จิตเฉยกับโลกมากขึ้น รู้ทันสภาวะอารมณ์มากขึ้น แต่ยังต่อสู้กับกิเลสแรงๆ ไม่ได้

คำถาม:

ฟังซีดีของหลวงพ่อและปฏิบัติในรูปแบบมา 2 ปี ครั้งละ 15 – 30 นาที ใช้หลักภาวนาสัมมาอรหัง เป็นวิหารธรรม และในระหว่างวัน ตามรู้จิตที่ไหล บางครั้งจิตรู้ บางครั้งจิตหลง แยกธาตุแยกขันธ์ได้ มีหิริโอตัปปะในการใช้ชีวิต จิตเฉยกับโลกมากขึ้น รู้ทันสภาวะอารมณ์มากขึ้น แต่ยังต่อสู้กับกิเลสแรงๆ ไม่ได้ ยังตามกิเลสไม่ทัน ขอการบ้านด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

เฉยมีหลายเฉยนะ เฉยเพราะปัญญาก็มี เฉยเพราะติดนิ่งก็มี ของหนูตอนนี้มันเฉยเพราะติดนิ่ง อย่าไปให้มันติดค้างอยู่ตรงนี้ แล้วบอกว่าจิตมันเป็นกลาง เฉย ให้จิตมันขึ้นมาทำงาน ให้เห็นไตรลักษณ์ของรูป ของนามไปแล้วจิตมันเป็นกลาง มันนิ่ง มันเฉย ด้วยความเป็นกลาง ด้วยสติ ด้วยปัญญา อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้ามันนิ่ง จิตหนูนิ่งอย่างนี้ที่หลวงพ่อทำให้ดู นึกออกไหม ไม่เอาตรงนี้ ถ้านิ่งตรงนี้ก็ติดภพชนิดหนึ่งขึ้นมา ส่วนบริกรรมก็แล้วแต่ถนัด สัมมาอรหัง หรือพุทโธ มันก็เหมือนกันอะไรก็ได้ที่เราถนัด คือภาวนาแล้วเรารู้เท่าทันจิตใจตัวเองได้ก็ดีแล้ว แต่ไม่ใช่ภาวนาแล้วเราไปแต่งจิตให้มันนิ่งๆ ซึมๆ ไป อย่างนั้นไม่ดี ภาวนาแล้วไม่ปรุงแต่งจิต แต่ภาวนาแล้วรู้ทันจิตถึงจะใช้ได้

ไปแต่งจิตให้ซึมแล้วคิดว่าดี ที่แท้เราไปปรุงแต่งจิต เราไม่ได้รู้ทันความปรุงแต่งของจิต เราไปปรุงแต่งจิตเสียเอง 2 อันนี้ไม่เหมือนกันต้องระวัง ฉะนั้นจิตที่ดี คือจิตที่เราไม่ได้ปรุงแต่งมัน แล้วเรารู้จิตนั้นอย่างที่มันเป็นไป การที่เรามีวิหารธรรม จิตสงบของจิตเอง ไม่ใช่เราจงใจแต่งให้สงบ เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เคยทำ หลวงพ่อสังเกตอย่างไร ตอนภาวนาจิตจะดี จิตจะรวม มันจะเคลิ้มๆ ลงไปนิดหนึ่ง พอนั่งปุ๊บหลวงพ่อทำให้เคลิ้มเลย ยังทำเป็นอยู่เลย ไม่ดี จิตไม่ดีฉะนั้นเราอย่าไปแต่ง

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 7 สิงหาคม 2564