ใช่อารมณ์ปรมัติ โธ่ แค่อสุภะนี้ก็เอาตัวรอดจากผู้หญิงได้แล้ว รอดจากผู้ชายก็ได้ พระเดี๋ยวนี้เขาก็ทันสมัย มีแฟนเป็นผู้ชายเยอะแยะเลย ก็มีข่าวอยู่เรื่อยๆ ถ้าพิจารณาอสุภะได้ มันก็ข่มราคะได้ ก็ไม่พลาดในเรื่องพวกนี้
อย่าปล่อยให้จิตคิดไปด้วยอำนาจของกิเลส
การคิดพิจารณา เราจะใช้เมื่อจิตเราไปติดนิ่งติดเฉย เมื่อเราทำสมาธิ จิตสงบนิ่งแล้วก็ขี้เกียจ ไม่ยอมเดินปัญญาเฉยอยู่อย่างนั้น อันนี้ต้องกระตุ้นให้มันเดินปัญญาด้วยการคิด การคิด 4 อย่าง คิดถึงปฏิกูลอสุภะ คิดถึงความไม่เที่ยง คิดถึงความเป็นทุกข์ คิดถึงความเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ คิดอยู่ใน 4 มุมนี้ อย่าไปคิดอุตริเกินอันนี้ออกไป
เดี๋ยวไปพิจารณา คนนี้สวยจริง ผมมันก็สวย ขน เล็บ ฟัน หนัง มันสวยไปหมดเลย เดินเฉียดใกล้ๆ มันก็หอมอีก พิจารณาอย่างนี้กิเลสที่ยังไม่เกิดก็เกิด กิเลสที่เกิดแล้วก็แรงกว่าเก่า สุดท้ายก็อยู่ไม่รอด พวกที่เสียท่าผู้หญิงก็เพราะมันไม่ระวังความคิด มันไม่ระวังความคิดของตัวเอง ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า มีสัมมาสังกัปปะๆ มีความคิดถูก คิดถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานี่ล่ะ ไม่คิดด้วยราคะ ไม่คิดไปด้วยอํานาจราคะ ไม่คิดไปด้วยอำนาจของโทสะ ไม่คิดในอำนาจของโมหะ พวกที่ไปเสียท่ายาย ก. ไก่ นั้นเพราะว่าไม่มีสัมมาสังกัปปะด้วย ไม่มีศีล พรหมจรรย์ไม่รักษาด้วย ละเลย ประมาท อสุภะก็คงไม่พิจารณา
หลวงพ่อยังสอนพระที่นี่เลย เวลากามราคะเกิดขึ้นมันห้ามไม่ได้ ฮอร์โมนเพศมันทำงาน พระไม่ใช่ขันที อยู่ๆ เหมือนตัดลูกอัณฑะทิ้งไปแล้ว ไม่มีฮอร์โมนเพศขึ้นมา ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันก็ผู้ชายจริงๆ นั่นล่ะ เพราะฉะนั้นกามราคะมันจะเกิดมันห้ามไม่ได้หรอก มันสงบก็สงบได้ชั่วครั้งชั่วคราว จะมาพิจารณาปฏิกูลอสุภะไปเรื่อยๆ บางทีก็เอาไม่ลง ใจมันคอยวกไปคิดแต่เรื่องลามก เรื่องผู้หญิง เรื่องผู้ชายอะไร แล้วแต่จะชอบอันไหน แล้วแต่รสนิยม
บอกว่าจุดสำคัญเลยที่เราจะสู้กามราคะได้ อย่าไปสร้างกามวิตก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดไปด้วยอำนาจของกาม อย่าปล่อยให้มันคิดไปในอำนาจของกาม พามันคิดเรื่องอื่นไป ถ้าจิตเราไม่ไปคิดในเรื่องกาม พอกามราคะมันเกิดเพราะอำนาจของฮอร์โมนเพศ มันเกิดขึ้นมาเราไม่ไปคิดต่อ ฮอร์โมนเพศมันจะกระตุ้นให้คิดลามก มันจะเป็นตัวกระตุ้นให้เราคิดลามก คนทั้งหลายที่ไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ พอฮอร์โมนเพศมันทำงานขึ้นมามันจะกระตุ้นให้คิดลามก ผู้หญิงก็คิดถึงผู้ชาย ผู้ชายก็คิดถึงผู้หญิงอะไรอย่างนี้
ถ้าเราฉลาดในการปฏิบัติ พอมันเกิดความต้องการทางเพศ มันจะกระตุ้นให้คิดลามก อย่าไปคิดมัน ถ้าคิดกลับข้างได้ยิ่งดี คิดเรื่องอสุภะเรื่องอะไรกลับข้าง คิดกลับข้าง ถ้าไม่คิดกลับ ข้าง ไปคิดเรื่องอื่นก็ได้จริงๆ ไปคิดถึงพระพุทธเจ้าหรือคิดถึงครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าเองก็เคยมีลูกมีเมีย ทำไมท่านกล้าสละ ท่านทิ้งความสุขอย่างนั้นได้ ความสุขที่เรามียังไม่เท่าท่านมีเลย ท่านกล้าทิ้ง ยอมไปอยู่ใต้ต้นไม้ อยู่ป่าอยู่อะไรอย่างนี้ ตอนท่านประสูติก็ประสูติในป่า ประสูติใต้ต้นไม้ ตอนตรัสรู้ก็ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ ตอนปรินิพพานก็ปรินิพพานใต้ต้นไม้ ทำไมท่านทิ้งความสุขในโลก ความสุขในกาม เพราะท่านแสวงหาสิ่งที่เหนือกว่านั้น ค่อยๆ สอนจิตไปอย่างนี้ พามันคิดไปในทางอย่างนี้
หรือคิดถึงครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนเรานั่นล่ะ ไม่มีใครหรอกปฏิบัติไม่เคยล้มลุกคลุกคลาน มันก็ลำบากมาด้วยกันทั้งนั้นล่ะ ทำไมท่านสู้ได้ เราก็มีมือมีเท้าเหมือนกัน ทำไมเราจะสู้ไม่ได้ ดูตัวอย่างของท่านที่สู้ชนะเป็นตัวอย่างที่ดี ครูบาอาจารย์ แต่ละองค์ๆ หลวงพ่อมีครูบาอาจารย์ 30 กว่าองค์ ที่หลวงพ่อไปเรียนกับท่าน 30 กว่าองค์ บางองค์เข้าไปเรียนโดยเข้าไปดู ไม่ได้พูดกับท่านสักคำ ไปนั่งใกล้ๆ ไปดู ไปดูจริยวัตรของท่าน ไปดูความคิด คำพูด การกระทำของท่านแล้วเราก็มาสอนตัวเองได้ บางองค์เราก็ต้องไปถาม บางองค์ไม่ต้องถาม เข้าไปนั่งใกล้ๆ เราติดอะไรอยู่ เดี๋ยวท่านก็บอกเองล่ะ
ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วยแต่ละองค์สุดๆ ทั้งนั้นเลย นี่ใช้ภาษาสมัยใหม่สุดๆ ถ้าคนโบราณสุดๆ หมายถึงว่าอึเสร็จแล้ว คนเดี๋ยวนี้สุดๆ แหม ดีๆ ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อไปเรียนด้วยแต่ละองค์สุดๆ ทั้งนั้นเลย เราก็ดู เมื่อก่อนท่านก็มีกิเลส เมื่อก่อนท่านก็ลำบาก ล้มลุกคลุกคลาน ทำไมท่านทำได้ ท่านทำได้ เราเป็นลูกศิษย์ท่านทำไมเราทำตามท่านไม่ได้ ใจมันต้องสู้อย่างนี้ ถ้าเราไม่ปล่อยใจให้คิดไปตามอำนาจของกิเลส ใจเราจะเข้าถึงความสงบสุขอัตโนมัติเลย
ถือศีล 5 ให้ดีแล้วระวังความคิดของเราไว้
อย่างเราคิดไปตามอำนาจของราคะ ราคะก็ฟูขึ้นมา เราไปคิดด้วยอำนาจของโทสะ โทสะก็ฟูขึ้นมา ทุกวันข้อมูลข่าวสารที่เรารับได้จำนวนมากเลย มันกระตุ้นโทสะ โทสะกับราคะ เป็นช่วงๆ ช่วงนี้ก็กระตุ้นโทสะ เดี๋ยวโกรธนายฮุนนั่น เดี๋ยวโกรธนายชินนี่ ใจมันโมโห ใจโมโหไม่ได้ประโยชน์อะไร ไปโมโหแล้วก็ไปด่าๆๆ ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย นายนั่นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักคนหนึ่ง ด่ามันเท่าไรก็เฉยๆ มันหน้าด้านเสียอย่าง ไม่กลัว อยากด่าก็ด่าไป คนเขาด่าก็ไม่เจ็บเหมือนเอาไม้ขว้าง คิดอย่างนั้นคิดเป็นธรรมะเสียด้วย
เมื่อก่อนมีพระองค์หนึ่ง หลวงพ่อจำชื่อท่านไม่ได้ ท่านไปลาพระพุทธเจ้า ว่าท่านจะไปอยู่หมู่บ้านหนึ่ง ชื่อสุนาปรันตะ สุนาปรันตะเป็นหมู่บ้านของพวกนายพราน พระพุทธเจ้าบอกว่าจะไหวหรือ คนที่หมู่บ้านนี้โหดร้าย เกลียดพระด้วย ไม่ชอบพระเลย เธอจะไปอยู่ไหวหรือ บอกขอไปอยู่ ท่านบอกว่าถ้าเขาด่าเธอจะทำอย่างไร ผมก็จะคิดว่าเขาด่าก็ดีกว่าเขาตีเอา แล้วถ้าเขาตีล่ะ ผมจะคิดว่าก็ดีกว่าเขาเอาก้อนหินมาทุ่ม เขาขว้างด้วยก้อนหิน ถ้าเขาขว้างด้วยก้อนหิน ผมก็เจ็บแต่ก็ดีกว่าตาย ถ้าเขาฆ่าตายล่ะ เอามีดมาเชือดๆ ตาย ก็ดีกว่าต้องฆ่าตัวตาย เพราะว่าร่างกายนี้มันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น มันอยากฆ่าให้มันฆ่าไป
มองโลก คนหนึ่งมองว่าเป็นปัญหา คนที่ใจถึงมองเห็นว่าไม่ใช่ปัญหา เอามาเป็นเรื่องสอนใจตัวเอง วิธีคิดที่ดีของท่าน พระพุทธเจ้าฟังแล้ว ไม่กลัวตาย ให้ไปได้ ท่านไปอยู่ที่สุนาปรันตะ มันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ก็มีพระรุ่นหลังเป็นเจ้าคุณองค์หนึ่งที่อยู่วัดโสมนัสฯ ท่านสิ้นไปนานแล้ว ท่านอ่านพวกแผ่นจารึกบนกระเบื้อง ท่านบอกว่าสุนาปรันตะก็คือสวนพราน สามพรานเดี๋ยวนี้ ท่านลากมาสามพรานได้ องค์นี้ท่านไปอยู่ ในที่สุดท่านชนะใจชาวบ้านด้วยขันติของท่าน ด้วยเมตตาของท่าน ชนะใจชาวบ้าน ท่านก็บรรลุพระอรหันต์ แล้วก็พาชาวบ้านมากราบมาไหว้ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ยังไปเยี่ยมที่นี่
ความคิด ถ้าคิดแล้วกลัวอันนี้คิดด้วยโทสะ นั่นก็กลัว นี่ก็กลัว จะทำอะไรก็กลัวไปหมดเลย เลยไม่ต้องทำอะไรหรือหนีตลอด ท่านไม่ได้คิดด้วยราคะ ท่านไม่ได้คิดด้วยโทสะ ท่านไม่ได้คิดเบียดเบียนด้วยโมหะ อันนี้จะเข้าใจยากนิดหนึ่ง ไม่มีเวลาแล้ว ก็ไปหาอ่านเอาเอง หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้เยอะแยะแล้ว
วิหิงสาวิตก คิดเบียดเบียนด้วยโทสะ คิดเบียดเบียนเพราะไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อย่างพวกแอบมาตกปลาในวัดอย่างนี้ วัดเป็นที่สาธารณะ เข้ามาตกปลาในวัด ไม่บาปหรอก เพราะปลามันเป็นอาหารของคน ใครกำหนดให้ว่าปลาเป็นอาหาร ฆ่าสัตว์เอามาเป็นอาหารไม่บาป อันนี้เรียกว่าวิหิงสาวิตก หรือไปตกปลา บอกผมตกปลาแล้วใจสงบ มีสมาธิ ปลากินเบ็ดเป็นกรรมของปลา คิดไปได้ ถ้าตัวเองไม่เอาเบ็ดไปหย่อน ปลามันจะมารับกรรมอันนี้หรือ คิดอย่างนี้มันเบียดเบียนด้วยโมหะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
ถ้าเราคอยระวังความคิดของเราไว้ ถือศีล 5 ให้ดีแล้วระวังความคิดของเราไว้ ใจของเราก็จะสะอาดขึ้นสงบขึ้น คำพูด การกระทำ การทำมาหากินของเราก็จะสะอาดตามไปด้วย เพราะเราคิดถูกแล้ว คำพูดมันก็จะถูก การกระทำก็จะถูก เมื่อเราดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่มัวหมอง ไม่เศร้าหมอง วิญญูชนไม่ตำหนิเรา จิตใจเราองอาจกล้าหาญ เราก็จะเหมาะที่จะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปอีก วิธีจะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไป เราต้องรู้ว่าสิ่งที่ทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองคือกิเลส ธรรมชาติเดิมของจิตเรานั้นมันผ่องใสอยู่แล้วๆ มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา
ฉะนั้นเราก็ต้องมีสติ คอยสังเกตกิเลสในใจตัวเอง ไม่ต้องไปสังเกตกิเลสคนอื่น ใจเราโกรธขึ้นมาก็รู้ ใจเราหงุดหงิดก็รู้ ใจเราโลภก็รู้ ใจเราอิจฉาก็รู้ คอยรู้ทันจิตใจของตัวเองเรื่อยๆ กลุ้มใจ ดีใจ เสียใจอะไร รู้ไปเรื่อยๆ มีศัพท์เกี่ยวกับจิตใจในภาษาไทยหลายร้อยคำ หลวงพ่อเคยรวมไว้จากพจนานุกรมได้ 200 กว่าคำ มีโยมคนหนึ่งเขาบอกเขาหาได้ 300 กว่าคำ เขาเก่ง ศัพท์เกี่ยวกับจิตใจมากมายเลย ดีใจ เสียใจ กลุ้มใจ คับแค้นใจ เซ็ง เบื่อ หงุดหงิด เป็นศัพท์ที่สะท้อนเรื่องจิตใจ
ใจดำๆ มันดำได้อย่างไร ลองใจมันชั่วสิ มันดำจริงๆ มันไม่ดำเฉพาะใจ มันดำออกมาถึงข้างนอกเลย หน้ามันก็ดำถ้าดูเป็น มันดำไปทั้งตัวเลยบางคน หลวงพ่อเคยพลาด เคยได้ยินว่าพระองค์นี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน น่าจะดี เข้าไปหาเห็นเขาลือว่าองค์นี้ดี ตอนนั้นยังไม่บวช ยังโง่ แต่ก่อนคนเรายังโง่ ก็คิดว่าพระกรรมฐานทุกองค์ต้องดี พอไปเห็นองค์นี้เข้า เห็นตนนี้ เอ๊ย องค์ เรียกองค์ก่อน เห็นองค์นี้เข้า ทำไมดำอย่างนี้ ดำปึ้ดเลย ดำทั้งตัวเลย โห ท่านคงภาวนามาก ตากแดดจนตัวดำ นี่คิดโง่ ถ้าตากแดดตัวดำ ถ้ามันร่นขึ้นมา ตัวก็ขาวแล้ว นี่มันดำปึ้ดไปหมดเลย เราไม่รู้หรอกว่าเราไปเห็นด้วยความช่างสังเกตพิเศษของเรา ไม่ได้เห็นด้วยตาทั่วๆ ไป ไปเข้าใจผิด เวลาใจดำ มันดำออกมาทั้งหมดเลย
อย่างพระเวลาอาบัติมันดำ พระอาบัติมันดำเข้ามาเลย นี่ใจดำ มันดำจริงๆ ใจสว่าง ใจมันสว่างไสว ใจร่มเย็นเป็นสุขอะไร ศัพท์ที่เกี่ยวกับจิตใจเยอะแยะเลย เก่งมากคนไทย เพราะฉะนั้นคนโบร่ำโบราณน่าจะดูจิตเก่ง ไม่อย่างนั้นบัญญัติศัพท์พวกนี้ออกมาไม่ได้หรอก เสียใจๆ รู้จักไหม เสียใจ ใจเสีย ไม่เหมือนกัน เสียใจกับใจเสียไม่เหมือนกัน คนจีนแปลไม่ออกแล้ว เพราะศัพท์ตามไม่ทันเรา คนไทยเราศัพท์เยอะ เสียใจกับใจเสียก็ไม่เหมือนกันแล้ว มันมีดีกรี ดีกรีความรู้สึกแตกต่างกันไป
ความยากที่สุดของการปฏิบัติ
ก็คือการฝึกจิตให้ตั้งมั่น
ถ้าใจเราเป็นอย่างไร เราคอยรู้ไป ใจเป็นกุศลก็รู้ เป็นอกุศลก็รู้ หัดรู้บ่อยๆ แล้วสติเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสัมมาวายามะ ความมีความเพียร คอยอ่านจิตใจตัวเอง เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลคอยรู้ไปเรื่อย สติเราจะดีขึ้น แล้วพอสติเราดีขึ้นสัมมาสมาธิก็จะเกิดขึ้น สัมมาสมาธิ ไม่ใช่แค่สมถะอีกต่อไปแล้ว แต่คือความตั้งมั่นของจิตๆ ความยากของการปฏิบัติ อันนี้หลวงพ่อพูดเอง ตำราไม่ได้พูด ความยากที่สุดของการปฏิบัติก็คือการฝึกจิตให้ตั้งมั่น หรือการทำจิตให้ตื่นขึ้นมานั่นล่ะ นี่คือจุดที่ยากที่สุดของการปฏิบัติในสายตาหลวงพ่อ บอกเสียก่อน ตำราว่าอย่างไรไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าความรู้สึกตัวเป็นจุดตั้งต้นของการที่เอาชนะกิเลส ความรู้สึกตัวก็คือสภาวะที่จิตมันตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวนั่นล่ะ
กว่าคนๆ หนึ่งจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเราเกิดมากับความหลง เราอยู่ด้วยความหลง เราก็ตายไปด้วยความหลง กว่าจะแหวกความหลงออกมาให้จิตตื่นขึ้นมายากเย็นแสนเข็ญ หลวงพ่อก็หาทางทำอย่างไรพวกเรามันจะตื่น หลวงพ่อตื่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว 10 ขวบจิตหลวงพ่อตื่นแล้ว ตั้งมั่นแล้ว ขันธ์แยกแล้ว ทำอย่างไรมันจะตื่นได้ มาดูพวกเรา ให้ไปเข้าฌานก็เข้าไม่เป็น ชาตินี้ให้ฝึกเข้าฌานไม่สำเร็จหรอก จะเข้าฌานเป็นฝึกหลายชาติ พวกที่เขาเข้าได้เขาฝึกมาหลายชาติแล้ว ปุ๊บปั๊บนั่งๆ แล้วบอกเข้าฌาน ไม่ได้ของจริงหรอก เข้าไปแล้ว นั่งหลับส่วนใหญ่
ถ้าทําอย่างนั้นไม่ได้ก็มีอีกวิธีหนึ่ง ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งอะไรก็ได้ จะเป็นอารมณ์ปรมัติ คือรู้กาย รู้ใจ รู้รูป รู้นาม หรืออารมณ์บัญญัติ คือเรื่องที่คิดพิจารณาเอาก็ได้ แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อทำกรรมฐานอันนั้นแล้วให้สังเกตที่จิตตนเองไม่ได้เน้นที่ความสงบ แต่หันมาสังเกตจิตตัวเอง เช่น เราหายใจเข้าพุทออกโธอย่างนี้ จิตสงบ เรารู้ จิตฟุ้งซ่าน เรารู้ จิตหนีไปคิด เรารู้ จิตถลำไปเพ่งลมหายใจ เรารู้ รู้ทันจิตตัวเองไปเรื่อยๆ เรียนรู้จิตตนเองไปเรื่อยๆ
ถ้าเราเห็นสภาวะที่จิตกำลังมีกำลังเป็นได้ จิตมันจะตื่นอัตโนมัติ จิตหลงไปคิดอย่างนี้ เรารู้ว่าจิตหลงไปคิด จิตที่หลงไปคิดดับ จิตผู้รู้ก็จะตื่นขึ้นมา จิตหลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน เรารู้ว่าหลงไปเพ่ง เราหลงไปเพ่งนี่ไม่หาย ก็สังเกตทำไมมันเพ่ง มันเพ่งเพราะมันจงใจเพ่ง มันอยากเพ่ง ทำไมมันอยาก มันอยากอะไร มันอยากดี อยากปฏิบัติ นี่เห็นต้นตอ เห็นกิเลสที่อยู่เบื้องหลังการเพ่ง พอกิเลสที่อยู่เบื้องหลังการเพ่งดับ การเพ่งก็ดับ
การเพ่งนั้นเป็นความปรุงดี ความเผลอเป็นความปรุงชั่ว ความปรุงชั่ว ทันทีที่สติเกิดมันดับทันที แต่ความปรุงดี สติเกิดมันก็ไม่ดับ ต้องรู้ต้นตอมัน รู้ลงไปลึกซึ้งเลยทำไมมันไปเจตนาเพ่งขึ้นมาเพราะมันอยากดี รู้ต้นตอคืออยาก พอรู้ต้นตอตรงนี้ การเพ่งก็ดับ การเพ่งเป็นภพที่ดี แต่ภพนี้ก็เกิดจากตัณหา เพราะตัณหาคือความอยาก เป็นผู้สร้างภพทุกชนิด ตัณหาคือผู้สร้างภพ ภพที่ดีหรือภพที่ชั่ว ตัณหาอยู่เบื้องหลัง
เราค่อยๆ ฝึก ทำอย่างนี้ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิตตัวเองเรื่อยๆ เรียนรู้จิตตัวเองไป ตอนนี้จิตหลงไปจากกรรมฐาน รู้ ตอนนี้จิตไปเพ่งกรรมฐาน รู้ รู้ทันเรื่อยๆ จิตมันจะตื่น เมื่อจิตตื่นได้แล้วคราวนี้เรามาถึงจุดที่ราบรื่น ต่อไปนี้ถ้าจิตตื่นอยู่ ไม่ต้องกลัวเลย ขันธ์แยกทันที ในความเป็นจริงแล้วขันธ์ 5 ของเราแยกกันอยู่แล้ว มันถึงชื่อว่าขันธ์ ขันธ์แปลว่าส่วน แปลว่ากอง เป็นส่วนๆ ขันธ์ทั้ง 5 มันแยกส่วนกันอยู่แล้ว เพราะความไม่ฉลาดของเรา เราไปหมายรู้ผิดว่ากองนี้รวบมันเข้ามาคือตัวเรา
สังเกตไหมเวลาที่จะเกิดเซลฟ์ เกิดความเป็นตัวตน มันจะมีอาการรวบเข้ามา ไปดูจิตตัวเอง เวลาเราแค่นั่งสมาธิอยากสงบปุ๊บจะไปรวบเข้ามาแล้ว อยากปฏิบัติก็จะไปรวบเข้ามาแล้ว รวบเข้ามาขันธ์เลยเป็นก้อนเดียวกันเลย ทั้งๆ ที่ขันธ์มันแยกกันอยู่แล้ว ทะลึ่งไปรวมเข้ามาเอง
แต่ถ้าทันทีที่จิตของเราตั้งมั่นขึ้นมา เราจะเห็นขันธ์มันแยก เราไม่ต้องแยกขันธ์ ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว เราจะเห็นรูปอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนรู้รูปอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาคือความสุขทุกข์ในกายในใจอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่อีกส่วนหนึ่ง ความจำได้ความหมายรู้อยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง ความปรุงดีปรุงชั่วอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง แม้แต่ตัวจิตเองก็ไม่ยั่งยืน เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้คิด เดี๋ยวเป็นจิตผู้รู้ เดี๋ยวเป็นจิตผู้เพ่ง จะมีจิตผู้รู้มาคั่นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่เคยมีจิตผู้รู้ มันมีแต่จิตผู้หลง เดี๋ยวหลงดู เดี๋ยวหลงฟัง เดี๋ยวหลงคิด ไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้จริงเลย เพราะกำลังหลงอยู่ กำลังมีโมหะอยู่ มันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร ปัญญาคืออโมหะ ไม่มีโมหะ
ถ้าจิตเราถูก การเจริญปัญญาจะใช้เวลานิดเดียว
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไม่มีโมหะ จิตต้องตั้งมั่นขึ้นมา สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ปัญญาคือสภาวะที่มันไม่มีโมหะ เพราะฉะนั้นพอจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันแยกเอง ไม่ต้องทำอะไรหรอก มันแยก แล้วคราวนี้ เราก็จะเห็นขันธ์แต่ละขันธ์ มันแสดงบทบาทของมัน มันแสดงไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ขันธ์จะแสดงไตรลักษณ์ ร่างกายไม่สนใจอสุภะแล้ว มันจะเห็นไปที่ไตรลักษณ์ ตรงนี้มันเดินปัญญา ทำวิปัสสนาจริงๆ แล้ว ฉะนั้นความยากอยู่ตรงที่เราจะปลุกใจตัวเองให้ตื่นขึ้นมา ที่เทศน์ให้ฟังอยู่ตั้ง 20 ปี 20 – 30 ปี ก็เรื่องที่จะปลุกพวกเราให้ตื่น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ขันธ์มันแยก
ถ้าขันธ์มันแยกได้ มันจะเห็นขันธ์แต่ละขันธ์ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่ใช่เรื่องยาก ถึงตรงนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว จิตมันเดินเอง แต่ว่าพอจิตมันทำไปช่วงหนึ่ง จิตมันหมดแรง จิตหมดแรงกลับมาทำความสงบ เห็นไหมสมาธิสงบก็สำคัญ ให้จิตได้พักผ่อน ไม่ต้องเดินปัญญารวดไป เดินปัญญารวดไปแล้วจิตสมาธิไม่พอจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส จะหลงผิดว่ากูเก่ง กูเป็นพระอรหันต์อะไรขึ้นมา ทำความสงบก็กลับไปเดินปัญญาใหม่สลับกันไปอย่างนี้ เหมือนเดินด้วยเท้าซ้ายเท้าขวา เดินด้วยสมถะแล้วก็ตามด้วยวิปัสสนา วิปัสสนาหมดแรงแล้วทำความสงบกลับเข้ามา ทำไปๆ เรื่อยๆ
ยืนพื้นเลยศีลต้องรักษาเท่านั้นล่ะ ถ้าเดินอยู่ในแนวนี้ การปฏิบัติไปสู่มรรคผลไม่ไกลๆ หรอก มันไกลเพราะเราขึ้นต้นทางไม่ได้ ถ้าเราขึ้นต้นทางได้ก็เดินราบรื่นไป ไม่นาน ใช้เวลาไม่มาก ถ้าจิตเราถูก การเจริญปัญญาจะใช้เวลานิดเดียว เวลาส่วนใหญ่ของเราคือมาพัฒนาจิตให้มีคุณภาพที่จะเดินปัญญา
ยากไปไหม ยากหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องทำ ทำแรกๆ ก็ยากล่ะ ทำไปแล้วไม่ยาก ถึงจุดหนึ่งไม่เห็นต้องทำอะไรเลย หลวงพ่อไม่เห็นต้องทำอะไรเลย นี่ขันธ์มันก็แยกหมดแล้ว แยกของมันเอง ไม่ต้องไปนั่งแยกมัน ก็เห็นไตรลักษณ์อยู่เรื่อยๆ เห็นอะไร เห็นแต่ทุกอย่างว่างเปล่า อยู่กับพวกเราเยอะๆ ก็เหมือนหลวงพ่ออยู่ตามลำพัง ต่างกับตามลำพังคือต้องพูด ถ้าไม่ต้องพูดเหมือนอยู่คนเดียว สบาย
รู้วิธีแล้วเอาไปทำเอาๆ แล้วมีจุดหนึ่งก็คืออย่างสมมติเราเดินปัญญาไปแล้ว ถึงจุดหนึ่งวันนี้ภาวนาไม่เป็นแล้ว ทำอย่างไรดี ทำไม่เป็นกลับมาทำสมถะ สมถะก็ทำไม่ถูกแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกร่างกายไป ร่างกายไม่เคยหายไปไหน ร่างกายกระดุกกระดิก รู้สึกไป ร่างกายหยุดนิ่ง รู้สึกไป รู้สึกเรื่อยๆ เดี๋ยวจิตมีแรงแล้วกลับขึ้นไปปฏิบัติได้
การปฏิบัตินั้นเจริญแล้วเสื่อมๆ ถ้าปฏิบัติแล้วเจริญลูกเดียวผิดแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เราปฏิบัติอยู่ตรงนี้มันยังเป็นขั้นโลกิยะอยู่ ศีล สมาธิ ปัญญาของเราในขั้นนี้ยังเป็นโลกิยะ ยังเจริญแล้วเสื่อมได้ เพราะฉะนั้นบางวันเรารู้สึกมรรคผลอยู่ต่อหน้าแล้ว อีกวันหนึ่งไม่รู้จะภาวนาอย่างไร ทำไม่เป็นแล้ว ไม่ต้องตกใจ ทำอะไรไม่เป็น กลับมาทำสมาธิ ทำสมถะของเราไป พุทโธไปอะไรไปก็ได้ หรือรู้สึกร่างกายไปก็ได้ เดี๋ยวจิตมีกำลังกลับขึ้นไปปฏิบัติได้อีก
ตรงที่เราภาวนาแล้วเราเห็นว่ามีแต่เจริญแล้วเสื่อมๆ เขากำลังสอนธรรมะขั้นสูงให้เรา สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ กระทั่งปัญญาที่เกิด วันนี้รู้จริง เห็นอะไรก็เป็นไตรลักษณ์ อีกวันหนึ่งไม่เห็นแล้ว เขาสอนไตรลักษณ์ให้เราอยู่ แล้วก็กำราบความอหังการของเรา กูเก่งๆ ภาวนามาถึงวันนี้ ไม่รู้เรื่องแล้ว ทำไม่เป็นแล้ว อันนั้นดี ไม่ใช่ไม่ดี ธรรมะกำลังสอนธรรมะให้เรา ธรรมะมันสอนให้ สอนไตรลักษณ์ให้เรา สอนให้เห็นกูไม่เก่งเลย เพราะอะไร เพราะเอาเข้าจริงๆ กูไม่มีหรอก มีแต่ความหลงผิดว่ามีกู
ส่งการบ้าน วันนี้เทศน์เรื่องสมถะเสียเยอะเลย เพราะพวกพระเราพลาด พลาดมหาศาลเลยที่ล่มจมไป พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ทั้งหลายนั้น เปรียญสูงๆ ทั้งหลายทำไมพลาด ไม่พิจารณาปฏิกูลอสุภะ อุปัชฌาย์สอนตั้งแต่ตอนบวช ไม่จำ ไม่เอามาทำ หรือไม่สำรวมระวังความคิดก็พลาด พอพลาดแล้ววุ่นวายกันใหญ่ คนดูถูกเหยียดหยามพระไปหมดแบบไม่มีการจำแนก เดี๋ยวนี้คนดูถูกพระเยอะ มันไม่รู้หรอกว่ามันหานรกใส่ตัวเพราะพระดีๆ ยังมีอีกตั้งเยอะ
ตอนนี้กำลังทำทะเบียนประวัติพระอยู่ ตำรวจได้รับมอบหมายให้มาทำทะเบียนประวัติพระ รายละเอียดยิบเลย เช่นเดียวกับทะเบียนประวัติอาชญากร ทำอย่างนั้น อย่างบางที่คิดจะทำพระทุกองค์ นี่ก็ Nonsense อีก ออกพรรษาพระเขาก็เปลี่ยนรุ่น พระที่อยู่ประจำมีนิดเดียว จะไปทำพระ อ้าว ออกพรรษาเปลี่ยนอีกแล้ว มันบวชๆ สึกๆ อยู่ทุกวัน ใครมันจะไปนั่งตำรวจที่ไหนมันจะมานั่งทำได้ กลัวโกงๆ พระโกงมีไหม มี
ถ้าเป็นหลวงพ่อ หลวงพ่อในฐานะเมื่อก่อนนี้เป็นเขาเรียกผู้ชำนาญการด้านการวิเคราะห์นโยบายและแผน เป็นผู้ชำนาญการซี 10 ตรงนี้ ถ้าเป็นหลวงพ่อ หลวงพ่อจะแยกกลุ่มวัดก่อน กลุ่มวัดที่มีความเสี่ยงสูงที่จะโกง กลุ่มวัดล่างๆ เลย กลุ่มวัดที่ไม่มีปัญญาโกง กองแค่นี้ กลุ่มวัดที่มีโอกาสโกงมีอยู่แค่นี้ ก็ไปตรวจทำไมให้หมด เหนื่อยตายชักเลย ตรวจไม่ได้จริง พอจะตรวจเยอะก็ต้องขออัตราเพิ่ม อันแรกเลยคิดต้องขออัตรา ขอซี มีการให้ตั้งกรรมการบริหารทรัพย์สินวัด อันนี้ก็ดี ดีกว่าให้พระกับพรรคพวกไปทำกันเอง
แต่ว่ากรรมการนี่สิน่ากลัว เอาข้าราชการมาร่วมด้วย เอาผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อบต. มาร่วมด้วย โหย อย่างกับพวกนี้ไม่เคยโกงๆ ผู้บริหารสำนักพุทธติดตารางอยู่ตั้งหลายคนตอนนี้ ตำรวจโกงบ้างไหม มันก็โกงด้วยกันล่ะ ระเบียบออกมาเยอะๆ มันเหนื่อยเปล่าๆ มันแก้การโกงไม่ได้จริงหรอก ถ้าแยกกลุ่มแล้วก็คอยตรวจสอบให้จริงจัง กลุ่มข้างบนนี้ล่ะเป็นตัวรีดไถข้างล่าง จัดการหัวมันเสียก่อนข้างล่างก็สบายขึ้น เราก็พูดไปอย่างนั้นล่ะ เพราะเราไม่ใช่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ หนีออกมาจากระบบราชการมาเจอระบบราชการ
วัดสวนสันติธรรม
10 สิงหาคม 2568