ทำถูกแล้วต้องทำให้มาก

ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เวลาเราเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว วงการศาสนาเราเสื่อมไปเยอะ มันไม่ร่มเย็น เมื่อเช้ายังคุยกับพวกป้าๆ ที่เขาไปวัดกับหลวงพ่อสมัยก่อน เข้าไปวัดครูบาอาจารย์มันร่มเย็นสงบ เข้าไปแล้วมีความสุข วัดเดี๋ยวนี้เข้าไปส่วนใหญ่มันก็ร้อน พอคุยกับพวกคนแก่ด้วยกันเลยรู้สึกพวกเราอายุยืนเกินไป อยู่มาตั้งแต่ยุคที่มันน่าอยู่จนมาถึงยุคน่าเกลียด ที่จริงตามวัดคนที่เข้าวัดก็คนมีกิเลสเหมือนกัน กี่ยุคกี่สมัยมันก็เหมือนๆ กัน พระไม่ดีก็มีมาตลอด

ตอนหลวงพ่อเด็กๆ บ้านอยู่ถนนบริพัตรใกล้ๆ วรจักร เช้าๆ พระมาบิณฑบาตเยอะเลย หลวงพ่อมีหน้าที่ยกโต๊ะมาตั้งหน้าบ้าน ผู้ใหญ่เขามาใส่บาตรเราก็มาดูพวกพระเดินไปเดินมา ที่นั่นมีพระหลายวัดบิณฑบาตซ้ำที่กัน เคยได้ยินว่าพระคนละวัดเดินสวนกันเอาฝาบาตรตีหัวอีกฝั่งหนึ่ง โทษฐานบิณฑบาตล้ำเขตสัมปทาน ประหลาดๆ อย่างนี้ก็มี เพียงแต่เมื่อก่อนไม่มีข่าว กิเลสคนกี่ยุคกี่สมัยมันก็โลภโกรธหลงเหมือนๆ กันล่ะ เพียงแต่ยุคนี้มันมีข่าวเยอะ มีอะไรนิดหนึ่งก็เกิดข่าว เราเลยได้ยินข่าวอัปมงคลทั้งวันเลย ข่าวดีๆ ไม่ค่อยได้ยิน พอเราเสพข่าวไม่ดีใจเราก็เศร้าหมอง

 

ภาวนาให้ถูก ภาวนาให้พอ

ทางที่ดีที่สุดรีบภาวนาเข้า หลายคนตั้งอกตั้งใจภาวนา จิตก็ก้าวหน้าพัฒนาไป ได้ลิ้มรสชาติของความสุขความสงบที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม รสชาติของความสุขความสงบ โอ๊ย มันยอดเยี่ยม รสชาติในโลกมีแต่ร้อน อย่างรสของกาม ร้อน เวลาอย่างเป็นโยมยังหนุ่มยังสาว เวลาจิตมีราคะบางทีนอนไม่หลับ เร่าร้อน รสที่วิเศษที่สุดในโลก บอกว่ารสของกาม

สมัยหนึ่งเคยอ่านเจอ จริงหรือเปล่าไม่รู้เราเกิดไม่ทัน รัชกาลที่ 5 ท่านนิมนต์พระไปทำพิธีในวัง แล้วก็ถวายภัตตาหารถวายอะไร เสร็จแล้วท่านก็ตั้งกระทู้ถามพระว่าอะไรเป็นความสุขที่สุดในโลก พระส่วนใหญ่ก็ตอบว่าการได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินนี่ล่ะมีความสุข รัชกาลที่ 5 ท่านฟังแล้วไม่ได้เรื่องเลย พระเจ้าแผ่นดินความทุกข์เยอะจะตายไป เรื่องต้องคิดต้องทำมากมาย มาถึงเจ้าคุณอุบาลี ตอนนั้นคงยังไม่ได้เป็นเจ้าคุณ สิริจันโท ตอนหลังเป็นเจ้าคุณอุบาลีวัดบรมนิวาส คุ้นเคยกับหลวงปู่มั่นองค์นี้ เป็นพระที่ปฏิพากย์โวหารเฉียบแหลม

พอมาถามท่านว่าอะไรเป็นความสุขที่สุดในโลก ท่านก็ทูลตอบไปว่า เนื้อจิ้มเนื้อเป็นความสุขที่สุดในโลก ในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านก็ขำ เออ เข้าใจตอบ สุขของโลกก็สุขของกาม ถ้าเราภาวนาเป็นเราจะรู้เลยสุขของกามเป็นสุขที่ร้อน ทุกวันนี้วุ่นวายกันก็เรื่องกามทั้งหมดเลย แย่งชิงโน่นแย่งชิงนี้กัน เกิดความวุ่นวายจิตใจเราไม่สงบ รสของกามสู้รสของธรรมะไม่ได้ รสของธรรมะร่มเย็น ทีนี้เราจะเข้าถึงรสของธรรมะได้เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติให้มากพอ ปฏิบัติผิดเราก็ไม่ได้ลิ้มรสของธรรมะ ปฏิบัติถูกแต่ปฏิบัติไม่พอมันก็ยังไม่ได้ลิ้มรสอยู่ดี

ตอนนี้หลวงพ่อสอนให้พวกเราภาวนา เดินในทางสายกลาง ไม่ย่อหย่อนหลงโลก ไม่ตึงเครียดบังคับกายบังคับใจมากเกินไป พอรู้หลักแล้วก็เร่งให้ภาวนาให้มาก พอทำถูกแล้วต้องทำให้พอทำให้มากเจริญให้มาก เจริญอะไร เจริญสติให้มาก ตอนนี้พวกเราจำนวนมากจิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว ตั้งมั่นนี่มันตื่น มันรู้ มันตื่น มันเบิกบาน เราก็ได้ลิ้มรสชาติของสภาวะแห่งความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็คือสมาธินั่นล่ะ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น ไม่ใช่แค่สงบ สงบได้เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านได้ สมาธิสงบมันก็มี ทำไปแล้วจิตสงบแน่วอยู่ในอารมณ์อันเดียว ไม่วอกแวกไปที่อื่น จิตใจก็มีความสุข แต่พอออกจากสมาธิแล้วความทุกข์มันก็กลับมาใหม่

สมาธิชนิดสงบนี่เจ้าชายสิทธัตถะท่านเคยลองมาด้วยพระองค์เอง ไปเรียนสมาธิกับอาฬารดาบสได้ฌานที่ 7 อากิญจัญญายตนะ ในฌานที่ 7 นี้จิตไม่จับอะไรเลย ไม่จับตัวจิตผู้รู้ก็ไม่จับ ไม่จับอารมณ์ จิตไม่จับอะไร ไม่ทำงาน ว่าง สว่าง สบาย สงบ อยู่อย่างนั้น ออกจากสมาธิมาท่านก็เห็นว่ากิเลสมันก็เหมือนเดิม ก็ไปเรียนต่อจากฤๅษีอีกองค์หนึ่งเก่งกว่าองค์แรกชื่ออุทกดาบส องค์นี้ได้ถึงฌานที่ 8 ฌานที่ 8 นี้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ แทบจะหมดความรู้สึกตัวเลย เหลือความรู้สึกตัวอยู่นิดเดียว พวกนี้ตราบใดที่ยังรู้สึกตัวอยู่ยังทุกข์อยู่ พวกนี้ก็พยายามทำสมาธิแทบจะดับความรู้สึกตัว

เจ้าชายสิทธัตถะท่านไปเรียนสำเร็จในเวลาอันสั้นเพราะบารมีท่านเยอะ สมาธิแบบนี้ทำมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เพราะฉะนั้นเรียนแป๊บเดียวจบหลักสูตร ฤๅษีก็ชวนท่านบอกว่าได้หลักสูตรได้วิชาสูงสุดของสำนักแล้ว ให้อยู่กันช่วยกันสอนจะได้เป็นเจ้าสำนักสืบทอดไป ท่านไม่เอา ท่านบอกว่าเข้าสมาธิไปพอออกจากสมาธิ กิเลสก็เหมือนเดิม ความทุกข์ก็เหมือนเดิม ยังไม่ได้ตอบโจทย์ว่าทำอย่างไรจะไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นให้เป็นเจ้าสำนัก ไม่เอา ออกมาค้นคว้าหาทางปฏิบัติเอาเอง

ท่านก็ไปทรมานกาย ฝึกทางจิตมามากแล้วไม่ประสบความสำเร็จมันยังทุกข์อยู่ มาฝึกทางกายบ้าง ยุคนั้นมีลัทธิของเชน ลัทธิของพวกนิครนถ์พวกเชน พวกนี้มีชีเปลือยพวกหนึ่ง พวกหนึ่งนุ่งผ้า พวกหนึ่งไม่นุ่งผ้า ทุกวันนี้ก็ยังมีในอินเดียก็ยังรักษาลัทธิรักษาศาสนาของเขาสืบทอดมาได้ ในขณะที่ศาสนาพุทธสูญหายไป ลงแก้ผ้าก็เป็นพระอรหันต์ได้คนนับถือได้แล้ว ขณะที่พุทธเราต้องใช้สติใช้ปัญญาช่วยตัวเองมากมายกว่าจะเข้าใจธรรมะขึ้นมา เข้าใจยาก หายไป

พระพุทธเจ้าท่านก็ไปทรมานร่างกาย รู้แล้วว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ วิธีละตัณหาของพวกนี้ก็คือทรมานตัวเอง ไม่ตามใจตัณหา อยากกินไม่กิน อยากนอนไม่นอน อยากสบายนั่งบนหนามบนตะปูไปเลย หวังว่าทรมานทางร่างกายได้แล้วต่อไปจิตมันหมดความยึดถือหมดตัณหา ท่านก็ใช้ความเพียรอยู่ตรงนี้นาน จนกระทั่งถึงขนาดสลบไปเลย ทรมานมาก ทรมานกายมาก แล้วถึงจุดหนึ่งท่านก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทางแล้ว ท่านทรมานตัวเองมากที่สุดเท่าที่ใครต่อใครจะเคยทำมาแล้วก็ไม่มีมากกว่านี้แล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะบรรลุอะไร

ไปนั่งสมาธิให้สงบเฉยๆ ก็ไม่บรรลุ ไปทรมานร่างกายก็ไม่บรรลุ ท่านก็นึกถึงสมาธิอีกชนิดหนึ่งที่ท่านได้มาตั้งแต่เด็ก ที่จริงท่านก็สะสมบารมีมานาน ท่านได้สมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่น ตอนเด็กๆ ท่านไปนั่งอยู่ใต้ต้นหว้า แล้วก็เข้าสมาธิทำอานาปานสติได้ปฐมฌาน เมื่อก่อนหลวงพ่ออ่านตรงนี้ไม่เข้าใจ ตอนเด็กๆ ได้ปฐมฌานบอกสมาธิอย่างนี้ดี ไปฝึกกับฤๅษีได้ถึงฌานที่ 7 ที่ 8 บอกไม่ใช่ทาง สมาธิ 2 อันนี้ทำไมมันต่างกัน อันหนึ่งใช้ได้ อันหนึ่งใช้ไม่ได้

ก่อนจะเข้าสมาธิฌานที่ 7 ที่ 8 มันก็ต้องผ่านปฐมฌาน ฌานที่ 1 ปฐมฌาน อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ มาภาวนาแล้วถึงรู้ สมาธิไม่ได้มีอย่างเดียว สมาธิอย่างของพวกฤๅษีเขา เขาน้อมจิตให้สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง แล้วก็พึงพอใจอยู่แค่นั้น ก็เดินปัญญาไม่ได้ ทีนี้สมาธิของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นขึ้นมา ที่รู้ว่าเป็นสมาธิชนิดจิตตั้งมั่นเพราะดูในพระสูตร ท่านพูดถึงการเข้าสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌาน ในปฐมฌานมีวิตกมีวิจาร วิตกก็คือการที่จิตมันเข้าไปตรึกไปจับอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน วิจารก็คือจิตมันเคล้าเคลียอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน ไม่หนีไปไหน มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง นี่คือปฐมฌาน ทีนี้ในพระไตรปิฎกพูดถึงทุติยฌาน ฌานที่ 2 บอกฌานที่ 2 บอกว่าเกิดเอโกทิภาวะ ภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง เอโกทิภาวะ มีเอโกทิภาวะเพราะละวิตกวิจารได้ ละการที่จิตเข้าไปจับอารมณ์กรรมฐาน จิตเข้าไปเคล้าอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน พอละตัวนี้ได้แล้วเกิดเอโกทิภาวะ

 

เอโกทิภาวะเป็นสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่น

ตอนภาวนายังไม่เก่งไม่ชำนาญ ก็ไม่รู้ว่าเอโกทิภาวะคืออะไร ไปดูอรรถกถาก็บอกว่า คือสภาวะของสมาธิ อ่านแล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ถ้าเอโกทิภาวะคือสมาธิ ปฐมฌานก็คือสมาธิ ยังไม่มีเอโกทิภาวะ หรืออุปจารสมาธิก็เป็นสมาธิ ขณิกสมาธิก็เป็นสมาธิ แต่ทำไมท่านพูดถึงเอโกทิภาวะในฌานที่ 2 ฉะนั้นจะมาแปลว่าเอโกทิภาวะคือสมาธิ คงยังไม่ใช่

พอภาวนาเรื่อยๆ เราก็เห็นจิตมันเข้าไปจับอารมณ์กรรมฐาน อย่างหลวงพ่อทำอานาปานสติ แล้วมันจะเกิดนิมิต เกิดแสงสว่าง จิตไปอยู่กับแสงสว่างได้เป็นวิตก จิตเคล้าเคลียอยู่กับแสงสว่างโดยไม่ได้หนีไปไหนไม่ได้เจตนาด้วย เรียกวิจาร พอเราละเรารู้ว่าการที่จิตไหลไปอยู่ที่แสงสว่าง จิตยังส่งออกนอกอยู่ เรียนมาจากหลวงปู่ดูลย์จิตส่งออกนอกยังใช้ไม่ได้ การที่จิตเราไหลเข้าไปหาแสงสว่างมีวิตกมีวิจาร จิตยังออกนอกอยู่ พอรู้ทันจิตก็ละวิตกวิจารทวนกระแสกลับเข้ามา

เมื่อมันทวนกระแสเข้ามาแล้ว เข้ามาที่จิตผู้รู้ จิตกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เลย โอ๊ย เอโกทิภาวะไม่ใช่สมาธิธรรมดาหรอก เป็นสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นจริงๆ พอรู้อย่างนี้เข้าใจแล้วที่เจ้าชายสิทธัตถะท่านทำได้ตอนเด็กๆ มันคือสมาธิชนิดนี่ล่ะ เพราะสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นนี่เอาไว้ทำวิปัสสนากรรมฐาน ทีนี้จิตตั้งมั่นก็ตั้งได้หลายระดับ ถ้าเข้าฌานแล้วถึงฌานที่ 2 จิตจะตั้งมั่นมีกำลัง

ที่จริงในพระไตรปิฎกส่วนใหญ่ท่านจะสอนให้เข้าไปถึงฌานที่ 4 ฌานที่ 4 จิตก็ตั้งมั่นแล้วก็แข็งแรงมากกว่าฌานที่ 2 อีก ฌานที่ 4 นี่จิตเป็นอุเบกขา ไม่ได้ติดในรสชาติของปีติของความสุข พอเราภาวนาเรื่อยๆ เรามีจิตตั้งมั่นแล้ว เราเห็นอีกปีติเป็นสิ่งหวือหวาเป็นของแปลกปลอม จิตละปีติเหลือแต่ความสุข ต่อมาเห็นอีกความสุขก็ยังเป็นของหวือหวา เอาเป็นที่พึ่งอะไรไม่ได้ เป็นความปรุงแต่ง จิตก็ละความสุข จิตก็เข้าสู่อุเบกขา

ถ้าปฏิบัติเต็มรูปแบบ เราจะทำสมาธิจนถึงฌานที่ 4 จิตเป็นอุเบกขา แต่ต้องทำสมาธิชนิดที่ถูก ถ้าทำผิดตรงฌานที่ 4 มันจะพลิกไปเป็นพรหมลูกฟัก หมดความรู้สึกตัวไป เพราะฉะนั้นเวลาทำสมาธิอย่าทิ้งสติ ขาดสติดีไม่ดีกลายเป็นพรหมลูกฟักไปเลย พรหมลูกฟักพอออกมาแล้วจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิอย่างแรง จะรู้จะคิดว่าสิ่งทั้งหลายเกิดเองไม่มีเหตุให้เกิดหรอก อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาเลย เป็นมิจฉาทิฐิที่แก้ยาก มันจะดื้อ

ทีนี้พวกเราจะไปภาวนาให้ได้ถึงฌานที่ 4 ดูยุคนี้ลำบาก มีคนทำได้น้อยเต็มที เมื่อหลายสิบปีก่อนยังมีคนทำได้เยอะอยู่ มายุคนี้เป็นยุคสมาธิสั้น ฉะนั้นเราจะหวังเอโกทิภาวะหรือภาวะแห่งความตื่นที่แท้จริงจากการทำฌานคงจะหวังยาก เพราะเข้าฌานไม่เป็น จิตมันวอกแวก เราก็ต้องทำสิ่งที่เราทำได้ เราจะพัฒนาจิตผู้รู้หรือจิตซึ่งทรงสัมมาสมาธิ หรือจิตซึ่งมีเอโกทิภาวะ

เราจะพัฒนาขึ้นโดยวิธีการที่พวกเราทำได้ คือใช้ขณิกสมาธิ ขณิกสมาธินั้นจิตจะตั้งมั่นเป็นขณะๆ ชั่วขณะเดียว แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ไม่ตั้งมั่นแล้ว เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไม่ตั้งมั่น แต่พอมันตั้งมั่นได้ถี่ยิบขึ้นมา จิตจะมีกำลังมันจะทรงตัวขึ้นมา สภาวะที่จิตมีกำลังทรงตัวขึ้นมา มันก็เป็นอันเดียวกับเอโกทิภาวะที่เข้าฌานมา เพียงแต่เอโกทิภาวะที่เข้าฌานมีกำลังมากอยู่ได้หลายวัน แต่ก็ไม่เกิน 7 วันก็เสื่อม ต้องเสื่อม

เว้นแต่ว่าเราจะฝึกของเราทุกวันๆ เหมือนเราชาร์จแบตเตอรี่ไปเรื่อยๆ เรารู้สึกแบตเตอรี่ยังไม่เสื่อมมีไฟตลอด แต่ไม่ได้ชาร์จไปช่วงหนึ่งก็เสื่อม จิตทำเอโกทิภาวะจากการเข้าฌานก็อยู่ได้ไม่เกิน 7 วันก็เสื่อม ในขณะที่เอโกทิภาวะที่เกิดจากขณิกสมาธิมันไม่แข็งแรง มันเสื่อมง่าย แต่ถ้าเราอดทนพัฒนาขณิกสมาธิของเรา ทำทุกวัน ทำทั้งวันเท่าที่ทำได้ จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา มีกำลังขึ้นมาเป็นเอโกทิภาวะเหมือนกัน ตรงนี้ล่ะที่พวกเรายุคนี้ทำได้

วิธีที่จะทำให้จิตตั้งมั่นด้วยขณิกสมาธิ ขั้นแรกเลยทำกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัดสักอย่างหนึ่ง แต่ตั้งเป้าให้ถูก ไม่ได้ทำเพื่อความสุข ไม่ได้ทำเพื่อความสงบ ไม่ได้ทำเพื่อความดี ทำไปด้วยความมีสติรู้เท่าทันจิตตนเอง ฉะนั้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งที่เราถนัด ไม่ได้มุ่งไปที่ความสุข ความสงบ ความดี ทำไปด้วยความมีสติ อย่างเราหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ สมมติถนัดอันนี้ก็ทำอันนี้ ถนัดอันไหนก็เอาอันนั้น

จุดสำคัญคือคอยรู้เท่าทันจิตตนเอง หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ จิตไหลไปอยู่ที่พุทโธหรืออยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน รู้ทันจิตที่ส่งออกไป ส่งออกไปในความคิด ส่งออกไปที่อารมณ์กรรมฐาน รู้ทันจิตที่ส่งไปส่งมา จิตที่ส่งไปส่งมามันตรงข้ามกับจิตที่ตั้งมั่น

 

จิตที่ไม่ตั้งมั่นก็คือจิตที่หลงไปไหลไป

ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้ทันจิตที่ส่งไปส่งมา ทันทีที่รู้จิตที่ส่งออกไปมันจะดับ มันจะเกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาชั่วขณะเดี๋ยวมันก็ส่งออกอีก ส่งออกไปแสวงหาอารมณ์ ส่วนใหญ่ก็หลงไปคิด ไม่ต้องไปห้าม จิตจะคิดก็ไม่ต้องไปห้ามมัน เพราะจิตเป็นอนัตตาห้ามไม่ได้ ยิ่งเรื่องไหนบอกอย่าคิด อย่าคิด ยิ่งขยันคิดเลย ฉะนั้นอย่าไปห้ามมัน จิตไหลไปคิดแล้วรู้ จิตไหลไปคิดแล้วรู้ รู้ว่าจิตไหลไปคิด ไม่ใช่รู้ว่ามันคิดเรื่องอะไร ถ้าจิตไหลไปดูรูป รู้ว่าจิตไหลไปดูรูป ไม่ใช่รู้ว่ารูปนั้นๆ คือรูปอะไร

อย่างเราเห็นนั่งรถไปรถชนกัน จิตมันไหลไปดูรถชน คนส่วนใหญ่ที่เขาไม่ภาวนา ไปเจอรถชนกัน จิตเขาก็ไหลไปอยู่ที่รถชนกัน มีใครตายไหมอะไรอย่างนี้ ส่งจิตออกไป นักปฏิบัติพอเห็นรถชนกันจิตก็ไหลไปที่รถ พอจิตไหลไปที่รถชนกัน สติเกิดรู้ว่าจิตไหลไปแล้ว ไหลไปทางตาจะไปดู ทันทีที่รู้ว่าจิตไหลไปทางตา จิตที่ไหลไปทางตาดับ จิตผู้รู้ก็จะเกิดขึ้น คือจิตที่ทรงสัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นชั่วขณะ เดี๋ยวความอยากรู้ก็มากระตุ้น อยากดูอีกก็ส่งจิตไปดู ก็มีสติรู้ว่าจิตมันไหลไปดู เรารู้ว่าจิตออกไปดู ไม่ใช่รู้ว่าจิตดูอะไร

เมื่อก่อนมีญาติผู้ใหญ่หลวงพ่อคนหนึ่ง เขาบอกเขาภาวนาเป็นแล้วล่ะ พอเห็นพัดลมเขารู้ว่าพัดลม บอก หา! เห็นพัดลมรู้ว่าพัดลม คนไม่ภาวนาเขาก็เห็น ถ้าเห็นพัดลมแล้วอยากได้เอากลับบ้าน เออ อยากนี้ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติรู้ทันใจตัวเอง หรือเห็นว่าจิตกำลังหลงไปดูพัดลม ตัวนี้ใช้ได้ รู้ว่าจิตมันไหลไปทางตา เวลาที่จิตไหลไปทางตา คนทั่วไปก็จะไปรู้รูปที่ตาเห็น นักปฏิบัติที่ดีจะรู้ว่าจิตไหลไปที่ตา ส่วนจะเห็นรูปอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าจิตไหลไปทางตา

เวลาได้ยินเสียงคนอื่น เขาก็ได้ยินว่าเสียงอะไร เสียงเพลงเพราะไม่เพราะ เสียงเขาด่ากัน เสียงหมาเห่า เสียงหมาหอน เขาจะไปรู้อย่างนั้น นักปฏิบัติก็จะรู้ว่าตอนนี้จิตเราไหลไปฟังเสียง เสียงอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าจิตไหลไปฟังเสียง เวลาได้กลิ่น คนทั่วไปจะสนใจ เอ นี้มันกลิ่นอะไร พยายามดมใหญ่กลิ่นอะไร นักปฏิบัติได้กลิ่นเห็นว่าใจเราแส่ส่ายออกไปจะไปดม อยากรู้ พออยากรู้ว่ากลิ่นอะไร จะรีบส่งใจออกไปดู ส่งใจไปดม ตั้งอกตั้งใจจะดม เรารู้ว่าใจมันไหลไปทางจมูกจะไปดมกลิ่น

เวลากินของอร่อยคนทั่วไปก็รู้ อันนี้เป็ดย่าง อันนี้ไข่เจียว อย่างตอนนี้มีข่าวใช่ไหม อาวุธชีวภาพอันใหม่ของไทยคือเจียวไข่ ฟังแล้วงง เจียวไข่เอาชนะศัตรูได้ ศัตรูหิวต้องเดินออกมาจากที่ซ่อนไปเหยียบกับระเบิดของตัวเอง โอ้ เป็นอาวุธที่โหด โหดมากเลย อะไรจะทุกข์มากเท่ากับความหิว ทรมาน คนทั่วไปได้กลิ่น ได้กลิ่น โอ้ นี่ไข่เจียว คิดถึงไข่เจียว มโนภาพเกิดแล้ว นักปฏิบัติรู้ โอ้ จิตกำลังสนใจไปดมกลิ่น รู้ทันจิตของตัวเองที่ไหลไปทางจมูก ไหลไปทางลิ้นไปรู้รส ทางใจส่วนใหญ่ไหลไปคิด

คนทั่วไปเขาก็คิด นักปฏิบัติก็คิด ความต่างมันนิดเดียวเอง คนทั่วไปคิดแล้วเขารู้แต่เรื่องที่คิด นักปฏิบัติจิตหลงไปคิด จะรู้เรื่องที่คิดหรือไม่รู้เรื่องที่คิดไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าตอนนี้จิตหลงไปคิด ทันทีที่รู้ว่าจิตหลงไปดูรูป จิตหลงไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางกาย หลงไปคิดนึกทางใจ ทันที่ที่รู้ว่าจิตไหลไป จิตที่หลงไปไหลไปมันจะดับ มันจะเกิดจิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา คือจิตที่ไม่หลงไปไม่ไหลไป นี่วิธีที่จะทำให้เกิดจิตที่ตั้งมั่น ทำโดยการมีสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น

จิตที่ไม่ตั้งมั่นก็คือจิตที่หลงไปไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ห้าม มีตาก็เห็นรูป มีหูก็ได้ยินเสียง มีใจก็คิด แต่พอเรารู้ทัน เห็นรูปแล้วใจเราไหลไปที่รูป รู้ทัน อันนี้ดีที่สุด ใจไหลไปที่รูปแล้วยังรู้ไม่ทัน มันเกิดความรู้สึกสุขทุกข์ขึ้นมา เห็นรูปสวยๆ อย่างนี้ใจเรามีความสุขขึ้นมา มีสติรู้ว่า เอ๊ย ตรงนี้มีความสุขเกิดขึ้นแล้ว อันนี้ก็ยังใช้ได้เป็นระดับสอง

 

ระดับของการรู้ทันจิต

ระดับแรกเลยถ้าเก่งจริง จิตไหลไปเห็นรูปรู้ว่าจิตไหลไป จิตที่ไหลไปดับ จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าตรงนี้รู้ไม่ทันไม่ต้องตกใจ ส่วนใหญ่รู้ไม่ทันหรอก

พอไหลไปเห็นรูปที่พอใจ จิตมีความสุขรู้ว่ามีความสุข เห็นสิ่งที่ไม่พอใจ จิตมีความทุกข์รู้ว่ามีความทุกข์ รู้ความสุขรู้ความทุกข์ที่ตามหลังการกระทบอารมณ์ การกระทบอารมณ์ ตาเห็นรูป หูได้เสียง ใจคิด อันนี้ตรงที่กระทบอารมณ์เรียกว่าผัสสะ เพราะมีผัสสะก็เลยมีเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์เกิดขึ้น เห็นรูปสวย เห็นรูปที่น่าพอใจ ใจเรามีความสุข เห็นศัตรูเดินมาใจเรามีความทุกข์ เรารู้ รู้ทันความรู้สึกสุข รู้ทันความรู้สึกทุกข์ที่ตามหลังผัสสะมา ก็ใช้ได้ในระดับที่สอง

ทีนี้ตรงนี้บางคนยังรู้ไม่ทันอีก มีความสุขแล้วก็ราคะแทรกแล้วมองไม่เห็น อันนี้ก็หลงปรุงแต่งไปช่วยอะไรไม่ได้แล้ว บางคนภาวนาเห็นรูปสวยๆ จิตมีความสุข หรือเห็นดอกไม้สวยจิตใจมีความสุข รู้ทัน แล้วก็เห็นจิตมันชอบ ราคะเกิดแล้ว มันยินดี มันพอใจในรูปที่สวย รู้ทันราคะที่แทรกเข้ามาในความรู้สึกสุขทุกข์ อันนี้ก็ยังใช้ได้เป็นระดับที่สาม

เพราะฉะนั้นอย่างถ้าเราภาวนาแล้วเราเห็นใจเราเดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง ก็ใช้ได้แม้จะยังไม่ไวมาก กระทบแล้วจิตต้องทำงานไปพักหนึ่งล่ะ มันถึงจะเกิดกุศลเกิดอกุศลขึ้นมา แต่ถ้ารู้ตรงนี้ก็ยังใช้ได้ ถ้ารู้เร็วกว่านี้จะรู้ทันเวทนา กระทบอารมณ์อันนี้มีความสุขรู้ทัน พอรู้ทันราคะก็แทรกไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ทันตรงนี้ราคะก็แทรกได้ กระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ โทสะเกิด เกิดความทุกข์ในใจ เห็นอารมณ์ที่ไม่พอใจ ใจไม่สบายแล้วโทสะมันแทรกเข้ามา ถ้าเห็นตรงที่ใจไม่มีความสุขก็ยังดี ถ้าดูไม่ทันตรงนี้จะเห็นตรงที่โทสะแทรกเข้ามา อันนี้ก็ยังใช้ได้

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราดูจิตดูใจของเรา ถ้าชำนิชำนาญจริงเราจะรู้ทันจิตที่ส่งไปส่งมา จิตไหลไปคิดรู้ทัน จิตไปดูรูปรู้ทัน จิตไปฟังเสียงรู้ทัน จิตก็จะหลงไม่นาน หลงแวบก็รู้สึก แวบก็รู้สึก แต่ตรงนี้ถ้ายังทำไม่ได้มันก็เห็นของที่หยาบขึ้น พอกระทบอารมณ์แล้วเกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา ในใจเรามีสุขมีทุกข์ขึ้นมา มีสติรู้ทันจิตก็ไม่ปรุงแต่งต่อ ใช้ได้ หรือตรงนี้สุขทุกข์ขึ้นมายังไม่เห็น มันก็เกิดกุศลเกิดอกุศลอะไรขึ้นมาตามมาอีก พอรู้ทันจิตเป็นกุศลรู้ทัน จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง รู้ทัน อันนี้ก็ยังใช้ได้ ช้าหน่อยแต่ก็ยังใช้ได้ แต่ถ้าตรงนี้ไม่รู้ พอมีกิเลสแล้วไม่รู้ทันมันจะผลิตตัณหาขึ้นมา

ตัณหามันคือกิเลสตระกูลโลภะ ตระกูลโลภที่มีกำลังแรงกล้า อย่างเราเห็นผู้หญิงสวย ใจเราชอบอยากได้มาทำแฟน ถ้าเราเห็น โอ้ ใจมีราคะเกิดขึ้นมาก็เกิดตัณหาอยากได้มา เกิดกามตัณหาอยากได้มา เราไปอยู่ในบรรยากาศที่ดี แหม่ สงบร่มเย็นมีความสุข เราอยากให้สภาวะอันนี้อยู่นานๆ มีความสุขแล้วเราไม่เห็นว่าราคะมันเกิด อย่างอยู่ในวัดแล้วร่มเย็นเป็นสุข มันเกิดกิเลสที่เรียกว่านันทิราคะ มันเผลอเพลินมีความสุขแล้วไม่เห็น มันจะเกิดตัณหา ตัณหาก็คืออยากใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ตลอดไป ไม่อยากไปไหนแล้ว อยากอยู่ตรงนี้มีความสุข เห็นไหมความอยากเกิดแล้ว อยากให้สิ่งนี้คงอยู่ตลอดไปเรียกว่าภวตัณหา อยากให้ภพอันนี้คงที่อยู่

ทีนี้ถ้ากระทบอารมณ์แล้วมีความทุกข์ขึ้นมา โทสะแทรก โทสะแทรกถ้าเรารู้ทันโทสะก็ดับ จิตก็เป็นกลางรู้เนื้อรู้ตัวตื่นเบิกบาน โทสะแทรกแล้วไม่เห็น ก็จะผลักดันให้เกิดตัณหา อยากเป็นโลภะเหมือนกัน ตัณหาทุกตัวเป็นโลภะ โทสะไปผลิตโลภะขึ้นมา อย่างเราเกลียดขี้หน้าคนนี้ เกิดความอยากให้มันตายไปจากโลก ให้มันหายไปเลย อยากเกิดขึ้นแล้ว อยากให้มันหมดไปสิ้นไปเรียกว่าวิภวตัณหา เห็นไหมถ้าเราไม่รู้ทันจิตใจตัวเอง กิเลสเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ทันมันจะผลิตตัณหาขึ้นมา กามตัณหา อยากมี อยากเป็น อยากได้ อยากมี อยากได้ ภวตัณหา อยากให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ล่ะ คงอยู่ วิภวตัณหา อยากให้มันหมดไปสิ้นไป สูญไปเลยยิ่งดี นี่การทำงานของจิต

เมื่อตัณหาเกิดแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ความดิ้นรนของจิตจะเกิดขึ้น พอเกิดความอยากขึ้นทีไร ความดิ้นรนของจิตเกิดขึ้นทีนั้น อยากได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นแฟน จิตก็ดิ้นรนแล้ว ทำอย่างไรดีจะจีบเขาติด มีแฟนหรือยังก็ไม่รู้ชักกังวล มีแฟนแล้วแฟนมันจะสู้เราได้ไหม เราหล่อกว่า รวยกว่า หนุ่มกว่าหรือเปล่า ใจเริ่มฟุ้งซ่านแล้ว เริ่มปรุงแต่งแล้ว ตรงที่ใจเราฟุ้งซ่านปรุงแต่ง ความทุกข์มันเกิด ความปรุงแต่งคือภพเกิดขึ้นทีไรความทุกข์ก็เกิดขึ้นทุกที เพราะฉะนั้นภพไม่ว่าจะละเอียดหรือภพหยาบ ถ้าเกิดแล้วความทุกข์จะเกิดทุกทีถ้าเราละเอียดพอ

ขั้นแรกเรายังไม่เห็นหรอกว่าภพที่ละเอียดเป็นทุกข์ เราจะเห็นภพหยาบๆ เป็นทุกข์ อย่างอยากได้อะไรสักอย่าง เห็นเขามีมือถือรุ่นใหม่อยากได้ ใจก็ดิ้นรนขลุกขลัก ขลุกขลัก จะซื้อเงินสดก็ไม่มี ไปรูดบัตรก็รูดไปเยอะแล้ว อยากได้ ไปตายเอาดาบหน้าเราก็ไปรูด หนี้ก็พอกขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วพอมีหนี้ชอบไหม ไม่ชอบ ไม่อยากมีหนี้ทั้งๆ ที่มันมี ใจก็ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ทีแรกทุกข์เพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น ตอนนี้อยากไม่ได้ อยากไม่มีหนี้ ก็ไปก่อหนี้เองแล้วก็อยากไม่มีหนี้

พอความอยากเกิดทีไรใจก็ดิ้นรน เมื่อใจดิ้นรนทีไรความทุกข์ก็เกิดขึ้นทุกที ความดิ้นรนของจิตนั่นล่ะเรียกว่าภพ หรือเรียกว่ากรรม การกระทำกรรมของจิต กรรมภพ จิตมันจะดิ้นๆ ทุกคราวที่จิตดิ้นความทุกข์จะเกิดขึ้นทันที อย่างที่หลวงพ่อพูดเมื่อกี้นี้ตอนเช้าว่า รสชาติของกามมันเจือความเร้าร้อน ใจมันจะดิ้นรน อย่างคนที่ไปเสพกาม สมมติว่าไม่ได้เสพกับคนอื่นด้วยซ้ำไป เสพกับคู่ของตัวเอง แล้วถ้าสังเกตให้ดี หลังจากการเสพกามจิตจะติด บางคนจิตมันติดอารมณ์เพลินๆ มีความสุขรู้สึก Relax จิตมันติดอารมณ์แล้ว ยิ่งถ้าไปยุ่งกับคนอื่น จิตจะยิ่งเดือดเลย เต้นเร่าๆ เลย ไปยุ่งกับเมียคนอื่น

ฉะนั้นกามที่ว่ามีความสุขมันแฝงโทษมาในตัวเอง กระทั่งกามที่ถูกทำนองคลองธรรมก็ยังมีโทษ แต่เป็นโทษที่เบาบาง ยังไม่ได้ไปยุ่งกับลูกเขาเมียใคร ยุ่งกับเมียของเราคนเดียว มันมีโทษอย่างไร มันติด โทษเกิดจากความติดใจ แต่ฟังหลวงพ่อพูดตรงนี้กลับบ้านไปผู้หญิงทั้งหลายอย่าไปบอกสามี ว่าต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะปฏิบัติ หลายคนมาปรับทุกข์กับคุณแม่ ทีแรกก็มาบอกคุณแม่ว่าจะถือศีล 8 แล้ว จะไม่ให้ผัวมายุ่งด้วยแล้ว คุณแม่ก็เตือนคิดให้ดี ถ้าเขาไปมีคนอื่นจะทำอย่างไร ทำได้ ชีวิตนี้ขอถวายให้การปฏิบัติ ไม่นานน้ำตานองหน้ามาหาคุณแม่อีกแล้ว มันไปมีเมียใหม่

 

เส้นทางของการปฏิบัติ

ถือศีลต้องฉลาด รู้จักฐานะของตัวเอง เป็นฆราวาสถือศีล 5 ได้ดีที่สุดแล้วล่ะ ถ้ามีคู่ครองอยู่ ถ้า 2 คนโอเคตั้งอกตั้งใจพร้อมกันจะประพฤติพรหมจรรย์ อันนั้นอนุโมทนา ในตำราเห็นจะมีอยู่คู่หนึ่งคือพระมหากัสสปะกับภรรยาของท่าน 2 คนนี้ไม่อยากแต่งงานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยากประพฤติพรหมจรรย์ เพราะทั้งคู่สร้างบารมีมามากแล้ว ทีนี้พ่อแม่จะให้แต่งงาน ขัดไม่ได้คนโบราณพ่อแม่สั่งก็ต้องทำ แต่งแล้วทั้งคู่นี้ตกลงกันนอนอยู่เตียงเดียวกันเอาพวงมาลัยวางไว้ตรงกลาง 2 คนนี้มีพวงมาลัยคนละอัน ถ้าจิตของใครมีราคะ พวงมาลัยของคนนั้นจะเหี่ยว เป็นการประจาน แล้วคู่นี้ไม่เคยแตะตัวกันเลย แล้วอยู่กันได้อย่างนั้น มีความสุข

วันหนึ่งได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทั้ง 2 ท่านออกจากบ้านด้วยกันเลย ทรัพย์สมบัติยกให้คนอื่นหมดเลย ต่างคนต่างไปบวช ผู้หญิงไปทางซ้าย ผู้ชายไปทางขวา ผู้หญิงก็ไปอยู่สำนักนักบวชผู้หญิงไป ผู้ชายคือปิปผลิ ชื่อท่านคือปิปผลิ ปิปผลิออกไป ไปเจอพระพุทธเจ้า ฟังธรรมแล้วก็บรรลุพระอรหันต์ เพียงใน 7 วันก็บรรลุแล้ว ท่านเลยเล่าว่าท่านบวชมาท่านเป็นหนี้โยมอยู่ 7 วันเท่านั้นล่ะ พ้น 7 วันท่านไม่เป็นหนี้แล้ว เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญแล้ว ส่วนภรรยาท่าน ต่อมานานๆ มาแล้วเกิดภิกษุณีก็กลับมาบวชแล้วบรรลุพระอรหันต์ ทีนี้พวกเราถ้าทำไม่ได้อย่างนี้อย่าไปทำข้างเดียว ทำข้างเดียวเดี๋ยวชีวิตคู่มีปัญหา อย่าทำเป็นเก่งเกินตัวไป ถือศีล 5 ไว้ก็ดีแล้ว

ฉะนั้นตั้งใจปฏิบัติไป รักษาศีลไป พัฒนาจิตใจของเราไป รู้หลักแล้วว่าเราต้องกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้เท่าทันจิตตนเองไป ก็ทำไป ทุกวันจะเดินจงกรม 3 ชั่วโมง คอยรู้ทันจิตตัวเอง ขี้เกียจเดินรู้ว่าขี้เกียจ ท้อแท้รู้ว่าท้อแท้ เดินไป มีบางคนมาโอดครวญ เดินจงกรมจนหนังเท้าบางแล้ว เท้านี้แดงเลย จะทำอย่างไรดี บอกเดินได้ก็ยังเดิน เดี๋ยวมันก็หนาเองล่ะ ตอนนี้มันบางอีกหน่อยมันก็หนา เดินไปเถอะ แต่ละคนภาวนาตั้งอกตั้งใจก็ดูดีขึ้นเยอะเลย จิตที่ไม่เคยตั้งมั่นก็ตั้งมั่น ขันธ์ที่ไม่เคยแยกก็แยกได้

มันมีรสชาติ เวลาจิตตั้งมั่นมันมีรสชาติของจิตที่ตั้งมั่น บอกไม่ถูกหรอกต้องรู้ด้วยตัวเอง เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วขันธ์มันแยกง่ายๆ เลย เราจะรู้รสชาติของขันธ์ที่แยก จิตมันแยกขันธ์ได้ มันมีรสชาติของมัน ชีวิตจิตใจมันดูแปลกๆ ดูเปลี่ยนไป ดูมันเบา โลกมันห่างๆ ออกไปล่ะ สบาย การกระทบกระทั่งเข้ามา เข้ามาไม่ค่อยจะถึงจิตใจของเราแล้ว ฝึกเรื่อยๆ ต่อไปเราจะพบรสชาติที่สูงขึ้นไปอีก เวลาที่บรรลุอริยมรรคอริยผล มันมีรสชาติของมัน บางทีบรรลุถึงอริยผลแล้ว จิตมันเบิกบานอย่างรุนแรง คล้ายๆ มันหัวเราะได้เลย หัวเราะเยาะเย้ยกิเลส โอ๊ย นายช่างผู้สร้างเรือนเรารู้ทันเจ้าแล้ว ต่อไปนี้ตัณหาคือความอยากจะมาครอบงำเราชักจูงเราไม่ได้อีกแล้ว

ท่านแรกที่จิตเบิกบานอย่างรุนแรงก็คือพระพุทธเจ้าเรานี่ล่ะ ตอนที่ท่านบรรลุพระอรหันต์ จิตท่านอุทานทักทายกิเลส หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียกตัวนี้ว่าจิตยิ้ม เวลาบรรลุมรรผลท่านบอกมันจะมีจิตยิ้ม มันจะเยาะเย้ยกิเลสทักทายกิเลส ต่อไปนี้กิเลสตัวนี้เราฆ่าตายเด็ดขาดแล้ว มันมีรสชาติของมัน แล้วเสร็จแล้วมันก็มีรสชาติของพระนิพพาน

ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งท่านเคยเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าตอนที่ท่านข้ามวัฏฏะได้ ท่านสลัดคืนจิตให้โลกไปแล้ว เหวี่ยงทิ้งไปเลย จิตท่านพ้นจากขันธ์ เกิดสภาวะที่เป็นธาตุรู้ขึ้นมา ท่านบอกว่าท่านมีปีติมีความสุขอย่างนี้อยู่ปีหนึ่ง ปีหนึ่งหรือปีกว่าๆ อะไรอย่างนี้ แล้วถัดจากนั้นจิตเราก็เป็นอุเบกขา ไม่หวือหวาเหมือนตอนบรรลุทีแรก จิตเราเป็นอุเบกขา เราก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ท่านก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง ไม่ได้บอกว่าองค์ไหน ถึงบอกก็ไม่เป็นไร ท่านไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่เอาท่านมาโฆษณาหากินเอา

เล่าให้พวกเรารู้เส้นทางของการปฏิบัติเอาไว้ ไม่มีใครเขาสอนกันแล้ว คนที่ท่านรู้ท่านก็ไม่อยากจะสอนหรอก เรื่องเยอะ ท่านก็อยู่ป่าของท่านเงียบๆ สบาย ไม่ต้องวุ่นวาย ทีนี้หลวงพ่อมีเวรมีกรรมอย่างหนึ่ง ไปตั้งใจมาก่อน ตั้งปณิธานมาก่อนว่าจะช่วยพระสืบทอดศาสนาสักช่วงหนึ่ง ก็เลยต้องมารับเวรรับกรรมอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนพวกปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าเลิกแล้วต้องมารับเวรกรรมแบบนี้ล่ะ ฉะนั้นถ้าใครจะปรารถนาพุทธภูมิตั้งใจให้ดี มันรับเวรรับกรรรม ต้องมาแบกวัวแบกควายขึ้นภูเขา

เมื่อวานคนจีน คนจีนเข้ามาก็มาตีหัวกันในนี้ มาทะเลาะกัน คนข้างหนึ่งโดดกัด แน่ะ สู้กันด้วยการกัด สงสัยสัญชาตญาณเดิม กัด อีกฝ่ายหนึ่งก็ข่วน กัดกันข่วนกันยังไม่พอ พอแยกแล้วอีกข้างหนึ่งเอากระติกอย่างนี้ไปตีหัวเขา เลยบอกว่า เออ กติกาของวัดกรรมฐาน ทะเลาะกันในวัดก็คือเชิญออกทั้งคู่ เชิญออกทั้งคู่ เพราะฉะนั้นก็ให้คู่นี้ออกไปไม่ต้องมายุ่งที่นี่แล้ว

หลวงพ่อไม่ให้เข้ามาอีก ไม่ใช่มีเฉพาะคนจีน คนไทยก็มีแอบเข้ามาเป็นระยะๆ พอเห็นเราก็ต้องคอยไล่เอา มีมาตลอดล่ะ เพราะว่าวัดมันเป็นที่ร่มเย็น เป็นที่มีบุญในวัด เปรตมันก็ชอบมาสิ เปรตมันก็ชอบเข้าวัด แล้วก็เอาความหิวเข้ามา มาหาผลประโยชน์มาอะไร ถ้าหลวงพ่อเห็นหลวงพ่อไล่หมด ที่นี่ไม่ให้เรี่ยไร ไม่ให้เรี่ยไร แล้วไม่ให้มาอวดสอนคนโน่นสอนคนนี้โดยที่หลวงพ่อไม่ได้มอบหมาย สอนเสร็จแล้วสิ่งที่ตามมาก็คืออยากได้ลาภสักการะนั่นล่ะ พระก็มี โยมก็มี ถ้ารู้ก็ไล่หมด

มาที่นี่บอกไว้เลย ไม่มีเงินไม่ว่า มาให้ถึงเท่านั้นล่ะ ไม่มีเงินจริงๆ ก็ไปขึ้นรถตู้ เขามีรถตู้ให้ขึ้นฟรี มาที่นี่มีข้าวให้กิน ไม่ต้องเสียเงินหรอก สิ่งเดียวที่หลวงพ่อเรียกร้องคือเรียนแล้วต้องปฏิบัติ ฉะนั้นถ้ากินข้าวที่นี่แล้วไม่ปฏิบัติ ระวังคอหอยพอก กินของร้อนเข้าไปแล้ว กินทานของคนอื่น ฉะนั้นมาวัดมาให้ได้สติได้ปัญญา มาเรียนวิธีปฏิบัติแล้วเอาไปปฏิบัติ ตั้งใจเข้า พอปฏิบัติแล้วเราได้ลิ้มรสชาติของธรรมะเป็นลำดับไป เราจะมีกำลังใจ เราจะฮึกเหิม เราจะไม่ได้รู้สึก โอ้ ยากเหลือเกิน ท้อใจ มองไม่เห็นฝั่งอะไรอย่างนี้ ภาวนาไม่พอ ภาวนาไม่ถูกมันก็ไม่เห็นสิ

ภาวนาให้ถูก ภาวนาให้พอ เดี๋ยวมันก็เห็นเองล่ะว่าทางที่จะเดิน เดินไปทางไหน แล้วแต่ละก้าวที่เดิน มันจะมีความรู้สึกเลย แต่เดิมเราเหมือนอยู่ในป่าที่ทึบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน คลำๆ เหมือนคนตาบอด พอเราภาวนารู้ทิศรู้ทาง ค่อยๆ คลำๆ ไป เราก็ออกมาสู่ที่โล่งขึ้นๆ จากป่าทึบก็มาเป็นป่าโปร่ง จากป่าโปร่งก็ออกมาเป็นไร่อ้อยไร่มันอะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ออกมาเจอถนนได้ ค่อยๆ ทำ ตั้งอกตั้งใจเข้า

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
9 สิงหาคม 2568