ช่วงนี้เป็นช่วงที่กวาดล้างสิ่งสกปรกในศาสนาเรา เป็นเรื่องปกติ ก็มีเป็นระยะๆ การกวาดล้างพระอลัชชีครั้งใหญ่ที่สุดเลย สมัยพระเจ้าอโศกจับสึกไป 60,000 คน สิ่งปนเปื้อนในศาสนา บางคนไม่อยากทำมาหากิน เข้ามาบวชมันเป็นอาชีพอันหนึ่ง บางคนทีแรกไม่ได้ตั้งใจบวช แต่บวชมาแล้ว ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ ไม่สึกเลย เป็นพระดีไปเลยก็มี บวชแบบไม่ได้ตั้งใจ บางคนเริ่มต้นก็ตั้งใจดี อยู่ไปๆ ก็เริ่มเหลวไหล
การต่อสู้กิเลสไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นงานที่ยาก สู้กิเลสตัวเองยากเหลือเกิน พระจำนวนมากเลย ตอนบวชก็ตั้งใจดี พอบวชมาแล้วขยันภาวนา ผ่านไปหลายพรรษายังไม่ประสบความสำเร็จในทางธรรมะก็เริ่มท้อ เรียกหมดไฟ หมดไฟที่จะปฏิบัติ แต่เพิ่มไฟคือกิเลส ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เยอะ แบบนี้ก็เยอะ เบื้องต้นตั้งใจดี ไปได้ช่วงหนึ่งหมดพลัง
ฆราวาสที่ชอบสอนธรรมะก็เหมือนกัน บางคนทีแรกก็อยากสอน ตั้งอกตั้งใจทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายสู้กิเลสไม่ไหว แต่ก่อนหลวงพ่อก็รู้จักอยู่ รู้จักบางคน เจ้าชู้อะไรอย่างนี้ เจ้าชู้ เกิดข่าวเสียหายขึ้นมาทีหนึ่ง คนก็บอก แหม กระทบศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธอยู่ตั้งแต่ 2,500 กว่าปีแล้ว ทำไมยังอยู่ได้ ก็คนที่รักษาศาสนามันยังมีอยู่ ไม่ใช่มีแต่คนที่ทำลาย
แล้วคนจำนวนมากตอนนี้ แทนที่จะช่วยกันประคับประคองศาสนาพุทธในช่วงวิกฤติ ช่วยกันซ้ำเติมด้วยวาจานี่ล่ะ ตัวร้ายเลย พูดกระทบกระเทียบ พูดจนกระทั่งคนทั้งหลายหมดศรัทธา ศรัทธาของปุถุชนโดยธรรมชาติมันเป็นศรัทธาที่กลับกลอกอยู่แล้ว มีคนมาเป่าหูไปเรื่อยๆ ก็หมดพลังหมดศรัทธา มันไม่เหมือนศรัทธาของผู้ปฏิบัติที่ตั้งอกตั้งใจจริงๆ เขาทำได้จริงๆ ยอมลำบากตรากตรำในการภาวนา รุ่นครูบาอาจารย์ ท่านธุดงค์ ท่านเสี่ยงภัย เสี่ยงชีวิตสู้กับกิเลสตัวเอง สิ่งแวดล้อมอันตรายรอบตัวเลย ตั้งแต่ยุงตัวเล็กๆ จนถึงเสือตัวโตๆ ท่านสู้มาแล้ว
ยอมตายเพื่อธรรมะ บารมีก็ต้องมากพอ
บารมียังไม่มาก ก็สะสมบารมีไป
เวลาไปคุยกับท่านหรือได้อ่านประวัติท่าน บางทีท่านก็เล่า เราก็รู้สึกท่านเข้มแข็งเหลือเกิน มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งเพิ่งสิ้นไม่นาน หลวงปู่อินสม เป็นรุ่นเล็กเลย แต่ว่าออกธุดงค์แถบป่าสาละวิน ป่าสาละวินสมัยก่อนน่ากลัว ทั้งไข้ป่า ทั้งอันตรายจากโจร จากสัตว์ร้าย ท่านเล่าให้ฟัง สนุกเวลาฟังท่านเล่า แต่ตอนท่านเจอท่านคงไม่สนุก เรามาฟัง สนุก ท่านบอกมีอยู่คราวท่านธุดงค์ไป อากาศมันร้อนจัด กลางวัน พยายามหาที่ร่ม เห็นมีถ้ำเล็กๆ อยู่อันหนึ่ง เข้าไปพักในถ้ำ เห็นมีท่อนไม้อยู่ ท่อนใหญ่ๆ ก็ขึ้นไปนั่งพักบนท่อนไม้ นั่งพักร้อน เหนื่อยแล้ว เสร็จแล้วท่อนไม้มันขยับ ท่านเรียกว่าแผ่นดินไหว มองไปตรงโน้นตรงนี้มันไม่ได้มีแผ่นดินไหวแต่ตรงที่ท่านนั่งมันไหว มองดูส่วนที่นั่งมันท่อนอะไรแน่
บอกเอาไฟส่องไปทางนี้เห็นหัวงู ส่วนหางอยู่ในถ้ำหายไปไหนก็ไม่รู้ ตัวใหญ่ ท่านก็บอกท่านรีบลงจากหลังงู ไปนั่งที่ผนังถ้ำอีกฝั่งหนึ่ง ถ้ำมันแคบๆ ไม่กี่เมตรหรอก แล้วก็นึกว่า ถ้ามีเวรมีกรรม งูจะกินก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้าไม่มีเวรมีกรรมก็ให้ต่างคนต่างไป ท่านบอกท่านอ้างแม่ธรณีเป็นพยาน ท่านเรียกนางธรณี ภาษาไม่เหมือนพวกเรา เอามือแตะพื้นบอกให้นางธรณีเป็นพยาน ถ้าเคยทำบาปมา มีเวรมีกรรมมาก็ให้งูกินไป ถ้าไม่มีเวรมีกรรมก็อย่ามีอันตราย
แล้วท่านก็นั่งสมาธิเลย บอกพอนั่งปุ๊บจิตรวมเลย โลกธาตุนี้หายไปเหลือแต่จิตดวงเดียว พอจิตถอนออกมาอีกที งูไปแล้ว งูไม่อยู่แล้ว ไปนั่งอยู่กับท่าน ท่านก็จะเล่า เจองู เจอเสือ เจอช้างอะไรอย่างนี้ ท่านก็รอดมาได้ รุ่นเก่า ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าต่อสู้มาดุเดือดจริงๆ สมัยก่อนพระมันก็มีเยอะแยะ ที่จะอยู่รอดจนเป็นครูบาอาจารย์ก็มีไม่มากหรอก นอกนั้นก็เป็นพระพื้นๆ ธรรมดา อยู่ดูแลวัดไป อยู่ประกอบกิจการพิธีกรรมอะไรไป กว่าแต่ละองค์จะขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์ได้ ต่อสู้กิเลสประเภทยอมตาย ท่านสอนอยู่เสมอเลยว่านิพพานอยู่ฟากตาย ถ้ายังกลัวตายอยู่ อย่าร้องหานิพพานเลย ไม่เจอหรอก กิเลสมันจะพาให้เรากลัว
สิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งคนกลัวที่สุด กลัวความตาย เป็นธรรมชาติอย่างนั้นเลย ทีนี้จะภาวนาจนตายก็ตาย ยอมตายเพื่อธรรมะ บารมีก็ต้องมากพอ บารมียังไม่มากก็สะสมบารมีไป ทำถูกบ้างทำพลาดบ้าง ก็จะวนเวียนไป บางชาติก็ทำดีก็ไปสุคติ บางชาติก็พลาดก็ไปทุคติ จะเวียนขึ้นเวียนลงไปเรื่อยๆ สะสมแต้มไปเรื่อยๆ ท่านที่ได้ดิบได้ดีท่านสู้มาแล้วทั้งนั้น
ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังพูดเองเลยว่าท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ แทบทุกภพเลย แทบทุกชนิด ที่ท่านไม่ไปเกิดคือพรหมสุทธาวาส 5 ชั้นเท่านั้น ที่เหลือท่านเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย แต่ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านไม่ไปเป็นพรหมลูกฟัก พรหมลูกฟักนั่งซื่อบื้อ ไม่มีความรู้สึกอะไร ยุคนี้นิยมพรหมลูกฟัก ไม่รู้ตัวเลย ทำสมาธิกำหนดๆๆ วูบหมดความรู้สึก บอกบรรลุมรรคผล ไปเป็นพรหมลูกฟักหรอก มรรคผลไม่ใช่ไม่มีจิต เกิดอริยมรรคก็มีจิต เรียกว่ามรรคจิต เกิดอริยผลก็มีจิต เรียกว่าผลจิต
พระพุทธเจ้า ขนาดพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ใหญ่ นรกเคยผ่านมาแล้วทุกขุม เพราะฉะนั้นเวลาเราเห็นคนที่เขาผิดพลาด อย่าไปซ้ำเติมเขา วันข้างหน้าเขาอาจจะเป็นที่พึ่งของโลกก็ได้ พระโพธิสัตว์บางทีท่านก็ตกนรกมาแล้วทั้งนั้น มองทุกอย่างให้มันเป็นเรื่องธรรมดา สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมแล้วเราก็ไม่ประมาทเสียเอง กิเลสไม่เข้าใครออกใครหรอก เราตั้งใจไว้แต่แรกดีๆ ผ่านไปช่วงหนึ่งกิเลสลากเราไปแล้วก็ได้ มีถมเถไป
มีบางคนเขาเรียนอีกสายหนึ่ง สายที่ออกรู้ออกเห็นอะไรพวกนี้ ทำสมาธิเก่ง มาเรียนกับหลวงพ่อบ้างอะไรบ้าง ตั้งอกตั้งใจ ฆราวาสตั้งใจอยู่ สอนกรรมฐาน เคยบอกหลวงพ่อว่าจะถือศีล 8 สุดท้ายไปไม่รอดก็มี เป็นเรื่องสังสารวัฏไม่ปล่อยให้ใครหลุดไปได้ง่ายๆ หรอก
บางคนดัง ดังมากเลย เจอหลวงพ่อ เป็นฆราวาส หลวงพ่อก็เตือนบอกว่าทำงานเผยแพร่ จุดแรกเลยต้องถูกต้องตามพระไตรปิฎก อย่าให้พลาดตรงนี้ แล้วถ้าเราสอนผิดพูดผิด เราต้องแก้ อย่าปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดไป มันบาป สิ่งที่สำคัญก็คือต้องมีศีล อย่าหลงผลประโยชน์ นี่ลักษณะของนักเผยแพร่ที่เป็นฆราวาส หลวงพ่อย้ำนักย้ำหนาเลย บางคนหลวงพ่อก็ต้องบอกว่าออกสอนตอนนี้ ยังต้องเรียนอีก ทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ยังไม่พอหรอก ออกสอนเร็วไป ต้องเรียนก่อน
พวกผู้ช่วยสอนหลวงพ่อก็เข้มงวด ผู้ช่วยสอนก็ยังมีกิเลสอยู่ หลวงพ่อก็มีเงื่อนไขคนจะเป็นผู้ช่วยสอนช่วยงานหลวงพ่อ อันแรก ต้องไม่หาผลประโยชน์ ไม่เอาผลประโยชน์เข้าตัว ถ้าเริ่มต้นก็เผยแพร่เพื่อจะหาผลประโยชน์ อันนี้ตายคาที่เลย มันแพ้แน่นอนเลย อีกเรื่องที่ต้องระวังก็คือเรื่องกาม ผู้ช่วยสอนเขาก็ยังมีกิเลสกามกันส่วนใหญ่ ก็ต้องระมัดระวัง บอกถ้าจะสอนกรรมฐาน อย่าสอนในที่ลับหูลับตาคน ให้สอนในที่เปิดเผย แล้วก็ไม่สอนส่วนตัว สอนกันต้องมีคนรู้คนเห็นอยู่ด้วย แล้วบอกอย่าไปเข้าบ้านเขา บางคนชอบชวนไปที่บ้าน บอกอย่าไปบ้านเขา ต้องระวัง ต้องรักษาตัวเองถึงจะอยู่รอดได้
สุดยอดของการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
สังเกตดู โลกมันเป็นอย่างนี้ล่ะ สมหวังบ้างผิดหวังบ้าง นี่เปลี่ยนเรื่องแล้ว สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง บางวันได้ยินศาลพูดอย่างนี้ ใจแป้วเลย บางวันได้ยินศาลพูดแล้วดีใจ ว่าตัดสินดีจังเลย ใจเราก็แกว่งไปแกว่งมา โลกมันเป็นอย่างนั้นล่ะ มีสมหวังและมีผิดหวัง เป็นของคู่กัน ธรรมะประจำโลก มันเป็นคู่ มันเป็นคู่ๆ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตลอดเวลา
จิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดี พอกระทบอารมณ์ที่ถูกใจ มันก็ฟูขึ้นมา ฟูมากๆ ก็ลำพอง แล้วกระทบอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ก็ห่อเหี่ยว แฟบลงไป ฉะนั้นทั้งวันจิตเราเดี๋ยวก็ฟูขึ้น เดี๋ยวก็แฟบลงไป เพราะเรากระทบอารมณ์ทั้งวัน ลองทบทวนดู ตั้งแต่เช้ามา เรากระทบอารมณ์อะไรมาบ้างแล้ว ตาเราเห็นอะไรมาบ้าง หูได้ยินเสียงอะไรมาบ้าง จมูกได้กลิ่นอะไร กลิ่นกระทบรสอย่างไร ร่างกายกระทบสัมผัสอย่างไร ใจเรากระทบความรู้สึกอย่างไร ลองนึกทบทวนดูสิ มันก็มีอยู่ 2 อย่างเท่านั้นล่ะ อารมณ์ที่พอใจกับอารมณ์ที่ไม่พอใจ แต่ว่าไม่ว่าอารมณ์ที่พอใจหรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ จะพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรยั่งยืนสักอย่างเดียว
ลองทบทวนดู อย่างเมื่อเช้าบางคนตื่นมาจิตใจว้าวุ่น กลัวจะมาวัดไม่ทัน ลุกลี้ลุกลน ขับรถมาก็รีบมา พอมาทันก็ดีใจ ถึงเวลากินข้าวได้ของอร่อยก็ดีใจ เจอแต่ของไม่พอใจ ไม่ชอบ ไม่สบายใจ คอยอ่านใจที่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงไว้ นั่นล่ะสุดยอดของการปฏิบัติเลย สุดยอดของการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
การปฏิบัตินั้นมี 2 ส่วน ปฏิบัติในรูปแบบกับปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติในรูปแบบ ถึงเวลาต้องไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม วันไหนจิตฟุ้งซ่านทำความสงบไป วันไหนจิตสงบแล้วฝึกให้จิตตั้งมั่น ตอนไหนจิตตั้งมั่นแล้วเจริญปัญญาไป แยกรูป แยกนาม แยกธาตุ แยกขันธ์ เห็นไตรลักษณ์ไป ซ้อมในรูปแบบให้มาก ทำให้มาก อย่างน้อยวันหนึ่งให้ได้สัก 3 ชั่วโมง เราจะเก่ง จิตใจเราจะมีกำลัง แล้วพอมาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราจะภาวนาได้
ยากการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เคยมีบางคนมาคุยอวดหลวงพ่อว่าไม่ได้ทำในรูปแบบเลย ผมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ อืม พูดไม่รู้เรื่องหรอกอย่างนี้ ทำอะไรก็ทำไปเถอะ สุดจะสอน มันทำไม่ได้จริงหรอก จะฝึกในชีวิตประจำวันได้ สติเราต้องดี จิตเราจะต้องตั้งมั่นถึงจะทำได้
เมื่อหลายสิบปีก่อนครูบาอาจารย์กรรมฐานส่วนใหญ่ท่านจะสอนลูกศิษย์ให้พุทโธ พุทโธเสร็จแล้วให้มาพิจารณากาย เกือบทั้งหมดเลยท่านจะสอนอย่างนี้ มีครูบาอาจารย์ที่ประหลาดอยู่องค์หนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงพ่อพุธไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แต่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ก็มีศักดิ์เป็นอาจารย์หลวงปู่มั่นอีกชั้นหนึ่ง หลวงพ่อพุธก็เป็นเณรอยู่กับหลวงปู่เสาร์ ฉะนั้นท่านก็เรียนมาหมด พุทโธพิจารณากายท่านทำได้หมด แต่พอท่านเอามาสอนฆราวาสญาติโยม ท่านไม่ค่อยได้พูดเรื่องพุทโธพิจารณากาย ท่านรู้สึกสอนไปก็เท่านั้น ไม่ค่อยทำหรอก
ท่านสอนกรรมฐานที่ประหลาดมากเลย คนฟังแล้วรู้สึกไม่ใช่กรรมฐาน บอก “ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติ” เจอหน้าท่านก็จะพูดแต่เรื่องนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติไว้ ทำได้ไหม พวกเรายืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิดได้ทั้งวันล่ะแต่มันไม่มีสติ มันก็เลยไม่ใช่การปฏิบัติ หลวงปู่มั่นบอก “มีสติคือมีการปฏิบัติ ขาดสติคือขาดการปฏิบัติ” ฉะนั้นถ้าเรายืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ถ้าเรามีสติกำกับ อะไรเป็นตัวยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด ก็ร่างกาย ร่างกายเป็นผู้ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด เรามีสติรู้ไป ร่างกายมันเคลื่อนไหว มันเปลี่ยนแปลง คอยรู้สึกไป เรียกว่าเรามีสติรู้ มันจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะดื่ม จะทำ จะพูด มีสติรู้ร่างกายมันทำงานเรื่อยๆ
ตัวสุดท้ายของท่านคือตัวคิด ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด อะไรเป็นผู้คิด ร่างกายไม่ใช่ผู้คิด แต่จิตเป็นผู้คิด ฉะนั้นที่หลวงพ่อพุธสอนให้มีสติรู้การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดของร่างกาย ถ้าใจแอบไปคิดให้รู้ทัน ไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด แต่รู้ว่าจิตเรากำลังไปคิดอยู่ เรื่องที่คิดใครๆ ก็รู้ ไม่ต้องปฏิบัติก็รู้ หมามันคิด หมามันก็รู้ว่ามันคิดอะไร ตัวอะไรมันก็รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่รู้เรื่องที่คิด แต่ให้รู้ว่าจิตคิด 2 อันนี้ไม่เหมือนกัน รู้เรื่องที่คิดใครๆ ก็รู้ รู้ว่าจิตคิด ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริง ไม่รู้หรอก รู้ไม่ได้หรอกเพราะจิตไม่ตั้งมั่นพอที่จะรู้ว่าตอนนี้จิตไหลไปคิด
เคล็ดลับอยู่ตรงที่รู้ทันจิตตนเอง
เห็นไหมการจะรู้ว่าจิตไหลไปคิดอยู่ๆ มันไม่รู้หรอก ต้องทำในรูปแบบก่อน ฝึกให้ชำนิชำนาญ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมไป ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แค่นี้ไม่พอ ต้องรู้ทันจิตตนเองด้วย อย่างพอเราไหว้พระเสร็จ คล้ายๆ นักมวย ก่อนจะโชว์ก็ต้องไหว้ครู ไหว้ครูแล้วเป็นการเตือนตัวเองว่าเราเป็นศิษย์มีครู เป็นลูกมีพ่อมีแม่ จิตใจเราจะรู้สึกอบอุ่น พอจิตใจเราอบอุ่นเราก็มาทำกรรมฐาน นั่งสมาธิก็ได้ เดินจงกรมก็ได้
แต่ในจุดแรกอาจจะทำไปเพื่อความสงบ ถ้าสงบพอแล้วก็พัฒนาขึ้นไป ทำกรรมฐานอันเดิมล่ะ แต่คอยรู้ทันจิตตัวเอง เช่น หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ทัน หรือดูท้องพองยุบ เห็นท้องพอง เห็นท้องยุบ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งท้องรู้ทัน หรือขยับมือทำจังหวะสายหลวงพ่อเทียน ไม่ได้ขยับเอาวิเศษวิโสอะไรหรอก ขยับเอาสติ ขยับแล้วถ้าจิตมันหนีไป รู้ทัน จิตมันไปเพ่งใส่มือ รู้ทัน เห็นไหมเคล็ดลับมันอยู่ตรงที่รู้ทันจิตตนเอง ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วก็คอยรู้ทันจิตตัวเองไว้
เวลาทำกรรมฐาน จิตมันจะพลาดไป 2 ทาง อันหนึ่ง มันจะลืมอารมณ์กรรมฐาน หนีไปคิด อีกอันหนึ่งมันจะไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน หนีไปคิดก็รู้ ไปเพ่งอยู่ก็รู้ ฝึกอย่างนี้จนชำนาญ เราจะอ่านจิตใจตัวเองออก จิตหนีไปคิดเราก็รู้ จิตไปเพ่งก็รู้ เราอ่านออกเพราะเราฝึกเราซ้อมทำในรูปแบบ ทำในรูปแบบไป ถ้าจิตเผลอก็รู้ จิตเพ่งก็รู้
แล้วทีนี้พอมาอยู่ในชีวิตประจำวัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ จิตเผลอไปดูรูป รู้ทัน จิตไหลไปคิด รู้ทัน คอยรู้ทันไป ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดหรือจะคิด ก็มีสติรู้เท่าทันจิตใจตนเองเรื่อยๆ ไป ที่รู้ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด ไม่ใช่พูดเฉพาะร่างกาย แต่เห็นร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด จิตเป็นคนเห็น ต้องอย่างนี้ถึงจะถูก ไม่ใช่รู้แค่ว่าตอนนี้นั่งอยู่ ตอนนี้เดินอยู่ มันจะเห็นว่าร่างกายที่มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมันเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนรู้คนเห็น
จิตกับร่างกายเป็นคนละอันกัน ทั้งวันเราก็จะเห็นเลยร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด จิตเป็นคนเห็นแล้วก็แอบบงการร่างกายด้วย เราจะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดอะไรแล้วแต่จิตจะสั่ง จิตเป็นเจ้านาย ร่างกายเป็นผู้รับใช้ แล้วแต่จิตจะสั่งไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นกายกับจิตมันทำงานสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึก เออ ร่างกายไม่ใช่ตัวเราหรอก พอกายกับจิตมันแยกออกจากกันแล้วเราจะรู้ทันทีเลยร่างกายไม่ใช่เรา แล้วเวลาจิตมันไปคิด เราก็จะเห็นอีก เวลาจิตจะคิด จิตก็คิดได้เอง ไม่ได้เจตนาจะคิด มันไปคิดได้เอง สั่งให้ห้ามคิด สั่งว่าอย่าคิดก็สั่งไม่ได้ ตามรู้อย่างนี้เรื่อยๆ แค่จิตมันไปคิดรู้ทันอย่างนี้ เราจะเกิดปัญญาเห็นว่าจิตมันคิดได้เอง
จิตเป็นธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ แต่เราสั่งอะไรมันไม่ได้ มีแต่ความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีแต่ความเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับ สั่งว่าอย่าคิดก็ไม่ได้ สั่งว่าจงคิดแต่เรื่องที่ดีก็ไม่ได้ สั่งว่าห้ามคิดชั่วก็ไม่ได้ สั่งว่าจงมีแต่ความสุขก็ไม่ได้ สั่งว่าจงอย่าทุกข์ก็ไม่ได้
เรียนรู้จิตใจตัวเองเรื่อยๆ จะเข้าใจความจริง
พอเราเรียนรู้จิตใจตัวเองเรื่อยๆ จะเข้าใจความจริง รูปธรรมที่ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูดก็ล้วนแต่ไม่เที่ยง เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อย ไม่เที่ยง มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออกตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่วัตถุธาตุที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีธาตุไหลเข้ามามีธาตุไหลออกไปตลอดเวลา มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของบังคับไม่ได้ แล้วตัวร่างกายถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่เสมอตลอดเวลา
ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา นั่งนานก็ทุกข์ นอนนานก็ทุกข์ เดินนานก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย ในด้านจิตใจ เราจะเห็นจิตใจมันก็ไม่ใช่ตัวเรา มันทำงานของมันได้เองแล้วก็ไม่เที่ยง จิตสุข ก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง จิตดีจิตชั่วล้วนแต่ไม่เที่ยง จิตรู้สึกตัวก็ไม่เที่ยง จิตหลงไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ล้วนแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้นเลย
ค่อยๆ ดูไปเรื่อย สุดท้ายก็จะเห็นความจริงว่าร่างกายจิตใจล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อเห็นเพียงพอแล้ว เรียกว่าเรารู้ตามความเป็นจริง จิตยอมรับความจริงได้แล้ว จิตมันจะรวมเข้ามาแล้วตัดสิน ตัดสินกิเลส ความรู้รวบยอดมันเกิดขึ้น อย่างเวลาเราภาวนา เราเห็นยืนไม่เที่ยง เดินไม่เที่ยง นั่งไม่เที่ยง นอนไม่เที่ยง สุขไม่เที่ยง ทุกข์ไม่เที่ยง กุศลไม่เที่ยง อกุศลไม่เที่ยง ผู้รู้ก็ไม่เที่ยง ผู้หลงก็ไม่เที่ยง เราเห็นอย่างนี้ แต่ตอนที่สติปัญญาเพียงพอ จิตมันเกิดความรู้รวบยอด มันรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมาล้วนแต่ไม่เที่ยงทั้งสิ้น ไม่ใช่รู้ทีละอันแล้วคราวนี้ แต่เป็นความรู้รวบยอด ในขณะที่อริยมรรคเกิดจะไม่ได้รู้ว่าสุขไม่เที่ยง ทุกข์ไม่เที่ยง โลภ โกรธ หลงไม่เที่ยง ไม่ใช่รู้อย่างนั้น แต่จะรู้ว่าสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ทำไมต้องเห็นทั้ง 3 อย่าง อันนี้เห็นทางทฤษฎี เวลาที่อริยมรรคเกิดจริงๆ จะเห็นเพียงมุมใดมุมหนึ่ง แต่ละคนจะเห็นมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้นล่ะ บางคนเห็นไม่เที่ยงก็ยอมปล่อย ถ้าเบื้องต้นโสดาบัน พอเห็นว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยงก็ละความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 เป็นตัวเราได้ บางคนเห็นขันธ์ 5 มีแต่ก้อนทุกข์ มีแต่ตัวทุกข์ น่าเบื่อหน่าย จิตใจมันก็ละความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 เป็นเรา ถ้ามันเป็นเราเราก็สั่งให้มันมีแต่สุขสิ นี่สั่งไม่ได้ หรือเห็นขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เป็นแค่สภาวธรรมที่มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
เวลาที่อริยมรรคเกิด มันจะเกิดเพียงมุมใดมุมหนึ่ง แล้วมันก็ตัดสินความรู้รวบยอด แล้วความรู้มันก็อันเดียวกันนั่นล่ะ จะเห็นมาทางอนิจจัง หรือทุกขัง หรืออนัตตา สุดท้ายก็เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่เรื่องยากเหลือวิสัย
ไม่เห็นยากเลย ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ถือศีล 5 ให้ได้ ไม่ต้องถือศีล 8 ก็ได้ เอาแค่ศีล 5 ขั้นโสดาบันสกิทาคามี ศีล 5 พอแล้ว ถ้าถือศีลเกินตัวมีปัญหาในชีวิตฆราวาสมีครอบครัวอย่างนี้ ผู้หญิงบางคนก็ไปบอกสามีว่าต่อไปนี้ห้ามมาถูกตัว ฉันจะถือศีล ถ้าเธอถูกตัวฉัน เธอจะบาป ตกนรก เขาเลยไม่ถูกตัวเธอ เขาไปถูกตัวคนอื่น คราวนี้น้ำตานองหน้าแล้ว ถือศีลแต่ว่าทำไปประพฤติพรหมจรรย์ จริงๆ ยังละไม่ได้ก็ยังหวงผัวอยู่นั่นล่ะ ถ้าละได้ก็ไม่หวงสิ ฉะนั้นถือศีล 5 พอ
ผู้ชายบางคน เพิ่งได้ยินข่าวเมื่อวานนี้เอง เป็นนักปฏิบัติเก่ง นั่งสมาธิเก่ง เดิมเขาเป็นสายพระโพธิสัตว์ล่ะ เขานั่งสมาธิเก่ง ไม่ยุ่งกับเมีย ถือศีล 8 เขาไปซื้อบริการทางเพศ มันถือไม่ได้จริง ฉะนั้นถือศีล ถือพอดีตัว เรียกนกน้อยทำรังแต่พอตัว ทำรังใหญ่เกินตัวไปเดี๋ยวจะตกจากรัง ถือศีลให้พอดีกับตัวเราเอง
แล้วทุกวันต้องไปทำในรูปแบบ ก่อนจะทำในรูปแบบให้ไหว้พระสวดมนต์ก่อน จะสวดสั้นสวดยาวไม่เท่าไร แต่ไม่ใช่สวดมนต์เป็นชั่วโมงๆ ไม่รู้จักเลิก หลวงปู่ดู่ท่านสอนดีท่านบอกว่าสวดมนต์เป็นยาทา ยาแก้ฉุกเฉินอะไรอย่างนี้ ภาวนาเป็นยาจริง เป็นของจริง เราสวดพอให้จิตใจเราผ่อนคลาย อย่างเราคิดอะไรวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว อยู่ๆ ให้ไปนั่งสมาธินั่งไม่ลงหรอก จิตใจมันฟุ้งซ่านมาก เราก็เริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ก่อน จุดธูปจุดเทียนก็ได้ แนะนำให้ใช้ธูปไฟฟ้าเทียนไฟฟ้า จุดธูปจุดเทียนจริงๆ เสียสุขภาพ ยุคนี้เขาไม่ทำกันแล้ว ดีไม่ดีไฟไหม้บ้าน อาจจะจุดธูปจุดเทียนไหว้พระ หรืออาจจะเปิดหลอดไฟให้มันสว่างขึ้นหน่อยแล้วก็สวดมนต์ไป
เวลาสวดมนต์ ให้จิตใจเราระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเรื่อยๆ บทสวดมนต์ที่ขลังๆ ก็มี “นะโม” “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ” “อิติปิโสภะคะวา สวากขาโต สุปฏิปันโน” สวดบทเหล่านี้ล่ะ มีแต่คุณ ไม่มีโทษ บทบางบทเป็นคาถา สวดแล้วร้อนๆ สวดแล้วห้าวหาญจะไปตีกับคน บางทีสวดแล้วออกรู้ออกเห็นโน่นนี่ แต่ละบทมันจะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นบทที่มีแต่คุณไม่มีโทษเลย คือบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณนี่ล่ะ เราสวดแค่นี้พอแล้ว เราระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถัดจากนั้นก็ตั้งใจทำในรูปแบบของเราไป จะนั่งหรือจะเดินก็ได้ มีที่เดินก็ให้เดิน เดินไหวให้เดิน ไม่มีที่จะเดิน บ้านเราเล็กอย่างนี้ไม่มีที่เดิน อยู่คอนโดห้องเล็กนิดเดียว หลวงพ่อก็เคยอยู่คอนโด หลวงพ่อยังเดินจงกรมได้เลย ในที่เมตรกว่าๆ เราเดินจงกรมอย่างไร เราเดินเป็นเลข 8 รู้จักเลข 8 ไหม เลข 8 ของฝรั่งเหมือนตัวอินฟินิตี้ เดินอย่างนี้ เดินไปเรื่อยๆ แต่อย่าเดินเร็ว ถ้าเดินเร็วเดี๋ยวเวียนหัว มันอยู่ที่ว่าเราจะทำหรือเปล่า ถ้าเราจะทำมันก็หาทางทำจนได้ล่ะ
ถ้าเราชำนิชำนาญแค่นี้ก็เดินแล้ว เดินด้วยนิ้ว แต่พวกเราอย่าทำ เรียกว่ามือไม่ถึงหรอก เดี๋ยวเคาะๆ แล้วใจหนีไปไหนแล้ว ไปเดินจงกรม เห็นร่างกายมันเดิน ใจเป็นคนดู ทำไปเรื่อยๆ นั่งสมาธิ เห็นร่างกายมันนั่ง ใจเป็นคนดู สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ ไม่ต้องอยากสงบ ทำไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วจิตเราจะค่อยมีกำลัง เมื่อจิตมีแรงมากพอ บางทีนั่งอยู่ไม่ได้เจตนาเดินปัญญาเลย มันเห็นว่าร่างกายกับจิตเป็นคนละอันกัน ร่างกายไม่ใช่จิตหรอก แล้วเห็นต่อไปร่างกายไม่ใช่เรา
พระสูตรเพื่อการทำที่สุดแห่งทุกข์
เห็นไหมว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่เรื่องยากเหลือวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราจะทำได้ ธรรมะที่ท่านสอนพวกเราสอนมนุษย์ก็เป็นธรรมะที่มนุษย์ทำได้ เหมาะกับมนุษย์ ธรรมะเหล่านี้อยู่ในพระสูตร แล้วก็คนที่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ในพระสูตรนั่นล่ะ ก็บรรลุพระอรหันต์กันเยอะแยะ ส่วนพระอภิธรรมท่านแสดงโปรดพุทธมารดาในดาวดึงส์ โปรดพวกเทวดา ทำไมไปสอนอภิธรรมให้เทวดา อภิธรรมละเอียดประณีต จิตใจของเทวดาเขาละเอียดประณีต เขาเรียนอภิธรรม เขาฟังแล้วรู้เรื่อง
ของเราจิตใจหยาบๆ เรียนแล้วก็ได้แค่ท่อง ไม่เห็นสภาวะ เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้เทวดาฟัง เทวดาบรรลุธรรมทีหนึ่งเป็นโกฏิๆ ทีหนึ่งไม่รู้กี่ล้านเพราะธรรมะนั้นเหมาะพอดีกับเขา ส่วนพวกเราที่มีกายหยาบ เราก็เรียนธรรมะที่ท่านสอนมนุษย์นั่นล่ะ แล้วอยู่ในพระสูตรทั้งหลายนั่นล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติปัฏฐานสูตร เรียนพวกนี้ จริงๆ สูตรหลักๆ ที่หลวงพ่อชอบมีไม่กี่สูตรหรอกที่รู้สึกว่าดีมากๆ จำเป็น รู้สูตรพวกนี้ก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว
อันหนึ่ง คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันที่สอง อนัตตลักขณสูตร 2 สูตรนี้ตัวสำคัญ และสติปัฏฐานสูตรรู้เสียหน่อยก็ดี ไม่ต้องรู้เยอะหรอก รู้ไม่กี่พระสูตรก็พอแล้ว อย่างท่านแสดงอนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์ได้พระอรหันต์ตั้ง 5 องค์ แสดงทีเดียว แสดงเรื่องเดียวนี่ล่ะได้พระอรหันต์ทั้ง 5 องค์เลย
หรือบางทีท่านสอนสูตรอันหนึ่ง อาทิตตปริยายสูตร อันนี้ท่านสอนพวกชฎิล พวกฤๅษีที่บูชาไฟ ลัทธิบูชาไฟ เป็นลัทธิดึกดำบรรพ์ๆ ทางตะวันออกกลางก็มี บูชาไฟ ทำไมท่านสอนอาทิตตปริยายสูตร คนยุคนั้นเขาบูชาไฟ บูชาไปอย่างนั้นล่ะ ท่านกลับมาสอนไฟอีกชนิดหนึ่ง ท่านสอนต่อยอด อันนั้นมันไฟข้างนอก ไฟที่สำคัญคือไฟข้างใน ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ มันแผดเผาอยู่
แล้วท่านไม่ได้แจกแจงลงในขันธ์ 5 ท่านกลับไปแจกแจงลงในอายตนะ 6 รูปเป็นของร้อน คือสิ่งที่ตาเห็นเป็นของร้อน เพราะมันเป็นที่ตั้งของกิเลส ตาที่ไปเห็นรูปก็เป็นของร้อน มันเหมือนมากระทบกัน กิเลสคือไฟ ไฟคือกิเลสมันก็จะเกิดขึ้น วิญญาณหรือจิตที่รับรู้รูปเป็นของร้อน ตัวรูป ตัวตาที่รู้รูป ตัววิญญาณจิตที่รู้รูป 3 อันเป็นของร้อน ทางหูก็เหมือนกัน มีหู มีเสียง มีหู มีจิตที่รับรู้เสียง นี่เป็นของร้อน รวมแล้ว 6 ช่องทาง 6 อายตนะ 6 แต่ละช่องมีองค์ประกอบ 3 อัน รวมแล้ว 18 อันนี้เรียกว่าธาตุ 18
ท่านสอนพวกนักบวช พวกนี้สมาธิเยอะ ท่านสอนลงไปทางอายตนะ พวกนี้ติดในวัตถุ จุดไฟอะไรพวกนี้ จะคนละแบบกับพระปัญจวัคคีย์ เพราะปัญจวัคคีย์เป็นพวกปัญญาชน แล้วท่านสอนพวกปัญญาชน ท่านสอนเรื่องขันธ์ 5 พวกที่ชอบใช้สติปัญญาถนัดรู้นามธรรมๆ ส่วนพวกชอบรูปธรรมท่านจะสอนอายตนะ 6 กระจายออกไปเป็นธาตุ 18 แล้วธาตุ 18 เป็นของร้อน เป็นร้อนด้วยราคะ โทสะ โมหะ แต่ละคนท่านสอนไม่เหมือนกัน
ตอนหลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎก หลวงพ่อก็พยายามหาวิธีปฏิบัติเยอะแยะไปหมดเลย กว่าจะเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ได้จิตผู้รู้ก่อน พอเรามีจิตแล้ว ไม่ว่าจะดูอะไรก็เห็นแต่ไตรลักษณ์ล่ะ ดูรูปก็เห็นไตรลักษณ์ ดูเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เห็นไตรลักษณ์ เอาที่เราทำได้ๆ ย่อลงมาก็มีแค่กายกับใจนั่นล่ะ กายกับใจจะแยกละเอียดเป็นขันธ์ 5 จะแยกเป็นอายตนะ 6 จะแยกเป็นธาตุ 18 จะแยกเป็นอินทรีย์ 22 อะไรอย่างนี้ มันก็แค่รูปกับนาม กายกับใจ ฉะนั้นถ้าเราเห็นร่างกายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะแยกแบบไหน ทั้งหมดนั้นก็ไม่เป็นเราแล้วล่ะ
ไปลงมือทำ ทำอย่างไร ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ เวลาทำในรูปแบบ ไหว้พระสวดมนต์คิดถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ลงมือปฏิบัติ ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระคุณของท่าน ไม่ได้ปฏิบัติเอาดีวิเศษอะไรหรอก ลงมือทำไป อย่าใจโลภ ถือว่าปฏิบัติบูชา วันไหนฟุ้งซ่านทำความสงบ วันไหนสงบแล้วทำจิตตั้งมั่นด้วยการรู้เท่าทันจิตที่ไหลไปไหลมา มีจิตตั้งมั่นแล้ว แยกขันธ์ เห็นกายกับใจมันคนละอัน เห็นสุข ทุกข์ ดี ชั่วกับจิตใจก็เป็นคนละอัน ซ้อมอยู่ในรูปแบบ
เสร็จแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง พอร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติรู้ไปเรื่อยๆ รู้อะไร รู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู รู้ว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร กุศลเกิดหรืออกุศลเกิด ฝึกเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจที่หลวงพ่อพุธบอก ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติไว้ แค่นี้อย่าว่าแต่จะบรรลุโสดาบันเลย บรรลุพระอรหันต์ยังได้เลย
วัดสวนสันติธรรม
31 สิงหาคม 2568