ช่วงนี้มีญาติโยมมาปรึกษาบ่อยๆ เรื่องคนใกล้จะตาย บางคนหมอกำหนดจะตายเมื่อนั้นเมื่อนี้ เหลือเวลา 1 เดือน 2 เดือน เมื่อวานซืนก็มีคนหนึ่งพรรคพวกมาบอก อยากได้ธรรมะเอาไปเตรียมตัวตาย บอกเวลาเหลืออยู่ปีกว่าๆ เป็นมะเร็งกระดูก แกเป็นมะเร็งมาหลายอย่างแล้ว หลวงพ่อถามคนที่มาบอก ว่าเจ้าตัวเขาเคยภาวนาไหม บอกเคย เคยมาเรียนที่นี่ เคย บอก เออ ถ้าเคยก็ไม่ยาก
ถ้าไม่เคยเลย ทำอะไรไม่ได้หรอก เมื่อ 2 วันก็มีคนหนึ่งไม่เคยเลย เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก บอกว่าจะไปผ่าแล้ว อาจจะตายแล้ว อายุเยอะ จะภาวนาอย่างไรดี บอก โอ๊ย ตอนแข็งแรงไม่ถาม ถามตอนร่อแร่แล้ว บอกทำอะไรไม่ได้ พุทโธไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดมาก ไม่ต้องห่วงคนโน้น ไม่ต้องห่วงคนนี้ ตัวเองก็ไม่ต้องห่วง ฝากเป็นฝากตายไว้กับพระพุทธเจ้า บริกรรมไปเรื่อยๆ พุทโธๆ ไป อย่างน้อยก็ได้สุคติ ถ้าใจอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่วอกแวก
ส่วนคนที่อยู่ปีกว่า บอกเคยภาวนา ตอนนี้จิตตก จิตตกก็เพราะยอมรับความจริงไม่ได้ ยังรักชีวิต หวงชีวิตอยู่ แล้วตกอกตกใจว่าเวลาเหลือน้อย เวลาเหลือไม่น้อย หลวงพ่อบอกเขาเหลือตั้งปีไม่น้อย ถ้าเราสามารถมีสติอยู่กับปัจจุบันได้ พระพุทธเจ้าท่านสอน มีสูตรอันหนึ่งเป็นพระสูตรที่เพราะมากเลย อยากให้พวกเราได้อ่าน ชื่อภัทเทกรัตตสูตร เป็นสูตรที่เพราะมากเลย ทั้งภาษา ทั้งเนื้อหา สั้นๆ ไม่กี่บรรทัด
ภัทเทกรัตตสูตร
หลายคนอาจจะท่องได้ เริ่มต้นก็บอกว่าอดีตผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ก็ไม่ควรไปคิดถึงอดีต คร่ำครวญถึงอดีต ไม่ต้องไปกังวลถึงอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบัน มีธรรมะคือปัจจุบัน ก็อยู่กับธรรมะไป อยู่กับการปฏิบัติของเราไป มีสติอยู่กับปัจจุบัน ท่านบอกคนชนิดนี้มีชีวิตอยู่ราตรีเดียว สำนวนแขกว่าราตรีเดียว มีชีวิตวันเดียว ก็น่าชมเชยแล้ว คนอายุ 100 ปี 100 กว่าปี อายุเยอะ ไม่มีสติ ไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน นั่งคิดถึงอดีต นั่งเพ้อถึงอนาคต ทิ้งปัจจุบันธรรม บอกมีชีวิต 100 ปีก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ในขณะที่เราสามารถอยู่กับปัจจุบันได้ ง่ายๆ แค่หายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก เคลื่อนไหว รู้สึก หยุดนิ่ง รู้สึก ไม่ปล่อยให้ใจล่องลอยไปอดีต ไม่ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปอนาคต รู้สึกอยู่ในปัจจุบัน แค่นี้เหลือเฟือแล้ว ทำได้คืนเดียว ราตรีเดียว วันเดียว มีประโยชน์กว่าคนอายุตั้ง 100 ปี ที่ภาวนาไม่เป็น จิตไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน จิตหลงอดีต จิตหลงอนาคตไปเรื่อยๆ คนแก่ก็ชอบหลงอดีต เด็กๆ ก็ชอบฝันถึงอนาคต นี่เป็นจุดอ่อนของมนุษย์ มันไม่อยู่กับปัจจุบัน
เวลาจะตาย บางคนก็คร่ำครวญเสียดายอดีต อุตส่าห์สะสมทรัพย์สมบัติ มีทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องทิ้งไปแล้ว มัวแต่ร่ำไรรำพันอยู่อย่างนั้น ตายไปก็ไปเป็นเปรต ไม่ไปดีหรอก ใจมันห่วง ใจมันหวง หรือใจ บางคนกังวลถึงอนาคต เราตายแล้วเราจะไปไหน กังวล กลุ้มใจ กลุ้มใจก็ไปไม่ดีหรอก เพราะฉะนั้นถ้าเราจะตาย หรือเราจะอยู่ดูแลคนที่ใกล้ตาย อย่ามัวร่ำไรรำพัน เศร้าโศก เสียใจ ถ้าเขาไม่เคยภาวนาเลย ก็ชวนเขาคุย เขาเคยทำบุญ หรือเราเคยทำบุญกับเขา เคยไปวัดด้วยกันอะไรอย่างนี้ ชวนคุยเรื่องพวกนี้ ให้ใจเขาเป็นกุศลไว้
ถ้าเขาไม่เคยทำอะไรเลย บอกว่าชอบพระพุทธรูปองค์ไหน สมมติว่าชอบพระแก้วมรกต ชอบพระชินราช ชอบหลวงพ่อโสธร นึกถึงไว้สักองค์หนึ่งก็ได้ นึกถึงไปเรื่อยๆ นึกถึงพระแก้ว นึกถึงพระชินราช นึกถึงไปจนใจของตัวเองมันยิ้มเลย มันมีความสุข ตายไปมันก็ไม่เสียเปล่าแล้ว อย่างไรก็ไปสุคติได้ ให้ใจมันผูกพันอยู่กับพระ แค่พระพุทธรูป ถ้าใจเราผูกพันอยู่ก็ดี แต่อย่าไปคิดว่าพระเป็นของเรา ถ้าคิดว่าองค์นี้เราหล่อมา เราสร้างมา เราสมทบทุนมา แล้วเราก็คิดถึง แล้วก็ปลื้มว่า โอ้ นี่ของเราๆ ตายไป ไปเป็นเปรตเฝ้าพระ
ให้นึกถึงพระ นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านิพพานไปตั้งจะ 2,600 ปีอยู่แล้ว คนก็ยังนึกถึง คนยังเคารพ ยังกราบไหว้ คุณงามความดีของท่านมาก ฉะนั้นนึกถึงคุณความดีของท่านไป แล้วจิตเราจะได้บุญเยอะ จิตเราเป็นกุศล หรือเราเคยไปสังเวชนียสถาน ไปลำบากเมืองอินเดีย แต่ละที่อยู่กันตั้งไกล นั่งรถโขยกเขยกๆ แล้วมันก็กดแตรตลอดเวลาเลย นั่งรถเมืองแขก นั่งเสียแขนเคล็ด คอเคล็ดเลย เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา กว่าเราจะไปที่หนึ่งๆ ได้ ลำบาก
แล้วคิดถึงสมัยพระพุทธเจ้า แล้วท่านเดินตัดป่าไป ลำบากกว่าเราตั้งเยอะ เรายังสบาย นี้ถ้าเราเคยไปไหว้สังเวชนียสถาน เราจะตายแล้ว เราก็นึกถึง เราจะปลาบปลื้มใจว่า เราเคยไปในแผ่นดินที่พระพุทธเจ้าเคยเหยียบ ท่านเคยเหยียบตรงนี้ ท่านเคยอยู่ตรงนี้ ใจเรารู้สึกอบอุ่น เราก็ไปสุคติได้ อย่างสังเวชนียสถาน พระพุทธเจ้าท่านบอกเองว่า ถ้ามีโอกาสไป ไประลึกถึง เราก็จะเกิดความสังเวชในใจว่า ตรงนี้พระพุทธเจ้าเคยอยู่ เคยประทับ ตรงนี้ท่านเคยแสดงธรรม จิตใจเรามีปีติ มีความสุขขึ้นมา แล้วก็บอกว่าถ้าตายแล้วก็ไปสุคติได้
ถ้าเราไม่เคยไปอินเดีย เราเคยไหว้พระในเมืองไทย ไหว้องค์ไหนก็ได้ ถ้าเราชอบ ไปไหว้แล้วเรามีความสุข เวลาจะตายก็นึกถึงไป แค่นี้เราก็ไป เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ถ้าดีกว่านั้นก็คือเจริญสติ ถ้าทำเป็น เจริญสติไปเลย จะตาย ดูสิลมหายใจสุดท้าย มันจะเกิดขึ้นตอนไหน หายใจแล้วมันจะหยุดหายใจตอนไหน หรือเห็นหัวใจเต้นตุ้บๆๆ นั่งดูไป นอนดูไป หัวใจเราจะหยุดเต้นตอนไหน ดูอย่างนี้เรื่อยๆ ไป มีสติไป ใจเราจะไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ไม่กลัว เราดูร่างกายมัน มันจะตายแล้ว เราดูมัน ใจเราจะไม่หวั่นไหว
เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอะไรไม่ได้ เรานึกถึงพระไว้ นึกถึงบุญที่เคยทำไว้ นึกถึงสังเวชนียสถานไว้ อันนี้เราก็ไปสุคติได้ขั้นต้นๆ ถ้าเรามีสติระลึกรู้ เห็นร่างกายมันหายใจ เห็นร่างกายมัน หัวใจมันเต้น ไม่หวั่นไหว มันจะตายเมื่อไรก็อยากดู มันจะตาย ตอนตายมันจะเป็นอย่างไร คอยรู้สึกไป ใจเราบางทีอาจจะได้ธรรมะ ในตอนที่กำลังจะตายเลย สมัยพุทธกาลก็มี คนที่ได้ธรรมะ ตอนจะตายหลายท่าน มีหลายท่านเลย ทั้งฆราวาส ทั้งพระ พระก็มี
ชีวิตสมสีสี ทำได้ถ้าเราเคยทำ
มีองค์หนึ่งท่านเสียใจ ว่าท่านบวชมาตั้งนานแล้ว เพื่อนฝูงเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี ท่านไม่ได้อะไรเลย สมาธิก็ยังไม่ได้เลย เสียใจ พอเสียใจ ท่านก็ไปยืนพิงกุฏิ แล้วเอามีดโกนปาดคอ กะว่าเอาดีไม่ได้ตายเสียดีกว่า ตอนที่เอามีดปาดไป คอ เส้นเลือดที่คอขาดแล้ว แล้วท่านก็นึกได้ว่า ตั้งแต่บวชมา ท่านมีสิ่งหนึ่งคือศีล ท่านตั้งใจรักษาศีล ศีลของท่านไม่เคยด่างพร้อยเลย ตัวท่านไม่เห็นเลยว่า ตัวเองด่างพร้อยตรงไหน เพื่อนสหธรรมิก พระที่อยู่ด้วยกัน ก็ไม่เคยตำหนิว่าท่านเสียศีล พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยว่าท่าน ว่าทำไม่ดี เสียศีล
พอท่านนึกถึงศีลของท่านได้ จิตท่านได้สมาธิ แล้วก็เห็นร่างกายมันตาย ท่านบรรลุพระอรหันต์ได้ แต่นี้เป็นความสามารถเฉพาะตัว ถ้าพวกเราไปเชือด โดยหวังว่าจะเป็นพระอรหันต์ ไปทุคติ เพราะใจมันโลภ ใจมันโลภมันอยากบรรลุ แล้วเราไปเชือดคอตัวเองตาย ก็ไปทุคติ ที่เป็นฆราวาสก็มีหลายท่าน พระเจ้าสุทโธทนะ ไม่สบายจะตายแล้ว ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ จิตบรรลุพระอรหันต์แล้วก็ปรินิพพาน ไม่ได้บวช มีหลายท่านที่เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าหากเราจะตาย ถ้าเราเคยภาวนา เราภาวนา ตายเลย ไม่ต้องคิดว่าจะหายหรือไม่หาย ดูมันไป ร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อาศัยมันมาอยู่ได้ตั้งหลายปีแล้ว คุ้มค่าแล้ว ตอนนี้ร่างกายเราเหมือนรถยนต์เก่าๆ ซ่อมแล้วซ่อมอีก ซ่อมไม่ไหวแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปโละ ไปขาย เมื่อก่อนเขาเรียกขายเซียงกง เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่าไม่รู้ ยังมีไหม ยังมี ทนทานจริงๆ คือถึงเวลาต้องทิ้งแล้ว
ร่างกายนี้เหมือนกัน เหมือนเครื่องยนต์ พอใช้มานานเริ่มสะดุด เริ่มชำรุดตรงนั้นตรงนี้ แรกๆ ก็ซ่อม ซ่อมโน้นซ่อมนี้ไป ถึงจุดที่มันซ่อมไม่ไหว ซ่อมไม่ไหวก็ทิ้งมัน เราภาวนาของเรา อยู่กับธรรมะของเรา ภาวนาไป พุทโธไป หายใจไป หรือเจริญปัญญาไป เห็นร่างกายมันจะตาย ใจเป็นคนดูอะไรอย่างนี้ ฝึกเรื่อยๆ ไม่ต้องมาห่วงหาอาทรใครทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ต่อไปไม่นานก็จะเป็นของคนอื่น ทิ้งให้หมดเลย ตั้งใจอย่างนี้
หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยบอก ว่าการปฏิบัติแบบตกกระไดพลอยโจน ตกกระไดพลอยโจนคือ บรรลุพระอรหันต์ในขณะที่ตาย เรียกชีวิตสมสีสี ทำได้ถ้าเราเคยทำ ถ้าเราเคยภาวนามาให้ดีๆ ภาวนาจนกระทั่งจิตอยู่กับจิต ไม่ยึดไม่ถืออะไรเลย แล้วนาทีสุดท้ายก็ปล่อยวางจิตไป ไม่ยึดกระทั่งจิต ทีแรกก็อาจจะพิจารณาร่างกาย ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง เคยอยู่กับธรรมะ บางองค์ ส่วนใหญ่ท่านอยู่กับร่างกาย ท่านก็ดูร่างกายมันเจ็บ มันป่วย มันจะตาย หายใจแขม่วๆ เริ่มหายใจไม่ออกแล้ว
ความเย็นเกิดขึ้นที่เท้า จากปลายเท้า แล้วความเย็นค่อยๆ ลามขึ้นมา คือเลือดมันฉีดไม่ถึงแล้ว ระบบในร่างกายก็ปิดไปทีระบบ ทีละระบบ ค่อยๆ ดับๆๆ ไป มีสติดู ดูมันตาย ไม่ใช่เราตาย แต่ดูร่างกายตาย ท่านบอกท่านก็ใช้วิธีนี้กัน ส่วนใหญ่ท่านผ่านมา ด้วยการพุทโธพิจารณากาย ฉะนั้นเวลาจะตายท่านก็ดูกาย กายมันจะตาย พอดูๆๆ ไปจิตมันวางกาย มันเข้ามาที่จิต เข้ามาที่จิตแล้ว บอกวางจิตลงไปทีเดียว จิตไม่เกาะไม่เกี่ยวอะไรอีกแล้ว ก็เข้านิพพานไปเลย อันนี้เป็นลีลาการเข้านิพพาน คือจะตายทั้งที เลยตายให้ถึงนิพพานเลย
อันนี้เราต้องเคยฝึก ต้องเคยฝึกถึงจะทำได้ ถ้าใจเราไม่เคยปล่อยวาง ไม่เคยปล่อยวางจิต ปล่อยวางได้แค่กาย ไม่เคยปล่อยวางจิต หวังว่าจะไปทำสมสีสี มันทำไม่ไหวหรอก มันเกินชั้นเกินภูมิไป ถ้าเราภาวนาเรื่อยๆ แล้วเราเห็นจิตปล่อยวางจิตได้เป็นคราวๆ เวลาจะตาย เราก็ดูร่างกายมันป่วยไป ใจเราเป็นคนรู้ สุดท้ายจิตมันจะวางความรับรู้ในกาย มันจะทิ้งเลย จะอยู่จะตายอะไร เรื่องของมัน เข้ามาที่จิต แล้วจิตที่มันเคยปล่อยวางจิต ถึงจุดนั้นถ้ามันปล่อยวางจิต มันก็จะเป็นสมสีสี หลวงปู่ดูลย์บอก ถ้าเคยทำได้ เคยทำมันก็จะทำได้ ถ้าไม่เคยเลยก็ทำไม่ได้
ฉะนั้นพวกเราก็ฝึก ค่อยๆ ฝึกไป จนกระทั่งเราสามารถรู้รสชาติของการปล่อยวาง รู้รสชาติของการปล่อยวาง รู้ธรรมะชั้นละเอียด สามารถสลัดคืนขันธ์ 5 ให้โลก เรียกปฏินิสสัคคะ สลัดคืน ทำไมถึงสลัดคืนได้ เพราะว่าเห็นขันธ์แต่ละขันธ์นั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของดีของวิเศษ มันเลยสลัดทิ้ง ไม่ใช่ของดีเอาไว้ทำอะไร ใจมันห้าวหาญ ฉะนั้นทิ้งไป ก็ลงมาที่จิต เหลือจิตอันเดียว แล้วก็สลัดคืนจิตไป ทิ้งจิตไป
ถ้ายังไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่เคยปฏิบัติ ทำไม่ได้หรอก เราเอาง่ายๆ อย่างญาติเราจะตายแล้ว อย่าไปทำให้เขากลุ้มใจ อย่างคนใกล้ตาย ชวนเขาคุยในเรื่องดีๆ ถ้าคุยแล้วเขารำคาญ อย่างชวนคุยเรื่องไปทำบุญไปอะไร เขารำคาญนี้หยุดเลย ไม่ต้องฝืน ต้องรักษาจิตของเขาให้ดี บางคนก็ใช้วิธี คนจะตาย คนใกล้ตัว อย่างพ่อแม่จะตาย จับมือไว้ บอกทำใจสบายๆ ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วงอะไร ปลอบๆ อย่างนี้ อันนี้แบบชาวโลกก็ยังดี ถ้าไปถึงก็ร้องไห้โฮๆ จะตายแล้วๆ ตายแล้วจะไปไหน สงสัยตกนรกแน่เลย ชอบกินเหล้า โอ๊ย อย่างนี้ อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ เลย
จิตที่ตั้งมั่น จิตที่รู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัวอยู่
เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติธรรม
พวกเราภาวนา แค่นั้นไม่พอ ต้องอัปเกรดขึ้นมา อยู่กับธรรมะที่เราคุ้นเคย สมมติเรามีศีล ระลึกถึงศีลของเราไปเรื่อยๆ เราเคยทำสมาธิ เราก็ทำสมาธิไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว เห็นอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ของสมถกรรมฐาน เป็นของถูกรู้ถูกดู เป็นแค่ที่อาศัย รู้ เป็นที่อาศัยรู้ของจิต ที่อาศัยระลึกของสติ เห็นลมหายใจ ไม่ได้เอาไว้ยึดถืออะไร เป็นที่อาศัยรู้ของจิต เป็นที่อาศัยระลึกของสติเท่านั้นเอง ทำไปเรื่อยๆ แล้วตายไปก็ไปดี จะไปดี
แล้วถ้าละเอียดขึ้นไป เคยเดินวิปัสสนา อันนี้ดีมากเลย ถ้าเคยทำวิปัสสนา ก็ดูร่างกายมันตาย ใจเป็นคนดู ถ้าดูๆ แล้วใจมันหวั่นไหวขึ้นมา รู้ทัน ความหวั่นไหวดับไป ใจเป็นกลาง ก็ดูร่างกายมันตายต่อไป จะเห็นมันค่อยๆ ตายไปทีละส่วน ทีละระบบๆ ค่อยๆ ดับๆๆ ไปเรื่อยๆ ก็ดูไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ห่วงหน้าห่วงหลังอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่เวลาต้องห่วงคนอื่นแล้ว เป็นเวลาที่ต้องเอาตัวรอดแล้ว เห็นไหม ลีลาการตายของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เห็นไหม
คนไม่เคยฝึกเลย แล้วก็เลยทำแต่กรรมชั่วอะไร มันจะคิดถึงกรรมชั่วของตัวเอง แล้วมันก็ไปทุคติ ถ้าเราพาเขาให้จิตเป็นกุศลได้ เขาก็ไปสุคติได้ แล้วตัวเราเอง มันเกินกว่าทำใจให้สบายแล้ว เราเคยฝึกกรรมฐานแล้ว ได้แค่สมถะ เราก็ทำสมถะของเราไป แต่ทำด้วยความรู้สึกตัว อย่าเข้าสมาธิลึก ถึงขนาดโลกธาตุดับ ทุกสิ่งทุกอย่างดับ เหลือแต่จิตดวงเดียว อันนั้นไม่ดี ถ้าตายไปแล้วจะเป็นพรหมที่ไม่มีรูป ไม่มีร่างกาย เป็นพรหมที่ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย พระเมตไตรยมาตรัสรู้ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไรสักอย่าง อยู่เฉยๆ อย่างนั้น ไม่ดี
ฉะนั้นทำสมาธิให้มีสติไว้ มีร่างกายไว้ แล้วใจเราสงบแน่ว ตายไปถ้าอยู่ในฌาน เราก็ไปเป็นพรหมที่มีร่างกาย เป็นพรหมที่มีร่างกาย เวลาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เรารู้ เราจะได้รีบมาฟังธรรมต่อ มาปฏิบัติต่อ พวกเราตอนนี้ที่หลวงพ่อสังเกต หลวงพ่อไปเร่งให้เดินจงกรมวันละ 3 ชั่วโมง หลายคนจำนวนมาก ทำได้ แต่บางคนอายุเยอะหน่อย เดินรวดเดียว 3 ชั่วโมงไม่ได้ ก็เดินแล้วมีเบรกเป็นระยะๆ ได้
แต่เมื่อวานก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินจงกรมได้ 3 ชั่วโมง นั่งได้อีก 3 ชั่วโมง วันหนึ่งทำได้ 6 ชั่วโมง แล้วก็เที่ยวมาถามหลวงพ่อบ้าง ถามครูบาอาจารย์องค์อื่น ถามพระอาจารย์ ถามคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ว่าจะทำอย่างไรๆ หลวงพ่อบอกไปดูให้ดีเถอะ จิตมันมีมารยา จิตมันขี้เกียจเดิน มันพยายามจะมาหาคนรับรอง ว่าไม่ต้องเดินก็ได้ เขามาเล่าบอกว่า ตอนที่เขานั่งสมาธิเขาเดินปัญญาได้ ตอนเดินจงกรม แหม มันเดินปัญญาไม่ได้เลย บอกจะได้อย่างไร มันขี้เกียจเดิน มันไม่อยากเดิน เดินแล้วหงุดหงิด
ตอนนั่ง ที่บอกเดินปัญญา ก็นั่งเคลิ้มๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นไป กี่ชั่วโมงก็อยู่ได้อย่างนั้น แต่มันไม่มีอะไรขึ้นมา บอกอย่ามาหาเหตุผลเลย อย่ามาหาพวกเลย จริงๆ ก็คือขี้เกียจจะเดินจงกรม บอกเดินแล้วไม่ดี ไม่ดีก็เดิน เราไม่ได้เดินเอาดี เราเดินให้มีสติ เดินไปเรื่อยๆ เดินไปแล้วเห็นใจมันกลุ้ม ใจมันเบื่อ ใจมันขี้เกียจอะไร ก็ดูมันไป รู้มันไป หลวงพ่อก็บอกว่า ถ้าเราสามารถเจริญปัญญาได้ ในอิริยาบถเดิน หรือทำสมาธิได้ในอิริบาบถเดิน เราจะสามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ดี
ถ้าเราเก่งแต่ตอนนั่งอยู่ในห้องพระ ออกมาเจอโลกข้างนอกนี้หงายท้องเลย สู้ไม่ไหวหรอก แต่ถ้าทำกรรมฐานชนิดเคลื่อนไหว มันเคยเคลื่อนไหวอยู่ แล้วมันรู้สึกตัวได้ ออกมาอยู่กับโลกข้างนอกนี้ เราเคลื่อนไหวใช่ไหม มันก็รู้สึกตัวได้ง่าย ฉะนั้นสมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรม เป็นสมาธิที่แข็งแรง แล้วถ้าเราเจริญปัญญา ในอิริยาบถเดินจงกรมได้ เราจะมาเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ เลย ไม่ยาก
เพราะฉะนั้นอย่าขี้เกียจ หลายคนภาวนาแล้วดี จิตใจดูมีเรี่ยวมีแรง เวลาหลวงพ่อมอง หลวงพ่อมองปราดนี้หลวงพ่อดูออก เพราะความชำนาญ ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อะไรหรอก คนที่เป็นครู นักเรียนในห้องมีกี่คน มองปราดก็รู้แล้ว ใครนิสัยอย่างไร ไม่ใช่เรื่องยาก เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ หลวงพ่อเป็นครูสอนกรรมฐานมาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ภาวนา หลวงพ่อพุธท่านสั่ง ตอนนั้นอายุ 30 ปี 2526 ปี 2527 ตอนนั้น ปี 2527 อายุ 30
หลวงพ่อพุธท่านบอก “คุณเอาไปสอน ไปสอน เพราะคนที่จริตนิสัยอย่างคุณ ต่อไปมันจะเยอะขึ้นๆ คือพวกคนเมืองมันจะมีเยอะขึ้นๆ พวกนี้ใช้ปัญญา ใช้สมอง ถ้าเขาไม่ได้ฟังธรรม เกี่ยวกับการปฏิบัติในชีวิตจริงๆ การดูจิตดูใจจริงๆ เขาจะเสียโอกาส ฉะนั้นให้คุณไปสอน” ครูบาอาจารย์สั่ง หลวงพ่อถึงออกมาสอน ไม่ใช่อยู่ๆ เสร่อออกมาสอน หลายคนครูบาอาจารย์ไม่ได้มอบหมาย อยากสอน คันยิกๆๆๆ คันที่ใจ มันอยากพูดธรรมะ อยากพูดธรรมะ ถูกบ้างผิดบ้าง สอนธรรมะผิดนี้อันตราย คนอื่นก็เนิ่นช้า ตัวเองก็จะได้รับกรรมอย่างร้ายแรงเลย ไปพาคนเขาหลงผิด
เพราะฉะนั้นถ้าครูบาอาจารย์ยังบอก ไม่ได้บอกว่าสอนได้แล้ว อย่าไปรีบสอน อันตราย อันตรายมากๆ เลย ใจมันจะฟุ้ง ขนาดหลวงพ่อชา หลวงพ่อชาไปเรียนกับหลวงปู่มั่น เรียนอยู่ 3 วันเท่านั้น รู้สึกจะ 3 วันเอง ออกจากหลวงปู่มั่น มาอยู่กับหลวงปู่กินรี อยู่กับอาจารย์กินรี ตอนจะออกจากอาจารย์กินรี จากสำนักท่าน อาจารย์กินรีท่านสั่งบอก “ชา อย่าพูด อย่าพูดธรรมะ” ท่านฟังก็งงๆ ทำไมสั่งอย่างนั้น ปรากฎว่าออกมาแล้ว ท่านไปเผลอพูดเข้า ใจมันฟุ้งเลย มันอยากจะพูดแต่ธรรมะ ฉะนั้นถ้าครูบาอาจารย์ไม่ได้มอบหมาย อย่ารีบพูด เรียนของเราให้ดีก่อน ถ้าเรียนของเราดีแล้ว ค่อยบอกผู้อื่น หลวงปู่มั่นท่านบอก “ฝึกตนดีแล้ว ค่อยฝึกผู้อื่น” ไปฝึกผู้อื่น เที่ยวบอกเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ผิดบ้างถูกบ้าง บาป บาป อย่างไปบอกเขาว่า ไม่ต้องถือศีลอะไรอย่างนี้ ตาย สอนให้คนตกนรก
ถ้าเราฝึกคือใจเราตั้งมั่น ทำอย่างไรจิตตั้งมั่น สอนอยู่เรื่อยๆ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตตนเอง กรรมฐานอะไรก็ได้ เมื่อวานก็สอนคนจีน มีคนจีนคนหนึ่งขยับมือ คงเรียนมาสายหลวงพ่อเทียนแล้วขยับ ขยับ โอ๊ย เห็นแล้วอยากเบิ๊ดกะโหลก ภาวนาอย่างนั้น ภาวนาให้ตายมันก็ไม่ได้อะไร เพราะอะไร มันขยับจริงแต่มันไม่มีสติ เพราะฉะนั้นทำกรรมฐาน ไม่ว่าจะกรรมฐานอะไร ทำด้วยความมีสติ จะดูท้องพองท้องยุบ จะขยับมือ จะพุทโธ จะหายใจ จะดูอิริยาบถ จะรู้ความเคลื่อนไหว หยุดนิ่งของร่างกาย อะไรก็ได้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง แต่เคล็ดลับอยู่ที่ต้องรู้ทันจิตตนเอง ตรงนี้เป็นเคล็ดลับเลย แล้วเป็นตัวตัดสินเลย ว่าเราจะภาวนาเป็นหรือไม่เป็น ไม่อย่างนั้นทำสมาธิแล้วก็เคลิ้มไป ไปนอนเสียดีกว่า ทำสมาธิเหมือนคนติดยาเสพติด ไม่ได้เรื่อง ทำต้องมีสติ
ฉะนั้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วจิตมันหนีไปคิดให้รู้ทัน อย่างขยับไปอย่างนี้ จิตมันหนีไปที่อื่นแล้ว หลงไปคิดแล้ว รู้ทัน รู้ทันแล้วอย่าไปดึงคืน รู้ทันแล้วก็โยนจิตที่หนีไปคิดทิ้งไปเลย มันเป็นอดีตไปแล้ว จิตปัจจุบันคือจิตที่รู้ว่าเมื่อกี้หลงไป ลงมาที่ปัจจุบันนี้ ขยับด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวไป หรือจะหายใจ หรือจะดูพองยุบ อะไรก็ได้ เดินจงกรม เห็นร่างกายมันเดิน ใจเป็นคนดู เดินไปแล้วจิตมันหนีไปที่อื่น รู้ทัน จิตไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน
อย่างบางคนเพ่งมือ เคลื่อนไหวมือแล้วก็เพ่งมือ อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ เวลาเราทำกรรมฐาน ให้ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัด แล้วสังเกตจิตตนเอง จิตมันจะผิด 2 อย่างเท่านั้น อันหนึ่งมันหลงลืมอารมณ์กรรมฐาน อีกอันหนึ่งมันไปเพ่งจ้องอารมณ์กรรมฐาน มันไปจ้องเอาเป็นเอาตายอยู่อย่างนี้ ใจมันก็หนักๆ แน่นๆ เครียดๆ ใช้ไม่ได้ เอาแค่รู้สึก เอาแค่รู้สึกเอา ทำไปเรื่อยๆ เมื่อจิตหลงไปก็รู้ จิตถลำไปเพ่งก็รู้
พอเรารู้ทันจิตเรื่อยๆ จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ความตั้งมั่นของจิต ความรู้เนื้อรู้ตัว มันตั้งมั่นแล้ว มันรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ จิตที่ตั้งมั่น จิตที่รู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติธรรม ถ้าลืมเนื้อลืมตัว ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัว เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติ พอเรารู้สึกตัวแล้ว บางคนไปรู้สึกเฉยๆ อยู่อีก เห็นไหม โอกาสผิดนี้มันมีตลอดสายเลย กว่าจะฝึกตัวเองจนกระทั่งรู้สึกตัวได้แล้ว
รู้สึกตัวแล้วก็รู้อยู่เฉยๆ อย่างนี้โง่ ยังใช้ไม่ได้ เพราะความรู้สึกตัวเป็นแค่จุดตั้งต้น มันคล้ายๆ เพิ่งสอบเอนทรานซ์ติด ยังไม่ได้ปริญญา เรายังต้องเรียนรู้อีก เรียนรู้คือการเจริญปัญญา มีจิตที่ตั้งมั่นแล้ว เรียนรู้ความจริงของกายของใจ พอจิตตั้งมั่นแล้ว ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก มีอะไรแปลกปลอมเข้ามาในจิตใจ รู้สึก จิตใจไหลไปไหลมา รู้สึก คอยรู้สึกไว้ รู้สึกไปเรื่อยๆ แล้วคราวนี้ สมมติมันเห็นร่างกายเคลื่อนไหว มันก็รู้สึกใจทื่อๆ อยู่อย่างนั้น ใจเฉยๆ อยู่ ตรงนี้มันยังขาดธรรมะที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง มันขาดสัญญาที่ถูกต้อง
ความรู้ถูกเข้าใจถูกในขั้นสัมมาทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นถ้าเวลาเรารู้สึกตัวได้แล้ว แล้วมันก็เฉยๆ ไม่พัฒนา ให้สังเกต จิตมันไม่ยอมหมายรู้ร่างกายว่าเป็นไตรลักษณ์ จิตมันไม่หมายรู้จิตใจว่าเป็นไตรลักษณ์ ถ้ามันไม่ยอมหมายรู้ ต้องพามันหมายรู้ จงใจหมายรู้ไปก่อน เวลาจิตเราตั้งมั่น ร่างกายเคลื่อนไหว ก็หมายรู้ลงไป ร่างกายที่เคลื่อนไหวนี้ เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ครูบาอาจารย์วัดป่า พอท่านทำสมาธิได้ จิตตั้งมั่นแล้ว ท่านจะคิดพิจารณากาย
คิดพิจารณากายนี้ หลวงพ่อพุธท่านบอกว่า เป็นการนำร่องให้จิตเดินปัญญา ที่จริงก็คือการฝึกที่จะหมายรู้กาย ฝึกที่จะหมายรู้นามธรรมทั้งหลาย ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทีแรกจงใจหมายรู้ หัดหมายรู้ไปเรื่อยๆ ร่างกายหันไปหันมา นี่ร่างกายเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเราของเรา ร่างกายจะปวดอึ ห้ามได้ไหม จะปวดอึยังเป็นธรรมะเลย ปวดอึก็ห้ามไม่ได้ ปวดฉี่ก็ห้ามไม่ได้ หิวข้าวก็ห้ามไม่ได้ หิวน้ำก็ห้ามไม่ได้ เจ็บไข้ก็ห้ามไม่ได้
ดูไป ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในร่างกาย ดูมันไป มีแต่ความเป็นไตรลักษณ์ มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของควบคุมบังคับไม่ได้ มีแต่ความทุกข์บีบคั้นอยู่เรื่อยๆ คอยรู้สึกลงไปอย่างนี้ รู้สึก รู้สึกถึงความเป็นไตรลักษณ์ ทีแรกก็เจตนารู้สึกก่อน ต่อไปแล้วพอจิตมันชำนาญ มันไม่ต้องเจตนา มันหมายรู้อัตโนมัติ จิตมันทำงานเอง ตอนนี้จิตมันจะทำงานเอง สติระลึกรู้กาย จิตมันเห็นกายเป็นไตรลักษณ์ ไม่ต้องเจตนาแล้วคราวนี้
เราค่อยๆ พัฒนา ในที่สุดจิตมันก็เห็นความจริง เห็นความจริงของร่างกายว่าเป็นไตรลักษณ์ เห็นความจริงของจิตใจว่าเป็นไตรลักษณ์ เคยมีคนๆ หนึ่งภาวนา แล้วอยู่ๆ วันนั้นจิตรวม จิตรวมแล้วเข้าไปเดินปัญญาภายในสมาธิ 2 ขณะ เสร็จแล้วจิตมันก็ทวนกระแสเข้าหาจิตผู้รู้ จิตผู้รู้ก็แหวกออก ช็อตที่หนึ่ง ว่าง ช็อตที่สอง แสงสว่างเกิดขึ้น ช็อตที่สาม จิตมันอุทานขึ้นมา “เอ๊ะ จิตไม่ใช่ตัวเรา” มันอุทาน “เอ๊ะ จิตไม่ใช่เรา” คำว่า “จิตไม่ใช่เรา” เป็นสิ่งที่นายคนนั้นไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินเลย แต่จิตมันอุทานธรรมะขึ้นมา
จิตมันเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกแล้ว จิตไม่มีเรา ขันธ์ 5 มันก็ไม่เป็นเรา เพราะขันธ์ 5 ปรากฎขึ้นมาเพราะจิต ถ้าไม่มีจิต ขันธ์ 5 มันก็เป็นอะไร ไม่มีความหมายอะไร อย่างร่างกายเรานี้ ถ้าไม่มีจิต มันก็เป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเห็นจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ไม่เป็นเราแล้ว ถ้าขันธ์ 5 ไม่เป็นเรา โลกทั้งโลกมันก็ไม่เป็นเราแล้ว ตัวเราไม่มี นี่กระบวนการมันเกิดขึ้น ในชั่วขณะแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ใช้เวลาสั้นนิดเดียว
ฉะนั้นตรงนี้มันก็จะเกิดความรู้ถูก ความเข้าใจถูก เรียกเกิดสัมมาทิฏฐิขึ้น สัมมาทิฏฐิระดับนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิระดับสูง ไม่ใช่ความคิด แต่เป็นความรู้แจ่มแจ้งของจิต เพราะฉะนั้นทีแรกก็หัดหมายรู้ จงใจหมายรู้กาย จงใจหมายรู้จิตว่าเป็นไตรลักษณ์ไป ต่อไปจิตมันเก่งขึ้น มันเห็นสติระลึกรู้กาย มันก็เห็นไตรลักษณ์เอง สติระลึกรู้จิตก็เห็นไตรลักษณ์เอง ถึงจุดหนึ่งจิตรวมเข้าที่จิต แล้วก็เกิดตัดสินความรู้ขึ้นมา แล้วถัดจากนั้นสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตระจะเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นคนในโลก มันพลาดตั้งแต่สัญญาวิปลาส มันหมายรู้ผิด หมายรู้ร่างกายเราว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเราของเรา หมายรู้จิตว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเราของเรา ไปหมายรู้อย่างนี้ เป็นธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่ได้ฝึกกรรมฐานอย่างดีจะหมายรู้ผิด เพราะฉะนั้นปุถุชนมีความหมายรู้ผิด ไม่ต้องตกใจ พวกเราหมายรู้ผิดทั้งนั้นล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าจิตเราตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้อะไร แล้วถ้ามันไม่เห็นไตรลักษณ์ คิดนำนิดหนึ่ง พยายามหมายรู้มัน
ที่จริงมันไม่ใช่เชิงคิดหรอก มองมันให้เห็นไตรลักษณ์ มองมันในมุมของไตรลักษณ์ให้ได้ นี้พอหัดมองมุมไตรลักษณ์เรื่อยๆ ต่อไปไม่ต้องเจตนา จิตมันเป็นเอง จิตไม่วิปลาสแล้ว จิตเป็นเอง เห็นเองว่ามันเป็นไตรลักษณ์ สุดท้ายพอจิตมันเห็นซ้ำๆๆๆ จิตเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ว่าขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่ตัวเราของเรา เกิดสัมมาทิฏฐิเลย เป็นความรู้ถูกเข้าใจถูกในขั้นสัมมาทิฏฐิ เป็นโลกุตตระ อาศัยสัญญาที่ผิด ก็คิดที่ผิด แล้วก็เกิดความเห็นผิด พอหมายรู้ผิด ก็คิดผิด ก็เห็นผิด
ถ้าเราหมายรู้ถูก มันจะคิดถูก จิตมันจะรู้เอง คิดเองว่าเป็นไตรลักษณ์ แล้วปัญญา สัมมาทิฏฐิมันจะเกิด ทิฏฐิที่ถูกก็จะเกิดขึ้น คือสัมมาทิฏฐิจะเกิดขึ้น ที่เราปฏิบัติธรรมแทบเป็นแทบตาย ในศาสนาพุทธนี้ สิ่งที่เราได้มามีอันเดียวคือสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิที่เต็มภูมิเลย คือการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 ขันธ์ 5 คือทุกข์ ถ้ายึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ขันธ์ 5 เป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง ถ้าเห็นตรงนี้ จิตหมดความอยาก
ร่างกายคือตัวทุกข์ จะไปอยากให้มันสุขทำไม มันเป็นไปไม่ได้ ความอยากให้ร่างกายมีแต่ความสุข มันเป็นความโง่เขลา ความอยากให้ร่างกายไม่มีความทุกข์ เป็นความโง่เขลา พอเราเห็นความจริงแจ่มแจ้ง โอ้ กายนี้คือตัวทุกข์ เกิดสัมมาทิฏฐิแล้ว รู้อริยสัจในส่วนของกายแล้ว เราก็จะหมดความอยากเกี่ยวกับกาย ไม่อยากให้กายเป็นสุข ไม่อยากให้กายพ้นทุกข์แล้ว กายเป็นอย่างไร กายก็เป็นไปตามกรรม
จิตล่ะ เรามีสติรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตไปเรื่อย แล้วหมายรู้ถูก หมายรู้จิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว ก็ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตเป็นผู้รู้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตเป็นผู้คิดก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตผู้ไปดูรูป ไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางกาย ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ หมายรู้ไปเรื่อย ถึงจุดหนึ่งจิตมันรู้เอง ตรงที่จิตมันรู้ โดยที่ไม่ต้องเจตนาหมายรู้นี้ เรียกว่าจิตของเราไม่วิปลาสแล้ว
ถ้าจิตของเรา คน ปุถุชน จิตมันจะวิปลาส มันจะวิปลาส คิดทีไรก็กูทุกทีเลย เราทุกทีเลยหมายรู้ให้ถูก มากๆๆๆ เข้า จิตมันก็จะไม่วิปลาส จิตมันจะเห็นแต่ความจริง พอเห็นความจริงแน่นแฟ้น เชื่อมั่นแน่นแฟ้น เกิดสัมมาทิฏฐิ เรียกว่าเป็นทิฏฐิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ปุถุชนมีทิฏฐิวิปลาส ปุถุชนบ้า 3 แบบ บ้า 3 ระดับไม่ใช่ 3 แบบ มีทุกคน สัญญาวิปลาส หมายรู้ผิด จิตตวิปลาส คิดผิดๆ แล้วก็ทิฏฐิวิปลาส มีความเห็นผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ฉะนั้นที่เรามาปฏิบัติ มาดูกายอย่างที่กายเป็น ดูใจอย่างที่ใจเป็น มันเป็นไตรลักษณ์ ถ้าไม่เห็นก็หมายรู้ไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ จงใจหมายรู้ไปก่อน ต่อไปไม่ต้องจงใจหมายรู้ จิตมันหมายรู้ได้เอง ตรงนี้จิตไม่วิปลาสแล้ว แล้วเสร็จแล้วถึงจุดหนึ่ง จิตมันรวมเข้ามา ตัดสินความรู้ เกิดอริยมรรคขึ้น คราวนี้ทิฏฐิของเราจะเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว คนที่ได้สัมมาทิฏฐิอย่างต่ำต้องโสดาบัน
ฉะนั้นพวกเราไม่ต้องกลัว พวกเรายังเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิอยู่ บางวันก็นับถือพระพุทธเจ้า บางวันก็ไม่นับถือ ไปนับถือเจ้าแม่ตะเคียน เจ้าพ่อ เจ้าพ่อไอ้ไข่ ไปนับถืออย่างนั้น ไหว้มันทุกสิ่งทุกอย่างเลย ไหว้ทุกสิ่งทุกอย่าง ชาวพุทธอ่อนโยน อ่อนน้อมต่อคนอื่น ต่อสิ่งอื่น ต่อเทวดา อ่อนโยน อ่อนน้อม แต่ไม่ได้เอาเป็นสรณะ ไม่เหมือนกัน
ถ้าเราเป็นพระโสดาบัน ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ที่พึ่งอันประเสริฐ คือที่พึ่งที่พาเราไปพ้นทุกข์ได้ สิ่งอื่นไม่สามารถพาเราไปพ้นทุกข์ได้ แก้ทุกข์ให้เราได้เป็นคราวๆ ให้หวยแม่น หรือแก้ทุกข์ให้เราได้คราวหนึ่ง ต่อไปก็ไม่แม่น เพราะเราไม่มีบุญที่จะถูกหวย ทำอย่างไรมันก็ไม่ถูก
สัจจกิริยา
ต้องฝึกจนกระทั่งเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ที่พึ่งอันประเสริฐ ถ้าเราเข้าถึงตรงนี้ เราจะเกิดฤทธิ์ขึ้นอันหนึ่ง เป็นบุญฤทธิ์ เวลาชีวิตเรามีปัญหา อธิษฐานจิตเลย ไม่ต้องท่องคาถา หรือไม่ต้องบทโน้นบทนี้ จะขลังอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ต้อง อธิษฐานเลย ถ้าสมมติชีวิตเรามีปัญหาหนัก ไม่มีทางออก ไหว้พระ สวดมนต์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงครูบาอาจารย์ที่ดี
ต้องระมัดระวังตรงครูบาอาจารย์นี้ ครูบาอาจารย์มิจฉาทิฏฐิมันเยอะแยะไปหมดแล้ว ทางที่ดีนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงอริยสาวกรุ่นก่อน นึกถึง ให้ใจเราผูกพันอยู่ แล้วก็อธิษฐาน บุญของเราที่สร้างมา เช่น เราได้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาอย่างดี เราได้ทำทานมาอย่างดี เราได้รักษาศีลมาอย่างดี อธิษฐานเลย สมมติว่าคนหนึ่งชอบเลี้ยงแมว แมวในบ้านยังมีไม่พอ ก็ไปเลี้ยงแมวหน้าบ้าน แมวนอกบ้าน แมวริมถนน เลี้ยงไปหมด ถ้าตายแล้วจิตคิดถึงแมว ก็จะได้ไปเป็นแมว
แต่ถ้าคิดถึงบุญ เคยทำทานให้อาหารสัตว์ ทำให้สัตว์ไม่หิวโหย ไม่ลำบาก ความหิวเป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ในโลก ความหิวเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด พอนึกถึงบอกว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำทานสม่ำเสมอ ด้วยอำนาจแห่งสัจจะนี้ ขอให้ชีวิตเรามีทางออกที่ดี” อธิษฐานอย่างนี้ หรือเรารักษาศีลมาดีแล้ว ชีวิตเรามีปัญหามากเลย อธิษฐานเลยว่า เราได้ตั้งใจรักษาศีลมาอย่างดีแล้ว ถ้าหาก อันนี้เป็นสัจจะ เป็นความจริงของเรา “ด้วยอำนาจแห่งสัจจะนี้ ขอให้ปัญหานี้จงผ่านพ้นไปด้วยดี”
มี หลวงพ่อเคยเจอด้วยตัวเองเลย หลวงพ่อนั่งรถไปจนกระทั่งกล้ามเนื้อหลังอักเสบ แล้วต้องไปอยู่บนภูเขา อยู่คนเดียวในวัดป่าแห่งหนึ่ง อยู่บนเขา รอบๆ กุฏิเต็มไปด้วยหินใหญ่ๆ จะเดินไปห้องน้ำอะไรนี้ ลำบาก แล้วหลังมันอักเสบ นั่งก็ไม่ได้ นั่งตรงๆ ก็ไม่ได้ ปวด นอนก็ปวด นั่งก็ปวด อยู่ได้ท่าเอนๆ อย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็นึก เราไม่มีที่พึ่งเลย ใครจะช่วยเราก็ไม่มี พาราฯ สักเม็ดหนึ่งก็ไม่มี ก็นึกถึงครูบาอาจารย์ได้ เส้นทางนี้แถวภูทอก ภูสิงห์อะไรพวกนี้ เป็นที่ๆ ครูบาอาจารย์ธุดงค์ผ่านมา
ฉะนั้นเทวดาที่นี่มีแน่นอน เป็นเทวดาสัมมาทิฏฐิ หลวงพ่อก็ทำสัจจกิริยา บอกว่า “เทวดาทั้งหลาย เรามานี่ เรามาทำทาน เรามาถือศีล เรามาภาวนา เวลานี้เราเจ็บป่วย ถ้าช่วยได้ให้ช่วยด้วย ถ้าช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เป็นกรรมของเรา เราก็จะรับ” พออธิษฐานจบเท่านั้น ตะเกียงแบตเตอรี่มันสว่างวาบๆๆ 3 ที กำลังนั่งตัวเอียงอย่างนี้ มันสว่างเลยตกใจ หยิบขึ้นมาดู นึกว่ามันเสีย เปิดปิดๆ ไม่เสีย พอเปิดปิดไม่เสีย อ้าว ตัวเราตรงแล้ว หลังที่อักเสบหายแล้ว อย่างนี้ก็มี
เพราะฉะนั้นตั้งใจรักษาความดีของเราไว้ให้มากๆ เวลาฉุกเฉิน เวลาจำเป็น นึกถึงความดีของเรา แล้วอธิษฐานเอา อธิษฐานโดยไม่ต้องให้ใครช่วยก็ได้ อธิษฐานด้วยตัวเองก็ได้ อธิษฐานว่าถ้าเราทำความดีอย่างนี้ เทวดาช่วยได้ให้ช่วย ถ้าเขาเคยมีความสัมพันธ์กับเรา เอื้อเอ็นดูเรา เขาก็ช่วย แต่ต้องไม่เกินกรรม มันเป็นฤทธิ์ที่เรียกบุญฤทธิ์ เป็นบุญฤทธิ์ ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ ไม่ต้องท่องคาถา แต่สู้ด้วยสัจจะ
เพราะฉะนั้นต่อไปชีวิตมีปัญหา นึกถึงความดีที่เราสร้างมา แล้วอธิษฐานเลยว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรารักษาศีลไว้อย่างดี เวลานี้ชีวิตมีปัญหา ด้วยสัจจะที่ว่า เรารักษาศีลมาอย่างดี ด้วยอำนาจแห่งสัจจะนี้ ขอให้เราผ่านปัญหานี้ไปด้วยดี” อย่างนี้ เรียกสัจจกิริยา หรือถ้าเราเจอเทวดา เราก็บอกเรารักษาศีลมาดี แล้วเราก็แผ่ส่วนบุญทุกวัน เทวดาก็คงจะได้รับด้วย ถ้าช่วยได้ก็ช่วยด้วย ช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรื่องของกรรม ไม่มีใครช่วยใครได้หรอก
นี้เป็นอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่ ไม่เหมือนสัจจกิริยา แต่นี้เราสร้างความดี เราคิดถึงความดีของเรา เราเผื่อแผ่ความดีของเราออกไป พวกเทพ พวกอะไรที่เขาเคยได้รับ ถึงเวลาเขาก็มาช่วยได้ แต่ต้องไม่เกินกรรม สนุกไหม ลองดู วันนี้กลับบ้านเลย “ด้วยความตั้งใจที่มาฟังธรรมในวันนี้ ตอนที่ไปจอดรถที่มอเตอร์เวย์ ขอให้ได้ที่จอด” พระอาจารย์อ๊าใช้วิธีนี้ วันนี้หลวงพ่อจะต้องจอดรถเข้าห้องน้ำ ขอให้มีที่จอด เออ มีทุกที จะต้องไปฉันข้าวร้านนี้ แล้วก็มีที่จอด อยู่ที่ร้านนั้น แต่มีกรรมเล็กน้อย ช่องที่ว่างมีถังขยะอยู่ คนอื่นมันเลยไม่จอด
วัดสวนสันติธรรม
13 กันยายน 2568