เวลาฟังธรรมอย่าฟังเฉยๆ ฟังแล้วต้องเอาไปทำ ถ้าเราไม่ลงมือปฏิบัติจริงๆ ไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอกหรอก หลวงพ่อเวลาบอกธรรมะบอกเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ใช่ต้องตีความอะไรทั้งสิ้นเลย แค่ลงมือปฏิบัติให้พอเท่านั้น จิตเราตั้งมั่นขึ้นมาได้ ก็จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอก คนในโลกไม่มีคนที่จิตตั้งมั่นเท่าไรหรอก ยุคนี้เยอะ เรียนกันเยอะ แต่ก่อนมุ่งไปที่สมาธิเฉยๆ ทำสมาธิแล้วก็นั่งสงบๆ เคลิ้มๆ ไป เวลาตายไปด้วยจิตอย่างนั้นก็ไปดี ไปสุคติได้ แต่ไปทำสมาธิแล้วจิตเคลิ้มสบายอยู่ข้างใน เหมือนกับคนอยู่ในห้องปลอดเชื้ออย่างเดียว พอออกจากสมาธิมากิเลสมันตีกลับ อารมณ์จะรุนแรงกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำไป ถ้าทำสมาธิผิด
สมาธิไม่ได้ทำให้มันเคลิ้มๆ แล้วไม่ได้ทำด้วยความเคร่งเครียด แต่ทำไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวธรรมดาๆ นี่ล่ะ เว้นแต่ว่าเราชำนาญจริง กำหนดปุ๊บมันก็ถึงเลย เข้าสมาธิได้เลย แต่ถ้าเราไม่ชำนาญ ใช้ใจปกติรู้ อย่างเรารู้ลมหายใจรู้อะไรอย่างนี้ รู้ไปสบายๆ รู้ด้วยใจปกติ ทีแรกมันอาจจะฟุ้งบ้างอะไรบ้าง ก็ไม่ต้องตกใจ ฟุ้งก็ช่างมัน เราก็ทำของเราไปเรื่อยๆ ถ้าเราทำด้วยใจที่ไม่ดิ้นรนแสวงหาความสุข แป๊บเดียวก็สงบแล้ว จิตเป็นของบังคับไม่ได้ จะไปบังคับให้มันสงบ มันไม่สงบหรอก ใช้ใจปกติใช้ใจธรรมดานี่ล่ะอยู่กับกรรมฐานของเราไป ไม่ได้อยู่ด้วยความอยาก อยากสงบใช้ไม่ได้ ฉะนั้นฝึกอย่างนี้ ค่อยๆ ฝึกไป
พอจิตเราสงบแบบรู้เนื้อรู้ตัวอย่างนี้ แล้วต่อไปเวลาจิตมันแส่ส่ายออกไปจากฐานของความสงบ เราจะเห็นชัด ถ้าจิตเราก็ร่อนเร่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว อย่างคนทั่วไปจิตมันร่อนเร่ตลอด ร่อนเร่ไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใจก็คือไหลไปในโลกของความคิด อย่างนี้ไม่สามารถดูสภาวะความปรุงแต่งได้ จิตมันไม่ได้ตั้งมั่น มันไหลไปไหลมา ดูไม่รู้เรื่อง ดูแล้วอย่างไรก็เข้ามาไม่ถึงจิต ต้องพยายามฝึก ทำกรรมฐานอันหนึ่ง ต้องทำถ้าอยากจะได้ดี
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ไม่ต้องหวังที่สงบ ทำไปด้วยจิตปกตินี่ล่ะ ไม่นานจิตก็สงบลงมา พอจิตสงบแล้วต่อไปจิตไหลไปคิด เราจะเห็นชัดเลย เคลื่อนออกไปคิด เราจะรู้ทัน พอจิตเคลื่อนออกไปคิด จิตที่หลงไปคิดเป็นจิตฟุ้งซ่าน เป็นจิตที่มีกิเลส ทันทีที่เรามีสติรู้ จิตที่มีกิเลสจะดับ จิตที่ตั้งมั่นจะเกิดขึ้นแทนที่อัตโนมัติ ฉะนั้นจิตตั้งมั่นก็เป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาไม่ได้ เพราะจิตเป็นอนัตตา ทำอะไรไม่ได้หรอก แต่มันฝึกได้
วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น
วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น เราก็ทำใจสบายๆ อยู่กับกรรมฐานของเราไป สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่างมัน อยู่กับกรรมฐานไป จนใจเราเชื่อง คล้ายๆ หมดความดิ้นรนแล้ว แล้วต่อมาพอจิตมันไหลไปคิดเราจะเห็น หลุดออกจากฐานแล้วไปเห็น หรือบางทีก็ถลำลงไปเพ่งไปจ้องอารมณ์กรรมฐาน แต่ส่วนใหญ่เวลาจิตมันตั้งมั่นอย่างนี้สิ่งที่มันจะพลาด ก็คือจิตมันแส่ส่าย แล้วไม่เห็นว่ามันกำลังแส่ส่ายแสวงหาว่าจะดูอะไรดี ฉะนั้นถ้าจิตเราเข้าฐานจิตเราตั้งมั่นได้แล้ว จิตมันแส่ส่ายให้รู้ว่าแส่ส่าย ไม่ต้องพยายามทำให้มันนิ่ง
ส่วนใหญ่พอจิตมันส่าย แป๊บเดียวหลงไปที่อื่น หรือไม่ก็ส่ายๆ แล้วก็พยายามบังคับให้นิ่ง ตรงนั้นไม่ถูก เวลาเราทำสมาธิจิตเราสงบไปแล้ว แล้วจิตเราเกิดส่ายขึ้นมา ให้รู้ทัน มันแสวงหา มันอยากจะดูอะไรสักอย่าง อยากจะยึดอยากจะเกาะอะไรสักอย่าง ให้รู้ไว้ จิตของเรามันยังไม่มีความเข้มแข็ง มันไม่กล้าหาญที่จะอยู่ด้วยตัวของตัวเอง มันเหมือนเด็กเล็กๆ ต้องคอยเกาะพ่อเกาะแม่
ทีนี้พอจิตเราตั้งมั่น จิตเราว่างๆ ขึ้นมา ไม่ได้ฟุ้งซ่านอะไร สงบว่างๆ มันรู้สึกว่าน่ากลัว รู้สึกอยู่ไม่ได้ ต้องหาอะไรเกาะสักอย่างหนึ่ง อันนั้นจิตมันยังอ่อนแอ ถ้าจิตมันแส่ส่ายจะไปหาอารมณ์ที่อยากเกาะที่จะเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ให้รู้ทัน จิตก็จะหยุดการแส่ส่ายแล้วก็ตั้งมั่นขึ้นมาอีก นี่วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น ตัวนี้สำคัญ จิตไม่ตั้งมั่นภาวนาวิปัสสนาไม่ได้ จิตสงบได้แต่สมถะ ถ้ามีจิตตั้งมั่นถึงจะทำวิปัสสนาได้ รู้เรื่องไหม รู้เรื่องก็ต้องไปทำดู
เบื้องต้นศีล 5 ต้องรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลย ต้องมี ศีลไม่มี สมาธิก็ล้มเหลวแล้ว กลายเป็นสมาธิสนองกิเลส เป็นมิจฉาสมาธิแน่นอน ฉะนั้นรักษาศีล 5 ข้อไว้ก่อน แล้วถึงเวลา ตั้งใจไว้เลยทุกวันต้องทำในรูปแบบ ได้สัก 3 ชั่วโมงดีมาก ที่จริงครูบาอาจารย์ทำกันมากกว่านั้น เราเป็นฆราวาสทำมาหากินด้วย วันๆ เหนื่อย เลิกงานแล้วแทนที่จะไปเที่ยวสรวลเสเฮฮาก็กลับบ้าน มาภาวนา อาบน้ำกินข้าวอะไรให้สบายใจ พักผ่อนนิดหน่อยก็มาไหว้พระสวดมนต์ ไหว้พระสวดมนต์เป็นการเตรียมจิตของเราให้สงบง่าย เวลาเราสวดมนต์นึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วเสร็จแล้วก็ลงมือทำในรูปแบบ
อย่างหลวงพ่อก็ใช้หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ เวลาหายใจเข้าพุทหายใจออกโธหัดใหม่ๆ พอมันไปรู้ลมไหลลงไปที่ท้อง ไหลขึ้นไหลลง พอฝึกไปเรื่อยๆ มันชำนาญขึ้น มันจะมาหยุดอยู่ตรงนี้เอง อยู่ที่ปลายจมูก ลมมันมาหยุดอยู่ตรงนี้มันเริ่มสงบแล้ว เราก็อยู่ทรงตรงนี้ ไม่ต้องอยากสงบ ถ้าจิตมันฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่านเฉยๆ แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจอยู่กับกรรมฐานของเรา พอจิตมันสงบดีแล้ว อย่าไปบังคับ อย่าไปควบคุมมันไว้ ถ้ามันจะคิดนึกปรุงแต่ง จิตมีธรรมชาติคิดนึกปรุงแต่ง ห้ามมันไม่ได้ ไม่ต้องไปห้ามมัน แต่พอจิตเราสงบแล้ว พอจิตมันคิดนึกปรุงแต่ง มันจะไหลไปในโลกของความคิด เราจะเห็น ตรงที่เราเห็นจิตมันไหลไป จิตที่ไหลจะดับ จิตที่รู้จะเกิดขึ้น
ตอนแรกจิตสงบ หายใจไปแล้วจิตสงบ สบาย นิ่งอยู่ ตรงนี้เป็นสมถะสงบเฉยๆ แล้วต่อมาพอจิตมันทำงาน ไหลไปคิด เรามองเห็น จิตที่ไหลไปคิดจะดับ จิตผู้รู้จะเกิดขึ้น มันจะไม่เหมือนจิตเมื่อกี้แล้ว ไม่เหมือนจิตที่สงบเฉยๆ แล้ว หรือเราอยู่กับความสงบ แล้วจิตมันเกิดเคลื่อนออกไป แล้วมันก็จะส่ายๆ อยู่ข้างใน อยากจะหาที่เกาะ ให้รู้ทัน รู้ทันแล้วก็โยนมันทิ้งไป ไม่ต้องไปสนใจมัน ก็กลับมาอยู่กับกรรมฐานของเราต่อ
ฝึกไปเรื่อยๆ ต่อไปไม่ว่าจิตมันจะทำงานไปทางไหน เราจะรู้ จิตจะเคลื่อนไปทางตา เราก็จะรู้ เคลื่อนไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็รู้ อย่างเรานั่งสมาธิอยู่ใจสงบว่างๆ สบายๆ อยู่ มีเสียงอะไรแปลกๆ เข้ามา จิตมันวิ่งไปทางหู ไปฟังเสียง เราก็รู้ทันว่าตอนนี้หลงไปฟังเสียงแล้ว จิตที่หลงไปฟังเสียงก็จะดับ จิตผู้รู้ก็จะเกิด ฉะนั้นจิตผู้รู้นี่มันเกิดจากการที่เรามีสติรู้ทันจิตผู้หลง แต่ถ้าจิตของเราหลงอยู่แล้ว มันจะไม่รู้เลย ฉะนั้นเราต้องมาฝึกจนเราได้จิตผู้รู้
วิธีที่จะฝึกให้ได้จิตผู้รู้ก็บอกอย่างตั้งแต่แรกมาแล้ว ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อย่าบังคับจิตให้สงบ อยู่กับกรรมฐานนั้น จิตสงบก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ ช่างมันไม่ต้องไปวุ่นวายกับมัน ในที่สุดจิตมันก็รวมลงมา พอจิตมันสงบแล้ว ตรงนี้ต่อไปถ้ามันเคลื่อนเราจะเห็นชัดเลย เห็นว่ามันเคลื่อนไปแล้ว ถ้าเรานั่งกรรมฐานอยู่ในบ้านไม่ยุ่งกับใคร ส่วนใหญ่มันจะเคลื่อนไปทางใจ เคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งบ้าง เคลื่อนไปแสวงหาอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจบ้าง เราเห็นมันส่ายๆ อยู่ข้างใน ก็ไม่ว่ามัน ให้รู้ทันเฉยๆ ถ้ารู้ทันจิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมาอีก
นั่งอยู่ในบ้านเห็นไหม ก็มีร่างกายกับใจเป็นตัวกรรมฐานหลัก พอร่างกายเราเกิดเจ็บขึ้นมา ยุงแอบมากัด เจ็บ จิตวิ่งไปที่ร่างกายตรงจุดที่ยุงกัด รู้ทันว่าจิตวิ่งไปที่ร่างกายแล้ว ฝึกอย่างนี้ นั่งสมาธิอยู่ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ จิตสนใจวิ่งไปฟังเสียงแล้ว รู้ทัน คอยรู้ทันจิตที่มันวิ่งไปวิ่งมาทางทวารทั้ง 6 แต่ตอนทำในรูปแบบมันเหลือไม่กี่ทวารหรอก อย่างเราหลับตาอยู่อย่างนี้ เราก็ไม่วิ่งไปทางทวารตา แล้วก็ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่กายกับใจ เวลามีเสียงรบกวนมันถึงจะไปรับทางหู ทางกายก็นั่งแล้วเหมือนมันปวดมันเมื่อย เราจะเห็นจิตมันกังวล จิตมันพุ่งไปที่ความปวดความเมื่อย หรือนั่งอยู่แล้วมันร้อนทรมาน รู้สึกร่างกายอึดอัด จิตมันไปกังวลที่ร่างกาย ก็รู้ทันมัน รู้ไปเรื่อยๆ ไม่ยากหรอก แต่ต้องอดทนฝึกแล้วฝึกอีกจนจิตตั้งมั่น
ต้องอดทนฝึกแล้วฝึกอีกจนจิตตั้งมั่น
หลวงพ่อที่เรียนจากครูบาอาจารย์ได้เร็ว เพราะหลวงพ่อฝึกจิตจนตั้งมั่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว 10 ขวบหลวงพ่อมีจิตที่ตั้งมั่นแล้ว แต่ว่าวิธีฝึกไม่ได้ฝึกอย่างที่บอกพวกเราวันนี้ วิธีฝึกที่หลวงพ่อทำมันมาอีกแบบหนึ่ง คนยุคนี้ไม่ค่อยมีใครทำ ยุคนี้เป็นยุคสมาธิสั้น ฉะนั้นก็ใช้วิธีที่หลวงพ่อบอกนี่ล่ะง่ายที่สุด ถ้าจะทำอย่างที่หลวงพ่อทำ โอ้ ยาก
อย่างหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ แรกๆ ท่านพ่อลีท่านสอน หายใจเข้าพุทหายใจออกโธนับ 1 หายใจเข้าพุทหายใจออกโธนับ 2 หลวงพ่อนับไปถึง 9 นับไปถึง 10 แล้วย้อนมา 9 8 7 อะไรอย่างที่ท่านสอน ทำไม่เป็น เราเด็กเล็ก ตอนนั้น 7 ขวบเอง หลวงพ่อก็นับไป พุทโธ หายใจเข้าพุทหายใจออกโธนับ 1 นับไปถึง 100 แล้วก็เริ่มนับ 1 ใหม่ ในที่สุดพอจิตมันเริ่มสงบการนับเลขจะหายไป เหลือแต่การหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ ไม่สนใจการนับเลขแล้ว พอสงบมากขึ้น คำบริกรรมพุทโธหายไป เห็นแต่ลมเคลื่อนที่
พอจิตสงบมากขึ้นลมมันระงับ ลมมันเหลือแผ่วๆ นิดเดียวอยู่ที่ปลายจมูก เสร็จแล้วมันจะเกิดแสงสว่างขึ้น แสงสว่างทีแรกก็เป็นแสงไม่ชัดเจน ต่อมาฝึกเรื่อยๆ แสงมันก็จะชัดขึ้น แล้วก็ต่อไปพอจิตเราชำนาญขึ้น เรานึกให้แสงนี้ใหญ่ก็ได้ ให้สว่างกว้างขวางออกไปก็ได้ หรือจะย่อให้เล็กลงเหลือเท่าปลายเข็มก็ได้ ยาก ตรงนี้เรียกว่าได้อุปจารสมาธิ เป็นอุปจาร แล้วเสร็จแล้วจิตก็รวมลงไป มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งเกิดขึ้น ก็อาศัยแสงนั้นเป็นอารมณ์
มีวิตกคือการที่จิตตรึกอยู่กับดวงแสง มีวิจารคือการที่จิตเคล้าเคลียอยู่กับดวงแสงโดยเราไม่เจตนา มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่งของจิตเกิดขึ้น จิตมีสมาธิ ต่อมาเห็นว่าจิตไหลไปที่แสง จิตยังออกนอก จิตเคลื่อนไปที่แสง จิตยังออกนอก พอรู้ทันว่าจิตเคลื่อนไปที่แสงเป็นการออกนอก จิตก็ทวนกระแสกลับเข้ามาที่จิต ตรงนี้ล่ะที่เกิดสภาวะของจิตผู้รู้ขึ้น เป็นเอโกทิภาวะ ภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นแสนเป็นล้านเลย ผ่านมาผ่านไปเยอะแยะทั้งวันทั้งคืน แต่จิตเป็นหนึ่ง คือเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู ฝึกยากนะ ยาก แต่ว่ากำลังมันจะมาก
พวกเรายากที่จะทำได้สำหรับคนยุคนี้ ฉะนั้นทำอย่างที่หลวงพ่อบอกล่ะ ไปทำในรูปแบบแล้วก็อย่าไปบังคับจิตให้สงบ อยู่กับอารมณ์กรรมฐานไปเรื่อยๆ ต่อไปจิตมันก็สบายมันก็สงบ ตั้ง แล้วพอมันเคลื่อนเราก็รู้ พอรู้ปุ๊บ อันที่เคลื่อนดับ มันก็กลับมาตั้งมั่น ตั้งมั่นสะสมไปเรื่อยๆ จนมันเกิดพลัง มีความตั้งมั่นขึ้นมา ออกจากมาสมาธิมาอยู่ในโลกธรรมดานี้ ความตั้งมั่นก็ยังอยู่ แต่อยู่ได้ชั่วคราวหรอก อยู่ได้ไม่นาน อยู่ได้ชั่วโมง 2 ชั่วโมงก็เก่งแล้ว ฉะนั้นทุกวันต้องทำบ่อยๆ ทำเรื่อยๆ มีเวลาเมื่อไรก็มาฝึกรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา แล้วจิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติ ฝึกไป แล้วเราจะได้ของดี เราจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอก เราจะเข้าใจพระพุทธเจ้า แล้วเราก็จะรักพระพุทธเจ้าที่สุดเลย เราจะรักธรรมะ จะรักพระสงฆ์ รักครูบาอาจารย์
พวกเรารีบๆ ภาวนาเข้า ตั้งอกตั้งใจภาวนา
วัดสวนสันติธรรม
31 ตุลาคม 2568