รีบ รีบๆ ปฏิบัติเข้า อย่าขี้เกียจ ตอนนี้พวกเราส่วนหนึ่ง ภาวนาแบบก้าวกระโดดไปเยอะแล้ว พวกนี้เขาไม่สงสัยแล้ว ว่าจิตตื่นเป็นอย่างไร จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร ขันธ์แยกเป็นอย่างไร เห็นไตรลักษณ์เห็นอย่างไร เขาไม่ต้องมาถามหลวงพ่อแล้ว ภาวนาแล้วมันรู้ด้วยตัวเอง เวลาจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันแยกออกไป เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนคนเดิม คนเดิมเราจะรู้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกตัว จิตหลงโลก หลงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
แต่พอมาตั้งอกตั้งใจเอาจริง ภาวนาเข้า แต่ต้องทำให้ถูกหลัก คนปฏิบัติมันก็มีมากเหมือนกัน แต่ปฏิบัติส่วนใหญ่ก็ไปติดนิ่งๆ เฉยๆ ติดเพ่ง บางคนเพ่งแล้วก็มีความสุข บางคนเพ่งแล้วก็เครียด ก็ยังใช้ไม่ได้ จิตมันไม่ตื่นจริง เมื่อก่อนหลวงพ่อเที่ยวดู ตามที่ปฏิบัติที่โน้นที่นี้ ดู หาคนที่ตื่นขึ้นมาจริงๆ หายากมากเลย ไม่แปลกใจว่าที่ว่า ทำไมเขาไม่เข้าใจธรรมะ หรือบางที่เขาก็ไปภาวนา กำหนดโน้นกำหนดนี้ไป พอจิตรวมลงไปวูบๆ วาบๆ ก็บอกบรรลุมรรคผล บรรลุไปอย่างนั้นล่ะ กิเลสไม่สะเทือน เสร็จแล้วก็กลับมามีกิเลสเหมือนเดิม บางทีเยอะกว่าเดิมอีก กลายเป็นกูเก่ง คนอื่นไม่เก่ง กูเก่ง
เพราะฉะนั้นจุดสำคัญ เราภาวนา เป้าหมายแรกของเราก็คือ ต้องฝึกจนกระทั่งจิตเราตั้งมั่นขึ้นมาได้จริงๆ ตื่นขึ้นมาได้จริงๆ ถ้าจิตมันตื่น มันจะหลุดออกจากโลกของความคิด แล้วมันถึงจะเห็นสภาวะทั้งหลาย เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ตามความเป็นจริง ถ้าจิตไม่ตื่น จิตก็ยังปนเปื้อนอยู่กับความคิด ความจำ ความเชื่อ
ฉะนั้นจิตปนเปื้อนก็ไม่เห็นความจริง ถ้าเจือความคิดลงไป ความคิดกับความจริงคนละเรื่องกัน ความเชื่อที่เรามี ต้องรู้อย่าง ความเชื่อที่ปุถุชนมี มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อผิดๆ มีความเห็นผิดๆ คนที่มีสัมมาทิฏฐิจริงๆ ต้องพระโสดาบันขึ้นไป เรายังไม่ถึงพระโสดาบัน เราต้องมีศรัทธาแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้า ของพระสาวกอะไรพวกนี้ หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านสืบทอดการปฏิบัติ อย่างฝ่ายปริยัติเขาสอนพระไตรปิฎก สอนอะไรอย่างนี้ เขาสอนหมดเลย กว้างขวาง
การสอนกรรมฐานของครูบาอาจารย์
ส่วนครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ท่านจะสอนนิดเดียว สอนให้เราเดินไปทีละก้าวๆ ไม่คิดมาก เรียนมากก็คิดมาก คิดมากก็ยากนาน ฉะนั้นสายกรรมฐานจะเรียนปริยัติไม่เหมือนสายปฏิบัติ ปริยัติของสายปฏิบัติ เขาเรียนเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติ ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่มีศีล ก็สอนให้รักษาศีล ไม่มีสมาธิ ก็สอนให้มีสมาธิ แล้วจิตไม่ตั้งมั่นสอนให้ตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญปัญญา สอนให้เจริญปัญญา ให้รู้วิธี
ฉะนั้นการสอนในภาคปฏิบัติ อันแรก สอนให้รู้วิธีปฏิบัติ อันที่สอง ชักชวนให้ปฏิบัติ อันที่สาม มีปัญหาในการปฏิบัติครูบาอาจารย์ก็จะช่วยแนะให้ แก้ไข เพื่อจะประหยัดเวลา ไม่ต้องไปคลำทางเสียเวลานาน แล้วก็พอภาวนาดีแล้ว ครูบาอาจารย์ก็จะเชียร์อัป เอาอีกๆ ทำไป อย่าท้อถอย อย่าขยันแบบม้าตีนต้น พอวิ่งๆ ไปแล้วเฉื่อย ลักษณะการสอนของครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานจะมี 4 อย่างนี้
ไม่รู้วิธีปฏิบัติ ก็สอนให้รู้วิธีปฏิบัติ เมื่อรู้วิธีปฏิบัติแล้วก็กระตุ้น ชักชวน ให้ลงมือเสียที อย่าเอาแต่ฟัง อย่าเอาแต่เรียนอย่างเดียว ต้องลงมือ พอลงมือแล้วมีปัญหา ก็จะช่วยแก้ไขให้ แล้วก็ถ้าภาวนาได้ดี ก็จะกระตุ้นเร่งเร้า ให้ทำความเพียรต่อไปอีก อย่าท้อถอย ลักษณะการสอนของครูบาอาจารย์สายปฏิบัติ จะสอนอยู่ในหลัก 4 ข้อนี้ ก็คือหลักที่พระพุทธเจ้าใช้ เอามาจากคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นล่ะ
ส่วนสายปริยัติ เขาจะเรียนให้มากที่สุด กว้างขวาง เรียนคัมภีร์ เรียนพระไตรปิฎกอย่างเดียวไม่พอ เขาเรียนอรรถกถา เรียนคัมภีร์รองลงไปอีก ชื่อฏีกา รองลงไปชื่ออนุฎีกา รองลงไปอีกเรียกคัณฐี มันมีหลายระดับ อย่างคัมภีร์อภิธรรม เป็นคัมภีร์ระดับที่ 3 ที่เราเรียนกัน เราไม่ได้ไปเรียนอภิธรรมปิฎกกัน แต่จะเรียนคัมภีร์ชั้นฎีกา ถัดจากอรรถกถามาอีก ลงไปฎีกา ที่เรียนเป็นหลักอยู่ตอนนี้
อันนี้คนที่ท่านเขียนอันนี้ เก่ง ท่านย่ออภิธรรม อภิธรรมมีจำนวน นับจำนวนเล่ม ครึ่งหนึ่งของพระไตรปิฎก เท่ากับพระสูตร พระวินัยรวมกัน เป็นอภิธรรม เยอะมาก เยอะมากยากที่จะเรียน ฉะนั้นจะเรียนฎีกา เรียกอภิธรรมมัตถสังคหะ เป็นคัมภีร์ชั้นฎีกา อภิธรรมมัตถสังคหะ สังคหะคือการประมวล รวบรวม อภิธรรมมัตถสังคหะ ก็คือเนื้อหาสาระโดยรวมของอภิธรรมทั้งหมด
อภิธรรมทั้งหมดก็จะเรียนเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน คือสิ่งที่เป็นอภิธรรม เขาก็จะแจกแจงจิตเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างนี้ มีเท่านี้ดวง แยกด้วยชาติกำเนิด จิตที่เป็นกุศลอกุศล แยกจากการทำงาน แยกอย่างโน้นแยกอย่างนี้ ก็เรียน แล้วก็จะได้ทรงจำไว้ จะได้ไม่เพี้ยน เราเรียนเราไม่ได้เรียนมากมายขนาดนั้น ถ้าเราเรียนเรื่องจิต เราก็ดูจิตจริงๆ อย่างจิตที่มันเกิดขึ้นทั้งวันทั้งคืนนั้น ในใจเรา สังเกตดูของจริง
จิตบางดวงไม่ดีไม่ชั่ว มันเป็นวิบาก บางดวงเป็นกุศล บางดวงเป็นอกุศล จิตบางดวงก็ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง บางดวงก็ทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง อย่างบางดวงทำหน้าที่ได้ยินเสียง บางดวงทำหน้าที่ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส แต่ละดวงๆ ก็ทำหน้าที่ต่างๆ กัน รวมแล้วหน้าที่ของจิตมี 14 อย่าง ถ้าจะเรียนให้หมด เราไม่ต้องเรียนอย่างนั้น เรียนอย่างนั้นภาวนายาก ใจมันฟุ้งซ่าน ดูของจริงไปเลย
ขณะนี้จิตเรามีราคะ รู้ว่ามีราคะ จิตเราตอนนี้ไม่มีราคะ รู้ว่าไม่มีราคะ จิตเราตอนนี้มีโทสะ รู้ว่ามีโทสะ จิตไม่มีโทสะ รู้ว่าไม่มีโทสะ จิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตไม่ฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่ามันไม่ฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ รู้ว่าหดหู่ รู้ไปอย่างที่มันเป็น รู้ไม่กี่อย่างหรอก แล้วเวลาลงมือปฏิบัติจริง เอาจริงๆ แค่คู่เดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนจิตทั้งหมดหรอก เรียนจิตบางอย่าง เช่น จิตมีโทสะกับไม่มีโทสะ เรียนคู่เดียวก็พอ หรือบางคนมันเป็นพวกโลภมาก เรียนคู่เดียว คือจิตมีราคะ จิตไม่มีราคะ เห็นไหมไม่ต้องเรียนจิตทั้งหมดเลย ตั้ง 120 กว่าอย่าง ไม่ต้องเรียนทั้งหมด เรียนคู่เดียวพอ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนแบบงานวิจัย
ฉะนั้นคำสอนสำหรับการปฏิบัติจริงๆ มันจะอยู่ในพระสูตร ในสติปัฏฐานสูตร ก็จะสอนหลักการปฏิบัติจริงๆ มีไม่มาก อย่างคนไหนขี้โมโห ก็ดูจิตมีโทสะรู้ว่ามีโทสะ ไม่มีโทสะรู้ว่าไม่มีโทสะ ดูมันไปอย่างนี้ ดูมันทั้งวัน สุดท้ายปัญญามันก็รู้แจ้งแทงตลอด ว่าจิตทุกอย่าง จิตทุกดวง เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง จิตทุกดวงไม่ใช่ตัวเรา สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ เรียนนิดเดียว เรียนส่วนย่อยๆ อันเดียว เป็นการเรียนแบบการทำงานวิจัย สุ่มตัวอย่างมาเรียนเท่านั้นเอง หรือสุ่มตัวอย่างมาวิจัย ถ้าสุ่มตัวอย่างมาได้ถูก วิจัยได้ถูก เราก็จะได้คำตอบที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปศึกษาทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนแบบทันสมัยมากเลย ฝรั่งมันตามหลังมากเลย สอนแบบงานวิจัยจริงๆ วิจัยอะไร วิจัยธรรมะ เรียกธัมมวิจยะ วิจัยตัวเอง เรียนรู้กาย เรียนรู้ใจของตัวเอง ไม่ต้องเรียนอะไรเยอะ ค่อยๆ เรียนไป ถ้าเรียนเข้าถึงจิตใจได้ เข้าไปที่จิตใจเลย ถ้าเรียนจิตใจไม่ออก ก็มาดูที่ร่างกาย จิตใจมันละเอียด ดูยาก เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ส่วนร่างกายมันอยู่กับเรา ไม่ค่อยเปลี่ยนอะไร นานๆ เปลี่ยนที
ฉะนั้นถ้าสติปัญญาเราว่องไว ดูเข้าไปที่จิตเลย วิธีดูเข้าไปที่จิตก็คือ เบื้องต้นสังเกตตัวเอง ถ้าเราเป็นพวกขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ ใจไม่ค่อยสบาย ขุ่นๆ อยู่เรื่อยๆ อันนี้เราเป็นพวกโทสะ โทสจริต กรรมฐานที่เราจะดู ถ้าจะดูจิตดูใจ เราก็ดูจิตมีโทสะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้ ดูมันอยู่แค่นี้ อย่างเวลาจิตมันไม่มีโทสะ มันก็เป็นได้หลายอย่าง บางทีจิตมีราคะ ในขณะที่จิตมีราคะ จิตก็ไม่มีโทสะ ในขณะที่จิตเป็นกุศล จิตก็ไม่มีโทสะ
เห็นไหม ความรู้ความเข้าใจมันก็จะค่อยๆ กว้างขวางออกไปเรื่อยๆ ไม่ได้ยากเกินไป ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสอนให้มนุษย์เอาไปปฏิบัติ ธรรมะที่ท่านสอนเทวดา ตอนที่ขึ้นไปดาวดึงส์ ไปโปรดพุทธมารดา ท่านสอนอภิธรรม ฉะนั้นอภิธรรม มนุษย์เรียนยาก พวกเทพเขาละเอียดอ่อนกว่า เขาเรียนอภิธรรมถึงอกถึงใจ ส่วนมนุษย์เราเรียนอภิธรรมไม่ถึงใจ เรียนแล้วเครียด ก็ต้องท่องเยอะ ศัพท์ก็เยอะ ท่องก็เยอะ แล้วก็ต้องคอยคิด ต้องคอยจำ
เราภาวนาไม่ต้องเสียเวลากับการคิด ไม่ต้องเสียเวลากับการจำ ดูสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงต่อหน้าต่อตาไปเลย ขณะนี้จิตเรามีโทสะ รู้ว่ามีโทสะ ขณะนี้จิตเราหงุดหงิด หงุดหงิดก็โทสะ ขณะนี้จิตเราขี้เหนียว ตระหนี่ ขี้เหนียวก็เป็นโทสะ เพราะเวลาเกิดความรู้สึกขี้เหนียว ใจเราไม่มีความสุข วิธีดูง่ายๆ เลยว่า จิตเรามีโทสะหรือเปล่า สังเกตที่ความรู้สึก โทสะมันจะเกิดร่วมกับจิตที่ไม่มีความสุขเท่านั้น เรียกเกิดร่วมกับโทมนัสเวทนา แต่ราคะเกิดกับจิตที่มีความสุข กับจิตที่เป็นอุเบกขา กุศลก็เกิดกับจิตที่มีความสุขและอุเบกขา
เพราะฉะนั้นเวลาจิตเรามีความสุข อย่าสรุปว่าเป็นกุศล อาจจะเป็นราคะก็ได้ ตรงนี้ต้องค่อยๆ สังเกต อย่างเวลาอากาศร้อน ลมเย็นๆ พัดมา ใจเรามีความสุข เรารู้สึก แหม มีความสุข มีความสงบ จิตเป็นกุศล ที่จริงจิตไปติดอกติดใจ ในรสชาติของลมที่พัดมาเย็นๆ สบายๆ อันนี้จิตมีราคะ ราคะนี้ดูยาก โทสะดูง่าย เมื่อไรจิตใจเราไม่มีความสุข เมื่อนั้นมีโทสะเรียบร้อยแล้ว
ฉะนั้นดูง่ายที่สุดเลย โทสะ ราคะดูยากยิ่งขึ้น มันดูที่ความสุขก็ไม่ได้ ดูที่ความทุกข์อะไร ดูยาก ถึงมันจะมีความสุข หรือจะเป็นอุเบกขา มันอาจจะมีราคะก็ได้ หรืออาจจะเป็นกุศลก็ได้ มีได้ 2 ช็อยส์ แต่ถ้าจิตมีโทสะแล้วก็ จิตมีความทุกข์แน่นอน ไม่มีทางเลือกที่ 2 เลย สังเกตจิตใจของตัวเองไป ดูนิสัยตัวเอง อ่านตัวเองให้ออก ถ้าเราเป็นคนขี้โมโห เราก็ใช้ความขี้โมโหของเราให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ขี้โมโหแล้ว ทำอย่างไรจะไม่โมโห เมื่อมันจะโมโห ใช้ความขี้โมโหของเรานี้ให้เป็นประโยชน์
จิตมีโทสะ หงุดหงิดขึ้นมา รู้ว่าหงุดหงิด ทีแรกไม่เห็นหงุดหงิด ละเอียด ทีแรกต้องโกรธแรงๆ ก่อน แบบแทบจะฆ่าคนแล้ว ต้องโกรธแรงๆ แล้วค่อย ตอนนี้โกรธแล้ว ต่อมาหงุดหงิดเล็กๆ ก็เห็นแล้ว สติมันจะเร็วขึ้นๆ แรกๆ มันก็ต้องเห็นกิเลสที่รุนแรงก่อน เพราะสติเรายังอ่อน พอหัดดูบ่อยๆ เราก็จะเห็นกิเลสตัวเล็กๆ ตัวที่ละเอียดๆ เร็วขึ้นๆ ที่พูดนี้พูดมาด้วยประสบการณ์จริง ประสบการณ์ตรง
สติเรายังอ่อนต้องเห็นกิเลสที่รุนแรงก่อน
หลวงพ่อเป็นพวกโทสจริต เป็นพวกรวดเร็วรุนแรง อะไรมายืดๆ ยาดๆ น่ารำคาญ อะไรๆ ก็น่ารำคาญไปหมดเลย อย่างคนมาคุยกับหลวงพ่อ คุยยาวหลวงพ่อยังรำคาญเลย ฉะนั้นพวกเราอย่ามาคุยยาว เดี๋ยวกิเลสหลวงพ่อเกิดขึ้นมาเปรี้ยงปร้างไป เดี๋ยวลำบาก ขู่ไปอย่างนั้นล่ะ ขู่ไปอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ไม่โมโห สบายใจ เมื่อก่อนโกรธ โกรธรุนแรงทั้งวันเลย เราก็เห็นจิตโกรธอีกแล้ว พอเห็นบ่อยๆ จิตมันแค่หงุดหงิดก็เห็นแล้ว ก่อนที่จิตมันจะโกรธ เหมือนไฟไหม้ใหญ่ มันมาจากไฟไหม้เล็กๆ ก่อน มันหงุดหงิด มันไม่พอใจ
ถ้ามันหงุดหงิด มันไม่พอใจ เราไม่เห็น ไฟโทสะกองนี้มันก็จะใหญ่ขึ้น ก็เป็นโทสะที่รุนแรง แหม อยากหักคอคนจิ้มน้ำพริก แต่ว่าพอเราหัดดูเรื่อยๆ โกรธแล้วเห็น โกรธแล้วเห็นเรื่อยๆ ต่อไปขัดใจเล็กๆ เราก็เห็นแล้ว แล้วทันทีที่เห็น อะไรจะเกิดขึ้น ทันทีที่เรามีสติรู้ จิตหงุดหงิดเรารู้ โทสะจะดับทันที ดับอัตโนมัติ เวลาเราภาวนาจริงๆ เราจะไม่มีกิเลสให้ละ ไม่ต้องละกิเลส แต่ให้รู้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ให้รู้ไป โทสะเกิดให้รู้
อย่างช่วงนี้โทสะจะเยอะ เราดูข่าวการบ้านการเมือง เรื่องรบกันเรื่องอะไร โทสะจะขึ้น เวลาโทสะขึ้น จิตใจไม่มีความสุข จะเครียด เมื่อเช้าก็มีหมอคนหนึ่งมาเล่า เป็นหมอผู้หญิง ตามข่าวแล้วก็โทสะมันขึ้น บอกว่าเหนื่อยมากเลย ไม่ได้ออกไปรบกับเขาสักหน่อยแต่เหนื่อย พวกที่วิ่งรบลืมเหนื่อย ไม่มีเวลาเหนื่อยก็ลุยแหลก อย่าไปเกลียดคนเขมรเลย คนเขมรส่วนใหญ่มันคือชาวบ้าน ชาวบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรหรอก
มีคนมาเล่าให้ฟังว่า ญาติๆ อยู่เมืองเขมร บอกว่าผู้ชายหนุ่มๆ ถูกเกณฑ์ไปรบ เด็กหนุ่มโดนเกณฑ์หมดเลย ไม่เคยฝึก ไม่เคยอะไร เกณฑ์เอามาเป็นโล่มนุษย์เฉยๆ ให้ทหารตัวจริงซ่อนมายิงเรา พวกนี้ไม่ได้อยากรบ พวกนี้เขาก็อยากหาอยู่หากิน มีชีวิตสบายๆ ฉะนั้นก็อย่าไปหลงเกลียดเขา โทสะเราจะขึ้น เจ้าอะไรตระกูลฮุนอะไร ก็อย่าไปเกลียดมัน มันทำหน้าที่ของมัน ตระกูลฮุนมันก็เรียกร้องให้ประชาชนรักชาติ คนไทยเราต้องเรียกร้องให้ผู้นำรักชาติ มันกลับข้างกัน
เขาฉลาด อย่าไปนึกว่าเขาโง่ เขาวางแผนยุทธศาสตร์ยืดเยื้อยาวนานมาก อย่างเขาเทรนลูกเขามาเป็นนายกฯ ก่อนจะเป็นนายกฯ เป็นอะไรต่ออะไรมาเยอะ เรียนการทหาร เรียนเศรษฐศาสตร์ เรียนอะไร เริ่มทำงานไต่เต้าไปตามลำดับ เรียนเก่งด้วย เรียนได้ ของเราไม่ได้เทรนลูก อยู่ๆ จับลูกมาทำงาน ลูกก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ฝีมือต่างกัน อย่าดูถูกเขา เขาวางแผนลึกซึ้งมากเลย ถ้าเราประมาทว่าเขาโง่ เราจะโง่กว่าเขา ไม่ธรรมดา
ฉะนั้นต้องระมัดระวัง เรียนประวัติศาสตร์ก็ถูกลบทิ้งไปแล้วด้วย ประวัติศาสตร์ไม่ให้เรียนแล้ว ถ้าเรียนเราจะรู้ ประวัติศาสตร์ชอบซ้ำรอย สมัยกรุงจะแตก สมัยจะสิ้นอยุธยา เอาไส้ศึกมาตั้ง ถ้าเทียบไปก็เหมือนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คุมทหารทั้งอยุธยา แล้วเขาโคกับศัตรู เขาถอนทหารจากหัวรอทั้งรู้ นัดกันแล้วจะเข้าตีหัวรอ ย้ายทหารไปป้อมเพชร ทางนี้ไม่ต้องรักษา เขาก็เข้าได้
คำสั่งถอนทหารๆ แหม ฟังแล้วคล้ายๆ คลับคล้ายคลับคลา พอถอนปุ๊บ ทางโน้นเข้ามา เขาเข้ามาเราก็ไปยิงกับเขา 2 – 3 วัน เอ้า ให้สงบศึก ใครยึดตรงไหนได้ก็อยู่ตรงนั้นไป ลูกเล่นเขาเยอะ เขาฉลาด มันเก่งถึงขนาดใช้คนของเราได้ ฉะนั้นอย่าประมาท ทำไมมันเป็นเรื่องนี้ได้ พูดถึงโทสะ เวลาเราดูข่าวโทสะขึ้น ทำไมทหารไม่ลุย ทำไมไม่ลุย ลุยโง่ๆ ลุยทำไม ลุยโง่ๆ ตอนไหนควรลุยก็ลุย ตอนไหนควรรับก็รับ ตอนไหนควรถอยก็ถอย หลักของการทำสงครามก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ ต้องใช้สติใช้ปัญญาให้ดี
เห็นไหม จิตเริ่มลดระดับลงแล้ว รู้สึกไหม เออ มันต้องอย่างนี้ มันถึงจะใช้ได้ หลวงพ่อเคยโดนครูบาอาจารย์ทดสอบ ท่านทดสอบหลวงพ่อ หลวงปู่บุญจันทร์ โอ๊ย เก่งมากเลย เป็นพระทรงฤทธิ์ทรงอภิญญา เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ ก่อนหลวงปู่จันทร์เรียน องค์นี้ ท่านให้พระมาเรียกหลวงพ่อไปหา หลวงพ่อไม่รู้จักท่าน ตอนนั้นหลวงพ่อไปสัมมนาที่เชียงใหม่ กลางคืนเขากินเลี้ยง หลวงพ่อหนี ไม่เอา เสียเวลา กินเลี้ยง
ลูกเล่นของครูบาอาจารย์แพรวพราว
หลวงพ่อไปวัดสันติธรรม ที่เชียงใหม่ อยู่ทางประตูช้างเผือก จะไปกราบอาจารย์ทองอินทร์ อาจารย์ทองอินทร์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิม ลูกศิษย์รุ่นโตเลย คุ้นกับหลวงพ่อ คุยกับรู้เรื่องเลย พอไปถึงหน้าวัดสันติธรรม ก็มีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งมายืนรออยู่ แล้วท่านก็บอกว่า ตอนนี้หลวงปู่บุญจันทร์ไม่สบาย ลงมาพักอยู่วัดสันติธรรม จะมาหาหมอที่เชียงใหม่ ให้หลวงพ่อไปหาหน่อย หลวงพ่อบอกหลวงพ่อไม่รู้จัก แล้วท่านก็ไม่สบาย เราจะไปกวนท่าน ไม่เอา ไม่รู้จัก
หลวงพ่อก็บอกไม่ไป หลวงพ่อไปคุยอยู่กับอาจารย์ทองอินทร์ จนมืดเลย แล้วก็หนาวมากเลยตอนนั้น ออกจากกุฏิอาจารย์ทองอินทร์มา พระองค์นี้ยังยืนอยู่ มาเฝ้าอยู่หน้ากุฏิอาจารย์ทองอินทร์ เปลี่ยนจากเฝ้าหน้าวัด มาเฝ้าอยู่หน้ากุฏิ รบเร้าไปหน่อยๆ หลวงพ่อ โอ้ องค์นี้เป็นอะไรตื้อชมัดเลย สงสารท่านยืนหนาวอยู่อย่างนั้น ไปก็ไป ขึ้นไปถึงกุฏิท่านอาจารย์บุญจันทร์ ท่านไม่สบาย นอนอยู่บนตั่งหน้าระเบียง ที่ระเบียง ไม่เข้าห้อง นอนคลุมโปงตัวสั่น รอ
พอหลวงพ่อขึ้นไป ท่านก็ลุกขึ้นนั่งชี้หน้าเลย “ไง จะภาวนาอย่างไร” ชี้หน้าปึ๊บเลย หลวงพ่อก็เล่าให้ท่านฟัง “ผมภาวนา ไม่ยึดทั้งจิต ไม่ยึดทั้งอารมณ์ ไม่ยึดอะไรเลย” โดนท่านตวาดเอา บอก “เฮ้ย นิพพานอะไรมีเข้ามีออก ไง จะภาวนาอย่างไร จะทำอย่างไรอีก” ก็นึกว่าท่านฟังสำเนียงเราไม่ออก ก็หลวงพ่อฟังท่านพูดไม่ค่อยออกเหมือนกัน เสียงไม่เหมือนกัน ไปเล่าซ้ำให้ท่าน “ภาวนาไม่ยึดทั้งจิต ไม่ยึดทั้งอารมณ์” ท่านตวาดครั้งที่ 2 “เฮ้ย นิพพานอะไรมีเข้ามีออก” เราก็ เอ้ย ถ้าเราไปอยู่ตรงนี้ เสียเวลาแน่นอน ครูบาอาจารย์ท้วงถึง 2 ครั้ง เพราะฉะนั้นจิตหลวงพ่อไม่เอาเลยตัวนี้ สมาธิชนิดไม่จับทั้งจิต ไม่จับทั้งอารมณ์ จิตไม่เอาแล้ว ทิ้งเลย
พอจิตเราสลัดตรงนี้หลุด ท่านอาจารย์บุญจันทร์หัวเราะเสียงดังเลย หัวเราะฮ่าๆๆๆ อย่างนี้ เสียงดัง หลวงพ่อเห็นท่านหัวเราะ เราก็โดยเสด็จท่านหัวเราะตามท่าน ฮ่าๆๆ บ้าง ท่านหยุดกึกเลย พอเราหัวเราะ ท่านหยุดปุ๊บเลย พอท่านหยุดปุ๊บ หลวงพ่อก็หยุดปุ๊บเลย จิตเรียบเป็นหน้ากลองเลย ท่านบอก “เออ ใช้ได้” นี่โดนทดสอบ โดนทดสอบ บางทีครูบาอาจารย์ก็มีวิธีทดสอบแปลกๆ บางองค์ท่านใช้วิธีด่าเอา แต่หลวงพ่อไม่ได้ใช้ หลวงพ่อถ้าด่าก็คือด่า จะไม่มีทดสอบ
บางองค์ท่านใช้วิธีด่าเอา อย่างหลวงปู่ดูลย์ท่านก็เคยใช้ ลูกศิษย์องค์หนึ่ง เป็นพระดี ขยันภาวนาแล้วเกิดพลาด คิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ก็บุกมาหาท่าน จากพนมรุ้งมา เดินมาตัวเมืองสุรินทร์ ไม่ใช่ใกล้ๆ เดินมาถึงมืดแล้ว ค่ำแล้ว ก็ไปเที่ยวทุบประตูกุฏิโน้นกุฏินี้ บอกให้ทุกคนออกมาฟังเทศน์ พระอรหันต์มาแล้ว พระอรหันต์จะเทศน์ให้ฟัง ไปทุบกระทั่งกุฏิหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ก็รู้แล้ว โอ้ องค์นี้ติดวิปัสสนูปกิเลส ก็เลยให้พระไปบอก บอกให้ไปพักในโบสถ์ก่อน ตอนนี้ดึกแล้ว ใครๆ ก็ฟังธรรมไม่ไหวแล้ว ง่วง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
พอเช้ามาก็จะมาสอนหลวงปู่ดูลย์ ลูกศิษย์จะสอนอาจารย์แล้ว ด้วยความสงสาร เดี๋ยวอาจารย์ภาวนาไม่เป็น หลวงปู่พยายามแก้อยู่หลายวัน ไม่สำเร็จ จิตท่านล็อกอย่างแรงเลย สุดท้ายหลวงปู่เลยใช้ไม้ตาย ด่า “สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ไสหัวไปให้พ้น” โอ้โห พระอรหันต์โกรธ พระอรหันต์จากจิตที่นิ่งว่าง ไม่มีอะไรเลย โกรธแล้วไม่เห็น บอก “ไปก็ได้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่กู” แทนที่จะเป็นพ่อ บอกไม่ใช่แม่ โมโหจัด คว้าเอาไม้กวาดพาดบ่าไป นึกว่ากลด ดูสิ นึกว่ากลด เอาไม้กวาดพาดบ่าไป เดินออกจากเมืองสุรินทร์ไป
เดินไปถึงวัดป่าโยธาประสิทธิ์ เป็นวิทยาลัยครูตอนนี้ ห่าง 3 กิโล เดินไป 3 กิโลแล้วเพิ่งนึกได้ เฮ้ย นี่มันโกรธนี่ ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว เลยเข้าไปหาหลวงปู่โชติ เคยได้ยินไหมหลวงปู่โชติ ฉายาหลวงปู่โชติระลึกชาติ ท่านระลึกชาติได้ แล้วเสร็จแล้วหลวงปู่โชติ ก็พามาขอขมาหลวงปู่ดูลย์ แล้วท่านก็สอนกรรมฐานต่อให้ นี่บางทีครูบาอาจารย์ใช้วิธีด่า ฉะนั้นลูกเล่นของครูบาอาจารย์แพรวพราว เรารู้ เราเห็น เราอยู่ใกล้ โอ๊ย สนุกจริงๆ เลย บางคนเลยเอาแต่สนุก ก็เลยไม่ค่อยภาวนา สนุกแล้วต้องภาวนา เวลาภาวนาเราจะรู้เลย เราเบิกบาน ไม่ใช่หงอยๆ เครียดๆ ภาวนาไปอย่างนั้น เพราะจิตมันรู้ มันตื่น มันเบิกบาน
จิตที่ตั้งมั่น มันเบิกบาน แล้วมันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาผ่านไป เห็นความสุขมาแล้วก็ไป ความทุกข์มาแล้วก็ไป กุศลอกุศลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใจสบายๆ ใจมันแยกต่างหาก แยกออกมาอยู่ต่างหาก เห็นสภาวะเคลื่อนผ่านไป เวลาร่างกายขยับ มันจะรู้สึกร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายนี้เป็นส่วนเดียวกับโลก ความรู้สึกของเรากับร่างกายนี้ เท่าเทียมกับโลกข้างนอกเลย ร่างกายนี้กับโลกข้างนอกเท่ากันเลย เพราะใจเราเสมอกันหมด ราบคาบเสมอกันหมด ค่อยภาวนาแล้วจะค่อยๆ เห็นไป เป็นลำดับๆ ไป
จะภาวนาให้ดี จะทำอย่างไร
จะภาวนาให้ดี จะทำอย่างไร สรุป ถือศีล 5 ต้องถือศีล ตรงนี้หลวงพ่อพูดผิดไว้นิดหนึ่ง เดี๋ยวต้องแก้ เวลาพูดผิดจะต้องแก้ ที่หลวงพ่อบอก หลวงพ่อเห็นพวกปาราชิก คนที่ปาราชิกจิตเศร้าหมอง ภาวนาไม่ขึ้น กระทั่งพวกสังฆาทิเสสก็เศร้าหมอง ภาวนาไม่ขึ้น ดูแล้ว โอกาสจะได้มรรคผล ไม่เห็นเลย ไปเจอตำราในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านสอน วันหนึ่งท่านเห็นไฟกองใหญ่ ท่านก็เลยเรียกพระมาประชุมกัน แล้วท่านก็เทศน์
ท่านถามพวกพระว่า “ถ้ามีไฟกองใหญ่กองหนึ่ง กับมีผู้หญิงสวยๆ น่ารักๆ อยากกอดอะไรมากกว่ากัน” พระท่านก็ซื่อสัตย์ ท่านก็บอก “อยากกอดผู้หญิง” ใครจะไปอยากกอดไฟ พระไม่โกหก แล้วพวกเราระหว่างไฟกับผู้หญิงจะกอดอะไร เราก็ต้องกอดผู้หญิงก่อนใช่ไหม กอดไฟเดี๋ยวตัวพอง พระพุทธเจ้าบอกว่า “เป็นพระไปกอดผู้หญิง ปาราชิก เป็นพระปาราชิก ไปเสพเมถุน ไปอะไรอย่างนี้ อันตรายมาก ไปกอดกองไฟดีกว่า กอดกองไฟแล้วก็ตายอย่างเดียว ชาติเดียว”
“พระเสพเมถุนอาบัติปาราชิก แล้วยังหลอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นพระ ยังใส่เครื่องแบบพระอยู่ ยังกินข้าวที่ชาวบ้านเขาให้อยู่ บริโภคทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบ้านให้” บอก “พวกนี้ตกนรก 100 เปอร์เซนต์ ลำบากกว่าพวกที่ไปถูกไฟลวกเสียอีก” ท่านพูดอย่างนี้ พระส่วนหนึ่งบรรลุพระอรหันต์ รู้สึก โอ้ โลกไม่มีสาระแก่นสาร พระอีก 60 องค์ขอสึก ไม่กล้าห่มผ้าเหลืองต่อไปแล้ว นี้แสดงว่าอะไร พระปาราชิกมีมาตลอด สมัยพุทธกาลก็มี ไม่อย่างนั้นมันไม่รีบหนีสึกหรอก เพราะว่ากลัว ถ้าเป็นพระอยู่ เดี๋ยวตกนรกนาน
อีก 60 องค์กระอักเลือด อาเจียนเป็นเลือด รู้สึกผิดอย่างแรง รู้สึกสำนึกผิดอย่างรุนแรง แล้วบางส่วนที่กระอักเลือด ขอกลับมาบวชเป็นเณร กลับมาบวชเป็นเณร เพราะฉะนั้นอย่างปาราชิกมา บวช ให้บวชได้แค่เณร ที่นี่ก็มีเหมือนกัน เคยให้เป็นแค่เณร เพราะว่าเราไม่ได้ปิดกั้น ขนาดไม่ให้สะสมบารมีไป แต่ตอนนั้นหลวงพ่อคิดว่า ไม่มีทางหรอก เพราะภาวนาอย่างไร ใจมันก็ไม่รวม ไม่สงบหรอก จิตไม่ตั้งมั่น จิตมันวอกแวกๆ ไปหมด
ปรากฎว่าเณรกลุ่มนี้ที่กระอักเลือด บางองค์ได้โสดาบัน บางองค์ได้สกทาคามี บางองค์ได้ถึงอนาคามี แต่ไม่ได้บอกว่าได้พระอรหันต์ มี อันนี้มีตัวอย่าง แต่ว่าพวกนั้นเขาสำนึกผิดจริงๆ สำนึกผิด เสียใจจนกระอักเลือดเลย อันนี้ต้องแก้ที่หลวงพ่อบอก ไม่เห็น อันนี้ดูมาจากประสบการณ์ ประสบการณ์ของครูบาอาจารย์สายปฏิบัติที่เห็น ไม่ได้รู้ทั่วถึง เท่าญาณทัสสนะของพระพุทธเจ้า
แต่รู้อย่างหนึ่งว่า โอ๊ย อาบัติแรงๆ ไม่เห็นจะภาวนาได้สักคนหนึ่ง เพราะว่ายังไม่มีตัวอย่าง พวกที่อาบัติแรงๆ แล้วภาวนาได้ให้เห็น ก็เลยพูดตามประสบการณ์ อันนี้ต้องแก้ให้เรา เดี๋ยวเราทรงจำผิดไว้ ต้องถือพระไตรปิฎกเป็นหลัก ครูบาอาจารย์เป็นรอง เพราะครูบาอาจารย์ไม่รู้ทั่วถึงพระไตรปิฎก รู้ในส่วนที่ว่าทำอย่างไรจะไม่เกิด ทำอย่างไรจะไม่ทุกข์ รู้ตรงนี้
ใครเห็นจิตไหลไปคิดบ้าง ยกมือสิ ยกมือ มีอีกไหม จิตที่ไหลไปคิด รู้ไหมเมื่อกี้ไหลไปคิด เอาอย่างนี้ ใครรู้ว่าเมื่อกี้จิตไหลไปคิดบ้าง ทำไมมันน้อยอย่างนั้น พวกดีแล้วไม่รู้ว่าดี เวลาเราภาวนา ถือศีล 5 รักษาให้ดี ทุกวันทำในรูปแบบ การทำในรูปแบบ ก็เลือกกรรมฐานที่เราถนัด แล้วก็คอยรู้เท่าทันจิตตนเอง อย่างถนัดพุทโธก็พุทโธไป แล้วรู้ทันจิตตนเอง จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นลืมพุทโธ รู้ทัน จิตไปเพ่งพุทโธ รู้ทัน
ทำกรรมฐานรู้ลมหายใจ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ทัน ดูท้องพองยุบก็ได้ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งท้อง รู้ทัน เดินจงกรมก็ได้ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งร่างกายที่เดินอยู่ รู้ทัน ฉะนั้นในหลักการแล้ว ใช้กรรมฐานอะไรก็ได้ ถ้ารู้ทันจิตตัวเอง แล้วใช้ได้หมด เหมือนกันหมด แต่จากประสบการณ์จริง ให้ไปนั่งภาวนาก็ส่วนใหญ่นั่งหลับ ไม่ก็นั่งฟุ้ง
หลังๆ นี้หลวงพ่อเลยเล่นบทโหด ให้ไปเดิน แล้วไม่ใช่เดิน 5 นาที 10 นาที เดินให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง ต่อเนื่อง 3 ชั่วโมงไม่ไหว ก็เดินชั่วโมงหนึ่ง เบรกนิดหน่อยแล้วเดินอีก มีแรงแล้วเดินไป ยังมีแรง ยังหนุ่มยังสาวอยู่ สู้ตาย เดี๋ยวแก่แล้วเดินจงกรมไม่ไหว ภาวนาลำบากมากขึ้นๆ อย่างคนแก่สมองมันก็เสื่อม ให้ไปนั่งสมาธิเดี๋ยวมันก็เคลิ้มแล้ว มันเคลิ้มง่าย หลงง่าย ให้เดินจงกรมก็ไม่ไหว มันมีแต่คำว่าไม่ได้ๆ เต็มไปหมดเลย
ยังแข็งแรง รีบภาวนาเสีย
เพราะฉะนั้นยังหนุ่มยังสาว เป็นช่วงเวลาที่เราแข็งแรงที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ใช้ช่วงเวลานี้ มารีบภาวนาให้ดี เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยเรียนกับท่าน แต่เคยได้ยิน ท่านพูดบอกว่า ท่านมาบวชตั้งแต่หนุ่ม เพราะว่าชีวิตวัยหนุ่ม เป็นวัยที่สดชื่นแข็งแรง คนเราเวลาจะทำบุญ พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เอาไปทำบุญถวายพระ ท่านเลยถวายชีวิตช่วงหนุ่มของท่านนี้ให้พระพุทธเจ้า ออกมาบวชแล้วไม่ยอมสึก ลงมือปฏิบัติไปเรื่อยๆๆ ไม่ยอมเลิก
ท่านบอก ท่านถวายของที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ให้กับพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา แล้วท่านบอกว่าพอแก่แล้ว มันไม่อยากสึกแล้ว มันไม่เข้าใจโลก ไม่รู้จะสึกออกไปแล้ว จะไปทำมาหากินอะไร พวกที่พลาดๆ สึกๆ ออกไป ผู้หญิงก็โกงเงินไปหมดแล้ว สึกออกไป ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร พวกนี้ตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว ฉะนั้นอย่าไปเกลียดมัน มันตกนรกอยู่แล้ว สงสารเขา ตอนนี้พวกเรายังแข็งแรง ยังหนุ่มยังสาว รีบภาวนาเสีย ถ้าแก่แล้วภาวนาลำบาก
หลวงพ่อภาวนาตั้งแต่ 7 ขวบ แล้วไม่เคยหยุดสักวันเลย ทำทุกวัน บางทีภาวนาตอนเด็ก ไม่รู้ว่านั่นคือการปฏิบัติ ตอนเด็กๆ ชอบทอนซิลอักเสบเรื่อยเลย บ่อย ทอนซิลอักเสบแล้วไข้สูง ยังเด็กๆ ก็นอน ไม่ต้องไปโรงเรียน นอน บางทีนอนตั้ง 2 – 3 วันกว่าจะหาย กินยาแล้วก็ต้องมานอน นอนไปแล้วก็เห็นร่างกายมันป่วย ร่างกายมันนอน ร่างกายมันเจ็บ ร่างกายมันป่วย ใจมันอยู่ต่างหาก มันเห็นไปเรื่อยๆ
ตอนนั้นไม่รู้ว่านั้นขันธ์มันแยก กายอันหนึ่ง เวทนาอันหนึ่ง จิตอันหนึ่ง ไม่รู้หรอก แล้วคิดว่าคนอื่นก็เป็นแบบนี้ ภาวนาตั้งแต่เด็กๆ ทำมาเรื่อยๆ ฉะนั้นช่วงวัยเด็ก ไม่เอาเวลาไปเถลไถล เลิกเรียนแล้วก็กลับบ้าน ช่วงวัยทำงาน เลิกทำงานแล้วก็กลับบ้าน มา กลับบ้าน พักผ่อน อาบน้ำอาบท่า กินข้าว พักผ่อนนิดหน่อย ดูข่าวเสียหน่อย พอข่าวพระราชสำนักจบ 2 ทุ่มหน่อยๆ ไม่ดูแล้ว ไม่ดูละเม็งละคร ขี้เกียจดู
เวลาดูละคร ไม่สนุกเลย อย่างเวลานางเอกมันร้องไห้ เราก็เห็นมันหัวเราะอยู่ เพราะมันร้องแต่หน้า ใจของมันก็แอบขำตัวเองบางที เราดูแล้วไม่อิน ดูแล้วไม่อินไม่รู้จะดูทำไม เสียเวลา เวลาเอามาใช้ภาวนา กินข้าวก็ปฏิบัติ อาหารคำนี้พอใจ อาหารคำนี้ไม่พอใจ จะอาบน้ำ จะขับถ่าย เป็นการปฏิบัติทั้งหมดเลย หน้าหนาวจะอาบน้ำ ใจสยองรู้ว่าสยอง โบราณอาบน้ำในตุ่ม ตุ่มดิน น้ำเย็นเชี้ยบเลย หน้าหนาว สยองรู้ว่าสยอง นี่คือการปฏิบัติ
หลวงพ่อภาวนาแบบนี้ แล้วถึงเวลาก็ทำในรูปแบบ ส่วนใหญ่ทำดึกๆ คนอื่นเขาหลับแล้ว เราลุกมาฉี่ แล้วนั่งสมาธิไป ไม่ได้เดินเลย บ้านเป็นไม้เดินแล้วมันเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ นั่ง นั่งแล้วมันเคลิ้ม ไม่นอน ตราบใดที่ยังเคลิ้มอยู่ก็จะไม่นอน ง่วงอยู่ไม่นอน ต้องภาวนาจนจิตสว่างผ่องใสแล้ว ถึงจะนอนต่อ ฝึกตัวเอง จนกระทั่งต่อไปตอนตื่นปุ๊บ จิตสว่างปั๊บเลย มันกลัวเราจะภาวนานาน มันรีบให้เราสว่างไว้ก่อน
กิเลสมันเก่ง นึกว่ากูเก่งหรือ เปล่า กิเลสเก่ง มันหลอกให้เราสบายใจ นี่จิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วนอนได้ โดนมันหลอก ที่แท้ถ้าจิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ที่เราต้องทำต่อไปคือการเจริญปัญญา ไม่ใช่อยู่กับจิตที่นิ่งๆ ว่างๆ สงบๆ อยู่ การเจริญปัญญาขั้นที่ 1 คือการแยกขันธ์ เห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นความรู้สึกสุขทุกข์อยู่อีกส่วนหนึ่ง เห็นความรู้สึกดีชั่วทั้งหลายอยู่อีกส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนรู้คนดู
เห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ถูกความทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา เป็นทุกขัง ถูกบีบคั้น ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ เห็นนามธรรมทั้งหลาย สุขทุกข์ดีชั่วทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ สุดท้ายเข้ามาเห็นจิต จิตก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้คิด เดี๋ยวเป็นจิตผู้ไปดูรูป เป็นจิตผู้ไปฟังเสียง หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง มีแต่ความไม่เที่ยง แล้วจิตจะดีหรือจิตจะร้าย จิตจะสุขหรือจิตจะทุกข์ จิตจะรู้ตัวหรือจิตจะหลงไป สั่งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ นั่นคือคำว่าอนัตตา
ก็เฝ้ารู้เฝ้าดูของจริงเรื่อยๆ จนจิตมันยอมรับความจริง มันยอมจำนนต่อข้อเท็จจริง ทั้งกายทั้งใจเรา มีแต่คำว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นความจริงตัวนี้ก็คือเห็นธรรมะ ธรรมะก็คือสัจจะ คือความจริง ผู้มีดวงตาเห็นธรรม คือผู้เห็นความจริงนั่นล่ะ ความจริงของรูปธรรมนามธรรม ความจริงของสังขารทั้งหลาย คือสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งสิ้น เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ จิตมันยอมรับความจริงได้ มันจะรู้เลย ว่าสิ่งที่เรานึกว่าตัวเรามีจริง จริงๆ ไม่มี มีแต่ความหลงผิดว่ามี ที่จริงแล้วไม่มี มีแต่รูปธรรมนามธรรม
รูปธรรมมันเป็นของโลก มันของโลก นามธรรมก็เหมือนความฝัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หายไป จับต้องอะไรไม่ได้ เฝ้ารู้เฝ้าดู เราก็รู้ตัวเราไม่มี ถ้าได้ถึงจุดตรงนี้ เราจะปลอดภัยแล้ว การเดินทางในสังสารวัฏ เราจะนับถอยหลังได้แล้ว ต่อไปนี้ไม่เกิน 7 ชาติ เราจะบรรลุพระอรหันต์ในเวลาไม่เกิน 7 ชาติ 7 ชาติสั้นนิดเดียว
ถ้าเราระลึกชาติได้ มันนับจำนวนไม่ถ้วน ครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านระลึกได้ 7 ชาติ บางองค์ระลึกได้ 30 ชาติ บางองค์ระลึกได้ 30 กัป แต่ละองค์ไม่เท่ากัน บางองค์ระลึกไม่ได้ ระลึกได้แต่ว่า ขณะนี้เป็นอย่างไร ฉะนั้น 7 ชาติไม่นานหรอก อดทนไว้ ถูกกิเลสหลอก ให้มาแก่เจ็บตาย นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว สู้กับมันเสียทีหนึ่ง มีโอกาสแล้ว
วัดสวนสันติธรรม
2 สิงหาคม 2568