คำถาม:
หลวงพ่อ:
เราต้องมีสมาธิที่ถูกต้อง เราถึงจะเจริญปัญญาได้ สมาธิที่ถูกต้อง เป็นสภาพจิตที่ยังไม่ถูกกิเลสครอบงำ เรามีสติรู้เท่าทันจิตตัวเองไป ราคะเกิดขึ้น รู้ทัน โทสะเกิด รู้ทัน โมหะเกิดก็รู้ทัน รู้ไปเรื่อยๆ จิตจะค่อยๆ เกิดสมาธิขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วเราจะเดินปัญญาต่อได้ แต่ถ้าจิตเราฟุ้งซ่าน มันจะเดินปัญญาไม่ได้ มันได้แต่คิดเอา มันไม่เห็นเอา มันเหมือนเราจะเห็นอะไรอย่างหนึ่ง อยู่ในอ่างน้ำ แต่น้ำมันกระเพื่อม เรามองเห็นไม่ชัด ว่าอะไรอยู่ข้างล่าง ถ้าจิตใจเรากระเพื่อมหวั่นไหว เราก็มองเห็นกิเลสที่ซ่อนอยู่ในใจไม่ได้
ฉะนั้นใจต้องปกติ ใจธรรมดา ไม่แกว่งไปแกว่งมา จิตที่เป็นธรรมดาไม่แกว่งไปแกว่งมา ไม่ได้เกิดจากการบังคับ แต่เกิดจากการที่เรารู้ทัน ว่าตอนนี้มีสภาวะอะไรเกิดขึ้นกับจิตใจ เราไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปวุ่นวายกับจิตใจ จิตใจก็จะเด่นดวงตั้งมั่นขึ้นมา มันก็จะเดินปัญญาง่าย ใช้ได้ ที่หนูทำอยู่ ดี ไปฝึกเรื่อยๆ มันจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เห็นไหม ร่างกายเคลื่อนไหว ง่ายๆ เห็นไหม ด้วยใจปกติเลยนะ ถ้าเราไปทำใจแข็งๆ แล้วเห็นร่างกายเคลื่อนไหว อันนี้ผิดแล้ว แล้วใช้ใจที่ปกติไปรู้ ใจที่ปกติ ถ้าเป็นจิตที่ประภัสสร เป็นจิตผู้รู้
ตรงนี้ถลำลงไปคิดแล้วทราบไหม เออ แค่นั้นล่ะ จิตไหลไปคิด รู้ว่าจิตไหลไปคิด มันง่ายนะ มันง่าย มันไม่ยากหรอก เราไปคิดมากว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ การปฏิบัติต้องลึกลับซับซ้อน ต้องผิดธรรมดา เหนือธรรมดาถึงจะดี ไม่ใช่นะ ธรรมดานี่ล่ะดี ใช้จิตธรรมดาไปเห็นความเป็นธรรมดาของร่างกาย ไปเห็นความเป็นธรรมดาของจิตใจ ธรรมดาของร่างกาย มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ธรรมดาของจิตใจไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราใช้จิตใจธรรมดานี้ล่ะ ไปรู้ความเป็นธรรมดาของร่างกาย ของจิตใจ
ฉะนั้นเรื่องธรรมดาทั้งหมดเลย ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมดา แต่ว่าความคิดของเรา เราคิดว่าการปฏิบัติธรรม ต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนคนทั่วไป หายใจก็ต้องหายใจไม่เหมือนคนอื่น เดินก็ต้องเดินไม่เหมือนคนอื่น นั่งก็ต้องนั่งไม่เหมือนคนอื่น นี่เราคิดเอาเองทั้งนั้น อย่างร่างกายเรามันก็หายใจอยู่ตลอดเวลา เราก็แค่รู้สึก ร่างกายหายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่ง รู้สึก รู้สึกธรรมดานั่นล่ะ แล้วต่อไปมันก็เห็นสุขเกิด สุขดับ ทุกข์เกิด ทุกข์ดับ ดีเกิด ดีก็ดับ ชั่วเกิด ชั่วก็ดับ ตรงนี้ต้องใช้จิตธรรมดาทั้งสิ้นเลยที่ไปรู้
หลวงตามหาบัวท่านสอนดีนะ ท่านบอกว่า จิตผู้รู้เป็นจิตประภัสสร เป็นจิตอวิชชา มันสว่างไสว มันผ่องใส แต่มันยังมีอวิชชาซ่อนอยู่ ตรงที่เราหัดเรียนรู้ความจริงของกายของใจ ตรงนั้นเป็นเครื่องทำลายอวิชชา เพราะฉะนั้นเรามีใช้จิตธรรมดา คือจิตผู้รู้ธรรมดาของเรานี่ล่ะ เรียนรู้ความจริงของกายของใจไป เราเข้าใจความจริงของกายของใจ เราทำลายอวิชชาได้ จิตก็เข้าถึงความบริสุทธิ์
ฉะนั้นจากจิตผู้รู้ จะขึ้นเป็นจิตที่บริสุทธิ์ อาศัยการเจริญปัญญา เรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจไป ด้วยจิตธรรมดานี้ล่ะ ด้วยจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นนี่ล่ะ แล้วมันจะค่อยๆ ซักฟอก ความโง่ถูกซักฟอกออกไป ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก คือตัวสัมมาทิฏฐิ คือตัววิชชาก็จะเกิดขึ้น จิตที่ผ่องใสประภัสสร ก็จะแปรสภาพเป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ต้องอาศัยจิตที่ผ่องใสก่อน จิตที่เป็นผู้รู้ก่อน แล้วมาเรียนรู้ความจริง ของรูปนามกายใจไปเรื่อยๆ
วัดสวนสันติธรรม 10 สิงหาคม 2567