เจริญพร หลวงพ่อนึกว่ามาเทศน์วันนี้โยมจะน้อย ช่วงนี้มีข่าวมากมายเกี่ยวกับพระ บางที่คนไม่เข้าวัดแล้ว บางที่ก็ไม่ใส่บาตร ที่จริงพระก็คนนั่นล่ะ ธรรมดาเหมือนพวกเราอย่างนี้เอง แค่ไปบวช บางคนบวชเพราะศรัทธามุ่งมั่นเอาดี บางคนบวชไปอย่างนั้น เป็นอาชีพบวชเป็นเครื่องอยู่อาศัยอะไรไป บางทีก็บวชหนีคดีหนีอะไร ฉะนั้นมันหลากหลายคน เป็นฆราวาสมีกิเลสไปบวชก็เอากิเลสเข้าวัดไปด้วย ที่จริงพระผู้หญิงมาหลอกไม่ได้หรอก ถ้าพระไม่เต็มใจให้หลอก ถ้าพระถ้าไม่เต็มใจให้เขาหลอกก็คือรักษาพระวินัย
พระพุทธเจ้ากำหนดมาตรการคุ้มครองพระเยอะแยะหลายข้อ อย่างไม่อยู่ในที่ลับหูลับตากับผู้หญิงอย่างนี้ มันจะไปทำผิดได้อย่างไร ลับตาก็เช่นอยู่ในที่ในห้องในอะไรอย่างนี้ที่ลับตาไม่มีคนเห็น อันนี้ท่านก็ปรับอาบัติไว้ ลับหูตัวนี้ตัวสำคัญเลย สมัยก่อนยังไม่น่ากลัวเท่ายุคนี้ ลับหูคือคุยกันโดยที่ไม่มีคนอื่นได้ยิน เดี๋ยวนี้คุยกันทางโทรศัพท์ทางไลน์ทางอะไรไม่มีใครได้ยิน อาบัติ ถ้าพระสำรวมระวังแล้วก็ไม่มีปัญหา อย่างที่วัดหลวงพ่อเข้มงวด เขตที่พระอยู่โยมไม่ได้เข้ามา กันไว้มีรั้วกั้นไว้เรียบร้อย ไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาในเขตพระ
เรื่องเงินพระพุทธเจ้าท่านก็มีมาตรการคุ้มครองอยู่แล้ว พระต้องไม่ถือเงินเอง ให้แยกให้ชัดเจนระหว่างเงินของวัดกับเงินที่เขาถวายพระองค์นั้นองค์นี้ ที่วัดหลวงพ่อก็แยก ไวยาวัจกรมี 2 คน คนหนึ่งคุมเงินวัด มีแต่หลวงพ่อกับไวยาวัจกรที่ดูแลเวลาเบิก ไม่ได้เอาสมุดไปเบิก ที่วัดใช้ระบบเบิกด้วยเช็คตลอดเลย มีหลักฐานไม่กลัวการตรวจสอบ อีกคนหนึ่งเป็นไวยาวัจกรสำหรับพระ พระที่วัดไม่มีโอกาสจับเงินเลยที่วัดหลวงพ่อ เป็นไปตามพระวินัยก็ปลอดภัย ที่มีปัญหาไม่ใช่พระธรรมวินัยไม่ดี คือคนมันไม่ดีไม่ทำตามพระธรรมวินัยมันถึงได้วุ่นวาย
แต่หลวงพ่อพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปยุ่งสำนักอื่น เราทำงานของเราไปไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่ยุคนี้คนชอบเอาหลวงพ่อไปอ้าง ดูในยูทูปเห็น อูย น่าตกใจ เวลาพระองค์ไหนมีเรื่องต้องเอารูปหลวงพ่อไปแปะไว้ด้วย เอาไว้เรียกยอดวิว แล้วคนก็เข้าไปด่าข้างในเองว่าเอามาใส่ไว้ทำไม ไม่เห็นเกี่ยวเลย บางทีไม่มีเรื่องอะไรเอาใส่ไว้เฉยๆ บางทีก็บอกมาคุยกับหลวงพ่อแล้วหลวงพ่อว่าอย่างนั้นหลวงพ่อว่าอย่างนี้ โอ๊ย พวกเราสมัยโบราณเขาเรียกฟังหูไว้หู ยุคนี้ถ้าใครอ้างหลวงพ่อ เราฟังครึ่งหูเอาไว้หูครึ่ง เชื่อไม่ค่อยได้อะไรเลยเดี๋ยวนี้ มันโกหกเป็นไฟแต่ละคน เราพูดอย่างนี้เอาไปเขียนอย่างนี้ เลือกได้ยินเฉพาะที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง
หลักการทำงานของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะไม่ยุ่งกับคนอื่น อย่างเราจะเห็นเลยหลวงพ่อไม่พูดถึงพระองค์นั้นองค์นี้เป็นสมีเป็นทิดอะไร ไม่พูดถึง พระวินัยมี อย่างสมมติว่ามันยังไม่ชัดเจนเหมือนหลวงพ่อองค์ที่กำลังดังๆ สุดขีดตอนนี้ ยังไม่ชัดเจน เราจะไปพูดว่าปาราชิก คนพูดถ้าเป็นพระอาบัติสังฆาทิเสส เรียกว่าโจทก์ปาราชิกโดยไม่มีมูล อาบัติสังฆาทิเสส ถ้าไปบอกเขาว่าเขาสังฆาทิเสส เขาจับต้องกายหญิง มีข่าวถูกเนื้อถูกตัวสตรีชุดขาว จริงหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย แล้วถ้าเราเอาไปพูด เรียกว่าโจทก์อาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล เราก็อาบัติ
ฉะนั้นพวกเราจะเห็นหลวงพ่อไม่พูดถึงตัวบุคคล เพราะพระวินัยไม่ได้ให้ทำอย่างนั้น แล้วมันไม่ใช่เรื่องของเรา ผิดถูกอะไรมันก็เรื่องของตำรวจเรื่องของพระวินยาธิการอะไรพวกนี้เขาต้องจัดการ ไม่ใช่เรื่องของเรา เวลาเราได้ข่าวอะไรพวกนี้ อุเบกขาไว้ อย่าไปรักอย่าไปเกลียด ฟังเฉยๆ เก็บเป็นข้อมูลไว้เฉยๆ ฉะนั้นถ้าเราสังเกตให้ดี หลวงพ่อจะไม่ไปก้าวล่วงวัดอื่นเลย แต่มีที่พูดเรื่องพุทธวจน อันนี้พูด เรื่องพุทธวจนไม่ใช่เรื่องบุคคล มันเป็นเรื่องหลักการ
ธรรมะเรื่องอันตรธาน
ความสูญสิ้นไปของพระพุทธศาสนา
มีธรรมะอย่างหนึ่งเรื่องอันตรธาน อันตรธานนี้คือความสูญสิ้นไปของพระพุทธศาสนา บอกเวลาพระพุทธศาสนาจะสูญไป พวกเราเคยได้ยินไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติเรียนพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาอะไรพวกนี้ ปฏิบัติก็ลงมือทำสมถะวิปัสสนา ปฏิเวธก็คือการบรรลุผลของการทำสมถะวิปัสสนา ก็คือบรรลุมรรคผลนิพพาน สิ่งที่จะสูญไปก่อนก็คือปฏิเวธ เราจะเห็นว่ายุคนี้ครูบาอาจารย์ที่ดูบริสุทธิ์หมดจดจริงๆ ลดลงๆ สมัยหลวงพ่อเข้าวัดใหม่ๆ เมื่อสัก 40 ปีก่อน 40 กว่าปี ครูบาอาจารย์เยอะแต่ละองค์ดูงามๆ งดงามมากเลย ทุกวันนี้ร่อยหรอจนกระทั่งโยมบอกไม่รู้จะไหว้พระที่ไหนแล้ว จะไหว้พระพุทธรูปก็ยังมีปัญหาอีก พระวัดไหน ถ้าวัดไร่ขิงต้องคิดหนักอะไรอย่างนี้
ปฏิเวธพิสูจน์ยากว่าท่านใดบรรลุท่านใดยังไม่บรรลุ แล้วมันก็ถดถอยไปเรื่อยๆ โอกาสที่พระยุคนี้จะบรรลุมรรคผลก็ลดลงเรื่อยๆ สิ่งที่บ่อนทำลายพระมากที่สุดก็คือมือถือ มันบ่อนทำลายอย่างแรงเลย สู้กิเลสไม่ไหว ดูพระที่หายนะเพราะมือถือติดต่อผู้หญิงติดต่ออะไรอย่างนี้ ฉะนั้นปฏิเวธก็เสื่อมลงๆ ท่านที่เข้าถึงความบริสุทธิ์แต่ละชั้นๆ ลดลงๆ ปฏิบัติ ปฏิบัติก็ย่อหย่อนลงไปเรื่อยๆ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติยังมีการเรียนอยู่บ้าง ปฏิบัติหย่อนลงไปเยอะเลย ที่ปฏิบัติมันตรงทางไหม ลดละกิเลสได้ไหม มันน่าคิด อย่างคนเข้าวัดไปนั่งสมาธิ ถามว่าแล้วมันลดละกิเลสได้จริงไหม ไม่ค่อยลด บางทีปฏิบัติไปแล้วกิเลสแรงกว่าเก่า ปฏิบัติผิดมันก็เสื่อมลง
เมื่อก่อนที่สุรินทร์สมัยหลวงพ่อไปเรียนกับหลวงปู่ดูลย์ เขาปฏิบัติกันเข้มแข็ง กระทั่งฆราวาสปฏิบัติกันจริงจังมากเลย เดี๋ยวนี้ไปดูมันก็ไม่มี ไม่มีคนปฏิบัติเท่าไรแล้ว มีแต่คนอย่างมากก็คนทำบุญ ปฏิเวธก็เริ่มหายไป ปฏิบัติก็เริ่มหายไป เหลือปริยัติ ปริยัติสิ่งที่เป็นหลักของเราก็คือพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้มันอาถรรพ์อะไร มันเหมือนอาถรรพ์เหมือนต้องคำสาป คนที่พยายามทำลายพระไตรปิฎกมีเสมอ
ตอนหลวงพ่อเด็กๆ มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งออกมาพูดเลย พระไตรปิฎกควรจะตัดอภิธรรมทิ้ง ไม่จำเป็น ทีนี้ตัดพระอภิธรรมทิ้งก็เหลือแต่พระวินัยกับพระสูตร พอมาถึงวันนี้จะตัดพระสูตรอีกแล้ว เลือกเฉพาะพุทธวจน พระสูตรจำนวนมากให้เอาทิ้งไป พระวินัยเอาลดลงเหลือ 150 บอกว่าพุทธวจนะพูดถึงวินัย 150 ข้อที่ให้สวดปาติโมกข์ อันนั้นเป็นการแปลบาลีผิด หลวงพ่อไม่รู้บาลีหรอก คนที่พูดก็ไม่รู้บาลี อ่านจากฉบับแปลจากบาลีอีกทีหนึ่ง มันแปลไว้ผิด
ท่านเจ้าคุณสมเด็จประยุทธ์ท่านเก่งบาลีท่านบอกแปลผิดตรงนี้ ในพระสูตรบอกว่า 150 ข้อและส่วนที่มากกว่านั้น 150 ข้อนั้นเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า อาจจะยุคต้นๆ ก็ได้ ยุคกลางๆ พุทธกาล แล้วหลังจากนั้นท่านก็ยังบัญญัติเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มีแค่นั้น แล้วถ้าอ่านพระวินัยด้วยจะรู้ อย่างเสขิยวัตร 75 ข้อที่เขาจะตัดทิ้ง ท่านระบุว่าให้สวดด้วย ฉะนั้นต้องสวด 227 ถ้าอ่านพระไตรปิฎกให้หมด นี่ก็จะตัด วินัยก็จะตัด พระสูตรก็จะตัด อภิธรรมตัดอยู่แล้ว แล้วมันเหลืออะไร บอกเหลือพุทธวจน
จริงๆ ในพระไตรปิฎกมีทั้งพุทธวจนมีทั้งคำสอนของพระเถระ พระเถรี คำพูดคำแสดงธรรมของเทวดา ของฤๅษีของอะไร มีเยอะแยะเลย ของเปรตยังมีเลย พวกเปรตมันได้รับความทุกข์ก็พูดเป็นธรรมะขึ้นมา มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งหลวงพ่อเคยเข้าไปกราบคือหลวงปู่มหาเขียน พระอริยเวที องค์นี้จบเปรียญ 9 ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เก่งทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ท่านบอกเลยว่าท่านท่องพระไตรปิฎกได้ แล้วท่านบอกพระไตรปิฎกทั้งหมดทุกเรื่องเลยสอนเรื่องการปฏิบัติทั้งนั้น คนที่รู้จริงมองปุ๊บบอกตรงนี้เป็นเรื่องปฏิบัติ อันนี้ก็ปฏิบัติ ไม่ใช่ตัดทอนไปเฉยๆ
ที่หลวงพ่อออกมาพูดเรื่องพุทธวจนไม่ใช่ว่าไปต่อต้านตัวบุคคล แต่บอกว่าถ้าทำตามใจชอบแบบนี้ ไม่นานศาสนาพุทธจะอันตรธานคือเสื่อมไปหมด มันจะสูญไปหมดเลย แล้วพุทธวจนที่สอนถูกหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พุทธวจนที่พระพุทธเจ้าพูดจริงๆ ถูกแน่นอน แต่ที่เอามาถ่ายทอดถูกหรือเปล่า ไม่แน่ เพราะแปลบาลีไม่เป็น แล้วตีความเอาเอง การตีความก็คือทำหน้าที่ของอรรถกถา สิ่งนี้คืออันตรายของพระศาสนายิ่งกว่าเรื่องพระมีเมียอีก มันเหมือนต้นไม้พิษที่เพาะเอาไว้ เดี๋ยวมันก็จะงอกงามไปเรื่อยๆ สืบทอดมาเรื่อยๆ
ทีนี้บางคนบอกว่าได้ฟังธรรมะจากท่านนี้แล้วได้ประโยชน์ ก็ไม่แปลกที่จะได้ประโยชน์ เพราะถ้าได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงจะเลือกมาบางส่วนแม้แต่เพียงสูตรเดียว ถ้าถูกต้องก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าเราได้ประโยชน์จากธรรมะในส่วนนี้ แล้วเราเหยียดหยามทำลายส่วนที่เหลือ บอกตรงนี้เราได้ประโยชน์แล้วตรงนี้ถูกต้องแล้ว มันก็คล้ายๆ ชาวบ้านทางเหนือถึงปีเขาเผาป่า ทำไมต้องเผาป่าเผาใบไม้เศษอะไรอย่างนี้เผาไหม้ไปหมดป่าเลย เหลือพื้นดินโกร๋นๆ พอฝนตกแล้วเห็ดขึ้น อันนี้เรียกว่าเผาป่าเพื่อเก็บเห็ด หรือทำลายพระไตรปิฎกแล้วบอกว่าเราได้ประโยชน์ส่วนตัวนิดหนึ่ง มันอันตรายนะพวกเรา เพราะฉะนั้นพยายามศึกษาเอาไว้ คนที่บ่อนทำลายศาสนาพุทธไม่ใช่คนนอก ก็คนในศาสนาพุทธนั่นล่ะ สิ่งที่พวกเราต้องทำคือศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลคือรากฐานของการภาวนา
นี่ก็มีการมาสอนอีกแล้วว่าศีลรักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องรักษา โอ้ มันไปหนักทุกทีๆ อย่าไปเชื่อ ศีลต้องรักษา ถ้าศีลของเราเสีย เสียไปหมดแล้วทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อต้นเดือนมกราคมก็มีคนสอนธรรมะคนหนึ่งเข้าไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่าจะสอนธรรมะ ถ้าสอนได้ถูกต้องก็อนุโมทนา แต่เราสอนต้องถูกต้อง ถ้าสอนผิดต้องแก้ ถ้าไม่แก้บาปหนัก ถ่ายทอดสิ่งที่ผิดไป เขาบอกว่านี่เขากำลังถูกฟ้องถูกอะไรเยอะแยะ บอกไปกลัวทำไม ถ้าเรามีศีลที่ดีมีธรรมที่ดี ศีลรักษาเรา หลวงพ่อยกตัวอย่างตัวเองให้เขาฟัง เมื่อปี 53 ถูกโจมตีเยอะแยะเลย ทำไมหลวงพ่อไม่เป็นอะไรเลย เพราะศีลรักษาเรา บอกเขาว่าศีลต้องรักษา ถ้าไม่รักษาศีลเอาตัวไม่รอดหรอก แล้วพระถ้าไม่รักษาศีลสุดท้ายก็วิบัติ
ฉะนั้นพวกเราจะภาวนาต้องตั้งใจรักษาศีลไว้ให้ดี คนอื่นเขาไม่รักษาก็เรื่องของเขา แต่เรารักษาไว้ 5 ข้อพอแล้วสำหรับฆราวาส ศีล 5 จำได้ไหม ใครยังจำไม่ได้ยกมือ ซื่อตรงหน่อยมีไหม ไม่มี อนุโมทนา แล้วใครทำได้บ้าง ทำได้ครบ 5 ข้อ มีไหมยกมือให้หลวงพ่อดูหน่อย อืม มีประปราย อนุโมทนา ใครได้ 4 ข้อ ข้อมุสาหล่น โอ้ นี่ชักเยอะแล้ว อีกข้อฆ่าสัตว์นี่ยังพอฆ่า ฆ่ามนุษย์นี่คงไม่ค่อยมี ถ้าเรามีศีล 5 ข้อ มันก็เต็มมันก็อิ่ม ถ้าศีลเราแหว่งไปข้อหนึ่งก็ยังดีเหลือ 4 ข้อ ถ้ารักษาให้ดีรักษาข้อ 5 ไว้รักษาให้ดี ข้อ 5 เป็นตัวบ่อนทำลายสติ กินเหล้าเมายาเสพติดอะไรพวกนี้ พอสติไม่ดีก็ทำผิดศีลได้อีก 4 ข้อ
แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้สังเกตคน คนที่ผิดศีลข้อ 4 คนโกหกที่จะไม่ทำชั่วอย่างอื่นด้วยไม่มีหรอก ฉะนั้นที่พวกเราเมื่อกี้ยกมือกันเยอะแยะ ศีลข้อ 4 แหว่ง ตั้งใจรักษาให้ดี เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าศีลข้อ 4 ไม่ดี มุสาได้โกหกได้ โอกาสจะทำผิดศีลข้ออื่น โอกาสทำชั่วมันสูง บางคนโกหกเป็นไฟเลย ทำไมเป็นไฟก็ไม่รู้ เป็นไฟเผาคนอื่นกระมัง แล้วก็เผาตัวเอง ศีลถ้าเรารักษาได้ต่อเนื่อง เวลาเรานึกถึงเราจะอิ่มอกอิ่มใจ
เคยเล่าหลายทีที่มีพระสมัยพุทธกาล ท่านเสียใจรุ่นเดียวกันเขาได้บรรลุมรรคผลไปแล้ว เป็นพระอรหันต์พระอนาคามี อะไรอย่างนี้ ตัวท่านไม่ได้อะไรเลย ท่านเสียใจมาก รู้สึกอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ กินข้าวชาวบ้านไปเฉยๆ ไม่ดี ท่านก็ไปยืนพิงผนังกุฏิแล้วก็เชือดคอตัวเอง ทีนี้เชือดยังไม่ตาย ท่านก็นึกถึง เอ เราบวชมาทั้งทีได้อะไรบ้าง ไม่ได้อะไรเลยหรือ คือไปคิดแต่ว่าได้มรรคผล แล้วก็นึกได้ตั้งแต่บวชมานี่ได้ศีล ศีลของท่านไม่เคยด่างเลย ตัวท่านก็ไม่เห็นว่าตัวท่านจะด่างพร้อยตรงไหน เพื่อนพระด้วยกันก็ไม่เคยเห็นว่าท่านด่างพร้อย พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตำหนิว่าท่านทำผิดศีล
พอท่านคิดถึงว่าศีลของท่านดี จิตของท่านอิ่มเอิบเบิกบานสมาธิก็เกิด เมื่อจิตมีสมาธิขึ้นมาก็พิจารณาลงไปร่างกายที่จะตายไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้มันเป็นก้อนทุกข์แท้ๆ เลย มันจะแตกมันจะดับแล้ว มันไม่ใช่ตัวเราของเรา ท่านพิจารณาลงไปในกายด้วยจิตที่ทรงสมาธิ สมาธินี้เกิดจากการระลึกถึงศีล แล้วท่านก็บรรลุพระอรหันต์ แล้วก็ปรินิพพานไปในขณะนั้นเลย
อานิสงส์ของศีลยิ่งใหญ่มาก “สีเลนะ สุคะติง ยันติ” ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้อย่างน้อยก็ไปสุคติ “สีเลนะ โภคะสัมปะทา” มีโภคทรัพย์ สังเกตไหมพระที่ท่านมีศีลคนเอาของมาถวายตลอดเวลาเลย หลวงพ่อที่วัดอยู่วัดคนเอาบาตรเอาผ้าไตรเอาอะไรข้าวของมาถวายทุกวัน เราก็ต้องแจก ไม่เอาไปขาย เอาไปแจกวัดที่ยากจนอะไรอย่างนี้ไป มีศีลแล้วมีโภคทรัพย์ มีจริงๆ
ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อคือหลวงปู่เทสก์ ท่านเล่าว่าตอนท่านเป็นพระหนุ่มๆ เดินธุดงค์ตามป่าตามเขาอดๆ อยากๆ มีแรงฉันแต่ไม่มีจะฉันเพราะอยู่ในป่า พอท่านภาวนาพอใจแล้วท่านมาอยู่ที่วัดอยู่กับที่ โยมเข้าไปหาเยอะแยะเลย ทุกวันเอาของไปให้ท่านฉันมากมาย ท่านบอกพอถึงเวลาที่มีของให้ฉันก็ฉันไม่ไหว ร่างกายมันแก่แล้ว คนแก่กินอะไรได้ไม่เยอะหรอก ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ สำหรับพระนี่เห็นชัดๆ เลย ไม่ต้องหลอกใคร ไม่ต้องขายวัตถุมงคล ไม่ต้องใบ้หวย ไม่ต้องรดน้ำมนต์ แค่มีศีลให้ดีคนเข้ามาทำบุญ
“สีเลนะ นิพพุติง ยันติ” มีศีลก็ไปถึงพระนิพพานได้ ไม่มีศีลไปพระนิพพานไม่ได้ ทำไมไม่มีศีลไปนิพพานไม่ได้ เพราะไม่มีสมาธิมันเดินปัญญาไม่ได้ เมื่อเดินปัญญาไม่ได้ก็ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในธาตุขันธ์ไม่ได้ ก็นิพพานไม่ได้ เห็นไหมเป็นเหตุเป็นผลเรียงร้อยกันไปตามลำดับ เรานิพพานได้เพราะเราเห็นความจริงของรูปนามกายใจว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นจนกระทั่งปล่อยวางได้ไม่ยึดถือ
เมื่อเราปล่อยวางความยึดถือในรูปนามกายใจได้ ตัณหามันจะไม่มีแล้ว มันไม่มีความอยากแล้ว ตัณหามันดับสนิทก็คือนิพพานนั่นล่ะ นิพพานคือตัววิราคะตัวสิ้นตัณหา เมื่อสิ้นตัณหาจิตใจก็ไม่ฟุ้งซ่านไม่ดิ้นรนเรียกวิสังขาร ไม่ปรุงแต่ง ไม่ใช่ไม่มีความคิด มีความคิดแต่จิตไม่หลงไปในความปรุงแต่งทั้งหลาย ที่เห็นความจริงของรูปนามกายใจได้เรียกว่ามีปัญญา
อะไรทำให้ปัญญาเกิด สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ตัวนี้ตัวแตกหักเลย เท่าที่หลวงพ่อสังเกตมาคนที่มีสัมมาสมาธิ น้อยอย่างยิ่งเลย พวกที่นั่งสมาธิ นั่งสมาธินั่งส่งเดชไปอย่างนั้นล่ะ พวกหนึ่งกลายเป็นสมาธิฤๅษี นั่งแล้วรู้โน่นรู้นี่เห็นโน่นเห็นนี่ไป มีฤทธิ์มีเดชอะไรไป อีกพวกหนึ่งก็นั่งเคร่งเครียด นั่งพวกนั้นมันไม่ใช่สัมมาสมาธิ ถ้านั่งเคร่งเครียดจิตเป็นอกุศลไม่ใช่เป็นกุศล
สัมมาสมาธิ: จิตที่ตั้งมั่นคือเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
ฉะนั้นที่หลวงพ่อสอนหนักหนาสาหัส หลวงพ่อปูพื้นมาเป็นสิบๆ ปีที่จะให้พวกเราเกิดสัมมาสมาธิ การทำจิตให้สงบยังไม่พอ สัมมาสมาธิไม่ใช่แปลว่าสงบ สัมมาสมาธิคือสภาวะที่จิตตั้งมั่น แล้วตั้งมั่นโดยที่เราไม่ได้จงใจตั้งด้วย ถ้าจงใจตั้งยังเจือด้วยโลภะอยู่ ยังไม่สะอาดจริงไม่บริสุทธิ์จริง ตัวนี้ที่หลวงพ่อเห็นว่ามันยากที่สุดเลย
เมื่อก่อนหลวงพ่อออกเทศน์ใหม่ๆ หลวงพ่อจะพูดเรื่อยเลย โอ้ย การปฏิบัติมันง่าย ง่ายนะ ง่ายนะ พูดอยู่อย่างนั้นล่ะ เพราะเรารู้สึกว่ามันง่าย แต่พอมาดูญาติโยมทั้งหลายทำไมมันยากนัก สังเกตดูมันยากเพราะมันไม่มีสัมมาสมาธิ ศีลบางคนก็รักษา แต่ไม่ได้เรียนอธิจิตตสิกขาไม่เกิดสัมมาสมาธิ อยากได้สัมมาสมาธิต้องเรียนถึงอธิจิตตสิกขา เรียนเรื่องจิต ทีนี้พอหลวงพ่อพูดเรื่องจิตเรื่องจิต เรื่องจิตดูจิตบูม ตอนนี้ใครๆ ก็สอนดูจิตกันใหญ่
บางที่สอนแล้วอาจารย์ก็เป็นบ้าลูกศิษย์ก็เป็นบ้า สอนผิดไม่ได้ไปดูจิต ไปเพ่งจิต เพ่งจิตไปเรื่อยๆ มันเครียด สุดท้ายก็บ้า ฉะนั้นดูให้ถูกดูให้เป็น ตัวนี้ที่ยาก ถ้าเราสามารถพัฒนาจิตจนตั้งมั่นได้แล้ว เราจะเห็นขันธ์มันกระจายตัวออก เราไม่ต้องแยกขันธ์ เพราะจริงๆ ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว มันชื่อว่าขันธ์ ขันธ์แปลว่าส่วน สิ่งที่ประกอบเป็นตัวเรามี 5 ส่วน เรียกขันธ์ 5 มันแยกกันอยู่แล้ว แต่การที่เราหมายรู้ผิดว่ามันรวมกันอยู่ เห็นมันรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนเรียกว่ามี “ฆน” (อ่านว่า ฆะนะ) ฆ.ระฆัง น.หนู ฆนรวมเป็นกลุ่มกัน ไปหมายรู้มันทีละทั้งกลุ่มก็เลยรู้สึกมีตัวเรา เวลาคิดก็คือนี่ตัวเรา แล้วก็เกิดทิฏฐิความเชื่อว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ
แต่ถ้าจิตเราตั้งมั่นเราจะเห็นขันธ์มันกระจายตัวออก รูปส่วนรูป เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ส่วนเวทนา สัญญาความจำได้ความหมายรู้ส่วนของสัญญา สังขารความปรุงดีความปรุงชั่วความปรุงไม่ดีไม่ชั่วนี่อีกส่วนหนึ่งเป็นสังขาร จิตที่รับรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณคือตัวที่หยั่งรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็คือจิตนั่นล่ะ ตัวเดียวกัน แต่ทำหน้าที่อย่างนี้เรียกว่าจิต ทำหน้าที่อย่างนี้เรียกว่าวิญญาณ ทำหน้าที่อย่างนี้เรียกว่าใจ จิต มโน วิญญาณ อันเดียวกัน เขาเรียกเป็นไวพจน์กันใช้แทนที่กันได้
ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ฝึก ทำอย่างไรจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องแยกขันธ์ ขันธ์มันแยก เมื่อขันธ์มันแยกได้เราจะเห็นขันธ์แต่ละขันธ์ไม่ใช่ตัวเรา ขันธ์แต่ละขันธ์ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ไม่มีตัวตันอะไร ค่อยดูค่อยรู้สึกไป ฉะนั้นจิตต้องตั้งมั่น ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นปัญญาไม่เกิด เพราะสัมมาสมาธิคือความตั้งมั่นของจิตเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ตัวนี้ล่ะที่ทำให้ไม่บรรลุมรรคผลสักที อุตส่าห์ถือศีลตั้งนานแล้ว อุตส่าห์นั่งสมาธิเดินจงกรมทุกวี่ทุกวัน ทำไมไม่บรรลุสักที เพราะจิตไม่มีคุณภาพ จิตไม่ตั้งมั่นจริง
ทำอย่างไรจิตจะตั้งมั่น ตรงนี้จำไว้ให้ดี ไปทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่งที่เราถนัด แล้วคอยรู้จิตของตัวเอง ไม่ใช่จ้อง ไม่ใช่จ้องเอาเป็นเอาตาย อย่างเราทำกรรมฐานหายใจเข้าพุทหายใจออกโธอย่างนี้ ถ้าจิตเราถลำไปจ้องลมหายใจ ให้รู้ทัน หายใจเข้าพุทหายใจออกโธจิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว ให้รู้ทัน คอยรู้ทันจิตตนเองไว้ แต่ไม่ใช่นั่งเฝ้าจิต นั่งจ้องจิตไม่ให้คลาดสายตาจะเครียด จ้องมากๆ บ้าเลย ที่ภาวนาบ้าๆ กัน เพราะดูจิตดูจิตแล้วบ้าก็เรื่องนี่ล่ะ ที่วัดไม่มี ที่วัดหลวงพ่อสอนเป็นลำดับไป
ให้ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งแล้วคอยรู้ทันพฤติกรรมของจิต เช่น หายใจเข้าพุทหายใจออกโธจิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว ลืมกรรมฐานแล้วรู้ทัน หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ จิตถลำลงไปเพ่งลมหายใจแล้ว รู้ทัน บางคนชอบเดินจงกรมก็เดินจงกรมไป เดินจงกรมก็ไม่ใช่เดินเคร่งเครียด บางคนเดินเอาเป็นเอาตาย ต้องเดินท่าโน้นถึงจะถูกเดินท่านี้ถึงจะถูก พ่อแม่เราสอนให้เดินท่าไหนก็เดินท่านั้นล่ะ เพียงแต่เดินด้วยความรู้สึกตัว
คำว่า “จงกรม” แปลว่าก้าวไป ไม่ได้บอกว่าก้าวแบบไหน คนขาไม่เท่ากันขาสั้นข้างยาวข้างจะไปให้ก้าวเหมือนคนขาปกติได้อย่างไร คนมีขาเดียวเอาไม้ค้ำเดินจงกรมได้ไหม ก็เดินได้ ก้าวไป ก้าวไปด้วยความมีสติ เพราะฉะนั้นเวลาเราเดินจงกรมไม่ได้สำคัญที่กระบวนท่า แต่กระบวนท่าก็มีประโยชน์เหมือนกัน อย่างถ้าเราเดินเรื่อยเปื่อยไปสะเปะสะปะอะไร ใจก็ฟุ้งง่าย ส่วนใหญ่ก็เดินอย่างนี้ การเตือนตัวเอง อยู่กับตัวเอง แต่ถ้าอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ใช่ เอาแค่ว่าเตือนตัวเองไว้ รู้สึกไว้ อย่าให้ร่างกายมันหายไปจากโลก เห็นร่างกายมันเดินไป
บางคนก็เถียงกันเอามือไว้ตรงนี้ดีหรือว่าไว้ข้างหลังดี บางคนเอาไว้อย่างนี้ บางคนเดินอย่างนี้ ไม่มีท่าไหนดีกว่าท่าไหนหรอก ถ้าเดินด้วยความมีสติก็ใช้ได้หมด เดินไปรู้สึกตัวไป จะกำหนดไม่กำหนดไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สติ ฉะนั้นอย่างเราเดินจงกรมไป เดินไปชอปปิง เดินในศูนย์การค้า เดินไป ใจวิ่งเข้าไปในกระเป๋าราคาแพงอยากได้ ใจวิ่งเข้าไป รู้ทัน นี่คือการปฏิบัติ มีสติรู้ทันจิตตัวเองมันวิ่งเข้าไปหามือถืออันใหม่แล้ว รุ่นนี้กำลังออกใหม่ อยากได้โน้นอยากได้นี้ ใจมันวิ่งๆๆ คอยรู้ทัน วิ่งไปวิ่งมาหันไปเห็น โอ้ ผู้หญิงคนนี้สวยจัง วิ่งไปที่เขาอีกแล้ว
เราจะปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ถ้าทำในรูปแบบให้แข็งแรง
ตรงนี้ยากนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราจะทำได้ถ้าเราทำในรูปแบบให้แข็งแรงก่อน อยู่ๆ ไม่ทำในรูปแบบ ไปเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไปไม่รอดหรอก กำลังของสติของสัมมาสมาธิไม่พอ เห็นอะไรเดี๋ยวมันก็หลงเตลิดไป เพราะฉะนั้นต้องแบ่งเวลาไว้เลย ทุกวันต้องทำในรูปแบบ แต่ทำกรรมฐานอะไรก็ได้แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเองไป อย่างดูท้องพองท้องยุบไปก็ได้ ดูพองดูยุบจิตถลำลงไปจ้องท้อง ให้รู้ทัน ดูพองยุบไปจิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว ให้รู้ทัน
ดูพองยุบไปบางคนก็ไม่น่ามาเลยเหนื่อยจะตาย อยากกลับบ้าน ให้รู้ทันอย่างนี้ รู้ทันจิตที่หลงคิดกับรู้ทันจิตที่หลงไปเพ่ง รู้ 2 ตัวนี้พอแล้ว อันนี้เป็น Know-how ที่หลวงพ่อภาวนามาแล้วจับหลักมาได้ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ไปทำกรรมฐานที่เราถนัด เห็นไหมหลวงพ่อไม่ได้บอกว่าให้ทำเหมือนหลวงพ่อ หลวงพ่อเริ่มต้นมาจากหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ แล้วจิตมันเคลื่อนไปรู้ทัน จิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา ตอนเด็กๆ นั่งสมาธิเยอะตั้งแต่ 7 ขวบ นั่งจนลมหายใจระงับกลายเป็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า แล้วจิตมันไหลเข้าไปในแสงสว่าง ตอนนั้นไม่รู้ทัน รู้ไม่ทัน
จิตไหลไปที่แสงปุ๊บอยากรู้อยากเห็นอะไร จิตมันออกรู้ออกเห็น นึกถึงสวรรค์ปุ๊บ จิตถึงสวรรค์แล้ว เร็วกว่าจรวดอีก นึกถึงอะไรจิตก็ไปที่นั่นเลย ไม่ใช่เรื่องดี เพราะตรงนั้นเราไม่มีสติแล้ว จิตมันเที่ยวแล้ว ตอนหลังๆ ก็ไม่เอาแล้ว จิตออกไปเที่ยวสวรรค์ไปเห็นเทวดาเห็นอะไร ถ้าเห็นเทวดาได้มันก็ต้องเห็นผีได้ต้องเห็นนรกได้ หลวงพ่อเป็นคนกลัวผี ตอนนั้นเด็กๆ ไม่เอา ต่อไปนี้เราจะไม่ตามแสงไปแล้ว ฉะนั้นเวลานิมิตมันเกิด แสงสว่างเกิดเป็นอุคคหนิมิตหรือเป็นปฏิภาคนิมิตเกิด จิตจะไหลเข้าไปในแสงสว่าง รู้ทันจิตก็ไม่ไหล จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา เกิดปีติเกิดความสุข จิตไหลไปที่ปีติอีก รู้ทันอีก จิตยังไหลอยู่ ปีติดับมีแต่ความสุข เห็นอีกจิตไหลไปที่ความสุขอีก ความสุขดับ จิตตั้งมั่นขึ้นมา จิตมันทวนเข้ามาเรื่อยๆ ทวนเข้ามาหาตัวจิตจริงๆ
วันหนึ่งตอน 10 ขวบไฟไหม้ข้างบ้านตกใจ พอตกใจก็วิ่งไปบอกพ่อ ก้าวที่หนึ่ง ยังตกใจ ก้าวที่สอง ยังตกใจ ก้าวที่สาม สติมันย้อนมาเห็นความตกใจ ความตกใจขาดสะบั้นเลย จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเลย ไม่ตกใจ ตอนนั้นก็ เอ๊ะ สภาวะอันนี้แปลกๆ แต่เราเด็กนักไม่รู้ว่ามันมีคุณค่าอย่างไร มันมีขึ้นมา เอาไปใช้ประโยชน์ไม่เป็น ตรงนั้นได้จิตที่ตั้งมั่นแล้ว ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านก็จะสอน เมื่อว่าจิตตั้งมั่นแล้วเดินปัญญา แล้วตอนนั้นไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านพ่อลีก็สิ้นไปแล้ว ก็ไม่รู้จะไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหน ยังเด็กผู้ใหญ่ไม่พาไปก็ไปไม่ได้
ไม่มีครูบาอาจารย์ทำอะไรไปต่อไม่ได้ มันติดอยู่แค่นั้น ติดอยู่แค่จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทุกวันก็ทำสมาธิแล้วเข้ามาอยู่ตรงนี้ทุกวันๆ จนอัตโนมัติเลย เพราะฉะนั้นจิตหลวงพ่อมันจะมี ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านบอกว่าหลวงพ่อมีธาตุรู้ที่แข็งแรงมาก เพราะเราฝึกของเราไว้ จิตเคลื่อนปุ๊บรู้ปั๊บเคลื่อนปุ๊บรู้ปั๊บไปเรื่อย ไม่ปล่อยให้มันไหลไปแล้วไม่รู้เรื่อง เมื่อมาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนให้เจริญปัญญา มันถึงไม่ยาก มันไม่ยากแล้ว เห็นจิตมันทำงานได้ตลอด
เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ทุกข์ เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย เดี๋ยวมันก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวมันก็หลงไปดูรูป เดี๋ยวมันก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็หลงไปฟังเสียง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็หลงไปดมกลิ่น เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็หลงไปรู้สัมผัสทางกาย เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวหลงไปรู้รส เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เห็นเกิดดับสลับไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่มากหรอกก็เห็นทุกอย่างมันเกิดดับๆ ไปเรื่อยๆ
ที่มันใช้เวลาเจริญปัญญาไม่มากเพราะกำลังของสัมมาสมาธิมันมาก หันมาดูเพื่อนๆ ที่ภาวนากัน โอ้ย ทำไมมันภาวนายากนัก เพราะใจมันไม่มีสัมมาสมาธิ นั่งสมาธิก็เครียดๆๆ จิตที่เครียดเจือโทสะเรียกว่าโทสมูลจิต เป็นอกุศล บางคนจิตไม่เครียด จิตมีความสุข เห็นโน้นเห็นนี้เคลิ้มๆ ไป อันนั้นจิตมีโลภะหรือจิตมีอุทธัจจะฟุ้งซ่านแล้วไม่เห็น ฉะนั้นจิตยังถูกเจือด้วยราคะ โทสะ โมหะอยู่ ยังไม่ใช่จิตที่มีคุณภาพเอาไปเจริญปัญญาไม่ได้ เราต้องฝึกจิตของเราให้มีคุณภาพก่อน
หลังๆ หลวงพ่อสอนหลักตรงนี้ให้เยอะแล้ว ว่าพวกเราต้องจำหลักให้แม่น ให้ไปทำกรรมฐานที่เราถนัดสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตตนเอง จิตหนีไปจากอารมณ์กรรมฐานให้รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งจ้องอารมณ์กรรมฐานให้รู้ทัน ไม่ต้องแก้ให้รู้เฉยๆ ตามรู้ไปเรื่อยๆ เวลาจิตมันหลงไปคิด พอเรารู้ปุ๊บจิตที่หลงคิดดับ จิตที่ตั้งมั่นจะเกิดอัตโนมัติ แต่เกิดชั่วขณะ เราไม่ได้เดินมาในแนวที่หลวงพ่อเคยทำ อันนั้นเดินทางสมาธิ พวกเราจะเดินใช้ปัญญานำ ยุคนี้จะเดินทางสมาธินำปัญญามันทำยาก
สมาธิของคนยุคนี้เรียกว่าสมาธิสั้น มันสั้น สมาธิสั้นมีอยู่ตัวหนึ่งคือคำว่าขณิกสมาธิ อันนี้สั้นจริงๆ สมาธิชั่วขณะเท่านั้นล่ะ มันเกิดจากเรามีสติรู้ทันจิตที่ไหลไป มันไหลปุ๊บรู้ปั๊บจิตจะตั้งมั่น จิตถลำลงไปเพ่ง รู้ว่าเพ่งไม่ต้องแก้ แต่ตรงนี้บางทีเพ่งแล้วรู้ว่าเพ่งแล้วมันไม่หลุด ต้องดูลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งอะไรอยู่เบื้องหลังการเพ่ง ตัณหาอยู่เบื้องหลัง เวลาเราคิดถึงการปฏิบัติเราอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี อยากปฏิบัติ อยากบรรลุมรรคผลนิพพาน เต็มไปด้วยความอยาก พอมีความอยากเกิดขึ้นเมื่อไร การเพ่งจะเกิดทันทีเลย การเพ่งก็เป็นภพๆ หนึ่งที่นักปฏิบัติพากันเข้าไปติดอยู่
ตัณหาคือผู้สร้างภพ ฉะนั้นตราบใดที่เราปฏิบัติใต้อำนาจของตัณหา เราจะสร้างภพเสมอ เลย จะไปสร้างภพของนักปฏิบัติ ไปนั่งเพ่งๆ จ้องๆ อยู่ เหนื่อยเปล่าเสียเวลาเปล่า มันใช้ไม่ได้ แค่ให้รู้ทันว่าจิตหลงไปคิด รู้ทันปุ๊บ จิตจะตั้งมั่นเองเลย รู้ตัวขึ้นเอง จิตไปเพ่ง บางคนเพ่งแล้วรู้ว่าเพ่งจริงๆ จิตก็เลิกเพ่งแล้วตั้งมั่น บางคนเพ่งแล้วเลิกไม่ได้ มันติดเพ่ง ให้รู้ลึกลงไป สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการเพ่งคืออยาก อยากปฏิบัติทีไรเพ่งทุกทีเลย ถ้ารู้ตรงอยาก ไม่อยากแล้วมันก็เลิกเพ่งไปเองล่ะ ตัวนี้จะแก้ยาก การแก้ติดเพ่งยากกว่าการแก้เผลอ
แล้วในความเป็นจริงไม่เฉพาะการรู้ว่าจิตหลงไปแล้วรู้ทันแล้วเกิดจิตตั้งมั่น ถ้าเรารู้สภาวธรรมใดๆ ก็ตามอย่างถูกต้องเป็นปัจจุบันจริง จิตตั้งมั่นเสมอทุกครั้งที่สติระลึกรู้สภาวะได้ แต่ตัวนี้จะเข้าใจยากครูบาอาจารย์จะไม่ค่อยพูดถึง เลยบอกให้เผลอแล้วรู้เผลอแล้วรู้ไป อย่างจริงๆ โกรธรู้ว่าโกรธ ความโกรธดับปั๊บจิตตั้งมั่นเลย โลภรู้ว่าโลภพอรู้ปั๊บจิตตั้งมั่นเลย ส่วนที่หลงไปอันนั้นจิตมีโมหะ หลงไปแล้วรู้ว่าหลงปุ๊บจิตก็ตั้งมั่น ฉะนั้นถ้ารู้ทันสภาวะโดยเฉพาะสภาวะกิเลส รู้ทันปั๊บจิตจะตั้งมั่นทันทีทุกตัว
แต่กิเลสตัวไหนเกิดบ่อยที่สุด ตัวหลง หลงอะไรเกิดบ่อยที่สุด หลงคิด ฉะนั้นครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ถึงสอนเราให้รู้ทันจิตที่หลงคิด ทำกรรมฐานไปจิตหลงคิดแล้วรู้ หลงคิดแล้วรู้ ตัวนี้สำคัญ แตกหักเลย ตัวแตกหักเลย ที่ภาวนาแล้วไม่ได้มรรคได้ผลสักทีก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ เพราะไม่มีคุณภาพ ที่บอกว่าฟังธรรมะอย่างนี้ได้ประโยชน์มากมาย มันได้แต่คิด คิดแล้วสบายใจ คิดแล้วรู้สึกว่ารู้จักศาสนาพุทธแล้ว หลวงพ่อสอนคนจีนที่วัด คนจีนที่วัดเขามาวัดเยอะแยะเลยคนจีน เปลี่ยนกันมาตลอดทั้งปี คนจีนจะมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่ง ชอบคิด สอนธรรมะเท่าไรก็จะคิด แล้วพยายาม Record พยายามจำ โอ๊ย สอนลำบาก
กฎ 3 ข้อของการดูจิต
หลวงพ่อเลยบอกว่าหลวงพ่อสอน 3 ข้อ กฎ 3 ข้อของการดูจิตให้ ข้อที่หนึ่ง ก่อนจะดูอย่าดักดู ให้ความรู้สึกทั้งหลายเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยรู้ ข้อที่สอง ระหว่างรู้อย่าถลำลงไปรู้ จิตอย่าไหลเข้าไปรู้ รู้เฉยๆ รู้ห่างๆ โดยไม่ต้องรักษาให้ห่าง กฎข้อที่สาม เมื่อรู้แล้วยินดีให้รู้ทันยินร้ายให้รู้ทัน บอกอันนี้ที่หลวงพ่อบอก 3 ข้อสั้นๆ มันเหมือนคัมภีร์วิทยายุทธ ตัวคัมภีร์มีไม่กี่หน้าหรอก มีไม่กี่แผ่นหรอก มีไม่กี่ข้อหรอก แต่ถ้ารู้คัมภีร์อย่างนี้จะเข้าใจวิทยายุทธไหม ไม่มีทางเข้าใจ ต้องลงซ้อมก่อน
กฎ 3 ข้อที่หลวงพ่อบอก หลวงพ่อเลยบอกว่าตอนนี้พอจะเข้าใจหลักแล้ว ไปเดินจงกรม เอาให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง อันนี้น้อยแล้ว ครูบาอาจารย์กรรมฐานจริงๆ ท่านเดินกันโต้รุ่ง ท่านได้ยินว่าหลวงพ่อให้พวกเราเดิน 3 ชั่วโมง ท่านคงแอบขำเล็กๆ คงขำอย่างเอ็นดู โอ้ ได้แค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้ แต่หลวงพ่อขอ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องมาถวายปัจจัยหลวงพ่อ หลวงพ่อบ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องมาให้หรอก ถวายการปฏิบัติ ไปตั้งใจภาวนาเข้า เดินจงกรมไปถ้ายังเดินไหว บางคนแก่แล้วเดินไม่ไหว ก็เดินเท่าที่เดินได้ เดินไม่ได้จริงๆ ก็นั่งด้วยความรู้สึกตัว จิตไหลไปคิดรู้ทัน จิตมาเพ่งรู้ทัน ไม่ปล่อยจิตให้เตลิดเปิดเปิงหนีไป แต่แนะนำให้เดินจงกรม เพราะอะไร สมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรมเป็นสมาธิที่แข็งแรงที่สุด
เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถเดินจงกรมจนจิตเราตั้งมั่นได้ จิตที่ตั้งมั่นอันนี้จะแข็งแรงคงทน ไม่ใช่กระทบอารมณ์นิดเดียวเตลิดไปแล้ว นั่งสมาธิอย่างนี้ แค่พอลืมตามาเห็นสาวสวยจิตก็วิ่งไปใส่แล้ว มันหลุดง่าย ฉะนั้นถึงเน้นว่าให้ไปเดิน อดทนไว้ ช่วงแรกๆ ก็มีคนมาคร่ำครวญ โอ้ย หนูเดินไม่ไหว หนูจะทำอย่างไรดี หลวงพ่อก็ตอบด้วยความเมตตา หนูไปเดินทุกวันเดี๋ยวมันก็ไหว ไปทำทุกวันเดี๋ยวมันก็ไหวเองล่ะ เดินได้ให้เดินไปก่อน
บางคนอายุตั้งเยอะแล้วเขาเดินได้ 6 ชั่วโมง เพราะเขาค่อยๆ สะสมของเขาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเวลาหรอก แต่เวลาเราตั้งใจไปเดินแล้วคอยรู้ จิตไหลไปรู้ จิตไปเพ่งรู้ จิตมันจะมีกำลัง จิตมันจะตั้งมั่น ให้ไปนั่งสมาธิเดี๋ยวก็ฝันแล้ว นั่งแล้วก็หลับเคลิ้มๆ แล้วไม่ได้เรื่อง ถึงบอกให้ไปเดิน เดินไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกตัว เดินไปแล้วจิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งร่างกายรู้ทัน บอกการที่เราฝึกเดินแล้วมีสติมันคือการฝึกวิทยายุทธ 3 ข้อนั้นเป็นคัมภีร์วิทยายุทธ ที่เรามาเดินด้วยความมีสติ นี่คือการฝึกลงมือฝึกแล้ว กระบวนท่านี้อย่างนี้ๆ
พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ คนจีนเข้าใจเลยเพราะเขาเคยอ่านกำลังภายใน ของเราใครเคยอ่านกำลังภายในไหมมีไหม หนังสือกำลังภายใน ยกมือหน่อยสิ ใครรู้จักโกวเล้งบ้าง เยอะเหมือนกัน แกแน่จริง ตายไปแล้วคนยังจำได้ ฉะนั้นเรียนแต่คัมภีร์ไปชกกับใครก็แพ้ เรียนคัมภีร์แล้วต้องลงมือฝึกซ้อม วิธีฝึกซ้อมก็คือเดินไปด้วยความมีสติ จิตหลงไปรู้ทัน จิตมาเพ่งอยู่รู้ทัน
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นภรรยาเป็นสีกาของพระที่วัดองค์หนึ่ง ทีแรกให้สามีมาบวช 3 เดือน สามีบวชได้ 3 เดือนก็ยังไม่อยากสึก ยังไม่อยากสึก สีกาก็เศร้าเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เดิน เดินไปเดินมาจิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้วเห็นขันธ์กระจายตัวออก เห็นแต่ละขันธ์ไม่ใช่เรา บอกเหลือติ่งอยู่นิดเดียว ยังรู้สึกนิดๆ ว่าจิตเป็นเราอยู่ บอก เออ ภาวนาไป มาถูกแล้ว เฮ้อ หนูไม่อยากให้หลวงพี่สึกเลย ทีแรกกลัวหลวงพี่ไม่สึก ตอนนี้ไม่อยากให้หลวงพี่สึกเลย สึกออกมาแล้วก็ชวนกันคุย ชวนกินขนม
หลวงพ่อก็ไปบอกหลวงพี่ บอก เฮ้ย สีกาเขาบอกว่าอยากให้อยู่ต่อ หลวงพี่ซีดเลย ซีดอยู่ 2 – 3 วัน แล้วทำใจได้ มาภาวนากลับขึ้นมาดีอีกแล้ว จิตปุถุชนมันจะกลับกลอกอย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องอดทนไว้ อดทนไว้ สีกานั้นเขาบอกหลวงพ่อว่าเขาได้ยินกฎ 3 ข้อนี่มาเป็น 10 ปีแล้วคิดว่าเข้าใจ พอมาเดินจงกรมแล้วถึงรู้ว่าไม่เคยเข้าใจเลย ข้อที่หนึ่ง ให้สภาวะเกิดแล้วค่อยรู้ เวลาจะดูจิตจ้องเอาจ้องเอา รอดูว่าเมื่อไรจะเกิด แล้วบอกว่าเข้าใจ พอเห็นสภาวะถลำลงไปจ้องทุกที แล้วบอกเข้าใจกฎข้อที่สอง ดูแบบไม่มีส่วนได้เสียดูอย่างวงนอก ตอนนี้เพิ่งรู้แล้วว่าเวลาเห็นสภาวะทีไร จิตมันจะพุ่งเข้าใส่ทุกทีเลย
ทำไมเกิดรู้ทันขึ้นมาว่าเห็นสภาวะแล้วจิตมันชอบไหลเข้าไปจ้องอารมณ์อันนั้น ก็เพราะเคยฝึกสัมมาสมาธิมาแล้ว รู้จักจิตที่ตั้งมั่น รู้จักจิตที่ไหลไปไหลมา เพราะฉะนั้นพอเห็นสภาวะอย่างเห็นความโกรธเกิดขึ้น จิตจะไหลเข้าไปที่ความโกรธ เห็น เข้าใจกฎข้อที่สองแล้ว ใช้เวลา 10 กว่าปี ถ้าไม่ไปเดิน 3 ชั่วโมงจะไม่มีวันเข้าใจเลย คิดว่าเข้าใจแต่ไม่เข้าใจหรอก เพราะมันไม่เห็นของจริง จิตเราไหลเข้าไปที่อารมณ์ ถ้าไม่เคยเห็นจะไม่เข้าใจกฎข้อที่สองว่าเวลารู้อารมณ์อย่าถลำลงไปเพ่ง
กฎข้อที่สาม คือพอรู้อารมณ์แล้วยินดียินร้ายให้รู้ทัน ข้อนี้ก็เข้าใจยาก พอยินดีอยากรักษา พอยินร้ายอยากละเสีย มันไม่เป็นกลาง หลวงพ่อถึงบอกต้องเป็นกลาง เป็นกลางคือพ้นจากความยินดียินร้าย กฎ 3 ข้อไม่ใช่พูดเล่นๆ เป็น Know-how ที่หลวงพ่อสรุปออกมาจากการดูจิตที่ฝึกมาอย่างเข้มข้น ต้องใช้คำว่าเข้มข้นเพราะหลวงพ่อดูตั้งแต่ตื่นจนหลับ ยกเว้นเวลาทำงานที่ต้องคิดเท่านั้นเอง แล้วก็สรุปออกมาได้ 3 ข้อนี้
ฟังแล้วเหมือนเข้าใจง่าย แต่ไม่เข้าใจหรอก ไปลงมือปฏิบัติ ไปเดินจงกรมดีที่สุด สมาธิจากการเดินจงกรมจะแข็งแรง พระพุทธเจ้าบอกเอง ฉะนั้นเราเดินได้เดินไป เดินได้ 50 นาทีเหนื่อยแล้วพักนิดหนึ่ง มีเรี่ยวมีแรงเดินต่อ ตรง 50 นาทีไม่ต้องนับ เอ้ย นับ 50 นาที อีก 10 นาทีไม่ต้องนับ เดี๋ยวไม่อย่างนั้นเจ้าเล่ห์ เดิน 5 นาทีพัก 55 นาที แล้วบอกเดินชั่วโมงหนึ่งแล้ว คนยุคนี้มันเจ้าเล่ห์ คล้ายๆ เพื่อนบ้านเราเจ้าเล่ห์
ไปทำ หลวงพ่อก็ลุ้นพวกเราเต็มที่ แล้วก็มีข่าวดีจะบอกก็คือทุกวันนี้พวกเราภาวนาดีๆ เยอะมาก เห็นสภาวะเห็นขันธ์แตกกระจายตัวออก ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว มันแยกให้ดูเลย เห็นแต่ละขันธ์แสดงไตรลักษณ์อยู่เรื่อยๆ เห็นเกิดดับได้แล้ว สังเกตไหมการส่ง Zoom ถ้าได้ฟังพวกที่ส่ง Zoom หลังๆ นี่หลวงพ่อตรวจการบ้านง่าย ไปทำต่อ คนนี้ไปทำต่อ อันนี้เพ่งมากไปนิดหนึ่ง นานๆ เจอที
พวกที่ขยันภาวนามันก็ก้าวหน้า ถ้าไม่ขยันภาวนาก็ได้แค่นั้นล่ะ ฟังแล้วฟังอีกมันก็ไม่รู้เรื่องแต่คิดว่ารู้เรื่อง มันก็คล้ายๆ คนที่ฟังอาจารย์โน้นอาจารย์นี้สอน คิดว่ารู้เรื่องศาสนาพุทธแล้ว ถ้ารู้จริงมันต้องละกิเลสได้ ปฏิบัติแล้วมันต้องละกิเลสได้ อย่างน้อยเราลดลงได้ล่ะ ถ้าภาวนาแล้วกิเลสมันฟู ละไม่ได้ ไม่ใช่ของจริงหรอก ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ก็เหมือนกันหมด ถ้าภาวนาถูกมันก็เจริญ ถ้าภาวนาผิดมันก็ผิดศีลผิดธรรมไป
ฉะนั้นพวกเราจะต้องฝึกให้ดี หนึ่งศีลต้องรักษา ถ้าศีลขาดสมาทานใหม่ ตั้งใจเอาใหม่ สมาทานคือตั้งใจเอาใหม่ว่าเราจะไม่พลาดซ้ำ พลาดอีกตั้งใจใหม่ ตั้งใจมันทุกวันเลยว่าจะรักษาศีล ทุกวันแบ่งเวลาทำในรูปแบบ แนะนำให้ไปเดินจงกรมแล้วคอยรู้ทันจิตใจตัวเอง แต่ถ้าวันไหนจิตมันฟุ้งซ่านมาก แนะนำให้ทำความสงบ
วิธีทำความสงบก็คือน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว อย่างเราเดินจงกรมอยู่ แทนที่จะคอยรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา ไหลไปเพ่งร่างกาย ไหลไปคิดอะไรอย่างนี้ ต้องการความสงบรู้ลงไปที่ร่างกายที่กำลังเดิน เห็นร่างกายมันเดินไป ขาซ้ายขาขวาเดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปคิดเรื่องจิต รู้สึกไปเรื่อยๆ สบายๆ แป๊บเดียวก็สงบ พอเราสงบใจมันจะมีแรง พอมีแรงแล้วดูจิตต่อ อย่างหลวงพ่อชำนาญการดูจิต ถ้าหลวงพ่อต้องการทำสมถะง่ายนิดเดียว เราก็กำหนดจิตอยู่กับความว่างความไม่มีอะไร ปุ๊บ ก็พักได้พักผ่อนก็ออกมาเดินปัญญาต่อ แต่ไม่แนะนำให้พวกเราทำ มันละเอียดเกิน ละเอียดเกินไปเดี๋ยวพลาด เดี๋ยวหลุดเข้าไปอยู่ในความว่าง ออกมาไม่ได้ แล้วจะรู้สึกอย่างนี้ โลกนี้ว่าง ไม่มีอะไร ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง โอ๊ย ตาลอยอย่างนั้น ใกล้จะเข้าศรีธัญญาแล้ว
ไปทำ ถือศีล 5 ทำในรูปแบบ ถ้ามันเหนื่อยมากฟุ้งซ่านมากก็รู้อารมณ์กรรมฐานไป ถ้ามีกำลังพอ รู้ทันจิตไป แล้วมันจะได้จิตที่ตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นพอ ขันธ์มันจะแยกให้ดู จะเห็นเลยกายกับใจมันคนละอันกัน แล้วจะเห็นขันธ์ 5 ทั้งหมดตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ค่อยๆ เห็นๆๆ จะเห็นของหยาบก่อน เห็นรูปไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สัญญาไม่ใช่เรา สังขารไม่ใช่เรา จิตรู้สึกเดี๋ยวก็เป็นเราเดี๋ยวก็ไม่เป็นเรา จะผลุบๆ โผล่ๆ ก่อน ดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยววันหนึ่งจิตก็ไม่ใช่เรา ตรงนี้เราจะได้ธรรมะขั้นต้น ปลอดภัยแล้ว การเดินทางในสังสารวัฏที่เสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตมานับภพนับชาติไม่ถ้วน นับถอยหลังได้แล้ว ถ้าเราเห็นกระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ไม่มีเรา เราก็เริ่มนับถอยหลังแล้ว เหลืออีกไม่เกิน 7 ชาติ เหลืออีกไม่เกิน 7 ชาติ บางคนชาติเดียวก็จบแล้ว ก็ภาวนาต่อไปเรื่อยๆ
ทีแรกเห็นมันไม่มีเรา ต่อมาภาวนาไปเรื่อยๆ จะเห็นว่าสิ่งที่มีอยู่คือทุกข์ ร่างกายไม่ใช่เรา แล้วร่างกายเป็นอะไร ร่างกายเป็นตัวทุกข์ จิตใจไม่ใช่เราแล้วจิตใจเป็นอะไร จิตใจเป็นตัวทุกข์ ถ้าเห็นกายไม่ใช่เรานี่ภูมิจิตภูมิธรรมถึงระดับอนาคามี เฮ้ย ไม่ใช่ เห็นกายเป็นทุกข์เป็นภูมิจิตภูมิธรรมระดับพระอนาคามี ถ้าเห็นกายไม่ใช่เราอันนี้ยังปุถุชน ถ้าเห็นทั้งกายทั้งจิตไม่ใช่เราอันนี้โสดาบัน ขันธ์ 5 ทั้งหมด ทีนี้ถ้าเห็นกายนี้คือตัวทุกข์ ไม่ใช่แค่เห็นว่าไม่ใช่เรา เห็นว่าคือตัวทุกข์ จิตมันหมดความยึดถือกาย ก็พ้นจากตัวรูปทั้งหลายละไป แล้วการปฏิบัติก็บีบวงเข้ามาที่จิต
ต่อไปก็เห็นจิตที่เคยเห็นว่ามันไม่ใช่เรา จริงๆ แล้วมันคือตัวทุกข์ พอเห็นมันเป็นทุกข์ จิตก็ปล่อยวางจิต เห็นกายเป็นตัวทุกข์ มันก็ปล่อยวางกาย ฉะนั้นพอเห็นทุกข์ อันนี้เรียกว่าเรารู้อริยสัจแล้ว มันก็จะปล่อยวางได้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ถึงจะเห็นว่ามันไม่ใช่เรา แต่มันยังห่วงอยู่ยังรักใคร่หวงแหนไม่เลิกหรอก ธรรมะมันมีขั้นมีตอนค่อยๆ ฝึกไป แต่จะเดินตามแนวที่หลวงพ่อบอกได้ จิตเราต้องตั้งมั่น ศีลเราต้องมี
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ขอให้ทุกคนขยันภาวนา เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป ศาสนาของเรา เราอย่าไปฝากไว้ที่คนอื่น เราต้องรีบภาวนาของเราเอง ไม่รู้มันจะอันตรธานเมื่อไร เพราะมีแต่คนช่วยกันทำให้อันตรธาน ตัดโน้นตัดนี้ไปเรื่อย ฉะนั้นเรารีบมาปฏิบัติ เราเข้าถึงปฏิเวธอย่างน้อยศาสนาพุทธยังไม่อันตรธาน ยังมีพระอริยะเกิดขึ้นได้ ยุคนี้ก็ยังมีพระอริยะเกิดขึ้นได้ถ้าเรายังเจริญสติปัฏฐานกันอยู่
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
21 กันยายน 2568