การภาวนาในรูปแบบ

วันนี้ตรวจการบ้านไม่ยาก ไม่ได้พวกนักเพ่ง ถ้าเจอพวกนักเพ่งหลายๆ คน เสียเวลา ช่วงนี้คนที่เรียนมานานๆ เขาไปเข้าคอร์สมา หลวงพ่อก็ฝากคุณแม่ชีไป ไปบอกในคอร์สบอกว่า พวกที่ปฏิบัติมาตั้งนานแล้ว ให้ไปเดินจงกรมหรือทำในรูปแบบ อย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง มีคนไปทำจริงๆ ทีแรกฟังแล้วใจห่อเหี่ยว ฟังแล้วน่ากลัว ภาวนาในรูปแบบตั้ง 3 ชั่วโมง คิดว่าลำบาก ถามว่าลำบากไหม ลำบาก

หลายคนเยอะเลยที่หลวงพ่อเห็น มาส่งการบ้าน เขาไปภาวนาจริงจัง อย่างน้อยวันละ 3 ภาวนานิดๆ หน่อยๆ จะไปได้กินอะไร ต้องเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้ของดีหรอก ก็ได้แต่ของปลอม พอตั้งอกตั้งใจนั่งสมาธิ เดินจงกรม ด้วยความมีสติ ก็ก้าวหน้าเห็นๆ เจ้าตัวรู้ได้ด้วยตัวเอง ใจมันเกาะเกี่ยวกับโลกน้อยลง ใจเป็นอิสระมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีความสุข มีความสงบอยู่ในตัวเองได้มากขึ้น ถ้าหลงโลก ไม่มีอย่างอื่น วุ่นวายไปเรื่อยๆ จิตใจไม่มีเรี่ยวมีแรง

พอเราตั้งอกตั้งใจเอาจริง บางคนมาส่งการบ้าน ว่าเดี๋ยวนี้เลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวภาวนาไม่ได้ 3 ชั่วโมง กะว่าภาวนาครบ 3 ชั่วโมงแล้วจะได้ออกไปเที่ยวต่อ คิดอย่างนี้ สารภาพมาเมื่อเช้านี้เอง ปรากฎว่าพอครบ 3 ชั่วโมงมันดึกแล้ว ขี้เกียจออกไปเที่ยว อยู่บ้านภาวนาไปเรื่อยๆ เที่ยวกลางคืนมันเป็นอบายมุข เป็นทางของความเสื่อม กิเลสจะเล่นงานเอา อันตรายกลางค่ำกลางคืนก็เยอะ เสียหาย อยู่บ้านเราตั้งอกตั้งใจภาวนา สบาย ร่มเย็นเป็นสุข ชีวิตมีความสุขมากขึ้นๆ ความทุกข์น้อยลง ความทุกข์สั้นลง

 

ไม่เผลอ ไม่เพ่ง

การทำในรูปแบบ หลวงพ่อสอนมาหลาย 10 ปีแล้ว มีคำอยู่คู่หนึ่ง คำว่า “ไม่เผลอ” กับ “ไม่เพ่ง” พวกที่เรียนกับหลวงพ่อมานานหลาย 10 ปีจะได้ยินคำนี้บ่อย บอกเวลาเราภาวนา ทำในรูปแบบ ต้องไม่เผลอแล้วก็ไม่เพ่ง อย่างเราทำกรรมฐานรู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้า เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ทำกรรมฐาน เห็นร่างกายเดินจงกรม เห็นร่างกายนั่ง เห็นร่างกายหายใจ ทำเรื่อยๆ หัดทีแรก ถ้าตั้งใจมาก มันจะลงไปเพ่ง รู้ลมหายใจก็ไปเพ่งลมหายใจ ไปขยับมือก็ไปเพ่งมือ ไปดูท้องก็ไปเพ่งท้อง เดินจงกรมบางคนเพ่งเท้า บางคนเพ่งมันทั้งตัวเลย นี่ตัวที่ผิด

การเพ่งเป็นความปรุงแต่งฝ่ายดี เพ่งแล้วดี ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันแค่ดี มันไม่เหนือดี มรรคผลนิพพานอยู่เหนือดี เหนือชั่ว แต่เบื้องต้นเพ่งไว้ก่อนเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่พอเริ่มลงมือปฏิบัติ กลัวจะเผลอ กลัวจะว่าไม่ได้ปฏิบัติ ก็นั่งเพ่งเอาๆ ก็เหนื่อย อึดอัด ลำบาก แน่นๆ บางคนคอเคล็ด หลังเคล็ด ไหล่ยอก นี่เพ่งแรงไป นี้หัดแรกๆ มันเพ่งทุกคนล่ะ เพ่งมาก เพ่งน้อย ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง ตรงที่เราเพ่ง เบื้องหลังมันคือความอยาก อยากดี อยากปฏิบัติ พออยากดี อยากปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติก็ลงมือเพ่ง กลัวมันไม่ดี อยากจะเห็นสภาวะต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ให้หลง ไม่ให้เผลอ

มันเริ่มด้วยความอยาก มันก็เพ่งเอาๆ พอเพ่งไปนานๆ มันเหนื่อย เหนื่อยก็เลิก เข็ด แต่ถ้าเรามีความตั้งใจมั่น ทุกวันจะต้องทำให้ได้อย่างน้อยสัก 3 ชั่วโมง เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เลิก ใจมันท้อถอยก็ไม่เลิก ต้องอย่างนั้น สู้ ก็ทำไปๆ ใจจะค่อยมีแรงขึ้น พอชำนิชำนาญขึ้น การเพ่งมันก็ลดลง ถ้ามันฉลาด มันเห็นว่าที่เราเพ่งเพราะเราโลภ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี ทำให้เพ่ง เพ่งแล้วได้อะไร ก็ได้เป็นคนดี ได้เป็นนักปฏิบัติที่ดี ถ้าตายไปแล้วเพ่งเก่งๆ ก็ไปเป็นพระพรหม ไปเกิดในพรหมโลก

ฉะนั้นถ้าเราตึงไป บังคับตัวเองแรงไป ไม่ใช่ชั่ว มันดีแต่มันดีไม่เต็มที่ แต่ถ้าเรามีสติปัญญากำกับลงไป เราทำในรูปแบบ เราทำด้วยความอยาก ถ้าเราเห็นต้นตอ โอ๊ย นี่มันอยาก ความอยากมันดับ แล้วก็ลงมือปฏิบัติต่อไป อดทน ความอยากมันจะค่อยอ่อนกำลังลง ค่อยๆ ดู ค่อยๆ รู้ไป สุดท้ายก็มานั่งทำในรูปแบบ มันชินที่จะทำแล้ว ไม่ต้องบังคับ ถึงเวลาก็อยากนั่งสมาธิ อยากเดินจงกรม ก็สบาย ก็ไปทำต่อ

การที่เราทำในสมาธิ ทำสมาธิ เดินจงกรม ทำในรูปแบบ แรกๆ ใจเราวอกแวกๆ ใจเราจะหนีไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ หรือไม่ก็คิดท้อถอย อันนี้ย่อหย่อนไปแล้ว ถ้านั่งเพ่งอยู่นี้ตึงเกินไป ถ้าหลงคิดโน้นคิดนี้ไป ย่อหย่อน เผลอไป เวลาเราทำในรูปแบบ สิ่งที่ผิดจะมี 2 อันเท่านั้น ตึงเกินไปกับหย่อนเกินไป 2 อันนี้ทำให้เราไม่เข้าทางสายกลาง ไม่เข้าทางสายกลาง คือเราไม่ได้เจริญมรรคแล้ว มรรคคือทางสายกลาง ตึงเกินไปเริ่มจากโลภ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี เพ่งเอาๆ ไม่เป็นไร

อดทนทำไปเรื่อยๆ ต่อไปมันก็รู้ เพ่งแรงก็เหนื่อย เพ่งแรงมันก็อึดอัด ทุกข์เยอะ มันค่อยฉลาดขึ้น รู้ว่าถ้าเราอยากดีเร็วๆ อยากบรรลุธรรมเร็วๆ ใจเราโลภ เราก็ไปเพ่ง เพ่งแล้วเราก็อึดอัด ไม่มีความสุข ไม่มีความสงบจริง สงบแบบเหมือนเอาก้อนหินไปทับหญ้า โบราณเขาเปรียบสมาธิแบบเอาหินไปทับหญ้าไว้ หญ้าก็ไม่งอก พอก้อนหินมันหลุดออกไป เคลื่อนออกไป หญ้าก็งอกอีก เราไปนั่งเพ่ง เหมือนกิเลสไม่เกิด เลิกเพ่งเมื่อไรกิเลสกลับมาเต็มไปหมดเลย แล้วอาจจะรุนแรงกว่าเก่า

หลวงพ่อเคยเจอคุณยายท่านหนึ่ง เป็นนักปฏิบัติรุ่นเก่าแก่ เรียนกับครูบาอาจารย์มานาน ก่อนหลวงพ่ออีก วันหนึ่งคุณยายก็ไปหาหลวงพ่อ ตอนนั้นยังอยู่ที่เมืองกาญจน์ฯ บอกได้ฟังซีดีหลวงพ่อแล้วรู้ว่า ที่ปฏิบัติอยู่มันไม่ถูก คือเพ่งมาตั้ง 60 – 70 ปีแล้ว เพ่งมาตั้งแต่ยังสาวๆ แล้วรู้ว่ามันไม่ใช่ทาง มันติดอยู่แค่นั้น ก็สงบอยู่อย่างนั้น ออกจากสมาธิมาก็ฟุ้งซ่าน กิเลสก็รุนแรงอีก บอกหลวงพ่อช่วยแก้ให้หน่อย

หลวงพ่อดูแล้ว โอ้ แก้ยาก ติดเพ่งมาตั้ง 60 ปี ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย จิตใจมันเคยชิน 60 – 70 ปีที่ผ่านมาเพ่งเอาๆ ถ้าแก้ตอนนี้ ถ้าหลุดออกมาจากการเพ่ง จิตจะฟุ้งซ่านมหาศาลเลย คล้ายๆ กิเลสมันถูกเก็บกดไว้นานแล้ว พอปลดปล่อยมันก็ระเบิดเปรี้ยงเลย ฉะนั้นพวกนั่งเพ่งมากๆ กิเลสแรง ไม่ใช่กิเลสเบา หลวงพ่อก็เลยบอกคุณยายว่ามันแก้ไม่ทันแล้ว คือถ้าท่านอายุน้อยกว่านี้ ยังพอแก้ไหว เพราะว่าตอนที่แก้ให้จิตหลุดจากการเพ่ง หลุดจากสมาธิอย่างเพ่ง จิตมันจะฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง เพราะมันเก็บกดมานาน

ถ้ามันฟุ้งซ่านรุนแรง จิตมันจะเป็นอกุศล แล้วกว่าจะปรับให้เข้าที่ได้จริงๆ ใช้เวลา เวลาทำผิดทำตั้งหลาย 10 ปี จะมาแก้ให้ถูกในวัน 2 วัน มันทำไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเลยแนะนำคุณยายท่านนี้ไปนิดเดียวว่า ต่อไปนี้เวลานั่งสมาธิ คุณยายอย่าให้ร่างกายหายไป ให้จิตสงบอย่างไร ก็ยังให้เหลือร่างกายไว้ ถ้าร่างกายหายไปเลยก็ไปเข้าอรูป ถ้าไปเป็นอรูปพรหม ตายไปเป็นอรูปพรหม พระเมตไตรยมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป พรหมก็ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ไม่สามารถมาเรียนกรรมฐานต่อได้

บอกให้ไปเป็นพรหมที่มีร่างกาย ทำแค่รูปฌาน อย่าขึ้นอรูป แล้วเวลาตายไป ไปเป็นพระพรหมที่มีร่างกาย มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตอนที่พระเมตไตรยมาตรัสรู้ ก็จะรู้ เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละองค์ โลกธาตุมันสะเทือน สะเทือนหวั่นไหว พวกเทวดาก็จะร้องบอกกันว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็บอกกันต่อๆ ไป จนถึงพรหมโลก พวกเทพ พวกพรหมก็จะรู้ ก็จะลงมาเรียนกรรมฐานได้ บอกคุณยายต้องเดินแนวนี้แล้ว ถ้าแก้กรรมฐานตอนนี้ ไม่ไหว

 

ตรงที่รู้ทัน เรียกว่าเรามีสติแล้ว

พวกเรานักเพ่งทั้งหลาย ยังเพ่งไม่ถึง 60 – 70 ปีหรอก แล้วเพ่งไม่ได้เรื่องด้วย สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง ฝีมือยังอ่อนอยู่ ก็ไม่ต้องไปเดินผิด ต้องเสียเวลาตั้งพุทธันดรหนึ่ง ก็เลยอย่าไปเพ่งแรง เพ่งพอให้ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว มันจะหนีก็ไม่เอา ทิ้งมันไป กลับมาอยู่กับกรรมฐานของเราไป ใจฟุ้งซ่านไปก็รู้ทัน ใจมาอยู่กับอารมณ์กรรมฐานก็รู้ทัน รู้อย่างนี้เรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นเวลาทำในรูปแบบ ขอแนะนำเลย จะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ได้ ถ้าใจเราหนีไปจากกรรมฐานให้รู้ทัน อย่างเราเดินอยู่ มีสติเห็นร่างกายเดิน แล้วใจมันหนีไปคิดเรื่องอื่น มันลืมร่างกายที่กำลังเดิน ให้รู้ทัน รู้ทันแล้วก็กลับมารู้ร่างกายที่เดินใหม่ หรือเรานั่งสมาธิเห็นร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า ใจมันฟุ้งหนีไปคิดเรื่องอื่น อย่าไปห้ามมัน ถ้าพยายามห้ามไม่ให้มันไปคิดเรื่องอื่น ใจจะเครียด

ถ้าใจเราเครียด สมาธิจะไม่เกิด สมาธิจะเกิดได้ ใจเราต้องมีความสุข เราทำไปเถอะ ทีแรกอาจจะไม่สุข แต่ทำไปนานๆ ใจเราจะมีความสุข มันจะลิ้มรสชาติของสมาธิ แล้วมันจะไม่อยากยุ่งกับโลก ถึงเวลามันก็อยากกลับบ้าน ทำงานเสร็จแล้วอยากกลับบ้าน อาบน้ำอาบท่า กินข้าว พักผ่อนนิดหน่อย ใจมันน้อมเข้าหาการปฏิบัติ มันก็ภาวนาของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาบังคับ ไม่มีใครเตือน

ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าเรา ใจเราแรกๆ ทำในรูปแบบใจจะวอกแวก หนีไปคิดเรื่องอื่นบ้าง ถลำลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานบ้าง ให้มีสติรู้ไปเรื่อยๆ จิตจะหนีไปคิดก็ไม่ต้องห้าม เพราะฉะนั้นจิตฟุ้งซ่านก็ช่างมัน แค่รู้ว่านี่มันฟุ้งซ่าน ไม่ต้องแก้ จิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตไหลไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐานก็ไม่ต้องแก้ แล้วก็ไม่ต้องรักษา ให้มันนิ่งอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน จิตไหลไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน ก็รู้ว่าตอนนี้จิตเราจมลงไป ไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานแล้ว

ตรงที่จิตมันทำกรรมฐานไป แล้วจิตมันไหลไปที่อื่น อันนั้นเราหลงไปแล้ว ตรงที่เราทำกรรมฐานแล้วจิตเราไหล จมลงไปที่อารมณ์กรรมฐาน เราไปเพ่งแล้ว มันจะตึง มันจะแน่นขึ้นมา ต่อไปชำนิชำนาญขึ้น จิตไหลออกไปข้างนอก ไปรู้อารมณ์ภายนอก เราก็รู้ทัน จิตไหลลงไปที่อารมณ์กรรมฐาน เราก็รู้ทัน ตรงที่รู้ทันนั่นล่ะเรียกว่าเรามีสติแล้ว ฉะนั้นเราฝึกกรรมฐาน ไม่ได้ฝึกเอาสงบ ไม่ฝึกเอาดี ไม่ฝึกเอาอะไรทั้งสิ้นเลย ฝึกให้มีสติไว้

ทำกรรมฐานไป จิตไหลไปก็รู้ ไหลไปคิดก็รู้ จิตไหลลงไปที่อารมณ์กรรมฐานก็รู้ รู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมานั่นล่ะ พอรู้ว่าจิตไหลก็อย่าไปดึงคืน บางคนพอรู้ว่าจิตไหลไป ก็พยายามไปดึงคืน อย่างหลงไปคิด เอ๊ย ไม่เอา เอา ดึงคืนมา มันจะอึดอัดทันทีเลย เพราะเราบังคับจิต จิตถูกบังคับแล้วมันจะอึดอัด มันไหลไป แค่รู้ว่าไหลไป ฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องไปดึงคืน เพราะว่าจิต จริงๆ จิตที่หลงไปไหลไป มันคือจิตที่มีโมหะ ชื่อว่าอุทธัจจะ ฟุ้งซ่าน มันเป็นอกุศล จะไปหวงมันไว้ทำไม

ทันทีที่เรารู้ว่าตอนนี้จิตฟุ้งซ่าน จิตฟุ้งซ่านจะดับ จิตตั้งมั่นจะเกิดขึ้นแทน คือจิตที่มันไม่ฟุ้งไป แล้วก็ไม่ไปทำงานอะไรวุ่นวาย อย่างไปนั่งเพ่งเอาๆ เหนื่อย จิตมันเหนื่อย ไปเพ่งกรรมฐานรุนแรง จิตก็เหนื่อย จิตฟุ้งซ่าน จิตก็เหนื่อย เรามีสติรู้ทัน โอ้ จิตฟุ้งซ่าน รู้ทัน มันก็ไม่ฟุ้งซ่าน จิตถลำลงไปเพ่ง ทีแรกห้ามไม่ได้ ฝึกไปเรื่อยๆ ก็รู้เลย มันเพ่งเพราะอยาก เพราะโลภ พอรู้ทันมันก็ไม่ค่อยเพ่งแล้ว

เมื่อจิตมันไม่ไหลไปข้างนอก จิตไม่ถลำลงไปเพ่งภายใน จิตไม่ได้ทำงาน จิตไม่ต้องทำงานอะไรมาก จิตทำงานอย่างเดียว คือรู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น จิตที่ไม่ต้องทำงานวอกแวกหลายๆ อย่าง เดี๋ยววิ่งไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตมันก็ไม่เหนื่อย จิตมันจะค่อยๆ มีกำลัง มีแรง จิตมันจะตั้งมั่นมากขึ้นๆ อย่างคนจีนคนนี้ จิตเขามีแรงแล้ว เรียนอยู่หลายปี จิตมีแรง ดี

 

ทำไมต้องฝึกให้จิตมีกำลัง

ทำไมต้องฝึกให้จิตมันมีกำลัง ให้จิตมันมีแรง เพราะมันจะต่อยอดไปสู่การเจริญปัญญา ถ้าเอาจิตฟุ้งซ่าน แล้วไปคิดพิจารณาธรรมะอะไรต่ออะไร หวังว่าจะเกิดปัญญา ไม่เกิด ถ้าเราไปคิดพิจารณาธรรมะ อย่างมากก็ได้สมถะ จิตสงบ ก็ดีไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่สามารถต่อยอดขึ้นวิปัสสนาจริง วิปัสสนาไม่ได้คิดเอา วิปัสสนาต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรม สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ก็คือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลายนั่นล่ะ

ถ้าเราเห็นรูปธรรมนามธรรมเป็นไตรลักษณ์ เราขึ้นวิปัสสนาแล้ว ทำวิปัสสนาแจ่มแจ้ง จิตจะหมดความยึดถือ ปล่อยวาง ไม่ยึดกาย ไม่ยึดใจ จิตก็หลุดพ้น ที่สุดของทุกข์ก็ตรงที่จิตหลุดพ้นไปแล้ว จิตปล่อยวาง ไม่ยึดถืออะไรทั้งสิ้น แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ก่อนจะทำวิปัสสนาได้ จิตต้องตั้งมั่นเสียก่อน

ฆราวาสมีจุดอ่อนที่สำคัญมากเลย สมาธิไม่พอ ที่สมาธิไม่พอ เพราะปฏิบัติไม่ถูกนี้ข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง ถึงปฏิบัติถูกก็ไม่ต่อเนื่อง ปฏิบัติไม่ถูก เช่น ไปนั่งเพ่งเอาๆ ทำแล้วยิ่งเครียด ทำแล้วกลายเป็นกูเก่ง ทำแล้วรู้สึกว่าจิตเที่ยง จิตนี้เป็นสุข จิตนี้เป็นของบังคับได้ ยิ่งปฏิบัติ มิจฉาสมาธิพาไปเกิดมิจฉาทิฏฐิ ก็หลงผิดหนักเข้าไปอีก แต่ถ้าสมาธิเราถูก ทำอย่างที่หลวงพ่อบอก มีสติรู้ทันใจของเราไป

ทำกรรมฐาน จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน ได้ยินเสียงจิ้งจกร้องจุ๊ๆๆ นั่งสมาธิอยู่ จิ้งจกร้อง จิตวิ่งไปหาจิ้งจกแล้ว รู้ทัน หรือจิตไหลลงไปที่อารมณ์กรรมฐาน อย่างหลวงพ่อทำอานาปานสติ ถ้าจิตไหลลงไปที่ลมหายใจ เรารู้ทัน จิตมันก็จะไม่ไหล มันจะตั้งมั่นขึ้นมา พวกดูท้องพองยุบ ถ้าจิตไหลไปที่ท้อง รู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา ขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียน ถ้าจิตไหลไปอยู่ที่มือ รู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา

ทำกรรมฐานที่เราถนัด ไม่มีกรรมฐานอะไรดีกว่ากรรมฐานอะไร เราถนัดกรรมฐานอะไรก็เอาอันนั้น ทำไป ต้องทำทุกวัน ทำในรูปแบบ ทำให้ได้สัก 3 ชั่วโมง แล้วเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง 3 ชั่วโมงไม่ใช่นั่งทรมานตัวเอง นั่งคอยรู้ทันตัวเองไป ฉะนั้นทำกรรมฐาน อย่างหลวงพ่อหายใจตั้งแต่เด็ก หายใจแล้วจิตมันฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจแล้วจิตมันไปสงบอยู่กับลมหายใจ อยู่กับแสงสว่าง อยู่กับนิมิต รู้ทัน รู้ทัน ตรงที่เราคอยรู้ทัน สติมันเกิด สติเป็นตัวรู้ทันปัญญาเป็นตัวประหัตประหาร

สติรู้ทัน กิเลสเกิดปุ๊บ รู้ทันเลย อย่างจิตเราไหลไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ รู้ว่าจิตไหล รู้ว่าจิตหลงไปคิด ไม่ใช่รู้ว่าจิตคิดเรื่องอะไร รู้ว่าจิตไหลไปคิด ไม่ใช่รู้ว่าจิตคิดเรื่องอะไร แต่ถ้ามันจะรู้ว่าจิตคิดเรื่องอะไร ก็ไม่ว่ามัน คนในโลก กระทั่งหมา กระทั่งแมว เวลามันหลงคิด มันก็รู้เรื่องที่มันคิด เพราะฉะนั้นการที่รู้เรื่องที่คิด ไม่ใช่ของอัศจรรย์อะไร เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องเพลนๆ หมู หมา กา ไก่ ก็ทำได้

แต่ตรงที่จิตไหลไปคิด แล้วเรารู้ว่าตอนนี้จิตเราไหลไปคิด ตรงนี้ล่ะสุดยอดเลย เพราะฉะนั้นรู้ว่าจิตคิด สำคัญยิ่งกว่ารู้ว่าจิตคิดอะไร จะคิดอะไรก็ช่างมันเถอะ รู้ว่าตอนนี้มันหลงไปคิดแล้ว แค่นี้พอแล้ว ฝึกให้ดี พอจิตหลงไปคิดแล้วรู้ จิตก็จะตั้งมั่น จิตถลำไปเพ่งแล้วรู้ จิตก็ยังไปแช่อยู่ ไม่ถอนขึ้นมา ก็รู้ที่มันถลำลงไป เพราะมันมีความอยาก อยากดี พอรู้ทันความอยาก ความอยากดับ จิตที่ถลำไปเพ่งก็ดับ จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา

เพราะฉะนั้นจิตเราจะตั้งมั่นเป็นระยะๆๆ ไป ทุกคราวที่สติที่แท้จริงเกิด จิตก็จะตั้งมั่นไปด้วย ในที่สุดจิตก็จะมีกำลัง ตั้งมั่นอย่างคนจีนคนนี้ เรียนมาหลายปี ตั้งมั่นได้งดงามมากเลย พอจิตตั้งมั่นได้แล้ว เรียกว่าเราได้สมาธิแล้ว ได้สัมมาสมาธิแล้ว สมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ พวกเราชอบไปแปลสมาธิว่าสงบ เพราะฉะนั้นมุ่งไปเลย หาความสงบลูกเดียวเลย สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ เกิดจากสัมมาสติ เกิดจากสติที่มันรู้ทันพฤติกรรมของจิตตัวเอง จิตหลงไปก็รู้ จิตถลำลงไปเพ่งก็รู้ นี่เรามีสัมมาสติแล้ว พอรู้ปุ๊บ สมาธิก็เกิดชั่วขณะ หลงอีก รู้อีก หลงอีก รู้อีก ในที่สุดจิตก็จะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา

 

ขั้นที่เจริญปัญญาได้จริง

พอจิตเราตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาแล้ว เราจะถึงขั้นที่เจริญปัญญาได้จริง หลายคนชอบมาถามหลวงพ่อว่า ตอนนี้หนูเจริญปัญญาหรือยัง เราก็ตอบยาก ที่ตอบยากไม่ใช่ไม่รู้ แต่จะตอบอย่างไรไม่ให้ตกใจ ไม่ให้ท้อแท้หมดกำลังใจ มันยากตรงนี้ ถ้าบอก โอ๊ย หนูเอ๊ย ยังอีกไกล กว่าจิตมันจะเจริญปัญญา ตอนนี้เธอยังเพ่งเอาๆ นั่งสมาธิเอ๋อๆ อยู่อย่างนั้น ยังแก้ตรงนี้ไม่ตก มันไม่เดินปัญญาจริง จิตจะเจริญปัญญาได้ จิตต้องตั้งมั่น

สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา สัมมาสติทำให้เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิทำให้เกิดปัญญา คือจิตมันตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้ว เกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในร่างกาย สติรู้ทันด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง พอจิตเราตั้งมั่นเป็นกลางอยู่ มีความเคลื่อนไหวในจิตใจ สติระลึกรู้ ตอนนี้ใจเราไหลไปแล้ว รู้ทัน ตอนนี้ใจเราสุข ใจเราทุกข์ ใจเราดี ใจเราโลภ โกรธ หลง ใจฟุ้งซ่าน ใจหดหู่ มันเห็นทัน รู้ทันปุ๊บ อกุศลทั้งหลายมันดับทันที จิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติขึ้นมา

หัดแรกๆ บางทีตั้ง 7 วันถึงจะตั้งมั่นขึ้นมา ทำไปเรื่อยๆ ต่อไปหลงปุ๊บรู้ปั๊บ หลงปุ๊บรู้ปั๊บ หลวงพ่อตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อนั่งสมาธิจนกระทั่งจิตมันตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตมันตั้งมั่นได้ตั้งแต่ 10 ขวบ 10 ขวบก็ราวๆ 2505 ราวๆ นั้น จิตมันตั้งมั่น แล้วมันเห็นความรู้สึก มันไม่ใช่ตัวเรา ความตกใจ ความกังวล ความกลัว ไม่ใช่ตัวเรา เป็นของแปลกปลอม เป็นของถูกรู้ แต่ตอนนั้นเดินปัญญาไม่เป็น อันนั้นเป็นจิตที่ตั้งมั่น เกิดจากการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง

ของเราต้องใช้อีกวิธีหนึ่ง ยุคนี้เป็นคนสมาธิสั้น จะไปนั่งเต็มที่อย่างที่หลวงพ่อทำสมัยก่อน อย่างที่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าทำ มันยากมาก เพราะใจมันวอกแวกตลอดเวลา แค่เดินจงกรมเดี๋ยวก็แวะมาดูแล้ว มีไลน์อะไรเข้ามาหรือเปล่า เดินๆ เดี๋ยวก็ติ๊ง ต้องไปดูอีกแล้ว จะไปตั้งมั่นกับลิงที่ไหน ก็ไหลไปๆ ฟุ้งไปเรื่อยเลย หยิบมือถือมาดูนิดเดียว มีข้อความมา ต้องตอบ กรรมฐานหายไปแล้ว แล้วมาเริ่มเดินใหม่ มาเริ่มนั่งสมาธิใหม่ อีกตั้งนานกว่าจะสงบ อ้าว พอจะสงบ ติ๊งอีกแล้ว

ฉะนั้นยุคนี้ ทำอย่างนั้นไม่ได้เรื่องแล้ว ทำในรูปแบบเต็มที่แล้วเข้าสมาธิลึกๆ อะไรอย่างนั้น ทำไม่ไหว มันวอกแวก วอกแวกทำอย่างที่หลวงพ่อบอกนี่ล่ะ แต่อดทนนิดหนึ่ง ทำวันหนึ่ง 3 ชั่วโมงจะแบ่งเป็นช่วงๆ ก็ได้ ตอนเช้าชั่วโมงหนึ่ง ตอนกลางวันครึ่งชั่วโมง ตอนก่อนนอนสักชั่วโมงครึ่ง เก็บๆๆ รวมให้ได้สัก 3 ชั่วโมงทำไป วิธีทำก็อย่างที่บอก ทำกรรมฐานที่เราถนัด จิตหลงไปที่อื่น รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งกรรมฐาน รู้ทัน อย่างดูท้อง จิตไปอยู่ที่ท้อง รู้ทัน รู้ทันจิต

ทำกรรมฐานไปแล้วรู้ทันจิตไป เรียกว่าอธิจิตตสิกขา สิ่งที่เราจะได้ก็คือสัมมาสมาธิ พอสติระลึกรู้ จิตมันเคลื่อนไปทางไหน สติรู้ทันปั๊บ ความที่ไหลไปมันก็จะดับ จิตก็จะตั้งมั่น พอตั้งมั่นถี่ๆๆๆ มันจะตั้งได้แข็งแรงขึ้น มันจะเหมือนจิตเราตั้งมั่นอยู่ทั้งวันเลย โดยที่ไม่ได้เจตนา ถ้าเจตนาให้ตั้งมั่น อันนี้เพ่ง 100 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นจิตที่ตั้งมั่นจริงๆ เกิดจากสติ ไม่ใช่เกิดจากการเพ่งเอา มีสติไปเรื่อยๆ รู้สภาวะ โดยเฉพาะสภาวะของจิต ถ้าเรารู้ทันจิตใจตัวเองแล้ว สัมมาสมาธิมันจะเกิดขึ้น

เมื่อก่อนหลวงพ่อพูดเรื่องดูจิตๆ คนชอบคิดว่าดูจิตเป็นวิปัสสนา ที่จริงการดูจิตในเบื้องต้น จะทำให้เราได้สัมมาสมาธิ จิตเราจะตั้งมั่น แล้วคราวนี้เราเดินปัญญา จะเดินปัญญาด้วยการดูกายก็ได้ ดูเวทนาก็ได้ หรือจะดูจิตต่อไปเลยก็ได้ อย่างที่หลวงพ่อทำก็คือ หลวงพ่อดูจิตต่อไปเลย ฉะนั้นดูจิตให้มีสมาธิขึ้นมา ให้จิตตั้งมั่น แล้วก็ดูจิตมันทำงาน ก็จะเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของจิต อย่างเวลาเราเจริญปัญญาด้วยการดูจิต ทีแรกเราจะเห็นจิตเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวสุขอยู่ชั่วคราวก็หายไป เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ ทุกข์ชั่วคราวแล้วก็หายไป เดี๋ยวจิตเฉยๆ เฉยๆ อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป

เดี๋ยวจิตก็เป็นกุศล กุศลอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป เดี๋ยวก็โลภ ความโลภอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป ความโกรธอยู่ชั่วคราวก็หายไป ความหลงอยู่ชั่วคราวก็หายไป ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา สู่ความรับรู้ของจิต เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย เราเห็นอย่างนี้ แล้วถ้าเราเคยฝึกสัมมาสมาธิ ด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา เราจะเรียนการดูจิตในขั้นเจริญปัญญาได้เร็วมากเลย บางคนดูจิต ไม่เห็นจิตที่ไหลไปไหลมา ก็จำเป็นต้องไปดูอย่างอื่นก่อน

ถ้าดูจิตไม่ได้เลย ดูกายไปก่อน หรือเขยิบขึ้นมาเห็นเวทนา หรือสูงขึ้นมาก็เห็นสังขาร เห็นจิต เดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงโลภ โกรธ หลง ดูอย่างนี้ ดูไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าโลภ โกรธ หลงอะไรนี้ ไม่ใช่จิตหรอก จิตเป็นคนรู้ จิตมันจะแยกออกมา ก็แยกออกมาได้ ทีแรกเราเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิต เราก็นึกว่าจิตเราสุข จิตเราทุกข์ จิตเราเป็นกุศล จิตเราเป็นอกุศล หลงผิดอย่างนี้ พอฝึกบ่อยๆ มันจะเห็นเลย สุขทุกข์ดีชั่วทั้งหลาย เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า จิตเป็นคนไปเห็นเท่านั้นเอง

จิตมันแยกออกจากเวทนา จิตมันแยกออกจากสังขาร มันเป็นจิตจริงๆ ขึ้นมาแล้ว เรียกว่าเป็นวิญญาณ เข้ามาถึงวิญญาณขันธ์แล้ว พอเข้ามาถึงวิญญาณขันธ์ เราจะเห็นจิตเราเดี๋ยวก็ไหลไปทางตา ไหลไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เดี๋ยวก็ไหลไปทางใจ ไหลไปไหลมา อันนี้เขาก็จะเริ่มเห็นจิตที่ไหลเหมือนกัน พอเห็นจิตที่ไหลไปไหลมา ก็จะเห็นจิตทุกชนิดไม่เที่ยง จิตทุกชนิดมีแต่ภาระ มีแต่ทุกข์ จิตทุกชนิดเป็นอนัตตา เราสั่งอะไรมันไม่ได้จริง เข้ามาเดินปัญญาตรงนี้ ก็ละความเห็นผิดว่าจิตเป็นตัวเราได้

 

ละความเห็นผิดว่าจิตเป็นตัวเรา

ถ้าละความเห็นผิดว่าจิตเป็นตัวเราได้ ขันธ์ 5 ทั้งหมดจะไม่เป็นตัวเราหรอก เพราะขันธ์ 5 เป็นของหยาบ เป็นของนอกๆ เป็นของเปลือกๆ ตอนที่เราหัดภาวนามาแรกๆ อย่างพอจิตเราตั้งมั่น เราเห็นกายกับจิตแยกกัน เรารู้แล้วร่างกายไม่ใช่จิตหรอก ร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา ร่างกายเป็นสมบัติของโลก พอเราภาวนามากขึ้น เราเห็นเวทนา เห็นเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ในกาย มันไม่ใช่กาย มันไม่ใช่จิต เป็นอีกขันธ์หนึ่ง

เราเห็นความสุข ทุกข์ ความเฉยๆ ในจิตใจ นี่เป็นเวทนาทางใจ เราก็เห็นว่าสุข ทุกข์ เฉยๆ ทางใจ ก็ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า แล้วเราก็แยกไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็เห็นกุศลทั้งหลาย อกุศลทั้งหลายก็ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า มันจะค่อยๆ แยกขันธ์ รูปส่วนรูป เวทนาส่วนเวทนา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ส่วนหนึ่ง สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่วเป็นอันหนึ่ง แยกเข้ามาจนถึงจิต จิตตัวนี้เป็นเรียกว่าวิญญาณ

คำว่า “จิต” คำว่า “ใจ” คำว่า “วิญญาณ” เป็นสภาวะอันเดียวกัน คือสิ่งเดียวกันนั่นล่ะ แต่เวลาทำงานคนละที่ เราก็เรียกคนละชื่อ เรียกคนละชื่อกัน ที่จริงมันก็คืออันเดียวกัน “จิต” “ใจ” “ใจ” ภาษีบาลีเรียก “มโน” คนไทยทุกวันนี้เอาคำว่า “มโน” มาทำเสียหายไปแล้ว อย่างคำว่า “ลุง” “ป้า” เป็นคำยกย่อง ตอนนี้บอกไปติดต่อราชการห้ามใช้คำว่า “ลุง” “ป้า” เป็นคำเหยียดหยาม คำที่ดีกลายเป็นคำที่เลวไปแล้ว

“มโน” เป็นคำดี เราก็ไม่เอา เอาไปใช้แปลว่าคิดเอาเอง นึกเอาเอง มั่วเอาเอง กลายเป็นคำเสียไปแล้ว บางคำเป็นคำไม่ดี เรานึกว่าดี อย่างคนชื่อมานะ ใครเคยเรียน มานี มานะ ไหม ใครเคยเรียนเรื่องมานี มานะ ปิติ ชูใจ ใครเรียนบ้าง แก่ บอกยี่ห้อได้เลย เด็กรุ่นนี้ไม่เรียน ไม่ได้เรียน หลวงพ่อไม่อยากบอก ตอนที่หลวงพ่อเรียนก่อนรุ่นมานี มานะ อีก ตอนนี้ ตอนนั้นมีแต่เรณูกับปัญญา ไม่มีมานี มานะ พอมันแยกๆๆ ขันธ์ไปเรื่อย แล้วมาถึงที่จิตได้ ถึงวิญญาณได้

วิญญาณนี้ เดี๋ยวมันก็ไปเกิดทางตา เรียกจักขุวิญญาณจิต เป็นจักขุวิญญาณ วิญญาณทางตา โสตวิญญาณ วิญญาณทางหู คือไปรับรู้เสียง วิญญาณทางลิ้น ทางจมูก ทางกาย ทางใจ ทางใจเรียกมโนวิญญาณ วิญญาณเลยมี 6 ตัว คือเป็นความรับรู้ที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง ถ้าจิตไหลหลงไปดูรูป รู้ทัน จิตที่ไหลไปดูรูปก็จะดับ จิตที่รู้ก็จะเกิด จิตไหล หลงไปฟังเสียง รู้ทัน จิตที่หลงไปฟังเสียงก็จะดับ จิตรู้ก็จะเกิด จิตไหลไปคิด อันนี้เป็นมโนวิญญาณ เป็นจิตที่หลงไปคิด เรียกมโนวิญญาณจิต

พอเรารู้ว่าจิตหลงไปคิด จิตที่หลงคิดจะดับ จิตรู้ก็จะเกิด จิตรู้มันจะเกิดคั่นจิตหลง มันหลงไปดู รู้ทัน ก็เกิดจิตรู้ มันหลงไปฟัง รู้ทัน ก็เกิดจิตรู้ มันหลงไปดมกลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัสทางกาย พอรู้ทันก็เกิดจิตรู้ หลงไปคิดนึกทางใจ พอรู้ทันมันก็เกิดจิตรู้ จิตรู้เกิดถี่ๆๆ ขึ้น มันจะค่อยมีกำลังมากขึ้นๆ ในที่สุดมันจะรู้สึกตั้งมั่น สว่างไสว เด่นดวงอยู่ แต่หลวงพ่อไม่ค่อยอยากพูดว่าสว่าง เด่นดวง เดี่ยวเราก็ไปมโน ไปสร้างนิมิตสว่างๆ คือจริงๆ มันตั้งมั่น มันมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา มันผ่องใส

จิตที่ตั้งมั่นตัวนี้ เป็นจิตที่มีสติกำกับ รู้เนื้อรู้ตัว ผ่องใส นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจ ไม่เซื่องซึม แล้วก็ไม่เข้าไปแทรกแซงการรู้อารมณ์ เรามีจิตที่ทรงคุณภาพสูงแบบนี้แล้ว เราไปเดินปัญญาได้ ถ้าจิตของเราถูกต้อง การเจริญปัญญาจะใช้เวลาไม่มากหรอก แต่ถ้าจิตเรายังไม่ถูก บอกว่าเจริญปัญญาๆ 10 ปี 20 ปี ใช้เวลานาน บางทียังไม่ได้เรื่องเลย ฉะนั้นตัวที่แตกหักก็คือจิตเรามีคุณภาพหรือเปล่า ที่เราฝึกกรรมฐานบอกวันละ 3 ชั่วโมง เพื่อพัฒนาจิตใจของเราให้ตั้งมั่น ให้มีคุณภาพ

ฉะนั้นไม่ต้องไปนั่งแล้ว จิตหลงไปแล้วตกใจ ไม่ต้อง ไม่ต้องห้าม อย่าหลงๆ ไม่ต้องห้าม มันจะถลำไปเพ่ง ก็ไม่ต้องไปห้ามมัน ให้รู้ทันว่ามันเพ่ง รู้ลึกลงไปว่ามันเพ่งเพราะมันโลภ พอรู้ทันโลภ โลภดับ การเพ่งก็ดับ การเพ่งดับ ที่แน่นๆ อยู่ก็ค่อยๆ คลายออกไป พอจิตตั้งมั่นแล้ว การแยกขันธ์จะไม่ใช่เรื่องยาก เห็นร่างกายไม่ใช่จิต เวทนาคือสุขทุกข์ไม่ใช่จิต กุศลอกุศลไม่ใช่จิต ในที่สุดมันเข้ามาที่ตัวจิต ตัววิญญาณได้ ก็เห็นวิญญาณนี้เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

วิญญาณที่เกิดที่ตา คือรับรู้รูป เกิดชั่วคราวแล้วก็ดับ นี่มันไม่เที่ยง ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดแล้วดับทั้งสิ้น ล้วนแต่ของไม่เที่ยง วิญญาณจะไปเกิดที่ตา หรือเกิดที่หู เราก็เลือกไม่ได้ จิตจะหนีไปคิด เราก็เลือกไม่ได้ จิตจะไปดูรูป จิตจะไปฟังเสียง เราก็เลือกไม่ได้ ห้ามไม่ได้ด้วย นี่คืออนัตตา เพราะฉะนั้นเราเลยเข้ามา ที่ถึงตัวจิตที่ไหลไปทางทวารทั้ง 6 นี้ แล้วเราจะเห็น จิตทุกชนิดตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตตา

เป็นทุกข์คือมันถูกบีบคั้น ตากระทบรูปจิตสะเทือน จิตมีความทุกข์ แล้วจิตนั้น ตัวรู้มันจะถูกบีบคั้นให้แตกสลาย มันจะหลง มันจะเห็นจิตทุกชนิด ล้วนแต่ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย จิตทุกชนิดล้วนแต่ไม่เที่ยง จิตทุกชนิดไม่ใช่ตัวเราของเรา ถ้าสามารถภาวนาจนเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 จะไม่ใช่เรา เมื่อขันธ์ 5 ไม่เป็นเรา อันนั้นภูมิจิตภูมิธรรมของพระโสดาบันแล้ว วันนี้เทศน์แค่โสดาบันพอ ไปทำให้ได้ ทำให้ได้คืออะไร วันละ 3 ชั่วโมง

 

 

อย่าขี้เกียจ อยากได้ของดีก็ต้องอดทนเอา คนที่เขาไปทำมา โอ้ ดูดีมากๆ เลย มีหลานหลวงพ่อคนหนึ่ง เมื่อเช้าเจอ จริงๆ เป็นหลานคุณแม่ เขาก็เลยมาเป็นหลานหลวงพ่อไปด้วย เคยพาไปหาครูบาอาจารย์ ไปหาหลวงตาผนึกด้วยกัน ท่านสิ้นไปแล้ว องค์นี้เป็นพระที่มีอนาคตังสญาณ รู้อนาคตเก่ง พอเจอหน้าท่านก็อบรมเลย “อย่านึกว่าตัวเก่ง อย่านึกว่าตัวฉลาด อย่านึกว่าตัวสวย คนเก่งกว่าเรา ฉลาดกว่าเรา สวยกว่าเรายังมีอีกเยอะแยะ อย่าหลงตัว” ท่านนวดเอา

ผ่านมาหลาย 10 ปี 25 ปีมัง ก็พยายามภาวนามาเรื่อยๆ เด็กคนนี้ เมื่อเช้ามาเห็นหน้า โอ้ หลวงพ่ออนุโมทนา อนุโมทนาแปลว่าพลอยยินดี ไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม 3 ชั่วโมงได้แล้ว แล้วจิตมันมีกำลัง จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้ว จิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว ก้าวต่อไปในขั้นเจริญปัญญาได้แล้ว น่าดีใจ ก่อนหน้านั้นก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง เลยเสียเวลานาน พอเอาจริงเข้าไม่กี่เดือนเลย นั่งสมาธิ เดินจงกรมจริงๆ 3 ชั่วโมง ด้วยการรู้ทันจิตใจตัวเองไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่มาก จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้ว ต่อไปก็เดินปัญญาได้แล้ว

ช่วยตัวเองนะ ช่วยตัวเอง ทำให้ได้ สู้ตาย ถ้าเราอายุเยอะ เดินไม่ไหวแล้วก็กระดุกกระดิกอะไรไป ทำไป พยายามรู้สึกร่างกาย เคลื่อนไหว รู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก หรือเราทำงานบ้าน ทำอะไร เห็นร่างกายมันทำงานไป รู้สึก แต่มันสู้ทำในรูปแบบไม่ได้ ถ้าเจริญสติในชีวิตประจำวันรวดไปเลย นานๆ ไปกำลังมันตก แต่ถ้าทำในรูปแบบ กำลังมันเพิ่ม เพราะฉะนั้นถ้าทิ้งการทำในรูปแบบ โอกาสได้ดียากมาก บารมีเราไม่ถึง

ไม่เหมือนคนสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพูดประโยคเดียวก็บรรลุแล้ว ของเราอ่านพระไตรปิฎกตั้งหลายรอบ ไม่เห็นจะบรรลุเลย มันไม่เท่ากัน สร้างมาไม่เท่ากัน ของเราต้นทุนน้อย อดทน เหมือนพวกเราเป็นคนจน เรายากจนในธรรมะ เราไม่มีทรัพย์ในธรรมะ ทรัพย์ในธรรมะคืออริยทรัพย์ 7 ประการ กำลังของเราเลยยังอ่อน ฉะนั้นเราก็ค่อยสะสม อดทน เมื่อเราจนเราก็ต้องขยัน แล้ววันหนึ่งเราก็ตั้งหลักได้ ตั้งตัวได้

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 พฤษภาคม 2568