ให้จิตอยู่ที่ตัวเอง ตรงนี้เป็นจุดสำคัญมากเลย เพราะเป็นจุดที่ยากที่สุดของการปฏิบัติ ที่ภาวนากันแทบเป็นแทบตายแล้วมันไม่ได้ผล เพราะจิตไม่มีคุณภาพ ถ้าจิตมีคุณภาพแล้วเอาจิตที่มีคุณภาพไปเจริญปัญญา ใช้เวลาไม่มาก ทีนี้จะทำให้จิตมีคุณภาพมันก็ต้องฝึกฝน
ในองค์มรรคทั้ง 8 ถ้าเราสังเกตให้ดีจะมีส่วนของปัญญาคือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความคิดชอบ คิดถูกต้อง อีก 3 ข้อเป็นเรื่องของศีล สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ แล้วอีก 3 ข้อหลังเป็นเรื่องการพัฒนาจิต เป็นเรื่องสมาธิ สมาธิมี 2 อัน สมถะกับวิปัสสนา สมถะเป็นตัวหนุนตัวเสริมให้มีกำลังทำวิปัสสนา วิปัสสนาทำให้รู้ถูกเข้าใจถูก รู้ถูกเข้าใจถูกก็วาง เบื่อหน่ายคลายความยึดถือจิตก็หลุดพ้นมีความสุขมหาศาล ความสุขในโลกเป็นเรื่องเล็กไปเลย
การที่พวกเรามาฟังธรรมคือการสร้างสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น สัมมาทิฏฐิตัวจริงจะเกิดตอนที่เราได้โสดาฯ ทันทีที่เกิดโสดาปฏิมรรคเราจะได้สัมมาทิฏฐิ ส่วนสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นนี้เราแค่เรียนเพื่อรู้ว่าทิศทางของการปฏิบัติจะทำอย่างไร ตัวสัมมาทิฏฐิจริงๆ คือความรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 แต่ถ้าเรายังไม่ได้เริ่มรักษาศีล ไม่ได้เริ่มฝึกจิต โอกาสจะเกิดสัมมาทิฏฐิไม่มี ฉะนั้นในองค์มรรคนี้เป็นเส้นทางของการฝึกตัวเองเป็นลำดับๆ ไป มรรคที่ฝึกตัวเองเป็นลำดับๆ ยังไม่ใช่มรรคจริง เขาเรียกบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรค ยังไม่ใช่ตัวอริยมรรค แต่เราก็เดินไปตามลำดับ อย่าใจร้อน
บางคนใจร้อนได้ยินว่าพระนิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ก็พยายามทำจิตให้ว่าง ตัวนี้ผิดอย่างร้ายแรงเลย เวลาจิตเข้าถึงความว่างที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากเราทำขึ้นมา มันเกิดจากจิตรู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์แล้วมันวาง มันละสมุทัยได้ ก็เข้าไปถึงนิโรธเข้าไปถึงนิพพาน ตัวนั้นจิตมันว่างจริง แต่ไม่ใช่ว่างเปล่าอย่างที่พวกเรารู้จัก พวกเรายังไม่เคยเห็นหรอกจิตว่างที่แท้จริง มีแต่ว่างปลอมไปทำให้ว่างๆ ตรงที่ทำนั่นล่ะไม่ว่างเรียบร้อยไปแล้ว มันโลภ
ทีนี้ถ้าเราเดินไปตามลำดับขององค์มรรค พัฒนาตัวเองไป ถึงจุดหนึ่งการเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็จะเกิดขึ้น จิตก็รู้แจ้งเห็นจริงในรูปนามขันธ์ 5 ในกายในใจ พอเห็นตามความเป็นจริงก็เบื่อ ไม่ได้รักใคร่หวงแหนแล้ว เบื่อหน่ายก็คลายความยึดถือ แล้วจิตก็หลุดพ้นจากขันธ์ 5 ไม่ยึดถือขันธ์ 5
สัมมาทิฏฐิเป็นความรู้แจ้ง เป็นความรู้เกี่ยวกับอริยสัจ
ฉะนั้นสิ่งแรกที่เราจะเรียนก็คือตัวสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูก สิ่งที่เรียกว่าเห็นถูกนั้นเห็นอริยสัจ แต่ตอนนี้ยังเห็นด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน ด้วยการคิดพิจารณาอย่างแยบคาย คิดมั่วซั่วไม่ได้ ไม่เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ถ้าคิดแล้วออกนอกลู่นอกทาง นอกเส้นทางที่พระพุทธเจ้าที่พระสาวกสอนไว้จะเตลิดเปิดโปงฟุ้งซ่านไป ตัวสัมมาทิฏฐิเป็นตัวชี้นำว่าเราจะเดินไปทางไหน สัมมาทิฏฐิก็เป็นความรู้แจ้งเป็นความรู้เกี่ยวกับอริยสัจ อริยสัจ 4 ข้อนั้นคือตัวทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ไม่ใช่แค่ความทุกข์กลุ้มใจอะไรอย่างนี้ อันนั้นหยาบไป สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือกายนี้ใจนี้ของเรานี่ล่ะ รูปนามขันธ์ 5 ของเรานี่ล่ะ เรียกว่าตัวทุกข์ การที่พวกเรายังเป็นปุถุชนเราไม่เห็นหรอกว่ากายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ เราเห็นว่ามันคือตัวเรา เมื่อมันเป็นตัวเราเวลาร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ ร่างกายตาย เป็นเราทุกข์ เวลาเราพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เราต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราต้องเผชิญปัญหาชีวิตเจอความผิดหวัง มันเป็นทุกข์ ที่จริงแล้วรวบลงไปเลยก็คือจิตมันทุกข์
ความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่อื่นหรอก ความทุกข์อยู่ที่กายอยู่ที่จิต นี้คือตัวทุกข์ แล้วหน้าที่ต่อทุกข์คืออะไร สิ่งนี้อยู่ในเรื่องของสัมมาทิฏฐิ แต่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่ได้จบแค่นี้ ท่านบอกถึงว่าเรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างไรต่อทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หน้าที่ต่อทุกข์คือการรู้ ไม่ใช่การหนี ไม่ใช่การละ สังเกตดูเวลาเราเกิดความทุกข์ขึ้นมา เราอยากให้มันหมดไปสิ้นไป เราอยากละมัน รู้สึกไหมทุกคนจะเป็นอย่างนั้น ในขณะที่พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกข์ให้รู้ ไม่ได้ให้หนี ไม่ได้ให้ละ ทำไมไม่ได้ให้หนี เพราะหนีไม่ได้ ทุกข์ตัวจริงก็คือกายกับใจของเรานี่เอง มันหนีไม่ได้ เมื่อมันหนีไม่ได้ก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน เรียนรู้มัน การที่จะเรียนรู้มันเป็นเรื่องของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ทุกข์ให้รู้ เราจะเห็นร่างกายคือตัวทุกข์ เวทนากระทั่งสุขเวทนาก็เป็นตัวทุกข์ มันเสียดแทงจิตใจของเรา เวลาเรามีความสุขใจเราไม่ปกติรู้สึกไหม เวลาความทุกข์ใจเราก็ไม่ปกติ ตรงทุกข์แล้วใจเราไม่ปกติ เศร้าโศกร่ำไรรำพันคับแค้นใจ อันนี้ดูง่ายตระกูลโทสะ แต่ตัวสุขเวทนา ความสุขในกายสุขในใจ ยากเหลือเกินที่เราจะเห็นว่ามันคือตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นว่าร่างกายจิตใจของเรานี่มีสุขบ้างมีทุกข์บ้าง อันนี้เรายังไม่ได้รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ
เมื่อเราเห็นว่าร่างกายของเราเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างมันก็เกิดความอยาก อยากให้ร่างกายมีความสุข อยากให้ร่างกายไม่ทุกข์ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยากให้จิตใจมีแต่ความสุข ไม่อยากให้จิตใจทุกข์ มันจะมีความอยากเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการที่เราไม่รู้ทุกข์ มันส่งผลให้เกิดสมุทัย แต่ถ้าเรารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยก็เป็นอันถูกละอัตโนมัติ คือความอยากทั้งหลายถูกละอัตโนมัติ ฉะนั้นท่านถึงสอนว่าให้รู้ทุกข์
ทีนี้กับสมุทัยความอยากเราจะทำอย่างไร ท่านบอกว่าสมุทัยให้ละ หน้าที่ต่อสมุทัยคือการละ หน้าที่ต่อทุกข์คือการรู้ ถ้าเรารู้แจ่มแจ้งในกองทุกข์เราก็ละสมุทัยได้เด็ดขาด ถ้ารู้บ้างไม่รู้บ้างสมุทัยก็ยังเกิดขึ้นได้อีก ฉะนั้นการรู้ทุกข์เป็นเรื่องสำคัญมาก ทีนี้คนทั่วไปปฏิเสธการรู้ทุกข์ อยากมีแต่ความสุข ทั้งๆ ที่ความสุขจริงๆ ไม่มี ขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ ท่านบอก “สังขิตเตนะปัญจุปาทานักขันธาทุกขา ว่าโดยสรุปขันธ์ทั้ง 5” คือทุกข์ นี่คือสัจธรรม เป็นสัจธรรมระดับที่เรียกว่าอริยสัจ ถ้ายังไม่รู้แจ้งแทงตลอด เราละสมุทัยไม่ได้
อย่างเราไม่รู้ว่ากายนี้คือทุกข์ เราก็เห็นว่าเดี๋ยวมันก็ทุกข์เดี๋ยวมันก็สุข พอเห็นอย่างนี้มันก็จะเกิดความอยาก มันมีทางเลือก เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เราก็อยากได้สุข อยากได้มาซึ่งความสุข คือกามตัณหา อยากให้ความสุขคงอยู่เรื่อยๆ ตลอดนิรันดรนี่คือภวตัณหา ภวตัณหาอยากให้ความสุขมันเที่ยง ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิที่ชื่อว่าสัสตทิฏฐิ เห็นสิ่งนี้เที่ยงถาวร เราอยากได้สิ่งนั้น ซึ่งจริงๆ มันไม่มี ถ้าเราเห็นว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งคงทนถาวรเป็นอมตะ เรายังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่
อย่างบางคนภาวนาแล้วบอกจิตเราเที่ยงเพราะว่าสงบได้ทั้งวัน ทำสมาธิทุกวันทำไปทั้งวันมันก็สงบสิ พอหยุดทำเมื่อไรมันก็ดีดกลับมาฟุ้งซ่าน จริงๆ แล้วอย่างไรมันก็ไม่เที่ยง ถึงเข้าฌานได้ เข้าฌานที่ 1 ได้ ฌานที่ 1 ก็ไม่เที่ยง บางครั้งก็หลุดออกมาอยู่ข้างนอก กลายเป็นจิตธรรมดาอย่างนี้ บางครั้งก็ลึกเข้าไปฌานที่ 2 – 3 – 4 – 5 – 6 – 7 – 8 แม้กระทั่งฌานสมาบัติที่ว่าดีวิเศษนักหนาก็ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง
ทีนี้เราคอยรู้ทุกข์เราจะเห็นว่าสังขารทั้งหลายที่ปรุงแต่งขึ้นมา ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมเป็นของชั่วคราว อันนี้เรียกว่าเรารู้ถูกแล้ว รู้ลงที่กายรู้ลงที่ใจแล้ววันหนึ่งก็เห็นความจริง กายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อมันรู้ความจริงว่า สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง หนุ่มสาวก็ไม่เที่ยง ความอยากให้เที่ยงก็ไม่เกิด หรือมีความทุกข์เราเห็นแล้วกายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ ความอยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ก็ไม่เกิด ความอยากให้กายให้ใจมีความสุขมันก็ไม่เกิด
ฉะนั้นการที่เรารู้ทุกข์แจ่มแจ้งจะละตัณหาละสมุทัย ตัณหาคือเหตุแห่งทุกข์ก็คือตัวความอยากทั้งหลายแหล่ ที่จริงแล้วตัวขันธ์ 5 มันเป็นตัวทุกข์อยู่โดยตัวของมันเอง กายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ แต่เราไม่รู้เราก็เลยเกิดความอยาก อยากให้มันสุข อยากให้มันไม่ทุกข์ ทันทีที่ความอยากเกิดใจจะมีความดิ้นรนเกิดขึ้นทันที เราสร้างภพขึ้นมาในจิตใจของเราแล้ว ทันทีที่เราสร้างภพหรือสร้างความดิ้นรนปรุงแต่งขึ้นในใจ ความทุกข์ก็เข้ามาถึงจิตใจแล้ว ถ้าเราไม่มีความอยากไม่มีความยึด ความดิ้นรนปรุงแต่งของจิตก็ไม่มี เมื่อจิตไม่มีความปรุงแต่งมันก็ไม่ทุกข์
สิ้นภพสิ้นชาติ
ท่านถึงสอนว่าสังขารทั้งหลายสงบเสียได้เป็นสุข สังขารคือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ถ้าเรารู้แจ้งเห็นจริง เราสงบจากตัณหาจากความอยากความยึด สงบจากความดิ้นรนปรุงแต่ง มันก็พ้นทุกข์ สงบแล้วมันเป็นสุข ตัวที่ทำความทุกข์ เข้ามาสู่ใจเรา ตัวช็อตแรกคือการไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ว่ากายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ ช็อตที่สอง พอไม่รู้ว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ก็เกิดความอยาก อยากได้ความสุข อยากหนีจากความทุกข์ ทันทีที่ความอยากเกิดขึ้นเรียกว่าตัณหาเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาเรียกว่าภพคือความดิ้นรนของจิต
จิตที่ดิ้นรนไม่มีความสงบสุข จิตไม่ว่างแล้ว ดิ้น กระทั่งอยากให้จิตว่างนี่ก็อยาก แล้วก็พยายามแต่งจิตอย่างนั้นอย่างนี้ อันนั้นคือการดิ้นรนปรุงแต่งจิต อันนั้นคือตัวภพความดิ้นรนปรุงแต่งการทำงานของจิตการสร้างกรรมของจิต ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วที่จิตมันปรุงขึ้นมาเป็นภพทั้งหมด พูดถึงคำว่าภพก็มี 2 อย่าง คนไทยจะเรียกภพน้อยภพใหญ่ ทีนี้ภพน้อยภพใหญ่บางคนตีความพิสดารมากเลย ภพน้อยก็เช่นแมลงวัน แมลงหวี่ ยุง ภพน้อยเพราะตัวเล็ก ถ้าภพใหญ่ก็ช้าง ม้า วัว ควาย ทำไมมีแต่เดรัจฉาน เดรัจฉานล้วนๆ เลย
ทีนี้บางท่านในตำรับตำราบอกภพน้อยคืออบายภูมิ อบายภูมิ 4 ภพใหญ่ก็คือสุคติภูมิ บางคนบอกว่ายังอีกแบบหนึ่ง ภพน้อยก็คือภพในกามาวจร รวมมนุษย์รวมสวรรค์เข้าไปด้วยถือเป็นภพน้อย แล้วก็พรหมรูปพรหมอรูปพรหมเป็นภพใหญ่ หลวงพ่อยังมองว่าการตีความอย่างนี้คิดเอา ถ้าเป็นนักปฏิบัติจริงๆ เราพบอีกอย่างหนึ่ง ภพน้อยภพใหญ่ ภพใหญ่ก็คืออุปปัตติภพ การที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เรามีอัตภาพเป็นมนุษย์ นี่เป็นภพของมนุษย์ เป็นภพมนุษย์ได้มาด้วยการเกิด
ภพน้อยละเอียดยิบเลย วันหนึ่งไม่รู้เกิดกี่หมื่นกี่แสนครั้ง ก็คือการที่จิตเราเข้าไปเสวยอารมณ์แล้วก็ดิ้นรนขึ้นมาในแต่ละคราวแต่ละคราว อย่างจิตเราถูกโทสะครอบงำ จิตในขณะนั้นเรามีภพใหญ่เป็นมนุษย์แต่ภพน้อยเราเป็นสัตว์นรก ในขณะที่เราเป็นมนุษย์อยู่นี่ร่างกายเราเป็นมนุษย์ แต่ขณะนั้นจิตใจเรามีความโลภ เราก็เป็นมนุษย์เปรตเป็นภพน้อย เป็นเปรตเวลาเราอยากโน้นอยากนี้
หลวงพ่อมองแบบนี้มากกว่า อย่างบอกสุคติทุคติเอาไปทำอะไรไม่ได้ มันคิดไปทางปรัชญาทั้งนั้น เราลองสังเกตใจเราสิ ตอนนี้อุปปัตติภพของพวกเราเป็นมนุษย์ แต่ใจของเราบางทีก็เป็นเดรัจฉาน ภูมิจิตภูมิธรรมของเดรัจฉานคือถูกโมหะครอบงำ บางทีเป็นเปรตถูกความโลภครอบงำ บางทีเป็นอสุรกายถูกมิจฉาทิฏฐิครอบงำ ถูกทิฏฐิมานะอัตตา เซลฟ์จัดอะไรพวกนี้พวกอสุรกาย แล้วถ้าเรามีศีลมีธรรมเราก็เป็นมนุษย์ แล้วถ้าเราละเอียดประณีตขึ้นไป ใจเรามีหิริมีโอตัปปะ ไม่จำเป็นต้องถือศีลเป็นข้อๆ แล้ว มีหิริโอตัปปะมีความละอายที่จะทำบาป มีความเกรงกลัวผลของการทำบาป เป็นการที่เรามีศีลที่สูงขึ้นไปอีก พวกนี้เรียกว่าเทวธรรม
ถ้าจิตของเราสงบโดยมีรูปเป็นอารมณ์เราก็เป็นรูปพรหม จิตของเราหมุนเวียนอยู่ ถ้าเราใช้อรูปเป็นอารมณ์เราก็เข้าไปเป็นอรูปพรหม จิตเราเสวยภพย่อยๆ ทั้งวัน แล้วไม่ใช่วันหนึ่งมีภพเดียว มีไม่รู้กี่พันภพ สังเกตไหมใจเราเปลี่ยนตลอดเวลา เดี๋ยวเวลาเราสุขขึ้นมาเราก็รู้สึกดีจัง เวลาทุกข์ขึ้นมาก็ตกนรกแล้ว เรียกตกนรกทั้งเป็น เวลามีภพ ภพที่เกิดมาแล้วไม่สำคัญแล้ว มันเป็นผลจากกรรมในอดีตเป็นผลจากวิบาก ทำให้เราเกิดมาเป็นคนอย่างนี้หน้าตาอย่างนี้ แล้วก็ความเคยชินที่สะสมมาทำให้เรามีนิสัยใจคออย่างนี้ อันนี้มันแก้ไขอะไรยาก อย่างเกิดเป็นคนแล้วจะไม่ให้เป็นคน ก็ต้องไปเชือดคอตายแล้วไปสู่ภพนรกแทน
สังเกตไหมใจเราเปลี่ยนตลอดเวลา ใจเราเวลาเราอยู่ในภพอะไรก็ตาม ใจเรามันจะดิ้นรนจะทำงานไม่เลิกปรุงแต่งไม่เลิก ความปรุงแต่งในจิตใจเราเกิดขึ้นทีไรความทุกข์ก็เข้ามาถึงจิตใจเราทุกที เราจะเกิดความยึดถือในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การที่เราเข้าไปหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมาเรียกว่าชาติ เคยได้ยินไหม บอกพระอรหันต์สิ้นภพสิ้นชาติ สิ้นภพคือไม่มีภพตรงนี้แล้ว ไม่มีภพภายในเปลี่ยนยิบยับอะไร ไม่มีแล้ว ส่วนร่างกายนั้นก็เกิดจากกรรมเก่า ท่านก็อยู่ไป พอหมดกำลังของกรรมเก่าที่ทำให้มีกายนี้มันก็แตกสลายไป จะไม่หวั่นไหว
ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งตัณหาก็ไม่เกิด
ถ้าเรารู้ทุกข์แจ่มแจ้งตัณหาก็ไม่เกิด เมื่อตัณหาไม่เกิดอุปาทานคือการเข้าไปยึดถือก็ไม่เกิด ตัณหากับอุปาทานแยกยากเหมือนกัน ถ้าเราดูจิตไม่ชำนาญเราแยกไม่ออก เพราะตัณหากับอุปาทานความอยากกับความยึดมันสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็วเลย มันเป็นองค์ธรรมอันเดียวกันคือโลภะความโลภ สังเกตดูใจเรามีความอยากเกิดขึ้นทั้งวัน เดี๋ยวอยากดู เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้สัมผัสทางกาย อยากได้อารมณ์ทางใจที่เพลิดเพลินพอใจ ความอยากเราเกิดถี่ยิบเลย
อย่างตั้งแต่เช้านี่อยากมาฟังธรรม อยากให้มาเร็วๆ จะได้มานั่งหน้าๆ ฟังไปเรื่อยๆ ก็เบื่อ อยากกลับบ้าน อยากไปเที่ยว วันนี้วันอาทิตย์ยังมีเวลาเที่ยว ความอยากมันเกิดตลอดเวลา แล้วถ้าสังเกตให้ดีถ้าเราอยาก อย่างเราอยากเห็นรูปจิตเราจะทะยานเข้าไปจับอยู่ที่รูป มันจะจมลงไปที่รูป ตรงนี้ถ้าภาวนาดีๆ เราจะเห็นเลยจิตเราจะกระโจนเข้าไปตะครุบรูป เวลามันอยากได้ยินเสียงมันจะกระโจนไปตะครุบเสียง อยากได้กลิ่นจิตมันจะกระโดดเข้าไปจับอยู่ที่กลิ่น ตรงที่มันโดดเข้าไปตะครุบมันโดดไปด้วยกำลังของความอยาก ตรงที่มันเข้าไปจับอยู่เป็นความยึดถือ พอมันมีความยึดถือขึ้นมาใจมันก็เริ่มดิ้นแล้ว ตัวนั้นก็เป็นภพ ปรุงแต่งอย่างโน้นอย่างนี้ไป
ทันทีที่มีภพถ้าดูเป็นเราจะรู้เลยเรากำลังยึดจิตอยู่ เรากำลังยึดจิต รู้สึกไหมในตัวเรามีเราอยู่คนหนึ่ง ถ้าดูให้ดีตรงที่เราคิดว่าเรามันก็อยู่ที่จิตนั่นล่ะ ตัวเราไม่ได้อยู่ที่หัวแม่เท้าหรอก ไม่ได้อยู่ที่เส้นผม ที่เรียกว่าเราๆๆ หาไม่เจอ เรา เพราะมันเกิดที่จิตเรานี่ล่ะ เป็นความหลงผิดของจิตเราเอง หมายรู้ผิด หมายรู้ผิด คิดผิด หลงผิด มันไปสำคัญมั่นหมายจิตตัวที่รู้สิ่งโน้นสิ่งนี้นั้นคือตัวเรา
ค่อยฝึกไปเรื่อยๆ จะเห็นความละเอียดประณีตของการปฏิบัติเป็นลำดับๆ ไป ตรงนี้เป็นส่วนของปฏิจจสมุปบาทท่อนบน ถ้าท่อนต้นๆ ปุถุชนเห็นไม่ไหวเห็นยาก อย่างถ้าเป็นพระโสดาเป็นอะไรยังพอเห็นเค้าเงื่อนเห็นร่องรอย คนที่รู้ตลอดทางอริยสัจรู้ตลอดปฏิจจสมุปบาทมีแต่พระอรหันต์ แต่ไม่ใช่ท่องจำมาแล้วก็บอกว่ารู้ ต้องเห็นสภาวะจริงๆ พูดละเอียดไปก็ไม่ดีปัญหาเยอะ
พยายามเรียนรู้กายเรียนรู้ใจ แล้วพอรู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งก็จะหมดความยึดถือ หมดความอยาก หมดความยึด จิตที่หมดตัณหาก็จะเข้าไปสัมผัสความว่างความสงบคือพระนิพพาน ฉะนั้นเรานิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา ตราบใดที่เรายังมีตัณหาอยู่เราจะไม่เห็นพระนิพพาน ทั้งๆ ที่นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ไม่เคยหายไปไหนเลยแต่เราไม่เห็น นิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง คำว่าอายตนะคือสิ่งที่เชื่อมต่อ ต่ออะไร ต่อกับจิตที่บริสุทธิ์
ฉะนั้นนิพพานเป็นอายตนะอันหนึ่ง ไม่ควรใช้คำว่านิพพานเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางคนชอบไปแปลส่งเดช คำของพระพุทธเจ้าเหมาะสมแล้ว แล้วตรงกับสภาวะ การที่ชี้ว่านิพพานเป็นอายตนะ มันคือจุดที่เชื่อมต่อ มีภายในคือจิตที่บริสุทธิ์ภายนอกเป็นพระนิพพาน แล้วภายในภายนอกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง เป็นจิตที่ทรงพระนิพพานอยู่ บางคนไปดัดแปลงพระไตรปิฏกแต่งเอาเอง ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งสิ่งอันนั้นมีอยู่ ไม่มีพระอาทิตย์พระจันทร์ ไม่มีกลางวันกลางคืนอะไร อันนี้เหมือนตามพระไตรปิฏก แต่ไปเปลี่ยน Wording ซึ่งตัวเองไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจสภาวะ
พวกที่สอนกรรมฐานเราฟังครึ่งหูไว้หูครึ่ง เชื่อไม่ได้ยุคนี้ บางคนก็สอนผิดตีความเอาเอง บางคนพูดถูกแต่ไม่เคยเห็นสภาวะ คนส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น พูดได้อ่านมาฟังมาแต่ไม่ได้เห็นสภาวะ เพราะฉะนั้นจะล้างกิเลสไม่ได้
เห็นสภาวะก็คือเห็นทุกข์
การเห็นสภาวะก็คือเห็นทุกข์นั่นล่ะ ทุกข์ก็เริ่มแต่อย่างหยาบที่สุดจนถึงอย่างละเอียดที่สุด อย่างหยาบที่สุดอย่างร่างกายเรานี่ล่ะ สิ่งที่เป็นรูปธรรมเป็นของหยาบของหยาบถ้าเราเริ่มต้นภาวนาเรายังไม่ชำนิชำนาญการปฏิบัติ แนะนำให้ดูกาย ดูกายมันง่ายที่สุดแล้ว ร่างกายไม่เคยหนีไปไหนเลยอยู่กับเราทั้งวัน ถ้าอยู่ๆ จะไปดูจิต ดูไม่ได้ กำลังสติและสมาธิไม่พอมันไม่เห็นหรอก เพราะจิตมันหนีว่องไวมาก แป๊บหนี นาทีหนึ่งหนีไปแล้ว 10 เรื่องก็ได้ ฉะนั้นเริ่มต้นถ้ากำลังเรายังอ่อนอยู่ รู้สึกร่างกายไป
การรู้สึกร่างกายก็มี 2 ขั้นตอน อันแรกรู้สึกถึงความมีอยู่ของมัน เวลาเราใจลอยเรามีร่างกายแต่ร่างกายเราหายไปจากความรู้สึก เวลาเราหลงไปดูหนังไปอะไรอย่างนี้ ร่างกายเรายุงแอบมากัดเรายังไม่รู้สึกเลย เกิดอะไรขึ้นเราไม่รู้สึกเพราะเราลืม จิตมันไปจดจ่อกับสิ่งอื่น เพราะฉะนั้นจุดแรกถ้าเราจะเรียนรู้กาย คอยระลึกถึงความมีอยู่ของร่างกายเนืองๆ อย่าให้มันลืมร่างกายตัวเองบ่อยนัก มันน่าเกลียด มันไม่พัฒนา แต่ไม่ถึงขนาดว่าห้ามลืมกาย ต้องรู้กายตลอดเวลา อันนั้นก็ไม่ถูกหรอก มันไปเพ่งกาย ถ้าจิตที่ไม่เผลอไม่เพ่ง ไม่เผลอมันทำไม่ได้ไม่ใช่พระอรหันต์ อย่างจิตเราไหลแวบไปเรารู้สึกได้อย่างรวดเร็ว เฮ้ย ลืมกายไปแล้ว
ฉะนั้นเวลาอันแรกเรารู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย ต่อไปเราสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง เรารู้เห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไม่ใช่รู้สึกแค่ว่ามันมีอยู่แต่เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทีแรกก็เรารู้สึกมีตัวเรามีร่างกายอยู่ พอละเอียดขึ้นเราก็เห็นตอนนี้ร่างกายหายใจเข้าร่างกายหายใจออก ร่างกายยืนเดินนั่งนอน ร่างกายเคลื่อนไหวร่างกายหยุดนิ่ง จะเห็นอย่างนี้ ตรงนี้พอเห็นไปมากๆ มันจะรู้เลยว่าร่างกายไม่เที่ยง เดี๋ยวหายใจออก เดี๋ยวหายใจเข้า เดี๋ยวยืน เดี๋ยวนอน เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวยืน เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวนอน เดี๋ยวเคลื่อนไหว เดี๋ยวหยุดนิ่ง เริ่มเห็นความไม่เที่ยงของมันแล้ว เราขึ้นวิปัสสนาแล้ว เริ่มเห็นไตรลักษณ์แล้ว
แล้วดูกายต่อไปอีก ทำไมร่างกายไม่เที่ยงต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพราะมันถูกความทุกข์บีบคั้น หายใจเข้าไปเรื่อยๆ ก็ทุกข์ ก็ต้องหายใจออกแก้ทุกข์ หายใจออกนานๆ ก็ทุกข์ ก็ต้องหายใจเข้าแก้ทุกข์ นั่งนานก็ทุกข์ใช่ไหม ก็ต้องขยับตัวแก้ทุกข์ ต้องเดินแก้ทุกข์ ต้องนั่งแก้ทุกข์ ต้องนอนแก้ทุกข์ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วร่างกายมันถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอด เรียกเราเห็นทุกขตา เห็นตัวทุกข์แล้ว ของกาย แล้วต่อไปเราสติปัญญาเราแหลมคมขึ้น เราไม่ใช่แค่รู้ความมีอยู่ของกาย ไม่ใช่แค่รู้ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย ไม่ใช่แค่รู้ว่าที่ร่างกายต้องเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเพราะถูกความทุกข์บีบคั้น
พอจิตมีกำลังจริงๆ มันจะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นแค่วัตถุธาตุ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา เราเห็นอนัตตาแล้ว เห็นไหมมันประณีต กรรมฐานมันไม่ใช่มั่วๆ กระโดดไปกระโดดมา ทีนี้ถ้าพอเราดูกายชำนิชำนาญแล้ว เรารู้สึกอยู่ในกายเรื่อยๆ เราจะเห็นร่างกายนี่เดี๋ยวเจ็บตรงโน้นเดี๋ยวปวดตรงนี้ มันเกิดเหน็บชานั่งนาน ครูบาอาจารย์สอนอย่างนี้เลย ถ้านั่งแล้วมันเป็นเหน็บ ไม่ใช่เปลี่ยนท่าทาง บอกนั่งดูสิเหน็บชานี้จะเที่ยงหรือไม่เที่ยง แต่ต้องใจแข็ง จะดูเวทนานี่จิตต้องมีกำลังมากขึ้นแล้ว มากกว่าดูกาย
ดูสิดูลงไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นทุกขเวทนาในกายไม่เที่ยง สุขในกายก็ไม่เที่ยง ล้วนแต่ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย อย่างความสุขในร่างกายก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย อย่างนี้เรียกว่าเห็นทุกข์ แล้วก็มันจะสุขหรือมันจะทุกข์เราเลือกไม่ได้ นี่เรียกเห็นอนัตตา ทีนี้ถ้าประณีตขึ้นไปอีก ไม่เฉพาะความสุขในร่างกายความทุกข์ในร่างกาย เราเห็นว่าความสุขความทุกข์ยังอยู่อีกที่หนึ่งคือที่ใจ ในขณะที่ร่างกายเจ็บปวดใจมีความสุขหรือความทุกข์ตอบได้ไหม ไม่แน่ อย่างบางคนเป็นพวก masochist ถูกเฆี่ยนแล้วมีความสุข ร่างกายทุกข์แต่ใจมันสุขก็ได้ เวลาพูดถึงธรรมะต้องประณีตนิดหนึ่ง แยกแยะ พูดแบบจำแนก ถ้าคนที่ชอบความเจ็บปวด พอร่างกายเจ็บปวดใจมันมีความสุข แต่อย่างคนสามัญธรรมดาอย่างพวกเรา พอร่างกายเจ็บปวดเราก็กลุ้มใจ ใจมีความทุกข์
เราก็ขยับเข้ามาละเอียดขึ้นมา มาสังเกตความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ในจิตใจ พอเราดูเรื่อยๆ ตรงนี้ก็จะเห็นเลยความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ในจิตใจล้วนแต่ไม่เที่ยง อยู่ชั่วคราวทั้งหมดเลย อย่างเวลาเราอกหัก อกหักรู้สึก โอ้ แย่แล้วชีวิตนี้มืดมนตลอดกาล เสร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ ถึงจุดหนึ่งก็หาย บางคนลูกตาย ลูกตายทรมานยิ่งกว่าสามีตายอีก สามีตายหาง่ายหาวันสองวันก็ได้แล้ว แหม่ แต่ลูกกว่าจะได้มาเจ็บนานลำบากนาน ฉะนั้นจะรักลูกมากกว่ารักผัวโดยมาตรฐาน แล้วก็รักลูกแต่ละคนไม่เท่ากันหรอก ใจไม่ได้เที่ยงธรรมขนาดไม่มีอคติ 4 อย่างลูกบางคนมันดื้อดูแลมันมากแต่ไม่ค่อยชอบมันหรอก ลูกที่ดีๆ บางทีไม่ค่อยต้องดูแลแต่รักมัน เด็กคนนี้ดี
ใจเราสังเกตไปเรื่อยๆ เวลาที่เรามีความสุขในจิตใจเกิดขึ้น ถ้าสังเกตให้ดีโดยมากราคะจะแทรก เวลาร่างกายเรามีความสุขเราจะเกิด อุ้ย ชอบจังเลย พอใจ ยินดีพอใจมีความสุข เวลาความทุกข์เกิดขึ้นโทสะมักจะแทรก เวลามีเรื่องกลุ้มใจใช่ไหม ใจไม่สดชื่นเลย มีเรื่องเจ็บปวดทางจิตใจ ใจไม่มีความสุขโทสะมันแทรก อยากให้มันหมดไป อยากให้มันสิ้นไป ไม่ได้เป็นกลาง เวลาใจเราเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เผลอๆ เพลินๆ โมหะเอาไปกินอีก ฉะนั้นเวทนามันก็เป็นช่องทางให้กิเลสซ่อนตัวแทรกตัวเข้ามา เราดูได้ละเอียดๆ ขึ้น
ทีนี้ถ้าเกิดเวทนา เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วเราเกิดมีสติรู้ ขณะนี้สุข ขณะนี้ทุกข์ ขณะนี้ไม่สุขไม่ทุกข์ ตรงที่มีสติรู้จิตเราจะเป็นกุศล เพราะฉะนั้นไม่ใช่พอเกิดเวทนาแล้วทุกคนต้องเป็นอกุศล ถ้าเรามีสติเกิดขึ้นก็ไม่เป็นอกุศลแต่เป็นกุศล ฉะนั้นเวทนา แต่ว่าคนส่วนใหญ่พอมีสุขเวทนาทางใจตำราเขาจะเรียกว่าโสมนัสเวทนา โสมนัสเวทนาทางใจเกิดราคะมักจะแทรก พอใจอยากให้อยู่นานๆ พอทุกขเวทนาทางใจเกิด อย่างอกหักอย่างนี้มีทุกขเวทนาทางใจเกิดขึ้นเพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก โทสะจะแทรกเศร้าโศกเสียใจคับแค้นใจ เวลาเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็จะเผลอเพลิน
จะเดินด้วยกาย ด้วยเวทนา ด้วยจิต หรือด้วยธรรม
ก็ไปสู่ที่เดียวกันคือไปถึงพระนิพพาน
ตรงที่เราผ่านเวทนาตรงที่เรารู้กายคือกายานุปัสสนา ตรงที่เราเขยิบเข้ามารู้เวทนาทางกายเวทนาทางใจคือเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วจากเวทนาเราเห็นกิเลสที่แทรกเข้ามา หรือเห็นกุศลที่แทรกตามเวทนาเข้ามา อันนั้นจะขึ้นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เห็นบ่อยๆ เราถึงจะเข้าใจเนื้อหาสาระของธรรมะก็เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานสูงสุดก็คือการเห็นอริยสัจนั่นล่ะ
เห็นไหมการปฏิบัติมันมีความหยาบความละเอียด ถ้ากำลังเรายังไม่พอไต่เต้าไปตามลำดับ บางคนก็เหมือนเรียนหนังสือ เรียน ป.1 ป.2 ค่อยๆ เรียนไปจนถึงมหาวิทยาลัยถึงด็อกเตอร์ ทีนี้บางคนชำนิชำนาญเคยฝึกมาแต่ชาติก่อนๆ อาจจะข้ามขั้นได้ เหมือนพวกเรียนลัด เรียนลัดไม่ได้เรียนอะไรเท่าไรเลยสอบเทียบขึ้นๆ ไป บางคนก็เริ่มปฏิบัติด้วยการดูกาย บางคนมีกำลังของจิตมากขึ้นก็ปฏิบัติด้วยการดูเวทนา ละเอียดมากขึ้นก็ดูจิตตานุปัสสนา ละเอียดสุดขีดก็จะดูที่ธัมมานุปัสสนา
ตัวอย่างบรรลุพระอรหันต์ ทำกายานุปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหันต์คือพระอานนท์ ทำเวทนานุปัสสนาพิจารณาเวทนา เห็นกระบวนการต่อจากเวทนาปรุงไปจนถึงทุกข์อย่างพระสารีบุตรท่านเห็น ปัญญาท่านมาก เวทนาดูยากกว่ากาย จิตตานุปัสสนานี่ตัวอย่างพระอนุรุทธ พระอนุรุทธทั้งวันทรงฌาน แล้วก็ส่งจิตไปดูคนโน้นตายแล้วไปไหน สามารถเห็นโลกธาตุตั้งพันเกิดดับในเวลาครู่เดียว เห็นไหมจิตท่านไวขนาดนั้น แล้ววันหนึ่งท่านเกิดสงสัยว่า เอ ทำไมเราก็มีฤทธิ์เยอะ ทำไมไม่บรรลุพระอรหันต์ ก็ไปถามพระสารีบุตร
บอกข้าแต่ท่านพระสารีบุตรตัวกระผมมีทิพยจักษุเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผมสามารถเห็นโลกธาตุตั้งพันโลกเกิดดับในเวลาครู่เดียว ทำไมผมไม่บรรลุพระอรหันต์สักที สิ่งที่พระสารีบุตรสอนคือสอนดูจิต สอนให้พระอนุรุทธดูจิต ท่านบอกว่าท่านมีทิพยจักษุเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนี่อีโก้ของท่าน ความถือตัวว่ากูเก่งนี่คือตัวมานะ บอกผมเห็นโลกธาตุตั้งพันโลกเกิดดับในเวลาครู่เดียวนี่คืออุทธัจจะความฟุ้งซ่าน ไปดูมันทำไม ทำไมไม่ดูกายดูใจตัวเอง มัวแต่ไปดูคนโน้นคนนี้โลกโน้นโลกนี้ อันนี้ก็เป็นกิเลสเรียกว่าความฟุ้งซ่าน แล้วตรงที่ท่านบอกว่าทำไมผมไม่บรรลุพระอรหันต์เสียที อันนั้นเป็นกิเลสชื่อกุกกุจจะหงุดหงิดใจรำคาญใจ พระอนุรุทธได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูจิต แล้วท่านปฏิบัติไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ ฉะนั้นแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ทางใครทางมัน
ไม่ว่าจะเดินด้วยกายด้วยเวทนาหรือด้วยจิตหรือด้วยธรรม ก็ไปสู่ที่เดียวกันคือไปถึงพระนิพพานด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องเดินตามขั้นตอน กำลังแก่กล้าแค่ไหนก็โดดเข้าไปตรงนั้นเลย หลวงพ่อไปเรียนกับหลวงปู่ดูลย์ท่านไม่ได้ให้ดูกาย ท่านบอกว่าการปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง หลวงพ่อก็มาอ่านจิตตนเอง จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ จิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้ ตามรู้ไปเรื่อยๆ จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ ดูไป
อย่างตัวอย่างของท่านที่บรรลุด้วยธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานคือพระพุทธเจ้า บางคนไม่เข้าใจก็ไปอธิบายว่า หรือเขาอาจจะเข้าใจแต่เข้าใจอย่างของเขา ต้องพูดอย่างนี้ ไปว่าเขาไม่เข้าใจ ไม่ถูก เขาเข้าใจอย่างของเขาว่าพระพุทธเจ้าไม่ต้องทำสติปัฏฐาน ท่านพิจารณาท่านคิดเอา คิดปฏิจจสมุปบาทแล้วก็บรรลุพระอรหันต์ คิดว่าอะไรเป็นทุกข์ ทุกข์มีอยู่เพราะชาติ ชาติมีอยู่เพราะภพ ภพมีอยู่เพราะอุปาทาน อุปาทานมีอยู่เพราะตัณหา ตัณหามีอยู่มีเวทนาเป็นปัจจัย เวทนามีผัสสะทำให้เกิดขึ้นมา ผัสสะเกิดขึ้นเพราะมีอายตนะภายในภายนอกกระทบกัน
มีอายตนะภายในภายนอกมันมีรูปธรรมนามธรรม รูปธรรมนามธรรมนี้เกิดจากจิตหยั่งลงไปมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตก็เป็นไปตามกำลังของเจตนาที่เรียกว่าสังขาร สังขารในปฏิจจสมุปบาทนี้คือตัวเจตนา เราเจตนาดีเจตนาชั่วอะไรอย่างนี้มันจะพาเราปรุงสร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์ไปเรื่อยๆ แล้วสังขาร มีอะไรมีอยู่สังขารจึงมีอยู่ เพราะอวิชชามีอยู่สังขารจึงมีอยู่ ท่านพิจารณาขึ้นลงขึ้นลงทบทวนไปเรื่อยๆ แล้วท่านก็รู้แจ้งแทงตลอดปฏิจจสมุปบาทด้วยตัวเอง เลยได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันนี้เป็นธัมมานุปัสสนาที่สูงที่สุดชื่อสัจจบรรพ อยู่ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฉะนั้นจริงๆ พระพุทธเจ้าก็ทำธัมมานุปัสสนา ก่อนจะมาธัมมานุปัสสนาท่านทำสมถะชนิดที่ทำให้จิตตั้งมั่นด้วยอานาปานสติ ฉะนั้นอย่าโมเมว่าพระพุทธเจ้าบรรลุพระอรหันต์เพราะอานาปานสติ อานาปานสตินั้นท่านฝึกให้จิตท่านมีพลังแล้วก็ตั้งมั่น มีสัมมาสมาธิแล้วท่านก็ไปเดินปัญญา ไปดูตัวชาติจริงๆ ไม่ใช่คิดหรอก ทำไมถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าก็ทำวิปัสสนาเหมือนกัน เป็นความเห็นหลวงพ่อ ว่าท่านทำสติปัฏฐานเหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกสติปัฏฐานเป็นทางสายเอกเป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพัน ถ้าท่านไม่ต้องทำสติปัฏฐานท่านก็ต้องบอกสติปัฏฐานเป็น 1 ใน 2 ของทางหลุดพ้น ท่านไม่ได้บอกอย่างนั้น
ที่จริงถ้าเราภาวนาเราจะรู้เลยคิดเอาไม่ได้หรอก คิดเอาของหลอกๆ พอภาวนาเรื่อยๆ เราจะเห็นเลยความทุกข์มันเกิดจากอวิชชาไม่รู้อริยสัจ พอไม่รู้อริยสัจจิตก็หลงปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็สร้างชาติ สร้างภพ สร้างทุกข์ ขึ้นมา พอดับๆๆ ลงไป จนถึงดับอวิชชา แต่ก่อนหลวงพ่องง ดับราคะโทสะอะไรอย่างนี้ง่าย รู้ปุ๊บดับปั๊บ ดับอวิชชาจะดับอย่างไรมีตั้ง 4 ตัว แยกย่อยอย่างละเอียดมี 8 ตัว มีเรื่องเหตุเรื่องผล เรื่องผลไปเหตุ เรื่องเหตุไปผล มีตั้ง 8 อย่าง แต่เอาง่ายหน่อยก็มี 4 อย่าง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วเราต้องทำกิจ 4 อย่าง รู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค ต้องทำกิจ 4 อย่างให้สำเร็จในขณะจิตเดียว มันจะทำได้อย่างไร
การทำกิจทั้ง 4 ให้จบในขณะจิตเดียว
เวลาเรารู้ทุกข์เราก็มัวแต่สังเกตทุกข์ไม่ได้ละสมุทัย เวลาเราจะละสมุทัยพยายามความอยากเกิดมีสติรู้ทันก็ดับไปเดี๋ยวก็อยากอีกแล้ว ละได้ไม่เด็ดขาด ทำอย่างไรอริยมรรคจะเกิด อ้าว พระพุทธเจ้าบอกไม่มีใครทำอริยมรรคให้เกิดได้ อริยมรรคเกิดเมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์ อันนี้ก็ทำไม่ได้อันนั้นก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวที่ยากที่สุดคือตัวอวิชชานี่ล่ะ ทีนี้ทำอย่างไรเราจะทำกิจทั้ง 4 นี้ให้จบในขณะจิตเดียว
สำหรับภูมิจิตภูมิธรรมระดับพวกเราให้รู้ทุกข์ไว้ เพราะทุกข์เป็นของที่หยาบ รู้สึกกายรู้สึกใจไป รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รู้สึกถึงความจริงว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเราเป็นแค่วัตถุก้อนธาตุ เดินปัญญาไปลำดับนี้ รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตใจ รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวตนของเรา จิตใจมันทำงานของมันได้เอง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ เรียกว่าเรารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว
คำว่าทุกข์ตัวนี้ไม่ใช่ทุกขเวทนา ไม่ใช่ความทุกข์อย่างที่ชาวโลกรู้จัก สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือขันธ์ 5 ของเรา รูปธรรมนามธรรมที่มารวมตัวด้วยกำลังของกรรม มาอยู่ตรงนี้ ให้เรารู้ รู้ไปเรื่อยๆ ก็ดูเริ่มจากกายจากเวทนาจากจิตจากธรรม กำลังมันจะมีเริ่มได้ตรงไหนเริ่มตรงนั้น อันนี้เรียกว่าการรู้ทุกข์ พอรู้แจ่มแจ้งแล้ว โอ้ กายนี้ทุกข์ล้วนๆ พอเห็นกายนี้ทุกข์ล้วนๆ หรือทีแรกมันไม่เห็นอย่างนั้น มันเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูไปจิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็เห็นจิตก็ไม่ใช่เรา กายไม่ใช่เราจิตไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี ตรงที่เห็นว่าตัวเราไม่มี พระโสดาบัน ภูมิจิตภูมิธรรมพระโสดาบัน
ถัดจากนั้นสมาธิเราแข็งแรงขึ้น พระโสดาบันสมาธิยังอ่อน คือจิตไม่ค่อยตั้งมั่นไหลไปไหลมาตลอดเวลาเลย พอได้ธรรมะขั้นที่ 2 สมาธิแข็งแรงขึ้นจิตตั้งมั่น เวลาไหลไปก็ไหลสั้นๆ ไหลแป๊บก็รู้แล้ว ตรงที่เราตัดกิเลสครั้งที่ 3 มันรู้แจ้งแทงตลอดแล้วว่ากายนี้คือทุกข์ล้วนๆ กายนี้คือตัวทุกข์ เห็นไหมเริ่มเห็นตัวทุกข์แล้ว จะเห็นตัวทุกข์จริงๆ จะแจ่มแจ้งจริงๆ ระดับพระอนาคากับพระอรหันต์ ไม่รู้ในตำรามีไหม พูดจากฟังครูบาอาจารย์มา เรียนมาจากครูบาอาจารย์
พอเห็นกายนี้เป็นทุกข์ ตัณหาคือความอยากให้กายเป็นสุขอยากให้กายไม่ทุกข์มันไม่เกิดแล้ว เพราะจิตมันมีปัญญามันฉลาดแล้ว รู้ว่ากายคือทุกข์มันจะไปอยากให้มันไม่ทุกข์ได้อย่างไร รู้ว่ากายเป็นทุกข์มันจะไปอยากให้มันสุขได้อย่างไร ฉะนั้นมันจะหมดความอยาก หมดความอยากในกาย เมื่อหมดความอยากในกาย ก็คือหมดความอยากในตา หู จมูก ลิ้น กาย ตามันก็เป็นกาย หูจมูกลิ้นก็เป็นกาย ร่างกายนี้ก็เป็นกาย มันรู้ความจริงว่าคือตัวทุกข์ ความหิวอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็ดับไป เรียกว่ากามคุณอารมณ์ไม่สามารถยั่วจิตเราให้กระโจนเข้าไปหาได้อีกแล้ว จิตจะไม่โดดใส่กามคุณอารมณ์แล้ว
เมื่อจิตไม่โดดไปเกาะกามคุณอารมณ์มันก็ไม่มีความยินดีในกามคุณอารมณ์ ไม่มีความยินร้ายในกามคุณอารมณ์ มันไม่ใส่ใจ ไม่เอาแล้ว ไม่ยึดไม่ถือแล้ว เราก็พ้นเด็ดขาดจากความยึดถือในตัวรูป นี่คือภูมิจิตภูมิธรรมของพระอนาคามี ถือว่าเป็นปัญญาขั้นกลาง แล้วการปฏิบัติถัดจากนั้นมันจะบีบวงเข้ามาที่จิต เพราะว่ามันคล้ายๆ มันลอกเปลือกออกไปแล้วเข้ามาถึงแก่นแล้ว ถึงแก่นกลางของชีวิตเราแล้วก็คือจิตใจของเรานี่เอง ทีแรกในระดับพระโสดาบันเราเห็นจิตไม่ใช่ตัวเรา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันทำงานของมันได้เอง อันนั้นเป็นภูมิจิตภูมิธรรมของพระโสดาบัน
แล้วตรงที่เราภาวนามาเรื่อยๆ จนเราเห็นจิตนั้นคือตัวทุกข์ ไม่ใช่แค่เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความรู้ความเข้าใจมันสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ตรงที่เราเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราเดินวิปัสสนาอยู่ แต่ตรงที่เราเห็นว่าจิตคือตัวทุกข์ มันไม่เหมือนกันตรงนี้ ตรงนั้นจิตจะปล่อยวางจิตได้ เพราะรู้แทงแจ่มแจ้งแล้วก็หมดความยึดถือ โยนมันทิ้งไป ปล่อยวางได้ จิตก็จะเข้าไปทรงพระนิพพานอยู่ อันนี้ปัญญาถึงขั้นสุดยอด สมาธิถึงขั้นสุดยอดแล้ว ทำไมเรียกว่าสมาธิถึงขั้นสูงสุดแล้ว พระอนาคามีจิตไม่ไหลไปในกามคุณอารมณ์แล้ว พระอรหันต์จิตไม่ไหลไปกระทั่งในรูปพรหมอรูปพรหม ไม่ติดในรูปารมณ์อรูปารมณ์
เพราะฉะนั้นจิตไม่มีที่ไป ไม่มีการไหลไปไหลมา ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนว่าจิตพระอรหันต์ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรสักอย่าง มันว่างจริงๆ อย่างว่างที่นั่งสมาธิแล้วว่าง แต่งจิตแล้วว่าง ว่างเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็วุ่นอีกแล้ว ใช้ไม่ได้ ที่บอกว่าง ว่างตัวนี้มันไม่ใช่ว่างเปล่า มันเป็นว่างที่มีความอิ่มมีความเต็มอยู่ในตัวเอง มีบรมสุขอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่ว่างเปล่าแห้งแล้ง ไม่ใช่
สว่าง สว่างเพราะว่าไม่มีขี้ฝุ่นไม่มีละออง มันผ่องใสทั้งวันทั้งคืน บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเจือปน ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้แล้ว หยุดความปรุงแต่งคือจิตไม่ปรุงแต่งแล้ว การทำงานของจิตใจเป็นอัตโนมัติ สักว่าทำ สักว่ารู้ สักว่าเห็น สักว่าได้ยิน สักว่าได้กลิ่น สักว่าได้รส สักว่ารู้อารมณ์ทางใจ สักว่าคือรู้กระทบอะไรก็ไม่ยินดีไม่ยินร้าย แต่ไม่ได้แห้งแล้ง คล้ายๆ ว่ามันเต็มไปด้วยความสุขความสงบความวิเวกอย่างยิ่งเลย ว่างสว่างบริสุทธิ์ หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา ไม่แสวงหา
จิตของพวกเรายังแสวงหาที่เกิดอยู่ ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ สัมภเวสีคือผู้แสวงหาความเกิด ผู้แสวงหาภพนั่นล่ะ สังเกตไหมจิตเราแสวงหาภพ ตัวนี้ดูยากนิดหนึ่ง เอาง่ายๆ หน่อย ตื้นๆ หน่อย คือสังเกตไหมจิตเราหิวอารมณ์นึกออกไหม จิตมันหิวอารมณ์แล้วก็โดดตะครุบโน้นตะครุบนี้ มันแสวงหาภพ ส่วนจิตพระอรหันต์ไม่แสวงหาภพแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีงานต้องทำ จบกิจไม่มีงานต้องทำแล้ว ไม่ต้องแสวงหาอะไร มันก็ไม่มีที่หยั่งลงไปเกิดอีก ถ้าจิตอย่างพวกเรามันยังแสวงหาภพแสวงหาการเกิดอยู่ ทั้งที่บอกว่าอยากไม่เกิด อยากไม่เกิด แค่อยากไม่เกิดก็เกิดแล้ว มันคือความปรุงแต่งคือตัณหา มันละเอียด
หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต พวกเราถ้าภาวนาดีๆ เราจะเห็นจิตมีกิริยาเสมอ ตากระทบรูปจิตกระเทือน หูได้ยินเสียงจิตก็กระเทือน จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส จิตก็กระเทือน ใจกระทบความคิดจิตก็กระเทือน ส่วนใหญ่จะเห็นสั่นสะเทือนขึ้นกลางอก สั่นสะเทือนขึ้นมาบางทีบางคนก็เห็นมันหมุน เห็นมันหมุนวนอยู่ไม่ได้เรื่องได้ราว มีแต่ทุกข์ล้วนๆ ถ้าภาวนามาจนเห็นวัฏฏะที่หมุนอยู่กลางอก ภาวนามาได้ดีมากๆ แล้ว มาได้ค่อนทางครึ่งทางแล้ว จิตพระอรหันต์ไม่มีหมุน ไม่มีหมุน
ทำมืออย่างนี้ไม่ได้บอกว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ แค่จะชี้โลเคชั่นเท่านั้นว่ามันหมุนอย่างนี้ เดี๋ยวบอก เฮ้ย ชี้มาที่ตัวเอง พูดถึงพระอรหันต์แล้วชี้ตัวเอง นี่อวดอุตริ คนที่ว่านั่นล่ะอวดอุตริ มันเข้าถึงว่างสว่างบริสุทธิ์ หยุดความปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่เหลืออะไรสักอย่าง คือไม่มีความปรุงแต่งใดๆ สักอย่างหนึ่ง ที่ว่าไม่เหลืออะไรสักอย่าง
สัมมาวายามะ
สิ่งเหล่านี้เราจะได้มาถ้าเราลงมือปฏิบัติ จะลงมือปฏิบัติสิ่งแรกต้องห้าวหาญต้องกล้าหาญ ถ้าใจอ่อนแอท้อแท้ก็ปฏิบัติไม่ได้ ตั้งใจรักษาศีล ศีลเป็นฐานที่สำคัญ สร้างตึกยังต้องมีเสาเข็มเลย ศีลก็คือเสาเข็ม เมื่อตั้งใจรักษาศีลแล้วก็ขั้นต่อมาคือฝึกจิต การทำสมาธิคือการฝึกจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา ถ้าจะฝึกจิตให้สงบก็น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง พาจิตไปรู้อารมณ์อันนั้น ไม่บังคับ จิตจะหนีจากอารมณ์นั้นเมื่อไรก็ได้ แต่หนีแล้วเรารู้ไวๆ หน่อย แล้วก็ไม่ต้องอยากสงบ อยากสงบก็ผิดทันทีแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ภาวนาแทบเป็นแทบตายแล้วไม่ได้ผลเพราะทำผิด
มันผิดตรงไหน ผิดตรงที่เริ่มต้นก็จะเอาสมาธิ สัมมาสมาธิมันตามหลังสัมมาสติมาในองค์มรรค นึกออกไหม มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีนี้อยู่ๆ บอกจะเอาสัมมาสมาธิโดยไม่เคยฝึกสติ มันก็จะได้มิจฉาสมาธิ เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ทำสมาธิคือมิจฉาสมาธิ นั่งเพ่ง นั่งจ้อง นั่งเครียดๆ นั่งเคลิ้บเคลิม เห็นโน้นเห็นนี้ สัมมาสมาธิมาจากสัมมาสติ สัมมาสติมาจากสัมมาวายามะ
สัมมาวายามะหมายถึงจิตใจเรามีความกล้าหาญห้าวหาญที่จะต่อสู้กับกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสมาเกิดอีก ที่จะทำให้กุศลที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น กล้าหาญที่จะรักษากุศลเอาไว้ ต้องใช้ความกล้าหาญ
คำว่าสัมมาวายามะ รากของมันคือคำว่าวีระ กล้าหาญ คำว่าวีระคนไทยมาแผลงเป็นคำว่าเพียร ก็คือคำว่ากล้าหาญ เข้มแข็งกล้าหาญ พอใจเราเข้มแข็งกล้าหาญที่จะสู้กิเลสที่จะพัฒนาใจให้เป็นกุศลสูงขึ้นๆ เราก็จะยอมลำบากยากเย็นแค่ไหนก็ยอมสู้ไม่ถอย จะนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือจะทำสติอะไรอย่างนี้ ทำตลอดเลยไม่มีเว้นวรรคเลย คอยมีสติรู้กายสติรู้ใจไป สติที่รู้กายรู้ใจตัวเองเรียกสติปัฏฐานคือสัมมาสติ สติรู้อย่างอื่นไม่ใช่สัมมาสติ อย่างรู้เดินไม่ตกท่ออะไร ขับรถไม่ชนคนอื่น บอกมีสติ นั่นสติโลกๆ สัมมาสติคือสติปัฏฐาน สัมมาสติอย่างเราโกรธเรารู้ว่าโกรธ ความโกรธจะดับอัตโนมัติ ทันทีที่ความโกรธดับ จิตเราจะตั้งมั่นขึ้นมาทันทีเลย สัมมาสติคือความตั้งมั่นของจิตไม่ใช่ความสงบของจิต ความสงบนั้นเป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ต้นทางของสมาธิเท่านั้นเอง
ถ้าเราเมื่อไรเรารู้สภาวธรรมตรงตามความเป็นจริง สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นร่วมกับสัมมาสติเสมอ ฉะนั้นสัมมาสติเกิดเมื่อไรสัมมาสมาธิก็เกิดเมื่อนั้น อัตโนมัติเลย อย่างจิตเราหลงไปเรารู้ว่าหลง จิตที่หลงดับ จิตรู้จะเกิดขึ้นมาจะตั้งมั่นขึ้นมาด้วยกำลังของสติ เมื่อจิตของเราตั้งมั่นได้สัมมาสติแล้ว ทำให้มากเจริญให้มาก จิตจะมีกำลังตั้งมั่นทรงตัวอยู่โดยไม่ต้องบังคับ สามารถทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ต้องบังคับ ถ้าฝึกมาทางฌานก็จะทรงตัวอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน ถ้าฝึกว่าหลงแล้วรู้หลงแล้วรู้ก็อยู่ได้ชั่วขณะ แต่พอเกิดบ่อยๆ มันก็จะรู้สึกยาวนานขึ้น ความรู้สึกตัว
เมื่อจิตมีสมาธิเพียงพอจิตก็จะเห็นกายนี้ไม่ใช่จิต ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ใช่กายไม่ใช่จิต กุศลอกุศลไม่ใช่ร่างกายไม่ใช่สุขทุกข์ไม่ใช่จิต ตัวจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะเห็นไปอย่างนี้
แรกๆ เราจะเห็นว่าจิตมีดวงเดียว แล้วก็วิ่งไปทางตาแล้วก็กลับมา แล้วก็วิ่งไปทางหูแล้วก็กลับมา ที่มันกลับมาได้เพราะจิตมีสัมมาสมาธิ แต่มันยังไม่ถูก ยังเห็นว่าจิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมา อันนี้ยังเป็นสัสสตทิฏฐิอยู่ เห็นว่าจิตเที่ยง เมื่อวานยังมีพระที่วัดมาส่งการบ้านองค์หนึ่ง ท่านบอกท่านเห็นจิตมันดับ เกิดดับเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จิตรู้อยู่ชั่วขณะแล้วมันก็หายไป มันไปเกิดจิตอีกดวงหนึ่งที่ไปดูรูป จิตที่ไปดูรูปอยู่ชั่วขณะแล้วก็ดับไปเกิดจิตที่รู้สึกตัวขึ้นมา จิตที่รู้สึกตัวอยู่ชั่วขณะแล้วก็ดับไปเกิดจิตที่ไปฟังเสียง ท่านบอกอย่างนี้ ท่านเห็นจิตไปเดินอยู่ตรงไหนมันก็ดับตรงนั้น ไม่ใช่จิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมา ถ้าเห็นจิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมาก็แสดงว่าจิตเที่ยง ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่
ถ้าเห็นอย่างนี้มีแต่เกิดดับนี้เข้ามาถึงจิตจริงๆ แล้ว จะเห็นจริงๆ แล้วจิตมันเกิดดับ ตรงที่เห็นจิตเกิดดับได้เพราะสันตติขาด สันตติขาดเพราะสติสมาธิของเราแข็งแรง สันตติคือความสืบเนื่อง มันเหมือนฟิล์มหนัง ฟิล์มหนังโบราณ รูปแต่ละรูปมันมีความแตกต่างกันนิดเดียว แล้วมันไม่ได้เคลื่อนไหว แต่พอฟิลม์ผ่านเครื่องฉายอย่างรวดเร็วมันเลยรู้สึกมีตัวการ์ตูนหรือมิกกี้เมาส์อะไรสักตัวหนึ่งทำงานเคลื่อนไหววิ่งไปวิ่งมาได้ อันนี้คือภาพลวงตาทั้งหมดเลย การที่เราเห็นจิตวิ่งไปวิ่งมา ยังเห็นแต่ภาพลวงตา ยังไม่ได้เห็นจิตจริง
ถ้าสันตติขาดหมายถึงเราจะเห็นรูปๆ นี้กับอีกรูปหนึ่งเป็นคนละอัน รูปในฟิล์มหนังแต่ละรูปแต่ละรูปเป็นคนละอัน ถ้าเห็นอย่างนี้เราจะรู้เลยจิตนี้เกิดดับตลอดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้เรียกว่าสันตติขาดคือความสืบต่อขาด พอความสืบต่อขาดขึ้นวิปัสสนาตัวจริงแล้ว เห็นไหมวิปัสสนาไม่ได้ง่าย ไปเข้าคอร์ส 3 วัน 7 วัน แล้วก็ทำวิปัสสนาได้ญานชั้นนั้นชั้นนี้ โอ้ย ยานต่องแต่งนะสิ เดี๋ยวก็กลับมาเหมือนเดิม อย่าอวดรู้อย่าอวดดีเกินธรรมะ อย่าคิดเอาเอง
ถ้าทำแล้วลดละกิเลสไม่ได้ไม่ใช่ของจริงหรอก แล้วถ้ากิเลสสงบลงไป ก็ต้องสังเกตสงบเพราะฌาน หรือสงบเพราะสมาธิ หรือสงบเพราะฌาน หรือสงบเพราะสติ หรือสงบเพราะปัญญา สงบเพราะปัญญาสงบชั่วคราว หรือถ้าสงบด้วยมรรคขาดด้วยมรรคอันนั้นถาวร ฉะนั้นที่บอกว่าจิตเราเข้าขั้นได้โน้นได้นี้ เดี๋ยวเสื่อมอีก

วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ยากไปไหม ใครว่ายากยกมือ ไปรีรันบ่อยๆ วันหนึ่งความไม่รู้ของเรามันก็ทนสติปัญญาของเราไม่ได้หรอก ธรรมะไม่ใช่ว่าฟังทีเดียวแล้วรู้แจ้งแทงตลอด บารมีเราไม่เหมือนคนยุคพุทธกาล เขาฟังธรรมะบทเดียวกัณฑ์เดียวก็บรรลุพระอรหันต์กันทีหนึ่งตั้ง 1,000 องค์ บางทีก็ 500 องค์ 250 องค์อะไรอย่างนี้ บรรลุกัน ของเราฟังกัน 1,000 ครั้ง เขาฟังครั้งหนึ่งก็ได้ 1,000 องค์ เราฟัง 1,000 ครั้งก็คลับคล้ายคลับคลา
บางคนเรียนกับหลวงพ่อ 20 ปี แล้วเรียนไม่ได้ไม่รู้เรื่อง จนหลวงพ่อทนไม่ไหว ไปเดินจงกรมวันละ 3 ชั่วโมง เดินแล้วก็ต้องเดินให้เป็น ไม่ใช่เดินตะบี้ตะบัน เดินแล้วคอยรู้ทันใจตัวเอง ตอนไหนยังดูจิตใจไม่ออกก็เห็นร่างกายมันเดินไป เดินสักพักจิตจะหนีไปคิดเรื่องอื่น ให้รู้ทันว่าจิตหนีไปแล้ว ทิ้งการเดินไปแล้ว หรือเดินๆ อยู่จิตถลำไปเพ่งร่างกายให้รู้ทัน อันนี้หลงไปเพ่งแล้ว ฉะนั้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตเผลอไปจากอารมณ์กรรมฐานรู้ทัน จิตไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานรู้ทัน ฝึกอย่างนี้บ่อยๆ จิตจะมีกำลัง มีกำลังมากขึ้นๆ แล้วมันจะเห็นว่าขันธ์มันแตกออกไป ที่จริงขันธ์มันไม่ได้มารวมตัวกันด้วยตัวของมันเองหรอก เราไปหมายรู้ผิดไปคิดผิดไปเชื่อผิดเท่านั้นเอง
ถ้าสติสมาธิของเราแข็งแรงพอ เราจะเห็นขันธ์มันแยกกันอยู่แล้ว ที่มันชื่อขันธ์ก็แปลว่ามี 5 ส่วน ส่วนทั้ง 5 แยกกันอยู่แล้ว จิตที่ไม่ได้รับการอบรมไม่มีสติปัญญาก็ไปหมายรู้ผิดไปคิดผิดไปเชื่อผิด ว่ามันเป็นตัวเราของเรา อ้าว วันนี้เท่านี้ แค่นี้ก็แย่แล้ว ที่หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังบางคน 20 ปี บางคน 30 ปี บางคนชาติหน้า บางคนอีก 7 ชาติ อย่าถอย เห็นไหมว่าสัมมาวายามะต้องแข็งแรงต้องสู้ ถ้าใจไม่สู้ไม่ถึงหรอกพระนิพพานถึงแต่พานเฉยๆ
วัดสวนสันติธรรม
แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
19 ตุลาคม 2568