ครูบาอาจารย์สอนแล้วเรามีหน้าที่ทำ

ไม่นึกว่าโยมจะเยอะขนาดนี้ ไม่ทำมาหากินกันบ้างหรือ ตั้งใจปฏิบัติกัน ไม่มีใครช่วยใครได้ ต้องช่วยตัวเอง ครูบาอาจารย์ได้แค่บอกว่าให้ปฏิบัติแบบนี้ ให้ทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้ ที่เหลือเราต้องทำเอง เมื่อก่อนหลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ท่านก็สอนอย่างนั้น อย่างไปหาหลวงปู่ดุลย์ ท่านบอกให้ไปดูจิตตัวเอง ไม่ได้สอนเยอะอะไร เราต้องเอามาทำเอง เวลาทำไป บางทีทำผิด แล้วท่านเห็นท่านก็บอก มีคราวหนึ่งทำผิด หลวงพ่อเห็นกิเลสผุดขึ้นจากกลางอก ก็เลยอยากดูว่าต้นตอของมันอยู่ตรงไหน เราจะไปทำลายต้นตอของกิเลสที่ผุดขึ้นมา ส่งจิตเข้าไปข้างใน พอดูเข้าไป กิเลสก็ดับหมด ไม่เห็นว่าผุดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดได้อย่างไร

ขึ้นไปพอดีไปราชการ ขึ้นไปกราบหลวงปู่สิม แวะไปกราบ พอท่านเห็นหน้า ท่านเรียกเสียงดัง ท่านเรียกหลวงพ่อว่าผู้รู้ ท่านบอกผู้รู้ๆ ออกมาอยู่ข้างนอก กิเลสไม่ได้อยู่ในนั้น ครูบาอาจารย์จะช่วยเราแบบนี้เวลาเราทำผิด ท่านก็จะบอก อีกคราวหนึ่งทำผิด จิตไปว่างสว่างอยู่ข้างนอก ไม่เข้าฐานแต่มองไม่ออก ไปถามหลวงตามหาบัว ตอนนั้นคนไม่ค่อยมีหรอก เข้าถึงตัวท่านได้ ถามว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ผมดูจิต ผมก็ดูจิต แต่ทำไมไม่พัฒนาเลย ท่านมองหน้าแล้วท่านก็บอก ที่ว่าดูจิต ดูไม่ถึงจิตแล้ว ต้องเชื่อเรา เราผ่านมาด้วยตัวเราเอง อะไรๆ ก็สู้บริกรรมไม่ได้

แสดงว่าจิตออกนอก อย่างที่หลวงพ่อบอกพวกเราว่าจิตไม่ถึงฐาน หลวงพ่อก็เป็น เมื่อก่อนยังไม่บวชตอนนั้น ก็เลยรู้เลย ถ้าจิตเราไปอยู่ข้างนอก จิตไม่เข้าฐาน ไม่พัฒนาหรอก ถึงจ้ำจี้จ้ำไชกับพวกเรา ต้องฝึกให้จิตถึงฐานจริงๆ ครูบาอาจารย์จะช่วยแบบนี้ บางทีท่านเห็นเรามีปัญหา เรายังไม่รู้ว่าเป็นปัญหา ท่านก็บอกให้ เราทำผิด เราเห็นว่ามีปัญหาเราไปถามท่าน ท่านก็บอกให้ แต่ส่วนใหญ่ไปหาครูบาอาจารย์ ไปส่งการบ้าน ไม่มีปัญหา ไปคุยกับครูบาอาจารย์ ท่านก็เบิกบาน ลูกศิษย์ขยันภาวนา

สรุปก็คือ ครูบาอาจารย์สอน เรามีหน้าที่ทำ ทำผิดทำถูกแล้วไปส่งการบ้าน ตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ไม่มั่นใจไม่แน่ใจ ค่อยไปถามครูบาอาจารย์ ไม่ได้ถามทุกวันถามทุกเรื่อง ถามทุกวันถามทุกเรื่องไม่พัฒนาหรอก ฟุ้งซ่าน ฉะนั้นธรรมะใช้โยนิโสมนสิการให้มาก พิจารณาตัวเองให้มาก สิ่งที่เราทำอยู่หรือผลที่เราทำอยู่ สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าของครูบาอาจารย์ไหม อย่างที่หลวงพ่อไปถามหลวงตามหาบัว เพราะหลวงพ่อสังเกตุเราต้องทำผิด ทำไมจิตเราว่างสว่าง ไม่มีกิเลสมีแต่ความสุข ก็เฉลียวใจ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตเราเที่ยง ท่านว่าจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตเรามีแต่ความสุข ท่านว่าจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ สังเกตอย่างนี้

 

ใช้โยนิโสมนสิการให้มาก

เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนา ตรวจสอบการปฏิบัติของเราเอง ให้สม่ำเสมอ ตรวจเป็นระยะๆ ไม่ต้องตรวจตลอดเวลา ตรวจตลอดเวลาเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ไม่ได้ปฏิบัติ ทำไปไม่ต้องกลัว ทำไปเถอะ ผ่านไปช่วงหนึ่งแล้วค่อยสังเกต ที่ทำอยู่อกุศลที่มีลดลงไหม กุศลเจริญขึ้นไหม วัดตัวเอง วัดกันด้วยจิตใจตัวเอง ดูที่กิเลสนี้ ฉะนั้นไม่ใช่ว่าพวกเราจะมาเจอหลวงพ่อได้ทุกวัน บางคนมาเจอทุกวัน ก็ไม่ได้ถามทุกวัน ถ้าถามทุกวันก็โดนหลวงพ่อเล่นงาน ทำอย่างนี้เหมือนเด็กไม่รู้จักโต เอะอะตัวใหญ่แล้วก็ยังจะให้พ่อให้แม่ป้อนข้าวให้กินทุกวัน ไม่รู้จักหาข้าวกินเอง เราเป็นนักปฏิบัติเราไม่ใช่เด็กอ่อน เราต้องเติบโตขึ้น

อย่างพวกเราเดี๋ยวนี้ จำนวนมากที่เติบโตขึ้น หลวงพ่อให้ไปเดินจงกรม 3 ชั่วโมง แต่เดิมให้เดินนิดหน่อย ถ้าให้เดินเยอะ เดี๋ยวจะไม่ยอมเดิน ก็ค่อยๆ ปรับๆๆ มาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้พวกเราก็เติบโตมากขึ้น เข้มแข็งในการปฏิบัติมากขึ้น ยิ่งเราปฏิบัติมากขึ้น เรายิ่งเห็นผลของการปฏิบัติ เรายิ่งมีศรัทธาแน่นแฟ้นในพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ศรัทธาในคำสอนของท่าน ศรัทธาในพระสงฆ์ครูบาอาจารย์มากขึ้นมากขึ้น ว่าสิ่งที่ท่านสอนเรา แล้วเราเอาไปทำ เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในเวลาอันสั้น ไม่นานหรอก

ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเลย บางคนเรียนตั้งหลายสิบปีไม่พัฒนา ทำไม่พอหรือทำไม่ถูก ส่วนใหญ่ปฏิบัติเริ่มต้นจากทำไม่ถูก เริ่มต้นก็คิดถึงการปฏิบัติเมื่อไหร่ก็บังคับกายบังคับใจทันทีเลย ไม่ถูกตรงนี้ แทนที่จะรู้สึกกายอย่างที่กายเป็น รู้สึกใจอย่างที่ใจเป็น ก็ไปนั่งบังคับ ก็ไม่ถูก หรือบางทีภาวนาไปแล้วก็โดนนิมิตหลอก เห็นโน่นเห็นนี่รู้โน่นรู้นี่ ซึ่งไม่มีแก่นสารสาระอะไรเพื่อความพ้นทุกข์ รู้อดีตรู้อนาคต รู้ว่าคนนี้เคยเป็นเมียเราอะไรอย่างนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ โดนกิเลสหลอก

ฉะนั้นถ้าเราเวลาภาวนาแล้วขี้เกียจ ต้องปลุกใจตัวเองให้สู้ พระพุทธเจ้าท่านก็ต่อสู้มามาก ครูบาอาจารย์ก็ต่อสู้มาทุกองค์ ไม่มีของฟรี หรือภาวนาแล้วกิเลสเราฟูขึ้น ภาวนาแล้วเกิดรู้เกิดเห็นอะไรมากมายแล้วภูมิอกภูมิใจตัวเอง ภาวนาท่าไหนกิเลสแรงขึ้นกว่าเก่า กูเก่งกูเก่ง ผิดแน่นอน วัดตัวเองไปเรื่อย สังเกตตัวเองไป ถ้านิมิตเกิด ง่ายๆ เลยอย่าไปดู นิมิตอะไรเกิดย้อนมาดูที่จิตตัวเอง เรายินดีเรายินร้ายไหม ดูที่ตัวนี้เลย

เวลาไปรู้ไปเห็นอะไร ย้อนมาดูที่จิตตัวเอง ยินดียินร้ายหรือเปล่า แค่นี้พอแล้ว ของปลอมจะสลายไปหมด ไม่มี ไม่มีเหลือ อย่างสมมุติเรานั่งอยู่ เราเห็นเทวดามาฟังเทศน์นั่งรวมกับคน ถ้าเราอยากรู้ว่านิมิตจริงหรือว่านิมิตปลอม ง่ายๆ ย้อนมาดูจิตเรา ถ้าเราดูเข้ามาถึงจิตเราแล้วก็กลับออกไปดูข้างนอก ถ้าเป็นของปลอมหายหมด เพราะนิมิตทนสติทนสมาธิทนปัญญาของเราไม่ได้ ถ้าเข้ามาจิตตั้งมั่นเป็นกลาง แล้วย้อนออกไปดูถ้ายังอยู่ อันนี้ของจริง

ผีก็มี เทวดาก็มี พญานาคมีทั้งนั้น แต่ไม่ใช่สาระแก่นสารเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าออกไปรู้ไปเห็นแล้วกิเลสแรงกว่าเก่า อย่าไปดูเลย ดูแล้วมีโทษ ให้ดูกายดูใจของตัวเองไป หลวงพ่อฝึกตัวเองมาอย่างนี้ เข้มงวดกับตัวเอง ใครเขาจะภาวนาอย่างไรก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ตราบใดที่กิเลสของเรายังมีอยู่ เราก็ต้องต่อสู้เอา

ตอนเป็นฆราวาสมีวันหยุด อย่างช่วงนี้เป็นวันหยุดหลายวันต่อกัน ก็จะลาเพิ่มบ้าง ลา 2 วัน 3 วันแล้วได้ต่อเนื่องกัน 7 วัน 8 วัน 10 วัน อะไรอย่างนี้ จะเก็บช่วงพวกนี้เอาไว้ วันลาพักผ่อนไม่เคยไปเที่ยว เอาวันลานี้ไปภาวนาที่วัด เก็บวันลาไว้ เราอยู่ที่บ้านตั้งแต่เช้าตื่นมา รู้สึกกายรู้สึกใจไปเลย จะอาบน้ำจะกินข้าวจะขับถ่าย คอยรู้สึกกายรู้สึกใจ จะขึ้นรถไปทำงาน รถติด กลุ้มใจรู้ว่ากลุ้มใจ ปฏิบัติตลอด

ไปที่ทำงานเห็นคนที่เราชอบ ใจเราเป็นอย่างไรรู้ เห็นคนที่เราไม่ชอบ ใจเราเป็นอย่างไรเรารู้ เวลากินข้าว อาหารอย่างนี้พอใจ อาหารอย่างนี้ไม่พอใจ ก็รู้ กลับบ้าน เลิกงานแล้วกลับบ้าน ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปงานสังคม งานสังคมชนิดเดียวที่ไปคืองานศพ งานอื่นไม่ไป ไปงานศพแล้วดี ไปงานศพ ใจเราก็นึกถึงคนที่อยู่ในโลง เมื่อก่อนกระโดดโลดเต้นได้ เคลื่อนไหวได้ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว ตายแล้ว วันหนึ่งข้างหน้าเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องตาย ไปงานศพคือการปฏิบัติธรรม ไม่ได้ไปคุย หลายคนไปงานศพไปนั่งคุยกัน เสียโอกาส นานๆ จะมีคนมาตายให้เราดูสักที ก็เสียโอกาส

กลับบ้านอาบน้ำกินข้าว พักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็ภาวนา กลางคืนก็ไม่เอาแต่นอน หลวงพ่อก็มีเตียงนอนโตๆ มีฟูกหนาๆ ถ้านอนสบายเกินไป สติไม่ค่อยเกิด นอนทีเดียวแล้วหลับยันสว่าง หลวงพ่อก็มีไม้กระดาน เป็นบานประตูไม้ซ่อนไว้ใต้ผ้าปูที่นอน นอนบนไม้กระดาน แต่ทำไมต้องมีฟูก ก็คนอื่นเขานอนฟูก เราไปนอนไม้กระดานอยู่คนเดียวก็ประหลาดมาก ไม่ให้คนรู้ นอนไม้กระดานมีข้อดี จะพลิกซ้ายพลิกขวารู้สึกตัวเพราะเจ็บ จะไม่ประมาทในการนอน

ก่อนนอนก็กินน้ำเยอะๆ ไม่นานก็ปวดฉี่ หลับไปสัก 2 ชั่วโมงพอปวดฉี่ก็ตื่น ตื่นมาฉี่ กินน้ำอีกแล้วก็นั่งภาวนาไป ถ้าจิตยังไม่ตั้งมั่นจะไม่นอนต่อ ฝึกตัวเองขนาดนี้ ฝึกจนกระทั่งพอรู้สึกตัวตื่นปุ๊บ จิตตั้งมั่นปั๊บเลยอัตโนมัติ ถ้ารุ่นครูบาอาจารย์ท่านไปธุดงค์เดินป่าเดินเขา รุ่นเราไม่มีป่า ไม่มีที่ให้เดิน ไปที่ไหนก็เจอแต่คน วุ่นวาย อย่างไปที่เขาใหญ่ นึกว่าป่าเยอะ เปล่า คนเต็มเลย ไปดูช้างกัน ไม่มีใครไปดูจิตเลย มีแต่ไปดูช้าง แล้วอย่างนี้จะเจริญได้อย่างไร

 

รักษาศีล เว้นอบายมุข

วันๆ ก็เอาแต่เล่นมือถือ ดู เล่นโซเชียลตลอดเวลา ไม่เจริญหรอก มีแต่เสื่อม ดูพวกพระ มีข่าวพระเสียหายไปเยอะ ระดับเจ้าคุณใหญ่ๆ การศึกษาสูงๆ เปรียญ 9 ตั้งหลายองค์เยอะแยะเลย สู้ผู้หญิงไม่ได้โดนผู้หญิงหลอก หลอกได้ก็เพราะว่าเต็มใจให้เขาหลอก ถ้าระวังตัวตามพระธรรมวินัย ใครก็หลอกไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โง่ ท่านวางระเบียบกฎเกณฑ์ป้องกันลูกพระของท่านเอาไว้อย่างแข็งขัน ย่อหย่อนกันเอง ประมาท ที่นี่ไม่ได้ หลวงพ่อไม่ให้เล่นอินเทอร์เน็ตที่วัดนี้

แล้วพระก็ไม่มีสตางค์ ถวายปัจจัยแล้วไวยาวัจกรเป็นคนเก็บ จะซื้ออะไรที่จำเป็นก็ต้องมาบอกไวยาวัจกรหาให้ ไม่ได้ไปซื้อเอง ไปไหนมาไหนไม่ให้ไปคนเดียว กระทั่งหลวงพ่อไปไหนมาไหนไม่ได้ไปคนเดียว ครูบาอาจารย์ท่านสั่งไว้ตั้งแต่วันที่บวชเลย ท่านบอกหลวงพ่อว่า จำไว้ ไปไหนมาไหนต้องมีพระไปด้วย ต้องมีพระติดตาม อย่าไว้ใจโยม อย่าไปขึ้นรถของโยม ท่านสอนขนาดนี้ ไม่ให้ขึ้นรถของโยม ไปขึ้นรถเมล์ดีกว่า

ท่านก็เล่ามีพระ ผู้หญิงนิมนต์ไปบ้าน เอารถตู้มารับ ขึ้นนั่งรถตู้นั่งคู่กับคนขับ พอวิ่งไปถึงที่เปลี่ยวๆ ผู้หญิงซ่อนอยู่หลัง ด้านหลัง เข้ามาปล้ำแล้วถ่ายรูปเลย ฉะนั้นหลวงพ่อไม่ขึ้นรถโยม ไปไหนมาไหนเราหารถของเราไปเอง ถ้าเราระวังตัวอย่างนี้ก็ปลอดภัย กุฏิหลวงพ่ออยู่สุดเขตสงฆ์เลย อยู่ในป่า อย่าว่าแต่ผู้หญิงจะเข้าไปเลย ผู้ชายก็ไม่ได้เข้าไป เวลาจะเจอหลวงพ่อ ต้องมาเจออย่างนี้ คนเยอะๆ อย่างนี้ จะมาเจอส่วนตัวขอพบส่วนตัว ไม่เอา เราก็ระมัดระวังตัวเราเองอย่างนี้

คนที่ไปที่กุฏิหลวงพ่อได้มีแต่พวกพระ ตอนเย็นก็จะมีพระไปช่วยกันทำความสะอาดกุฏิ หลายองค์ 2 องค์บ้าง 3 องค์บ้าง เวลาที่เหลือ คนที่เข้ากุฏิหลวงพ่อได้ มีแต่พระอาจารย์อ๊าคนเดียว นอกนั้นไม่มี ถ้าเรารักษาตัวตามพระธรรมวินัยก็ปลอดภัย ถ้าเราเป็นฆราวาสรักษาตัวให้ดีด้วยศีล 5 พระก็มีศีลของพระ ทำแล้วดี ทำแล้วปลอดภัย

ฆราวาสมีศีล 5 ไว้ แล้วก็ระวังเรื่องอบายมุข อบายมุขคือทางเสื่อม อย่างไปเล่นการพนันออนไลน์ มีเงินเท่าไหร่ก็หมด ไม่เห็นมีใครรวยจากการพนันสักคนหนึ่งเลย เจ้ามือต่างหากรวย เจ้ามือรวยอยู่คนเดียว เล่นการพนันเป็นอบายมุข เป็นทางเสื่อม กินเหล้าเมายาติดยาเสพติด เป็นทางเสื่อม อย่าไปทำ ไปคบคนไม่ดี ตัวร้ายเลย เราคบคนชนิดไหนเราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น ฉะนั้นเลือกคบคน ไม่ต้องมีเพื่อนมาก แต่มีเพื่อนดี แค่นี้พอแล้ว เพื่อนมากก็วุ่นวาย

เดี๋ยวนี้กระทั่งในวงการพระ มาบวชนึกว่าจะออกจากโลก วงการพระก็เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง มีงานสังคมอะไรเยอะแยะ หลวงพ่อไม่เอาด้วย ไม่ไป ไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ไป เขามีงานแทบทุกอาทิตย์เลย งานโน้นงานนี้ตลอดเวลา ไปแล้วเสียเวลา พวกเราอย่างอะไรที่ไม่จำเป็น เป็นภาระพะรุงพะรัง รบกวนการปฏิบัติ รบกวนเวลาของเรา ทิ้งไปให้หมดเลย ยกเว้นต้องทำมาหากิน อย่างถ้าเราทำมาหากิน เราต้องติดต่อลูกค้า ซัพพลายเออร์ แล้วอะไรอย่างนี้ต้องทำ คนละเรื่องกัน อันนั้นทำโดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน แต่ถ้าทำเล่นๆ สนุกไปวันๆ อย่าทำเสียเวลา

ถ้าเราทำตัวอย่างที่หลวงพ่อบอกได้ ชีวิตเราจะดีขึ้น แค่เราไปเล่นการพนันก็หายนะหมด บ้านช่องไม่มีเหลือ ได้เห็นข่าวที่สิงคโปร์ สิงคโปร์เศรษฐกิจดีเมื่อก่อน เกิดตั้งกาสิโนขึ้นมา พยายามวางกฎเกณฑ์จะไม่ให้คนสิงคโปร์เข้า ก็เข้าไปเล่น คนล้มละลายล่มจมไม่มีบ้านอยู่ เยอะแยะนอนข้างถนน ผลของการพนัน

นักการเมืองไทยก็พยายามจะมาตั้ง หวังจะรวย รวยเฉพาะพวกนี้ ชาวบ้านหายนะ เราไปห้ามไม่ได้ เราก็อย่าไปยุ่ง อย่าไปเล่น ต้องรู้จักรักษาตัวเอง ทั้งการดำรงชีวิต ทั้งการปฏิบัติ ถือศีล 5 ไว้ให้ดี แล้วก็อย่าไปยุ่งกับอบายมุข 6 อย่าง กินเหล้า เสพติด เที่ยวตะลอนๆ ไม่กลับบ้านกลับช่อง ดูการละเล่นดูทุกรายการ ดูซีรีย์ดูทุกวันดูทั้งคืน เอาเวลาที่ไหนเหลือ เล่นการพนันคบคนชั่วเป็นมิตร ขี้เกียจ ขี้เกียจทำมาหากิน ขี้เกียจปฏิบัติ นี่คือทางเสื่อม 6 ข้อ จำไม่ได้ไม่เป็นไร ไปดูกูเกิลเอา

รักษาศีล 5 แล้วก็เว้นอบายมุข 6 ข้อ แล้วการภาวนาของเราจะดี เราจะมีชีวิตทางโลกเราก็จะดี ทางธรรมจิตใจเราก็จะเจริญขึ้น วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ จริงๆ ไม่ได้คิดเทศน์ ไม่นึกว่าพวกเราจะมาเยอะขนาดนี้ ที่วัดอื่นคนเขาหนีไปหมดแล้ว หลายวัดเลยคนไม่มี

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
11 ก.ค. 2568