เมื่อเสาร์-อาทิตย์ก่อน หลวงพ่อไม่ได้เทศน์ที่วัด ต้องขอโทษโยมที่จองเข้ามาฟัง แล้วก็โยมที่จองซูมไว้ พอดีติดธุระ ไปงานศพโยมแม่หลวงพ่อ ไม่ว่ากันนะ แม่หลวงพ่ออายุยืน อายุ 100 ปี กับ 5 เดือน กับอีก 25 วัน ไม่ได้ให้หวย เล่าให้ฟังเฉยๆ แกอายุยืน เป็นคนใจดี ใจเย็นๆ ช่วงแกไม่สบาย นอนติดเตียงอยู่นาน ก็เปิดยูทูปหลวงพ่อ มันเป็นเหมือนโทรทัศน์อันเล็กๆ แค่นี้ แกเปิดของแกทั้งวัน ฟังไปเรื่อยๆ ใจก็เคล้าเคลียอยู่กับธรรมะ ที่เข้ามาฟังก็เพราะว่าลูกบวช อานิสงส์ของลูกบวช พ่อแม่ก็เลย รักลูกก็เลยสนใจฟังไปด้วย แกก็ตายได้สวยงาม
วันที่จะตาย วันที่ 8 ธันวาคม หลังวันเกิดหลวงพ่อ 1 วัน ปกติแกจะนอนหลับ แกตื่นขึ้นมาตี 4 น้องหลวงพ่อเฝ้าอยู่ ถาม “แม่เจ็บตรงไหนไหม” “ไม่เจ็บ” รู้เรื่อง สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จากนั้นก็หลับไป แล้ว 8 โมงเช้าก็ตาย ตายเงียบๆ สบายๆ หลวงพ่อก็เลยต้องไปงานศพ เข้ากรุงเทพฯ หลายวัน เลยของดเทศน์วันเสาร์-อาทิตย์ วันเสาร์เป็นวันเผาก็ไปเทศน์ เทศน์ในงานศพนั้น ก็ทำหน้าที่
คนเราเกิดมามีหน้าที่
คนเราเกิดมาก็มีหน้าที่ ไม่ใช่มีแต่สิทธิ เด็กรุ่นหลังมันเรียนอะไรมาก็ไม่รู้ พิลึก เรียนมาไม่สมบูรณ์ เรียกร้องแต่สิทธิ แต่หน้าที่ไม่เอา อย่างสิทธิของพลเมือง เรียกร้อง อยากได้สิทธิ์เลือกตั้ง อยากได้อย่างโน้นอย่างนี้ หน้าที่อย่างเกณฑ์ทหารอะไรอย่างนี้จะไม่เอา เอาแต่สิทธิไม่เอาหน้าที่ เหลวไหล เป็นไปไม่ได้ เห็นแก่ตัว เมื่อเช้ายังสอนพวกทิดที่เคยบวชอยู่กับหลวงพ่อกลุ่มหนึ่ง ว่าเราแต่ละคนมีหน้าที่ เป็นฆราวาสก็มีหน้าที่อย่างฆราวาส เป็นพระก็มีหน้าที่อย่างพระ อย่างเรามีครอบครัว มีพ่อ มีแม่ มีเมีย มีลูก ก็มีหน้าที่ดูแล
การดูแลพ่อแม่ก็เป็นมงคล การดูแลลูกเมียก็อยู่ในมงคล ในมงคล 38 บางคนคิดตื้น อยากบวช แล้วทิ้งหน้าที่ อันนี้มันไม่ถูกหรอก มีหน้าที่ก็ต้องทำหน้าที่ แล้วการทำหน้าที่ มันไม่ได้ขวางกั้นการปฏิบัติ จะเอาแต่นิพพาน จะเอาแต่นิพพาน แต่ละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง จิตใจมันจะกังวล มัน Guilty จะ Guilty ละอายใจตัวเอง ภาวนายาก เมื่อก่อนก็มีคนมาบวช อยากนิพพาน เสร็จแล้วก็ห่วงพ่อ ห่วงแม่ ห่วงเมีย เวลาเป็นฆราวาสอยู่บ้าน คิดถึงวัด มาอยู่วัดก็คิดถึงครอบครัว คิดถึงลูกเมีย คิดถึงบ้าน อันนี้ทำหน้าที่ผิดแล้ว การที่เรามีหน้าที่ดูแลครอบครัว ดูแลลูก มันไม่ได้ขวางการปฏิบัติหรอก ถ้าเราวางใจได้ถูก
แต่ถ้าวางใจไม่ถูก ขวาง ถึงมาบวช มันก็ยังขวางอยู่ สุดท้ายก็อยู่ไม่ไหว การที่เราทำหน้าที่ของเรา มันเป็นการบ่มเพาะจิตใจตัวเอง ให้เกิดความเสียสละ เราต้องมีขันติ มีความเสียสละ สมัยก่อนหลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อเมื่อปี 2525 พอภาวนาเป็นแล้ว เราก็อยากบวชเหมือนกัน แต่มีภาระต้องดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ยังบวชไม่ได้ ในใจเคยอยากถามหลวงปู่ดูลย์ เรารู้ว่าหลวงปู่มีความรู้พิเศษเยอะ อยากถามท่านว่าต่อไปจะได้บวชไหม เสร็จแล้วไม่ถาม เรารู้เลยว่าใจเรามีความโลภ เราอยากบวช แล้วเราจะทิ้งหน้าที่ของเรา มันไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นหลวงพ่อก็ทำหน้าที่ ตอนเป็นฆราวาส ดูแลครอบครัว พ่อแม่ การทำมาหากินก็ทำ ทำก็ทำเต็มที่ บางคนแยกแยะไม่ออก มีผู้หญิงคนหนึ่งทำงานอยู่ทีโอที รู้จักกันดี เวลามีงานต้องไปว่าหัวหน้ากองว่าใจบาป คนเขาจะเดินจงกรม แล้วมาเรียกเขาไปทำงาน อย่างนี้ไม่ถูกหรอก เรามีหน้าที่ทำงาน เขาจ้างเรามาทำงาน เราก็ต้องทำงาน แต่ถ้าทำงานแล้วใจเราไม่ชอบ ให้รู้ทันตัวนี้ หรืออยู่ที่บ้าน ดูแลครอบครัว ใจเราไม่อยากดูแลเลย รู้สึกพะรุงพะรัง แต่เราก็ปฏิบัติธรรม เสียสละ ไม่ใช่เอาความโลภของเราเป็นใหญ่ เราดู เรามีหน้าที่อะไรจะต้องทำ เราก็ทำ แล้วก็ฝึกตัวเองไป อดทน อดทนต่อความอยากของตัวเอง ฝึกตัวเอง
เพราะฉะนั้นถึงเราเป็นฆราวาส เราก็ปฏิบัติธรรมได้ หลวงพ่อมีครอบครัวด้วยซ้ำไป เป็นฆราวาสก็ยังปฏิบัติได้ จนขนาดพระท่านถามเลยว่า “โยมทำได้อย่างไร พระปฏิบัติ 10 ปี 20 ปี ยังไม่เท่าที่โยมทำปีหนึ่งเลย” ที่ใช้หน่วยปีหนึ่งก็เพราะว่า ปีหนึ่งหลวงพ่อจะไปกราบครูบาอาจารย์องค์นี้ครั้งหนึ่ง พระอุปัฏฐากท่านก็เห็นมาตลอด ครูบาอาจารย์ท่านก็ชม ท่านเลยสงสัยเป็นพระแท้ๆ ครูบาอาจารย์ไม่ค่อยจะชม “ทำไมครูบาอาจารย์ชมโยม โยมภาวนาดีจัง” บอก “ผมปฏิบัติทั้งวัน”
ท่านก็งง บอกว่า “ปฏิบัติอย่างไรทั้งวัน” ก็ต้องทำมาหากิน ต้องดูแลบ้าน ดูแลครอบครัว ดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องทำหมด แล้วจะปฏิบัติได้อย่างไร ก็หัดปฏิบัติให้เป็น แล้วมันไม่ขวางกันหรอก คือถ้าหน้าที่การงานที่เราทำ ไม่ผิดศีลผิดธรรม ไม่ขวางการปฏิบัติ ถ้ายิ่งเราไม่อยากทำ แล้วเราจำเป็นต้องทำ มีหน้าที่ต้องทำแล้วเราก็ทำ อันนี้เราได้ธรรมะที่ดีหลายตัวเลย เราได้ความเสียสละ เราได้ความอดทน รู้จักรอเวลา
ฉะนั้นเราอย่าบ่นว่า โอ๊ย งานเยอะ ไม่มีเวลาปฏิบัติ พระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน งานท่านเยอะกว่าเราหลายเท่า ทำไมท่านปฏิบัติได้ ท่านเคยเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังว่า อย่างท่านทำงาน มีเวลาเหลืออยู่ 5 นาที ท่านก็ภาวนา มีเวลานิดๆ หน่อยๆ ไม่ทิ้งเปล่าๆ ของเรามีเวลาเล็กน้อย ทิ้งหมดเลย ไม่เอาแล้ว อยากพักผ่อน จะพักอะไรนักหนา จริงๆ แล้วการพักผ่อนอย่างโลกๆ มันไม่ค่อยได้พักจริง ไปดูหนัง ไปฟังเพลง ไปทัศนาจรอะไร มันแค่หนีความจริง หรือหนีทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้พักจริง
กายวิเวก
ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ เราจะรู้ การพักของเรา คือการปลีกตัวอยู่ แล้วเข้าอยู่กับความสงบของเรา อยู่กับวิเวก มีกายวิเวก อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด ถ้าอย่างอยู่บ้าน เราก็มี Safe Zone สักมุมหนึ่ง ถึงเวลาเราก็ไปภาวนา ไปปฏิบัติ อาจจะไปเดินหลังบ้าน หรือไปนั่งตรงนั้นตรงนี้ แล้วบอกคนในบ้านไว้ว่าตรงนี้ขอพัก ถ้าเราอยู่ตรงนี้อย่าเพิ่งมากวน ก็คุยกันได้ Safe Zone หลวงพ่ออยู่ที่บ้าน เราทำบ้านของเราให้มันสงบสุข มันก็ภาวนาได้ มีกายวิเวก
ภาษาในพระไตรปิฎก บอกอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด คือที่ไม่พลุกพล่าน ที่ๆ เป็นส่วนตัว อยู่ในที่ส่วนตัว พื้นที่ส่วนตัว ไม่ยุ่งกับคน แล้วก็ยุคนี้ก็ต้องเอามือถือไปไว้ไกลๆ เพราะมือถือเป็นตัวทำลายความวิเวกที่ร้ายกาจที่สุดเลย เดี๋ยวคนโน้นก็ส่งข้อความมา เดี๋ยวเราก็อยากส่งข้อความไป วุ่นวาย เพราะฉะนั้นแต่ละวัน พยายามปลีกวิเวกบ้าง ไม่ใช่ต้องไปอยู่ป่าอยู่เขาอะไรหรอก ถ้าเราไม่มีโอกาสไป เราก็อยู่ที่บ้านเรานี้ล่ะ แบ่งเวลาไว้ ตอนนี้ขอเวลา คนอื่นอย่ายุ่ง
หลวงพ่อมีเวลาส่วนตัวอย่างนี้ตอนเย็นๆ ตอนเย็นๆ กลับบ้านอาบน้ำอาบท่า กินข้าว พักผ่อนนิดหน่อย แล้วก็ดูข่าวพระราชสำนัก จบแล้วก็เลิกแล้ว ไม่ดูแล้วละคร เวลานั้นก็เป็นเวลาส่วนตัวของเรา ภาวนาของเราไป บางวันใจมันเหนื่อยมาก เครียดกับการงานมาก ก็ให้มันผ่อนคลายเสียก่อน ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริง วิธีผ่อนคลายของหลวงพ่อก็มีหลายอย่าง อย่างซื้อหนังสือการ์ตูนเด็กมาอ่าน อ่านแล้วขำบ้าง ไม่ขำบ้าง เปลี่ยนอารมณ์นั่นล่ะ บางทีมันคือการเปลี่ยนอารมณ์ ไปอยู่ในอารมณ์ที่มันไม่ยั่วกิเลส
บางทีก็นั่งส่องพระ มีพระเครื่องอยู่กระป๋องหนึ่ง กระป๋องเล็กๆ ก็นั่งดู ดูพระ ใจเราก็ค่อยๆ สงบ พอใจเราสงบดีแล้ว เราก็ลงมือปฏิบัติได้จริงแล้ว นั่งอยู่ก็หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เดินอยู่ก็รู้สึกตัว นั่งอยู่ก็รู้สึกตัว ภาวนาไป ก่อนนอนก็กินน้ำเยอะๆ พอดึกๆ แล้ว คนอื่นเขาหลับแล้ว เราตื่น ปวดฉี่ ตื่นมาก็มาภาวนา แล้วนั่งสมาธิ อยู่บนเตียงนอนนั่นล่ะ นั่ง ตั้งใจไว้เลยว่า ถ้าจิตเราไม่รวม เราจะไม่นอนต่อ ฝึกตัวเอง
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้จักวิธีการปฏิบัติแล้ว เราจะพบว่า การปฏิบัติธรรมไม่ได้เบียดบังเวลา ของการใช้ชีวิตของเรา แต่ว่าการใช้ชีวิตต้องไม่ผิดศีลผิดธรรม ถ้าผิดศีลผิดธรรม ถึงไปนั่งสมาธิในวัด ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่มีศีลมีธรรม อย่างบางคนดูแลพ่อแม่ ไม่อยากดูเลย ใครจะไปอยากอยู่กับคนป่วยทั้งวัน มี มีผู้หญิงคนหนึ่ง รู้จักกัน ก็เป็นผู้อำนวยการกอง อยู่กระทรวงสาธารณสุข แม่ไม่สบาย
แกใจเด็ดจริง แต่บ้านแกมีกิน ไม่ได้กังวลเรื่องทำมาหากิน แกออกจากงาน แกไปเฝ้าแม่แก แล้วแม่แกก็ไม่เหมือนคนอื่นด้วย เวลานอน ลูกต้องไปนอนอยู่ปลายเตียง เท้าแม่ถูกตัวลูกแล้วสบายใจ ถ้าตื่นมาแล้ว ไม่ได้เจอลูก ไม่ได้อะไร ใจไม่สบาย แกก็ไปนอนขดอยู่ปลายเท้าแม่แก อยู่อย่างนั้นตั้งหลายปี เขาก็ทำหน้าที่ของเขา เวลาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร จิตใจเขาก็จะมีความสุข มันเป็นการทำบุญ จิตใจมันก็จะมีความสุข
เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปอ้าง งานเราเยอะ บ้านเรายุ่ง ไม่จำเป็นต้องอ้าง ภาวนาให้เป็นแล้ว มันทำได้ทั้งนั้น อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ยกเว้นเวลานอนหลับ ยกเว้นเวลาที่ทำงานที่ต้องใช้ความคิด นอกจากนั้นปฏิบัติได้ทั้งสิ้น เวลานี้มีเวลานิดหน่อย จะเข้าสมาธิเข้าอะไร เข้าไม่ทัน ก็นั่งทำกรรมฐาน หรือเดินทำกรรมฐานอะไรของเราไป สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ฝึกไปเรื่อยๆ ฝึกตัวเอง อย่าหาข้ออ้าง ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ปฏิบัติ ที่ไม่ปฏิบัติ ที่พูดออกมานั้นข้ออ้างทั้งนั้น สนองกิเลสไปเรื่อยๆ แล้วอยากได้นิพพาน แต่ไม่ได้เดินในเส้นทางที่จะไปสู่นิพพานเลย
ฉะนั้นเรื่องกายวิเวกก็สำคัญมาก บางคนชอบยุ่งกับคนอื่น งานสังคมเธอเยอะเหลือเกิน วันหนึ่งๆ มีงานสังคมโน้นนี้ทั้งวันเลย จนเกษียณแล้วก็ยังไม่เลิก มีน้องคนหนึ่งเกษียณมาจะ 10 ปีแล้ว ยังไม่เลิกเลย มีกิจกรรมเยอะแยะ เดี๋ยวศิษย์เก่าโน้น เดี๋ยวศิษย์เก่านี้ เดี๋ยวมูลนิธินั้น มูลนิธินี้ ช่วยงานเขาไปเรื่อยๆ แล้วเสียเวลาของตัวเองไป แต่ถ้าภาวนาเป็น ก็ต้องรู้จักปลีกวิเวก มีกายวิเวก ตัวที่สองคือจิตตวิเวก
จิตตวิเวก
จิตตวิเวก เราจะต้องฝึกให้จิตของเรามีวิหารธรรม เลือกดู จิตของเราอยู่กับอารมณ์กรรมฐานอะไรแล้วมีความสุข เราก็ฝึกของเราไป มีเวลาเมื่อไหร่ เวลาใจ หรือเวลาใจเราฟุ้งซ่าน ดูกายดูใจไม่รู้เรื่อง เราก็เข้าไปอยู่กับกรรมฐานของเรา อย่างตอนหลวงพ่อเป็นโยม ทำงานหนัก งานเยอะ อยู่สภาความมั่นคง งานประชุม งานเอกสาร งานอะไรนี้ งานติดต่ออะไร ประสานงานอะไรนี้เยอะแยะไปหมดเลย เราก็ยังมีจิตตวิเวกได้
กายวิเวกไม่ได้แล้ว ต้องยุ่งกับคนมากมาย มีหน้าที่ แต่จิตตวิเวกทำได้ เวลาจัดประชุมอะไรอย่างนี้ รอองค์ประชุมยังมาไม่ครบ มีเวลา 10 นาที 5 นาที หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ไม่ได้หลับตา ลืมตาแป๋วๆ นี่ล่ะ ไม่มีใครรู้เลยว่าเราภาวนาอยู่ การที่เราน้อมจิตไปอยู่กับวิหารธรรมของเรา มันคือการฝึกจิตตวิเวิก เวลานั้นจิตเราอยู่ในอารมณ์อันเดียว ไม่วอกแวกไปที่อื่น จิตเราก็วิเวกแล้ว ไม่คลุกคลีพัวพันกับอารมณ์โน้นอารมณ์นี้ วุ่นวาย ลองทำให้ได้
เวลาเมื่อก่อนขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถเมล์ก็ทำจิตตวิเวกได้ แล้วถ้าเราฝึกดีๆ กระทั่งโหนรถเมล์ สมัยโน้นรถเมล์คนแน่นมาก โหนกันต่องแต่งเลย ยังกายวิเวกเลย จิตตวิเวกก็ได้ กายวิเวกอย่างไร อยู่กับคนมากๆ แล้วใจเราไม่ไปเกาะไปเกี่ยว มันก็เหมือนเราอยู่คนเดียว เราก็ฝึกจิตฝึกใจของเราไป อยู่กับกรรมฐานของเราไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราไม่ได้เป็นคนขับรถ เราเป็นโหนรถ เป็นคนนั่งรถ หรือบางทีก็นั่งเรือ ชอบนั่งเรือ ที่บ้านอยู่เมืองนนท์ มาทำงานที่ทำเนียบ นั่งเรือด่วนจากเมืองนนท์มาขึ้นเทเวศน์ แล้วก็เดินไปที่ทำงาน
ตอนนั่งเรือมา เรือก็แน่นเช้าๆ เราก็เหมือนอยู่คนเดียว อยู่ท่ามกลางคนมากมาย แต่จิตของเราฝึกให้ดี เราก็จะเหมือนเราอยู่คนเดียว เราก็ภาวนาของเราไปได้เรื่อยๆ คนนั่งเรือกับคนนั่งรถ จิตไม่เหมือนกัน สมัยนี้ไม่รู้ แต่สมัยโน้นเห็น คนนั่งเรือใจมันจะสบายผ่อนคลาย แต่มันหลง มันหลงเผลอๆ เพลินๆ ดูแม่น้ำดูอะไรไป คนที่ขึ้นรถยนต์ในกรุงเทพฯ มันเครียด มันจะเคร่งเครียด ฉะนั้นจิตก็ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเวลา ถ้ามีโอกาสเลือก หลวงพ่อเลือกลงเรือ พวกนั้นเขาหลง เราไม่เกี่ยว เราก็ภาวนาของเราไป
การที่เราอยู่ท่ามกลางคนมากมาย แต่จิตเราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ไปคลุกคลีกับเขา อันนี้ก็เป็นทั้งกายวิเวก เป็นทั้งจิตตวิเวกเลย อยู่กับคนเยอะๆ ก็เหมือนอยู่คนเดียว แต่ถ้าจิตของเราไม่วิเวก อยู่คนเดียว ก็เหมือนอยู่กับคนเยอะๆ ฉะนั้นจิตที่ฝึกดีนำความสุขมาให้ เรามีกายวิเวก ไม่คลุกคลีวุ่นวาย ทำงานเสร็จก็รีบกลับบ้าน พักผ่อน หายเหนื่อยแล้วก็ภาวนาของเราไป ทำอะไรไม่เป็น ไหว้พระ สวดมนต์ไปก่อนก็ยังดี แล้วใจของเราสงบ อยู่กับอารมณ์กรรมฐานของเรา นี้เป็นจิตตวิเวก
อุปธิวิเวก อันนี้สงัด สงัดจากกิเลส วิธีสงัดจากกิเลส พวกเราก็ทำได้ เวลากิเลสมันเกิด มันตามหลังความคิดมา ถ้ามันจะคิดเรื่องที่ไม่ดี ทำได้ก็อย่าไปคิดมัน ไปหาเรื่องที่ดีๆ มาคิดแทน ฉะนั้นคิดเรื่องไม่ดี คิดเรื่องทางอกุศล คิดไปในทางพยาบาทวิตก คิดไปในทางกามวิตก คิดไปในทางวิหิงสาวิตก คือคิดไปด้วยกำลังของราคะ โทสะ โมหะ กิเลสที่มันไม่มี มันก็จะมีขึ้นมา มันฟูขึ้นมา
ฉะนั้นวิธีที่เราจะฝึกจิตให้เข้ามาสู่อุปธิวิเวก ขั้นแรกเลยฝึกจิตตวิเวกให้ดี อย่าไปถูกมันกระตุ้น กิเลสมันจะกระตุ้นให้เราคิดไม่ดี เปลี่ยน เราห้ามจิตคิดไม่ได้ ก็พามันคิดเรื่องที่ดี คิดถึงทาน คิดถึงศีลที่เราทำแล้ว คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรม คิดถึงพระสงฆ์ คิดถึงลมหายใจเข้าออก คิดถึงความตาย คิดถึงอะไรที่มันดีๆ คิดถึงคนดีๆ อย่างเมื่อก่อนหลวงพ่อเคยใช้ บางทีใจเราฟุ้งๆ นึกถึงสมเด็จพระเทพฯ พอนึกถึงท่านแล้วอารมณ์ดี สังเกตไหม อย่างสมเด็จพระเทพฯ เรานึกถึงท่าน แล้วเราจะอารมณ์ดี มีข่าวท่านไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยว อ่านแล้วก็ขำๆ แล้วก็สบายใจ ใจก็สงบแล้ว
การที่เราคิดถึงคนดี อย่างคิดถึงพระเจ้าอยู่หัว คิดถึงพระราชินี ท่านทำคุณทำประโยชน์ให้แผ่นดิน ให้ราษฎร ใจเราก็มีความสุข มีความสงบ ฉะนั้นหลวงพ่อจะชอบดูข่าวพระราชสำนัก แต่ตั้งแต่บวชไม่ได้ดูแล้ว ตอนก่อนจะบวชดูข่าวพระราชสำนัก ดูแล้วจิตเกิดกุศล เรียกว่าเทวตานุสติ เราระลึกถึงคนที่มีคุณงามความดี อย่างพระเจ้าแผ่นดินก็เหมือนเทวดา เป็นสมมติเทพ เรานึกถึงท่านแล้ว เราก็มีความสุข
อุบายในการปฏิบัติ โอ๊ย มันเยอะแยะไป นี้พอใจเราสงบ ใจเราสุข ถ้ามันจะถูกกระตุ้นให้คิดอกุศล เราอย่าไปคิด เราไปคิดที่เป็นกุศลเสีย หาเรื่องให้จิตมันคิด ครูบาอาจารย์วัดป่า เวลาจิตมันจะมีราคะ หนุ่มๆ มาบวชอย่างไรมันก็ต้องมี ฮอร์โมนเพศมันมี ไม่ใช่บวชปุ๊บเป็นขันทีเมื่อไร มีฮอร์โมนเพศ มันก็กระตุ้น มันจะให้คิด เรียกเมถุนสังโยค มันคิดถึงการบริโภคกาม ในสมัยที่ยังไม่ได้บวช นี้เรียกเมถุนสังโยค มันคอยคิด
ฉะนั้นให้ระวังความคิด ท่านบอกว่าแทนที่จะปล่อยให้มันคิดไปในเรื่องกาม ให้มันคิดเรื่องปฏิกูลอสุภะ คิดพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกอะไรของตัวเอง เห็นไหม ท่านไม่ได้ห้ามคิด แต่ท่านบอกหาเรื่องให้มันคิด แต่เรื่องที่มันคิด มันเป็นเรื่องที่ล้างกิเลส สู้กิเลส ไม่ใช่คิดตามกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดตามกิเลส กิเลสมันจะฟู ถ้าเราคิดกลับข้างกับกิเลส กิเลสมันก็เหี่ยวเฉาไป อย่างเราเกลียดใครสักคนหนึ่ง แล้วใจมันชอบคิดถึง
สังเกตไหม ยิ่งเกลียดใครมาก ยิ่งคิดถึงบ่อย อย่างสมมติเกิดไม่ชอบฮุนเซนอย่างนี้ คิดถึงวันๆ หนึ่งหลายรอบ เมื่อไรมันจะตายสักที ใจมันจะนึก ไม่ตาย ไม่จบ คิด นี่คิดอกุศล คิดแล้วใจร้อน ก็คิดกลับข้างเลย โอ๊ย คนในโลกมันแย่งชิงอะไรต่ออะไรกัน มันก็แย่งชิงกันอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตลอดประวัติศาสตร์ ก่อนประวัติศาสตร์ก็ทำอย่างนี้ เสร็จแล้วมันก็หายไปหมดแล้ว คนรุ่นเก่าๆ ที่มันแย่งอำนาจกัน ไม่ต้องไกลหรอก พวกที่แย่งอำนาจ หลัง 2475 เรานี้ล่ะ ไม่ถึง 100 ปี เห็นไหม จอมพลนั้น จอมพลนี้ นายคนนั้น นายคนนี้ พระยานั้น พระยานี้ สู้กันแทบเป็นแทบตาย ถึงวันนี้หายไปไหนหมดแล้ว ก็ไปตามกรรมหมดแล้ว คิดไปอย่างนี้
คิดถึงความตาย คิดอย่างนี้ กิเลสที่กำลังฟูๆ ก็หายได้ หรือโกรธใคร เกลียดใคร เราก็ไม่ยุ่งกับมัน เราเจริญเมตตาของเราไป ใจเราก็สงบวิเวกได้ กิเลสที่จะฟูก็แฟบลงไป อันนี้เราสู้กับกิเลสด้วยสมาธิ ด้วยสติ อันนี้ด้วยสมาธิ ถ้าสู้ด้วยสติก็คือ ถ้ากิเลสเกิดแล้วรู้ทัน กิเลสมันก็จะดับ อันนี้สู้ชั่วคราว สู้ด้วยสติ สู้ด้วยสมาธิ เป็นการสู้กิเลสแบบชั่วคราว ถ้าอยากเข้าถึงอุปธิวิเวกตัวจริง ต้องทำวิปัสสนากรรมฐาน เรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจไปเรื่อยๆ พอรู้แจ้งเห็นจริง กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์ ขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้ กิเลสมันไม่กล้าโผล่ออกมา แล้วเวลาจิตรวมลงไป ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่าจิตรวมใหญ่ สายวัดป่าท่านจะเรียกจิตรวมใหญ่ หลวงปู่ดูลย์จะเรียกจิตยิ้ม จิตรวมใหญ่ก็คือจิตเกิดอริยมรรคนั่นเอง เวลาที่จิตรวมใหญ่ลงไป มันไม่ได้รวมโง่ๆ ไม่รวมลงไปนอน มันรวมลงไป แล้วมันไปล้างกิเลส กิเลสส่วนลึก ล้างอนุสัยกิเลส ล้างอุปกิเลส ล้างอนุสัยกิเลส ล้างสังโยชน์ พวกนี้เป็นกิเลสที่มันละเอียดๆ เป็นหน้าที่ของมรรคที่จะไปล้างมัน
เพราะฉะนั้นจะล้างกิเลสให้เด็ดขาดก็ต้องทำวิปัสสนา ทำจิตให้สงบ นั่งสมาธิ ข่มกิเลสได้ชั่วคราว หมดกำลังสมาธิ กิเลสมันก็กลับมาอีกแล้ว ตั้งคำถามหน่อย “เป็นฆราวาสทำวิเวก 3 ได้ไหม ทำกายวิเวกได้ไหม ทำจิตตวิเวกได้ไหม ทำอุปธิวิเวกได้ไหม” กายวิเวกไม่มีก็เพราะแส่ส่ายออกไปเอง แต่อย่างถ้าเราจำเป็นต้องอยู่กับคนมากๆ เราฝึกจิตให้ดี ก็เหมือนอยู่คนเดียว อยู่ตรงไหนก็เหมือนอยู่ตามลำพัง มีจิตตวิเวกตัวเดียว มันก็เหมือนมีกายวิเวกอยู่ในตัวแล้ว อยู่กับคนเยอะๆ ก็เหมือนอยู่กับอากาศธาตุ
อุปธิวิเวก
อุปธิวิเวกก็อาศัยการทำสติปัฏฐานไป มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง หลักของการทำวิปัสสนากว้างขวางมาก หลวงพ่อย่อลงมาเหลือประโยคนี้สั้นๆ จากธรรมะที่มากมาย ย่อลงมาเหลือเล็กนิดเดียว อย่างเรื่องสมถะมีวิธีมากมาย หลวงพ่อย่อลงมาเหลือนิดเดียวเหมือนกัน “น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง” ทำไปอย่างนี้ ไม่ว่าจะใช้กับกรรมฐานอะไร ก็เข้าถึงความสงบได้
ถ้าทำวิปัสสนามีอะไร “มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” มีอะไร มีสติ สติคืออะไร สติคือสภาวธรรมที่ทำหน้าที่ระลึกรู้ มีอะไรเกิดขึ้นในกาย สติระลึกรู้ มีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจ สติระลึกรู้ สติทำหน้าที่รู้ ถ้าเป็นรูปธรรม เรารู้ได้เป็นปัจจุบันขณะ ขณะนี้นั่งอยู่ ขณะนี้อ้าปากพูดอยู่ ขณะนี้หันซ้ายหันขวา ถ้ามีสติรู้กาย เราจะรู้กายที่เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันขณะ ดูลงปัจจุบัน
แต่ถ้าดูนามธรรม เราจะไม่ได้ดูแบบปัจจุบันขณะ เราจะดูแบบปัจจุบันสันตติ คือสืบเนื่องกับปัจจุบัน อย่างจิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ ต้องมีราคะก่อน แล้วสติเกิดขึ้น รู้ว่าจิตเมื่อกี้นี้มีราคะ จะมีจิตเมื่อกี้นี้มีราคะ จิตเมื่อกี้นี้โกรธแล้ว จิตเมื่อกี้โลภแล้ว จิตเมื่อกี้หลงแล้ว จิตเมื่อกี้หดหู่แล้ว จิตเมื่อกี้นี้ ฟุ้งซ่านแล้ว แต่ถ้ามีเป็นสติรู้กาย กายกำลังเคลื่อนไหว มือนี้ กายกำลังเคลื่อนไหว กายหยุดนิ่ง เห็นขณะนี้เลย นี่ปัจจุบันขณะ มีคำว่า “กำลัง” กำลังหันขวา กำลังหันซ้าย กำลังเงยหน้า กำลังก้มหน้า “กำลัง”
ถ้าดูกายนี้ ดูที่กำลังเคลื่อนไหวนี้ล่ะ กำลังหยุดนิ่งนี้ล่ะ กำลังหายใจออก กำลังหายใจเข้า แต่ถ้าดูนามธรรม มันจะมีคำว่า “แล้ว” โลภแล้ว โกรธแล้ว หลงแล้ว ฟุ้งซ่านแล้ว หดหู่แล้ว มีความสุขแล้ว มีความทุกข์แล้ว มีความรู้สึกเกิดขึ้น แล้วก็มีสติตามระลึกแบบกระชั้นชิด ถ้าเมื่อวานโกรธ วันนี้เพิ่งจะรู้ว่าเมื่อวานโกรธ อันนี้ใช้ไม่ได้ ต้องแบบติดๆ กัน เรียกสันตติ เป็นปัจจุบันสันตติ โกรธ ขณะที่โกรธนั้น อย่างไรก็ไม่มีสติ เพราะถ้ามีสติมันก็ไม่โกรธ กิเลสกับสติเกิดร่วมกันไม่ได้ เกิดคนละคราวกัน
ฉะนั้นเวลามันจะโลภ มันจะโกรธ มันจะหลง ไม่ต้องไปห้ามมัน แต่พอมันโลภไปแล้ว มีสติรู้ เฮ้ย นี่จิตมันโลภแล้ว มันโกรธก็ไม่ห้ามมัน ห้ามไม่ได้ เพราะมันเป็นอนัตตา แต่พอมันโกรธแล้วเราก็มีสติ เฮ้ย เมื่อกี้หลงโกรธแล้ว เติมคำว่า “หลง” ลงไปได้เลย หลงโลภ หลงโกรธ หลงอะไรนี้ ถ้าเป็นความปรุงแต่งฝ่ายอกุศล เติม “หลง” ลงไปได้เลย ส่วนความปรุงแต่งฝ่ายกุศล มีทั้งหลง มีทั้งไม่หลง บางคนก็หลงดี
แต่จริงๆ ขณะที่กุศลเกิด ไม่หลงหรอก มันหลงทีหลัง อย่างใจเรามี เราเห็นแมว แมวน่าสงสาร แมวน่ารัก เราเกิดความรู้สึกเมตตากับแมว ถ้าอยากอุ้ม ตรงอยากอุ้มแมวนี้ ราคะเกิดเรียบร้อยแล้ว เอามาอุ้ม แหม สบาย แมวมันก็ตัวอุ่นๆ ตัวนุ่มๆ อุ่นๆ อันนี้ก็ราคะ บางคนชอบอุ้มแมว อุ้มเพลินไป มันเป็นราคะที่เรียกว่านันทิราคะ มีนันทิราคะ ความเผลอเพลิน กิเลสมันเยอะ มันละเอียด มีทั้งหยาบ มีทั้งละเอียด อย่างราคะแรงๆ มันหื่นจะไปข่มขืนเขาแล้วอย่างนี้
ค่อยๆ หัดรู้หัดดู ทำสติปัฏฐาน มีสติคอยรู้ทัน ร่างกายรู้ลงปัจจุบันขณะ ร่างกายกำลังเคลื่อนไหว ร่างกายกำลังหยุดนิ่ง ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายกำลังหยุดนิ่ง ร่างกายกำลังหายใจออก ร่างกายกำลังหายใจเข้า ใส่คำว่า “กำลัง” เข้าไปได้เลย แต่ถ้าเป็นนามธรรม สุขแล้ว ทุกข์แล้ว ไม่สุข ไม่ทุกข์ โลภแล้ว โกรธแล้ว หลงแล้ว ฟุ้งซ่านแล้ว หดหู่แล้ว มีคำว่า “แล้ว” แต่ต้องแล้วเร็วๆ โกรธ ขณะที่โกรธไม่มีสติ แล้วมีสติรู้ว่า เฮ้ย โกรธนี่ ต้องติดๆ กัน โกรธอยู่แล้วก็มีสติรู้ว่าโกรธ ติดๆ กันอย่างนี้ โกรธจะหายไปเลย จิตนั้นจะมีสติรักษาอยู่ จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา
ฉะนั้นเวลาที่สติรู้ทัน มีกิเลสเกิด มีสติเกิดขึ้นปุ๊บ ตัวนี้ดับไปแล้ว สติรู้ทันปุ๊บ จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นถี่ๆๆๆ เราจะรู้สึกจิตเรามีกำลังขึ้นมาแล้ว เมื่อจิตมีกำลังแล้ว มันเดินปัญญาได้แล้วคราวนี้ มันจะเห็นขันธ์มันแยกอยู่ ไม่ใช่เราแยกขันธ์หรอก ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว แต่คนทั่วไปไม่เห็นเท่านั้นเอง เพราะกำลังของสติสมาธิไม่พอ ถ้ากำลังสติสมาธิพอ ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว แล้วเราก็ ทีแรกสติรู้ รู้ถึงขันธ์ที่มันแยกกับจิต พอสติระลึกรู้ขันธ์ที่แยกกับจิต จิตตั้งมั่นอยู่ มันจะเห็นไตรลักษณ์ ปัญญามันจะเกิด มันเห็นไตรลักษณ์
ฉะนั้นให้เรามีสติ แล้วก็คอยรู้รูปธรรมนามธรรม หลวงพ่อไปใช้คำว่ารู้กายรู้ใจ มันจะเคลื่อน เคลื่อนนิดหนึ่ง รูปธรรมนามธรรมมันเข้าใจยาก เอาง่ายๆ หน่อย รู้กายรู้ใจของตัวเอง แล้วค่อยไปภาวนาลึกซึ้งแล้ว ค่อยไปรู้รูปธรรมนามธรรมจริงๆ อย่างในผม 1 เส้นนี้เป็นธาตุอะไร เขาบอกผมเป็นธาตุดิน ถ้ารู้ละเอียดในผมนี้มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มีธาตุ 4 ครบ ในผมเส้นเดียว อันนี้เห็นไหม มันยุ่ง ฉะนั้นแขวนมันไว้ก่อนไอ้เรื่องยุ่งๆ เอาของง่ายๆ ก่อน ก็รู้สึกไป
รู้กายรู้ใจ ถ้ารู้จิตใจได้ให้รู้จิตใจ รู้จิตใจไม่ได้ ให้รู้ร่างกาย รู้จิตใจได้ สติสมาธิของเราต้องแข็งแรง ถ้าสติสมาธิเราอ่อนลง ไม่มีใครแข็งแรงตลอด ในช่วงที่ภาวนานี้ มันจะขึ้นๆ ลงๆ ช่วงนี้สติ สมาธิดี ช่วงหนึ่งดร็อป พอดร็อปแล้วดูจิตใจไม่รู้เรื่องแล้ว ให้ดูกาย จิตมันหนีไปแล้วช่างมัน กายมันไม่เคยหนีไปไหน ก็รู้สึกร่างกายไป เรารู้สึกกายไปเรื่อย กายเคลื่อนไหว รู้สึก กายหยุดนิ่ง รู้สึก รู้สึกไป จิตมันจะค่อยๆ ชาร์จพลัง สุดท้ายกำลังมันจะเกิดขึ้นมาอีก พอมีกำลัง มันก็จะเดินปัญญาได้
ถ้าสติระลึกรู้กาย มันก็เห็นกายไม่ใช่เรา ถ้ามีกำลังมากๆ มันเห็นนามธรรมทั้งหลาย สุข ทุกข์ ดี ชั่ว เป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่เรา ถ้าการปฏิบัติเราแก่กล้าถึงขีดเต็มที่เลย สติสมาธิของเราแข็งแรงจริง เราจะเห็นว่ากระทั่งจิตผู้รู้เอง ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จะเห็นว่าจิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยงหรอก เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปดูรูป เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปฟังเสียง เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปดมกลิ่น เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปรู้สัมผัสทางกาย เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้หลงคิด เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้หลงเพ่ง
เราจะเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 ตัวมันเองเกิดที่ไหนดับที่นั้น จิตไม่ได้มีดวงเดียว บางคนเข้าใจผิดว่าจิตมีดวงเดียว อันนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิที่ร้ายแรงมากเลย จิตมีดวงเดียว ก็เห็นจิตเป็นอาตมัน หรือจิตเป็นอัตตา อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธท่านสอน จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปทั้งวันทั้งคืน แต่เราจะเห็นตรงนี้ได้ เราต้องสติ สมาธิเราดี เรามีจิตที่เป็นผู้รู้แล้ว แล้วก็เห็นจิตผู้รู้เองก็เกิดดับ เวลาตรงนี้ดับก็ไปเกิดที่ตา จิตไปเกิดที่ตาแล้วก็ดับ มาเกิดที่จิตผู้รู้ จิตผู้รู้ดับ ไปเกิดที่หูอะไรอย่างนี้ ไปเกิดจิตที่หู
เมื่อก่อนหลวงพ่อคิดว่าจิตมันมีที่ตั้ง มันตั้งอยู่กลางหน้าอกนี้ เพราะว่าสุข ทุกข์ ดี ชั่ว กุศล อกุศล มันผุดขึ้นมาจากกลางอกนี้ พอคิดได้อย่างนี้ ก็ไปถามหลวงปู่ดูลย์ “หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหนครับ” ไม่ไปบอกท่านว่าเราเห็นว่ามันตั้งอยู่ที่นี้ หลวงปู่ดูลย์บอก “จิตไม่มีที่ตั้ง” ที่จริงถ้าพูดให้ถูกปริยัติ คือจิตมันตั้งอยู่กับอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตไม่ได้มีดวงเดียว มันเกิดดับไปเรื่อยๆ
ท่านบอกจิตไม่มีที่ตั้ง ก็มาพิจารณาจิตไม่มีที่ตั้งอย่างไร จิตมันก็ต้องอยู่คู่กับอารมณ์ อารมณ์มันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อารมณ์เกิดแล้วก็ดับ ฉะนั้นจิตที่มันเกิดคู่กับอารมณ์ มันก็เกิดแล้วก็ดับเหมือนกัน พิจารณาไปแล้ว ดูของจริง ไม่ใช่คิดเอา เราก็ดูของจริงไปเรื่อย แล้วเห็น โอ้จิตมันก็เกิดดับ เพราะฉะนั้นในขันธ์ 5 นี้ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับเลย ในขันธ์ 5 มีแต่ของที่เกิดแล้วดับ ถึงเรียกว่ามันเป็นสังขาร มันเป็นสิ่งที่มีเหตุให้เกิด พอหมดเหตุมันก็ดับ เราควบคุมบังคับอะไรมันไม่ได้
ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่ใช่ขันธ์ 5 ไม่มีตัวเราในขันธ์ 5 ไม่มีตัวเรานอกเหนือจากขันธ์ 5 ใจมันเดินเข้าไป เราก็สู้กับกิเลสได้ เราก็เอาชนะกิเลสเป็นลำดับๆ ไป จิตก็เข้าถึงอุปธิวิเวกเป็นลำดับๆ ไป ยากไปไหม เอาแบบไม่ยาก ไปถือศีล 5 ทุกวันพยายาม ถ้าเดินไหวไปเดินจงกรมสัก 3 ชั่วโมง ถ้าอายุมากหรือไม่แข็งแรง หัวเข่าแตก หัวเข่าเจ็บ เดินไม่ได้ จำเป็นต้องนั่งก็นั่ง แต่หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่การเดินหรือการนั่ง
หัวใจของการปฏิบัติคือสติ
หัวใจของการปฏิบัติคือสติ ที่หลวงพ่อให้ไปเดินจงกรม เพราะว่าพวกเราชอบข้ออ้างเยอะ ให้บอกให้ไปนั่งสมาธิ เราก็บอกเรานั่งได้เท่านั้นเท่านี้ ความจริงไม่ใช่ ไปนั่งหลับบ้าง นั่งคิดโน่นคิดนี่บ้าง ขี้เกียจ ไม่อยากนั่ง แล้วใจก็หนีไปเรื่อยๆ ให้ไปเดิน ลำบากหน่อย ให้ไปเดิน ถ้าเดินได้ไปเดิน จะได้ไม่มีข้ออ้าง รู้สึกไหม พอเรามีพันธะว่าเราจะเดิน 3 ชั่วโมง เราต้องจัดวิถีชีวิตเราใหม่แล้ว จัดตารางเวลาใหม่แล้ว เคยเอาเวลาไปเล่นเน็ตเยอะๆ ก็ต้องลดลง เคยเอาเวลาไปเดินช็อปปิงเยอะๆ ต้องลดลง ชีวิตมันจะค่อยเข้ามาสู่กายวิเวก จิตตวิเวกมากขึ้น ต้องให้เวลากับตัวเองเยอะขึ้น
ฉะนั้นที่ให้ไปเดิน 3 ชั่วโมง เพื่อให้เกิดกายวิเวก จิตตวิเวก แล้วเดินนี้หัวใจของมันคือสติ ไม่ใช่เดินเอาชั่วโมงหรอก ถ้าเดินไม่ได้ก็นั่งด้วยความมีสติ แต่แนะนำให้เดิน ถ้าเดินได้ให้เดิน บางคนหัวเข่าเจ็บ เดินไม่ได้ ก็นั่ง แต่นั่งด้วยความมีสติ พอเราไปทำ ถือศีล 5 ทำในรูปแบบสักวันละ 3 ชั่วโมง ชีวิตเราจะมีระเบียบ มีวินัยมากขึ้น แล้วการที่ใจจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติ สมาธิมันจะเกิดง่าย ถ้าใจเราจดจ่ออยู่กับโลก มันก็หลงโลกเท่านั้นล่ะ ใจเราห่วงการปฏิบัติ จดจ่ออยู่กับการปฏิบัติ สมาธิมันก็เกิดง่าย พอจิตเรามีกำลังมากขึ้นๆ ก็เดินปัญญา
เดี๋ยวนี้หลวงพ่อหันไปดูพวกเรา จำนวนมากเลยที่จิตมันมีกำลังขึ้นมาแล้ว มันเดินปัญญาได้แล้ว แต่มันไม่ได้ทุกวันหรอก เพราะธรรมชาติของมันเจริญแล้วเสื่อม แต่อย่าเอาตรงนี้ไปเป็นข้ออ้าง ตอนนี้เสื่อม เจริญมา 1 วันแล้วเสื่อม ธรรมดาๆ เสื่อมมาปีหนึ่งแล้วก็ยังธรรมดาอีก มันก็เกินไป อยากได้อะไร อยากได้นิพพาน แต่ไม่ได้ทำอะไรที่จะเข้าใกล้นิพพานเลย เข้าใกล้ความเป็นอันธพาลมากกว่า ตีกับคนโน้น ตีกับคนนี้ไป
ถือศีล 5 ทำ ในรูปแบบ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แล้วรู้ทันจิตตัวเอง จิตหลงไปคิดแล้วรู้ จิตไปเพ่งกรรมฐานแล้วรู้ แล้วถัดจากนั้น พอเรารู้เรื่อยๆ จิตเราจะมีแรงตั้งมั่น พอจิตเราตั้งมั่นจริง เราจะเจริญสติในชีวิตประจำวันได้จริง พวกที่บอกว่าเจริญสติในชีวิตประจำวัน พูดไปอย่างนั้นล่ะ จิตไม่มีคุณภาพ มันเจริญไม่ได้จริงหรอก ขี้โม้ไปวันๆ หนึ่ง กี่ปีๆ กิเลสเหมือนเดิม สู้มันไม่ได้สักที แต่ฝึกมา มีสีลสิกขา จิตตสิกขา จิตตั้งมั่นแล้ว แล้วก็ถึงจะเจริญปัญญาได้ มีปัญญาสิกขาได้
เพราะฉะนั้นที่บอกให้ไปเดินจงกรม เป็นข้อดีของเรา เพราะจิตเราจะมีกำลังตั้งมั่นมา แล้วคราวนี้เราจะเดินปัญญาได้จริง เราจะเห็นขันธ์มันแยกอยู่ แล้วแต่ละขันธ์ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ก็เรียนจาก บางคนก็เริ่มจากขันธ์หยาบ ร่างกาย เวทนา สัญญา สังขาร ของจากหยาบมาสู่ละเอียด แล้วสิ่งที่ละเอียดที่สุดคือตัววิญญาณ คือจิตที่เกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 ทำไมท่านใช้คำว่าวิญญาณในขันธ์นี้ ทำไมท่านไม่ใช้จิต จิตกับวิญญาณตัวเดียวกัน แต่วิญญาณนี้มันอยู่ในบริบทที่ว่า มันเกิดดับทางทวารทั้ง 6 เพราะฉะนั้นเราดูเข้ามาจนเห็น จิตที่เกิดดับทางทวารทั้ง 6 ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ดูตรงนี้ให้ได้ ถ้าดูตรงนี้ได้แจ่มแจ้งขึ้นมา โสดาบันไม่หนีไปไหนหรอก ไม่ใช่เรื่องยาก
เวลาจะเทศน์แต่ละวัน ก็จะบอกพระอาจารย์ บอกคุณแม่ บอกพวกพระ หลวงพ่อเทศน์มาตั้งแต่ปี 2527 ไม่มีอะไรจะเทศน์หรอก ไม่รู้จะเทศน์อะไรแล้ว พระอาจารย์อ๊าบอก หลวงพ่อเทศน์ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็เทศน์เองล่ะ ให้กำลังใจ บอกไปเทศน์เถอะ เดี๋ยวก็มีให้เทศน์เอง แล้วพอถึงเวลา พระอาจารย์จะไปเทศน์ โอ้ ไม่รู้จะเทศน์อะไรหลวงพ่อ หลวงพ่อก็จัดการเลย ไปเทศน์เถอะ เดี๋ยวก็เทศน์ได้เองล่ะ เรียกว่ากรรมสนอง คุณแม่อีกคน เหมือนกัน
พวกเราสังเกตไหม เราจัดระบบถวายอาหารใหม่แล้ว มันไม่ใช่ใหม่อะไรหรอก มันเป็นระบบก่อนโควิด สมัยก่อนโควิดพวกเราก็เอาอาหารมาจัดใส่จาน ใส่ถาด มายื่นที่ประตู เขาก็เอา พนักงานก็เอาเข้ามาถวายพระ ไม่ได้ให้ทุกคนเข้ามา เดี๋ยวเข้ามาเต็มศาลา แล้วต้องใช้พื้นที่ ฉะนั้นพวกเราก็จัดเอง อยากถวายอะไรเท่าไรก็เอา หรือจะอยากแบ่งส่วนหนึ่งไว้กินของเราเอง ก็ทำได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่จานชามอะไรของเรา เอามาแล้วก็ดูแล
ระบบนี้มันมีข้อไม่ดีอย่างหนึ่ง จานชามประหลาดๆ มาตกอยู่ที่วัดนี้เยอะขึ้นๆ บางทีเป็นเข่งๆ เลย อย่าหลงเอามาทิ้งไว้ที่วัด เอากลับไป คือถ้ามีคนจัดขึ้นมาให้ บางทีเรารู้สึก ทำไมไม่เอาของเราขึ้นมา นี้ให้จัดเอง อันนี้ไม่ใช่ระบบใหม่ เป็นระบบก่อนโควิด แต่ตอนโควิดเขาให้เว้นระยะห่าง ก็เลยให้โยมแค่เอาอาหารมาส่ง ทีมแม่ครัวก็จัดแล้วก็ถวายพระ ตอนนี้มันหมดยุคที่จะต้องควบคุมแบบนั้นแล้ว ให้พวกเราดูแลตรงนี้ ใจเราจะได้เป็นบุญเยอะๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นเราก็สงสัย เอาของเราใส่ถาดไป เอาไปถวายพระจริงหรือเปล่า มันเกิดสงสัย
วัดสวนสันติธรรม
20 ธันวาคม 2568