เจริญพรทุกคน นมัสการครับ จะปีใหม่แล้วหลายคนก็เตรียมไปเที่ยว บางคนว่าจะสวดมนต์ข้ามปี ปี 2568 ก็จะจบ กว่าจะเวียนมาอีกรอบหนึ่งต้องรอสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยเวียนมาอีกรอบหนึ่ง รอกันนาน พอปีใหม่เราก็เตรียมอวยพรกัน อวยพรก็ได้ความสุขความสบายใจ มีความหวังเป็นเทศกาลแห่งความหวัง แล้วก็พอปลายปีก็บางคนก็สิ้นหวังแล้วค่อยหวังเอาใหม่ ฉะนั้นชีวิตก็เป็นอย่างนั้นล่ะ มันถึงจะมีแรงเดินต่อไปได้ ถ้าไม่มีความหวังเลย ชีวิตก็หดหู่ไม่มีเรี่ยวมีแรงที่จะต่อสู้กับชีวิต
ความหวังของคนในโลกหวังกามสุข กามสุขมันดีไหม มันก็ดี คนในโลกส่วนใหญ่ก็ได้แค่นั้น เป็นความสุขจากการเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสอะไรที่ถูกอกถูกใจ แล้วก็หิวสิ่งเหล่านี้กัน แสวงหา อย่างอยากมีเงินเยอะๆ จะได้ซื้อกามสุข อยากมีอำนาจวาสนา หวังว่ามีแล้วจะมีกามสุข กามสุขมันก็ดี ก็ดีสำหรับชาวโลก ทีนี้พวกเราชาวพุทธเราไม่ได้หยุดแสวงหาความสุขอยู่แค่นั้น ความสุขที่สูงกว่านั้นมันยังมีอีกหลายระดับ แต่ความสุขโดยรวมในมุมมองของนักปฏิบัติ ในมุมมองของชาวพุทธเรา ความสุขอะไรก็สู้ความสงบไม่ได้ ท่านบอกความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง
ความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง
ถ้าคนในโลกไม่รู้จักความสงบ การที่จะแสวงหากามสุขก็ต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ ต้องแย่งชิง พอต้องต่อสู้ ต้องแย่งชิง ก็ต้องทำร้ายกัน เพราะทรัพยากรมันมีจำกัด อยากได้เยอะๆ ก็กระทบกระทั่งกัน ฉะนั้นในโลกมันไม่เคยรู้จักคำว่าสงบสุขหรอก เรียกร้องสันติภาพ มันเรียกไปอย่างนั้น มันไม่เคยมีในโลกนี้ มีแต่การเบียดเบียนกัน ทีนี้เราเกิดมาอยู่ในโลกนี้แล้ว มันก็หนีการกระทบกระทั่งไม่ได้ อย่างบางประเทศเขามีอำนาจมาก มีนโยบายออกมาก็กระทบประเทศเล็กประเทศน้อย เราควบคุมไม่ได้บังคับไม่ได้ แล้วถ้าเรามองให้ดี มันไม่มีที่ไหนในโลกที่มันมีความสุขจริงๆ คนในประเทศมหาอำนาจก็ไม่ได้มีความสุข ฉะนั้นเราพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้จักหาความสุขที่แท้จริง สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี
ทีนี้ทำอย่างไรเราจะสงบได้ นี่ก็คือสิ่งที่พวกเราต้องฝึกต้องปฏิบัติ หลวงพ่อยืนยันความสุขในโลกมันไม่มีสาระอะไร สุขหลอกๆ ไปชั่วครั้งชั่วคราว สุขในธรรมะมันสุขจริงๆ คือสุขแล้วร่มเย็น สุขของโลกมันสุขแบบร้อนๆ ทำไมพูดเต็มปาก หลวงพ่อเป็นฆราวาสอยู่ตั้ง 48 ปี กว่าจะได้บวช ก็ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงเเม่อยู่ พอหมดภาระแล้วถึงได้มาบวช อายุเยอะแล้ว ในโลกอะไรที่เขาว่าดีมีความสุข หลวงพ่อผ่านมาแล้วทั้งนั้น มีเงิน มีทอง มีบ้าน มีรถ มีชื่อเสียง มีอะไร มีสิ่งที่คนในโลกปรารถนา มีทั้งนั้น แต่เสร็จแล้วใจมันไม่อิ่มใจมันไม่เต็ม อยู่กับโลกใจมันเขาเรียกว่าใจมันพร่องอยู่เป็นนิจ มันไม่อิ่มมันไม่เต็ม คล้ายๆ เราเกิดมาชีวิตมันจะมีแค่นี้หรือ ความสุขในโลกมันมีแค่นี้เอง ดีว่าได้ภาวนามาตั้งแต่เด็ก รู้สึกความสุขที่ประณีตขึ้นเป็นลำดับๆ
พอเราทำสมาธิได้ใจเราก็มีความสุขอีกแบบหนึ่ง สมาธิเป็นขั้นเป็นตอนไป เราเจริญปัญญา เราเรียนรู้ความจริงของรูป นาม กาย ใจได้ เห็นความจริงได้ปล่อยวางได้ เราก็มีความสุขอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกัน สุขแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน สุขที่พวกเราชาวโลกรู้จักเรียกกามสุข สุขในกาม กามคือสิ่งที่เราชอบอกชอบใจติดอกติดใจจากข้างนอก สุขในสมาธิมันสุขอยู่ในใจของตัวเอง อยูที่การฝึกปรือ สุขสูงสุดคือพระนิพพาน ชาวพุทธเราทุกคนมีโอกาสสัมผัสพระนิพพาน วันนี้ยังไม่สัมผัส วันข้างหน้าโอกาสสัมผัสมี เพราะหลักปฏิบัติเพื่อไปสู่พระนิพพานยังดำรงอยู่ไม่ได้สูญหายไป พระนิพพานไม่ใช่อุดมคติเอาไว้หลอกคนให้ทำความดี บางคนคิดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนนิพพานเป็นอุดมคติเอาไว้หลอกให้คนทำความดี ท่านจะหลอกอะไร ท่านไม่ได้มีความอยากอะไร จะไปหลอกทำไม ท่านบอกตรงไปตรงมาแล้ว สุขอื่นเสมอด้วยพระนิพพานไม่มี
ถ้าพวกเราตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ เราก็เข้าใกล้พระนิพพานไปเรื่อยๆ ถ้าบุญมีวาสนาพอ บารมีเราสะสม ศีล สมาธิ ปัญญา เรามากพอ เราก็อาจจะได้สัมผัสพระนิพพานในชีวิตนี้ สัมผัสครั้งแรกเราจะเป็นพระโสดาบัน ปุถุชนไม่เคยสัมผัสพระนิพพานจริง ปุถุชนรู้จักความสุขความสงบก็แค่ว่าเวลาใจมันไม่เร่าร้อนก็สงบขึ้นมา แต่ส่วนพระนิพพานนั้นเป็นบรมสุข มันพ้นจากความยึดมั่นในรูปนามขันธ์ 5 นี้ มันก็ไม่มีความแปรปรวนอะไรที่ต้องห่วงต้องกังวลต่อไป
พวกเราในฐานะที่พวกเราเกิดมาในยุคที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ อย่าปล่อยปละละเลยโอกาส โอกาสทองอย่างนี้หายาก นานๆ ถึงจะเกิดศาสนาพุทธทีหนึ่ง แล้วศาสนาพุทธก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน เป็นศาสนาที่เข้าใจยาก เป็นศาสนาที่ทวนกระแสของโลก สัตว์โลกมันไหลไปตามกระแสของกามของกิเลส ฉะนั้นศาสนาพุทธที่ผ่านมามันไม่ค่อยยั่งยืนหรอก แล้วนานๆ จะเกิดศาสนาพุทธสักครั้งหนึ่ง
อย่างในช่วง 91 กัลป์ที่ผ่านมา จักรวาลเกิดจนดับไป 91 กัลป์ เคยมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ต่อมาก็มีพระพุทธเจ้าอีก 2 องค์ พระวิปัสสี พระสิกขี มากัลป์ของเรา นานๆ จะมีพระพุทธเจ้า มาถึงกัลป์ของเรานี่เรียกภัทรกัลป์ เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมากตั้ง 5 องค์ ทีนี้พวกเราพอได้ยินว่าจะมีพระพุทธเจ้า 5 องค์ ยังเหลืออีกองค์หนึ่งเราก็เริ่มขี้เกียจแล้ว เพราะใจเราติดกาม เราขอ ขอหาความสุขกับโลกอีกสักพระพุทธเจ้าหนึ่งอีกพุทธันดรหนึ่ง ไว้เจอพระศรีอาริย์แล้วค่อยภาวนา คนคิดอย่างนี้เยอะ ทำบุญอธิษฐานขอให้เจอพระศรีอาริย์
ถ้าเจอพระศรีอาริย์เราจะได้ฟังธรรมะเรื่องอะไร ก็เรื่องอริยสัจ ก็เรื่องเดียวกันนี่ล่ะ ทีนี้เราคิดว่ากามสุขมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน เราก็เลยผัดวันประกันพรุ่ง ตอนนี้ขอหากามสุขไว้ก่อน ไว้เจอพระศรีอาริย์แล้วค่อยแสวงหาสุขที่ประณีตขึ้นไปจากความพ้นทุกข์พ้นกิเลส อย่าโง่ เราสามารถพัฒนาจิตของเราให้เข้าถึงความสุขความสงบได้ตั้งแต่ในชีวิตนี้ เรื่องอะไรเราจะต้องจมในความทุกข์ไปอีกตั้งนาน เพื่อจะไปเจอธรรมะอันเดียวกันนี้อีก ฉะนั้นอย่าโง่ มีโอกาสศึกษาปฏิบัติธรรมทำไว้ แล้วชีวิตเราร่มเย็นเป็นสุข มันมีความสุขจริงๆ
ปฏิบัติธรรมทำอย่างไร
ทีนี้จะทำอย่างไร ขั้นแรกตั้งใจรักษาศีล เอา 5 ข้อพอสำหรับฆราวาส ศีล 5 ก็คือการที่เราคอยควบคุมจิตใจของเราไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำ จนกระทั่งไปทำความชั่วทางกายทางวาจา ความชั่วทางวาจาทำง่ายมาก ฉะนั้นศีลข้อ 4 รักษายาก พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โดยเฉพาะพูดเพ้อเจ้อทำได้ง่ายมากเลย พูดเพ้อเจ้อคือพูดโดยไม่มีความจำเป็นต้องพูดเราก็พูดไปอย่างนี้ เรียกพูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบเราก็รู้จักอยู่แล้ว ทุกวันนี้จิตมนุษย์หยาบลง คำหยาบ พูดคำหยาบกลายเป็นเรื่องทักทายปกติไปเลย ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ก็พูดคำหยาบเก่งไม่แพ้ผู้ชาย พูดแล้วได้ยินบางทีสะดุ้งเลย สะดุ้งว่าไปถึงขนาดนี้แล้ว พูดส่อเสียดคือพูดให้เขาตีกัน พูดให้เขาเกลียดกัน ให้เขาทะเลาะกัน พูดเท็จก็พูดไม่จริง
สิ่งเหล่านี้ต้องระมัดระวัง มีสติรักษาจิตใจของเราไว้ให้ดี ถ้าเราขาดสตินิดเดียว ศีลตรงนี้ก็ด่างพร้อยแล้ว อย่างเรื่องข้อหนึ่งเรื่องฆ่าคนฆ่าสัตว์อะไรบางทียังทำลำบาก ฆ่าคนถึงอยากฆ่ามันก็ไม่กล้าฆ่ามันกลัวติดคุก พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่ค่อยมีใครมาเล่นงาน ก็สบายใจ ทำชั่วได้สบายใจ ฉะนั้นเบื้องต้นฝึกตัวเอง อย่าปล่อยให้กิเลสมันครอบงำใจ จนกระทั่งกลายเป็นความชั่วที่ล้นออกมาทางปาก หรือทางพฤติกรรมทางร่างกายเรา
อดทน ต้องอดทน ไม่ยอม ไม่ยอมแพ้ปล่อยให้กิเลสครอบงำใจแล้วก็ทำผิดศีล ทำผิดศีลเพราะว่าไม่มีความเข้มแข็ง ถ้าเราอยากรักษาศีล ศีลรักษาอย่างไร ต้องตั้งใจงดเว้น เขาเรียกว่ามีเจตนาวิรัติ ตั้งใจงดเว้นการทำบาปอกุศลทางกายทางวาจาของเรานี่ล่ะ ต้องตั้งใจงดเว้น อย่างคนแก่อายุมากๆ อายุสัก 90 ปี 100 ปี แล้วบอกมีศีลไม่เป็นชู้กับใคร อันนั้นไม่ใช่ถือศีล อันนั้นไม่มีแรงจะทำชั่วแล้ว ถ้าถือศีลหมายถึงว่ามีโอกาสทำชั่วแล้วเราก็ไม่ทำ อย่างนี้เรียกว่าเรามีศีลจริง
ถ้าเห็นอย่างจะเห็นคนเขาทำของหล่นอยู่ อยากได้ของเขา กระเป๋าตังค์เขาหลุดออกมาเห็นต่อหน้าอย่างนี้ อยากได้ หันซ้ายหันขวาคนอยู่เยอะไม่กล้าหยิบ อันนี้ไม่ใช่ถือศีล อันนี้กลัวตำรวจจับ ถือศีลหมายถึงมีโอกาสทำชั่วยังก็ไม่ทำเลย เพราะว่าเรามีความละอายใจ เรารู้ว่าการทำอย่างนี้ไม่ดี มีผลที่ไม่ดี ฉะนั้นเบื้องต้นตั้งใจรักษาศีลไว้ มันเป็นสมบัติที่จะติดตัวเราข้ามภพข้ามชาติได้ คนทำผิดศีลเก่งเพราะว่าคุ้นเคยที่จะทำผิดศีล คนบางคนรักษาศีลตั้งแต่เด็กๆ รักษาศีล เพราะว่าคุ้นเคยที่จะรักษาศีล ฉะนั้นเราฝึกใจของเราให้คุ้นเคยที่จะรักษาศีล แล้วสิ่งต่อไปที่เราควรจะศึกษาคือลองไปดูมันมีธรรมะอยู่ข้อหนึ่ง น่าสนใจมากคือเรื่องวิเวก วิเวกคือความสงัด วิเวกมี 3 อัน มีกายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก
กายวิเวกถ้าเป็นแบบพระก็บอกอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด อยู่ในป่า อยู่กุฏิตามลำพัง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร วิเวก ทุกวันนี้ป่าไม่มีแล้ว หรือพวกเราเป็นฆราวาสเราจะวิเวกอย่างไร ก็ทำได้ เป็นฆราวาสเราก็ทำกายวิเวกได้ เราทำมาหากินเสร็จแล้วทำงานเสร็จแล้วกลับบ้าน ทำบ้านของเรานั่นล่ะให้เป็นที่สงบสงัดให้เป็น save zone ของเราเอง ทีนี้บางบ้านไม่รู้จักไม่ฉลาด ในบ้านทะเลาะกันร้อนเป็นไฟเลย อันนั้นบ้านไม่ใช่ save zone แล้ว บ้านเป็นสมรภูมิแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากหาที่สงบสงัดไม่ต้องไปหาที่อื่น มันไม่มีแล้วล่ะเดี๋ยวนี้ ตามป่าตามอะไรตามอุทยานตามอะไรผู้คนเยอะแยะกินเหล้าเมายาเอะอะ
ฉะนั้นเราปรับบ้านของเรานี่ล่ะ ก็อย่าไปทะเลาะกันในบ้าน อยู่กับคนในบ้านอยู่กันด้วยความเมตตา มองกันด้วยสายตาด้วยจิตใจที่เป็นมิตร มองกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ เรายังไปทำสังคมใหญ่ให้ดีไม่ได้ จากสังคมย่อยที่สุดก็คือครอบครัว ต้องทำให้มันร่มเย็น อย่าทะเลาะกัน มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ ขัดแย้งกันเป็นเรื่องปกติ คนเรามันก็ต้องมีความคิดเห็นต่าง แต่ว่าทำความเข้าใจกัน ทำไมแฟนเราเขาคิดอย่างนี้ ทำไมลูกเราคิดอย่างนี้ ค่อยๆ สังเกตทำความเข้าใจ มันก็จะลดการปะทะลงได้ ถ้าในบ้านเราร่มเย็นได้ เราจะมี save zone ที่ดี
หลวงพ่อไม่ได้ไปภาวนาที่ไหน ไม่ได้อยู่ป่าอยู่เขา ตั้งแต่เป็นโยมก็อยู่บ้านนั่นล่ะ แต่ในบ้านมันสงบไม่ทะเลาะกัน อยู่กันแบบเข้าอกเข้าใจ มีอะไรก็แบ่งกันกิน มีสุขร่วมเสพ มีความทุกข์ก็ร่วมกันแก้ ช่วยกันไป ฉะนั้นเวลาตอนสมัยหลวงพ่อเป็นโยม หลวงพ่อมีกายวิเวก หลวงพ่อไม่ยุ่งกับคนอื่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่างใครเขาเชิญไปงานโน้นงานนี้ ไม่ไปหรอก ยกเว้นงานศพ ถ้างานศพไม่ต้องเชิญก็ไป พอไปงานศพมันดีต่อใจ ไปงานศพ แต่ถ้าไปนั่งคุยกันก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าอย่างเวลาหลวงพ่อทำงานอยู่อย่างนี้ เลิกงานแล้วหลวงพ่อกลับบ้าน ไม่ไปเที่ยวไม่ไปวอกแวกที่ไหนเลย วันหยุดมีวันลาพักผ่อนก็ไปวัด ไปภาวนาตามวัด อยู่วัดป่าอยู่อะไรอย่างนี้ ใช้วินัยในตัวเอง ไม่ไปคลุกคลีโดยไม่จำเป็น
ลองไปสำรวจใจของเราสิว่า ทุกวันนี้เราคลุกคลีกับผู้อื่นโดยไม่จำเป็นมีบ้างไหม ถ้ามีก็ตัดมันทิ้งไป บางคนคลุกคลีเยอะไป บางคนจำเป็นต้องคลุกคลีก็ต้องคลุกคลี อย่างเราทำธุรกิจต้องไปเลี้ยงลูกค้าต้องอะไรอย่างนี้ก็ต้องทำ อันนั้นเป็นหน้าที่ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องของหน้าที่ จะไปคลุกคลีเพื่อความสนุกสนาน ไม่เอา เสียเวลา หลวงพ่อใช้วิธีอย่างนี้ที่ประคองตัวเอง เอาตัวรอดมาจนป่านนี้ได้ ตั้งแต่เป็นโยมแล้ว ไม่คลุกคลีไม่ยุ่งกับงานสังคมที่ไม่จำเป็น เฮฮาปาร์ตี้อะไรไม่เอา งานชุมนุมศิษย์เก่าอะไรอย่างนี้ไม่เคยไปเลย งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน ถึงเราไม่ไปเขาก็แต่ง ไม่มีแขกเลยเขาก็แต่งจนได้ ไม่เห็นจะต้องไปสนับสนุนช่วยเหลืออะไรเท่าไร อาจจะใส่ซองใส่อะไรไป เวลาส่วนใหญ่พอเลิกงานแล้วกลับบ้าน กลับบ้านอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนกินข้าว พักผ่อนนิดหน่อยให้จิตใจผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากงาน เสร็จแล้วเราก็ลงมือปฏิบัติเลย ฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อก็คือเวลาปฏิบัติ
กายวิเวกเอื้อให้เกิดจิตตวิเวก
เราอยู่ฝึกเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งถ้าจิตใจของเราเข้มแข็ง จิตใจของเรามีความวิเวกในจิต ถึงเราอยู่กับคนเยอะๆ ก็เหมือนอยู่ตามลำพัง ของเราตอนนี้จิตใจเรายังไม่เข้มแข็ง จิตเรายังไม่วิเวก เราก็ต้องอาศัยการหลีกเลี่ยงจุดที่มันวุ่นวายเสียบ้าง อย่างพระที่วัดหลวงพ่อก็ให้อยู่กุฏิหลังหนึ่งอยู่องค์หนึ่ง แล้วมีต้นไม้ล้อมมองไม่เห็นกัน มีกฏมีกติกาไม่ให้ไปหากันคุยกัน โดยเฉพาะกลางคืนไม่ให้ไปยุ่งกุฏิอื่นเลย มีธุระก็ไปอยู่ที่ศาลา มีอะไรจะคุยก็ไปอยู่ศาลา ไม่ให้ไปอยู่คลุกคลีกัน ถ้าพระพูดมากก็ถูกดุ ไม่ให้เล่นมือถือ ถ้าเล่นมือถือไม่มีวิเวกแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว
ทุกวันนี้ที่พระหายนะมากก็เพราะมือถือนี่ล่ะ แล้วก็มีไลน์กับสาวๆ ไม่นานก็พัง ที่ล่มจมหายนะกันก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ หลง ไปคุย chat ตัวดีเลย เขาไม่รู้จักวิเวก ฉะนั้นเราทำบ้านของเราให้เป็นที่วิเวก ถึงเวลาเราก็กลับบ้านเรา ภาวนาของเราไป เราพัฒนา การที่เรามีกายวิเวกไม่คลุกคลีคนอื่น มันก็เอื้อให้เกิดจิตตวิเวก ธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าเราสังเกตให้ดีจะเรียงร้อยเป็นลำดับไปอย่างสวยงาม อย่างเรื่องขันธ์ 5 ท่านเรียงจากของหยาบไปหาของละเอียด กายนี้หยาบที่สุดเลยเห็นไหม จิตหรือวิญญานนี้มันละเอียดที่สุด ท่านเรียงลำดับสวยงาม ในอย่างมงคล 38 ไปดูสิ ตั้งแต่ของหยาบไม่คบคนพาลกระทั่งไปถึงพระนิพพาน ไปถึงสภาวะที่จิตปลอดภัยอะไรต่ออะไร ธรรมะของท่านจะเรียงลำดับงดงามมากเลย
ทีนี้พอเรามีกายวิเวกแล้ว สิ่งที่จะตามมาได้ง่ายคือจิตตวิเวก พอเราไม่ไปยุ่งไม่ไปคลุกคลีคนอื่น เราก็ฝึกจิตใจของเราให้มันสงบได้ง่าย ถ้าเรายุ่งกับคนอื่นทั้งวัน อย่างเล่นมือถือทั้งวันอย่างนี้ ไม่มีทางหรอกที่จะนั่งสมาธิแล้วจิตสงบ วิธีที่จะฝึกให้จิตสงบสอนหนักหนาสาหัสแล้วเรื่องนี้ บางคนไม่เข้าใจบอกหลวงพ่อปราโมทย์ใช้ไม่ได้ ไม่สอนสมาธิ ใครสั่งใครสอนว่าหลวงพ่อไม่สอนสมาธิ หลวงพ่อสอนสมาธิมากละเอียดยิบเลย สอนว่าสมาธิมี 2 กลุ่ม มิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิไม่มีสติ สัมมาสมาธิต้องประกอบด้วยสติเสมอ
สัมมาสมาธิยังมี 2 ส่วน สมาธิที่จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว มีสติอยู่ พอจิตสงบในอารมณ์อันเดียวนี่อันหนึ่ง สมาธิที่จิตมันตั้งมั่น มีสติอยู่แล้วก็ตั้งมั่น จิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พร้อมที่จะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสมาธิอีกอันหนึ่ง หลวงพ่อเลยไม่ได้สอนบอกว่าไปพุทโธๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้สอนอย่างนั้น คนทำแล้วกลายเป็นมิจฉาสมาธิหมดเพราะไม่รู้จักสติ
เพราะฉะนั้นก่อนจะไปถึงเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา สิ่งที่ขาดไม่ได้คือสติ ถ้าขาดสติตัวเดียว ศีลก็เสีย สมาธิก็กลายเป็นมิจฉาสมาธิ ปัญญาก็ไม่เกิดหรอก ตัวที่จะทำให้เราเกิดสติคือหลักสูตรที่ชื่อสติปัฏฐานนั่นล่ะ มีสติรู้กายมีสติรู้ใจตามความเป็นจริงไป ค่อยๆ ฝึก ถ้าเราอยากทำความสงบ เคล็ดลับก็คืออย่าอยากสงบ ถ้าเราอยากสงบใจเราจะดิ้นรนแสวงหาความสงบ เมื่อใจดิ้นรนใจมันก็ไม่สงบนะสิ เพราะฉะนั้นอยากสงบง่ายๆ เลย เราดูว่าจิตของเราอยู่กับอารมณ์อันไหนแล้วมีความสุข เราก็อยู่กับอารมณ์อันนั้น
อย่างถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วเรามีความสุข เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆ อาจจะบริกรรมพุทโธๆ ไปด้วยก็ได้ หรือเราพิจารณาธรรมะแล้วจิตใจเรามีความสุขความสงบ เราก็อาจจะพิจารณาธรรมะ แต่ตรงพิจารณาธรรมะจะทำยากนิดหนึ่ง หลวงพ่อใช้ บางทีหลวงพ่อก็ใช้การพิจารณาธรรมะ จิตก็ทรงสมาธิขึ้นมา สมัยก่อนตอนฝึกบางทีก็นึกถึงพระพุทธเจ้า บางทีก็พิจารณาธรรมะหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง หัวข้อที่พิจารณาแล้ว โอ๊ย สนุกที่สุดเลยคือปฏิจจสมุปบาท ประณีตลึกซึ้งที่สุดเลย
หรือบางทีใจเราวุ่นวาย เราคิดถึงพระสงฆ์คิดถึงครูบาอาจารย์ เรานึกถึงหน้าท่าน นึกถึง เห็นหน้าท่านคิดถึงคุณงามความดีของท่าน คิดถึงธรรมะที่ท่านสั่งสอนเรา ใจเราก็สงบ หรือเราไปทำทาน บางคนปล่อยปลา ชอบไปปล่อยปลา บางคนชอบบริจาคโลหิต เวลาเราอยากทำความสงบเราก็นึกถึงเราเคยทำทานอันนี้มา ปล่อยปลาให้ชีวิตเป็นทาน บริจาคโลหิตเห็นไหม เหมือนการบริจาคอวัยวะร่างกาย เป็นบุญสูง พอเรานึกถึงจิตใจเราก็อิ่มเอิบ เห็นกาชาดเขามีเหรียญแจกบริจาคเท่านี้ครั้งเท่านี้ครั้ง เมื่อวันเกิดหลวงพ่อมีพวกเราเอาเหรียญกาชาดมาให้หลวงพ่อ บอกว่าได้บริจาค 36 ครั้งแล้ว บางคนได้เยอะเลย ให้หลวงพ่ออนุโมทนา
ถ้าเราได้ทำทานอย่างนี้ แล้วเรานึกถึง จิตเราก็มีสมาธิได้ มันมีความสุข ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ อย่างนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วมีความสุข พิจารณาธรรมะแล้วมีความสุข คิดถึงพระสงฆ์คิดถึงครูบาอาจารย์แล้วมีความสุข คิดถึงทานที่เราทำแล้วมีความสุข หรือเรารักษาศีลได้ต่อเนื่อง คิดถึงศีลแล้วเรามีความสุข พอเรามีความสุขหรือเราหายใจเข้าพุทออกโธ เราคิดถึงลมหายใจ คิดถึงร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่กายคตาสติ ระลึกถึงร่างกายเรานี้ จิตใจก็มีความสุขได้ แล้วแต่ชอบ บางคนพิจารณากายแล้วกลัว กลัวแล้วก็ไม่มีความสุข สมาธิไม่เกิด แต่ละคนไปดูเอาเอง เราอยู่กับอารมณ์อันไหนแล้วมีความสุข เราอยู่อันนั่นล่ะ ต้องเป็นอารมณ์ที่ไม่ส่งเสริมกิเลส ถ้าด่าคนแล้วมีความสุขอย่างนี้ไม่เอา อันนั้นจิตใจจะฟุ้งซ่าน
หัวใจสำคัญของการปฏิบัติคือการมีสติ
ทีนี้ถ้าเราอยากให้จิตตั้งมั่น อยากให้มีความสุขก็ทำความสงบ แล้วจะสงบอย่าอยากสงบ มีสติอยู่กับอารมณ์กรรมฐานของเราที่มีความสุขไปเรื่อยๆ แล้วมันสงบเองล่ะ ถ้าอยากให้จิตตั้งมั่นทำอย่างไร จิตตั้งมั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดเลย ยากมาก เมื่อสัก 20 ปีก่อน หลวงพ่อชี้ให้พระอาจารย์อ๊าดูคนที่เดินไปเดินมา บอกในโลกนี้มันไม่มีคนรู้สึกตัว ในโลกมันมีแต่คนหลง มันหลง ส่วนใหญ่ก็หลงคิด หรือไม่ก็หลงดู หลงฟัง หลงดมกลิ่น หลงลิ้มรส หลงรู้สัมผัสทางกาย ทำไมมันขยันหลงนัก เพราะมันติดกาม ติดกาม ใจมันก็ไหลออกไปหากามตลอดเวลา ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือไหลไปคิดนึกเรื่องกาม มันไหลไปทางใจ
เพราะฉะนั้นในโลกไม่มีคนรู้สึกตัว ยุคนี้เยอะ ยุคนี้เยอะขึ้น ที่หลวงพ่อสอนๆ ก็ไปทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง ถ้าอยากดีอยากพ้นทุกข์ในชีวิตนี้ อดทน ตั้งอกตั้งใจทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อะไรก็ได้ที่เราถนัด แล้วเรามีสติคอยรู้เท่าทันจิตใจตนเอง ไม่ได้บังคับจิตให้สงบอยู่กับกรรมฐาน แต่คอยรู้ทันจิต อย่างเราหายใจเข้าหายใจออก เรารู้สึกอย่างนี้ แล้วถ้าจิตเราหนีไปจากการรู้ลมหายใจ เรามีสติรู้ทันนี่จิตหลงแล้ว หรือหายใจเข้าหายใจออกจิตเราไหลเข้าไปเพ่งไปจ้องลมหายใจ มีสติรู้ทันตรงที่จิตมันไหลไปคิด ไหลไปเพ่ง อันนั้นล่ะจิตมันจะหลงแล้ว
แต่ถ้าเรามีสติรู้ตอนนี้จิตเราหลงไปคิด ลืมอารมณ์กรรมฐาน ตอนนี้จิตเราหลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน ทันทีที่เรารู้ทันจิตหลง จิตหลงจะดับโดยอัตโนมัติ จิตรู้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นจิตรู้เราสั่งให้เกิดไม่ได้ จิตมันเป็นอนัตตา มันเกิดอัตโนมัติได้เพราะว่าเรามีสติรู้จิตหลง เห็นไหมรู้ทันจิตที่หลง ทันทีที่สติรู้ทันจิตหลง จิตหลงนั้นดับอัตโนมัติ เมื่อจิตมันไม่หลง จิตมันก็รู้ มันมีอยู่แค่นี้ล่ะ หลัก
เพราะฉะนั้นแต่ก่อนหลวงพ่อจะสอนง่ายๆ บอกว่าให้คอยรู้ทันสภาวะ 2 อย่าง เผลอก็รู้ เพ่งไว้ก็รู้ เผลอก็คือลืมอารมณ์กรรมฐาน เพ่งก็คือถลำลงไปจ้องอารมณ์กรรมฐาน ถ้าเราฝึกตัวนี้เยอะๆ เราไม่เผลอ เราไม่เพ่ง จิตเราจะตั้งมั่น ทีนี้คนบางคนภาวนาไม่เป็นก็บอก เฮ้ย หลวงพ่อปราโมทย์ไม่สอนสมาธิเลย โอ๊ย นี่หัวใจของสมาธิเลย ที่สอนให้นี่ มันเป็นสัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้นพวกเราอยากได้ดี ที่หลวงพ่อบอกให้ไปเดินจงกรมวันละ 3 ชั่วโมง คนไหนเดินได้ให้เดิน คนไหนแก่มากแล้วหรือหัวเข่าเจ็บหรือขาพิการเดินอย่างนั้นไม่ได้ ก็เดินไม่ต้องถึง 3 ชั่วโมงก็ได้ เดินเท่าที่เดินได้ ไม่ต้องเดินจนกระทั่งบาดเจ็บหรอก เดินเท่าที่เดินได้แล้วก็นั่งเอา แต่นั่งก็อย่านั่งเผลอๆ เพลินๆ
หัวใจสำคัญของการปฏิบัติคือการมีสติ เดินจงกรม 3 ชั่วโมง ถ้าไม่มีสติเลยก็คือเดินเรื่อยเปื่อย อันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยค นั่งสมาธิแล้วไม่มีสติก็คืออัตตกิลมถานุโยค ทำตัวเองให้ลำบากโดยไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นเลย เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติอยู่ที่สติ ตอนหลังๆ ที่หลวงพ่อบอกว่าไปเดินจงกรมสัก 3 ชั่วโมง แล้วก็คอยมีสติ เดินไป เดินไป จิตมันหลงไปจากอารมณ์กรรมฐาน หลงไปจากการรู้สึกตัว ร่างกายเดินใจเป็นคนดู รู้สึกไปเรื่อยๆ รู้สึกด้วยใจปกติ รู้สึกด้วยใจธรรมดาใจสบายๆ ปลอดโปร่ง เห็นร่างกายมันเดินไปใจเป็นคนรู้คนดูไป แล้วพอใจมันหนีไปคิดเรื่องอื่นให้รู้ทัน หรือนั่งสมาธิก็เหมือนกัน นั่งๆ อยู่อย่างนี้ แล้วใจมันหนีไปจากอารมณ์กรรมฐานของเรา รู้ทัน หรือเดินจงกรมใจมันไปเพ่งร่างกาย มันไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานแล้ว ให้รู้ทัน
จิตเผลอกับจิตเพ่งมันก็หลงด้วยกันทั้งคู่นั่นล่ะ อันหนึ่งหลงดี อันหนึ่งหลงชั่ว หลงลืมตัวเองไปนี่หลงชั่ว หลงเพ่งตัวเองนี่หลงดี มันก็ยังหลงอยู่ เพราะฉะนั้นไปทำกรรมฐาน เดินจงกรมไปสัก 3 ชั่วโมง เมื่อวานซืนมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแม่ของทิดที่เคยบวชกับหลวงพ่อคนหนึ่ง ผู้หญิงนี้ก็อายุพอสมควร เพราะลูกเป็นหนุ่มใหญ่ เขามาบอกหลวงพ่อ ตอนนี้ หลวงพ่อถามเขาว่าทำไมจิตมันตื่นขึ้นมาสว่างไสวรู้เนื้อรู้ตัวได้ดีอย่างนี้ เขาบอกเขาเดินจงกรม เขาเดินได้ 8 ชั่วโมงวันหนึ่ง พวกเราฟังแล้วใจหายเลย เดิน 8 ชั่วโมง เขาเดินได้เขาไม่ต้องทำงานอื่น เป็นวัยที่ไม่ต้องทำงานแล้ว เดินได้ จิตเขาตั้งมั่นเด่นดวงสว่างไสวรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา
ทุกวันนี้พวกเราจำนวนมาก หลวงพ่อถึงพูดเลยว่ายุคของเรานี่คนที่จิตตื่นขึ้นมาจริงๆ มีเยอะ ไม่ใช่ไม่มี ไม่เหมือนแต่ก่อนแทบไม่มีเลย ยุคนี้พวกเราจิตที่ตื่นขึ้นมานี่เยอะแยะเลย พวกที่ส่งการบ้านทางซูมไม่เคยเจอหลวงพ่อ ดูแล้ว โอ้ มันทำไมผ่องใสอย่างนั้น จิตใจดูดีเชียว เมื่อวานก็มีหนุ่มคนหนึ่ง หลวงพ่อเรียกมาดู มาดูเด็กคนนี้สิ จิตมันตื่นสงบตั้งมั่นไม่ดิ้น รู้เนื้อรู้ตัวอยู่โดยไม่ต้องบังคับไม่ต้องควบคุม ตรงนี้เหลืออีกก้าวเดียวเท่านั้นก็จะเข้าโลกุตระได้แล้ว ฉะนั้นตรงที่จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาอย่างแท้จริง พวกเราต้องฝึกเรื่อยๆ จิตหลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ ทีนี้พอจิตเราตั้งมั่นมีกำลังแล้ว เรียกว่าเรามีอะไร จิตตวิเวก จิตเราทรงสมาธิอยู่นี่เรียกมีจิตตวิเวกแล้ว คือจิตเราไม่วุ่นวายนั่นล่ะ ไม่วุ่นวายกระทั่งจะไปเพ่งกรรมฐาน อันนั้นก็ยังวุ่นวายอยู่
ทีนี้พอเรามีจิตตวิเวกแล้วก็ถึงอุปธิวิเวก อุปธิวิเวกคือการสงัดจากกิเลส สงัดจากกิเลสก็ทำด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี่ล่ะ ถึงจะล้างกิเลสได้จริง ถ้าสงัดจากกิเลสด้วยการนั่งสมาธิ เดี๋ยวกิเลสมันก็กลับมา ฉะนั้นเราอยากสงัดจริงๆ เข้าถึงความสงบสงัดที่แท้จริงก็ต้องฝึกให้ได้ถึงจิตตวิเวก จิตเราจะวิเวกได้ถ้ามันพ้นจากอำนาจกิเลส กิเลสมาได้ตอนเราเผลอ ตอนเราเผลอคือตอนเราขาดสตินั่นล่ะ ถ้าเราไม่เห็นความจริงของรูปนามกายใจ กิเลสมันก็ฟูขึ้นมา
ฝึกอุปธิวิเวกด้วยการเจริญปัญญา
ฉะนั้นเราต้องมาฝึกตัวเอง ทีแรกมีกายวิเวกไม่คลุกคลี แล้วก็ปรารภความเพียรของเราไป นี่ฝึกได้จิตตวิเวกขึ้นมา แล้วก็มาฝึกอุปธิวิเวกด้วยการเจริญปัญญา พอจิตเราตั้งมั่นแล้วเราจะเห็นความจริงอันหนึ่ง คือขันธ์ 5 มันแยกกันอยู่ ที่บอกว่าแยกขันธ์ แยกขันธ์ ที่จริงแล้วเราไม่ต้องแยก ขันธ์มันแยกอยู่แล้ว มันถึงชื่อว่าขันธ์ ขันธ์แปลว่าส่วน สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเราคือขันธ์ 5 อย่างนี้ มันคือส่วน 5 ส่วนซึ่งจริงๆ มันแยกกันอยู่ แต่ว่าเราหมายรู้ผิด เราคิดผิด เราเชื่อผิด เราไปรวบเอาขันธ์ 5 5 ส่วนนี้มาเป็นก้อนเดียวกัน เรารู้สึกว่านี่คือตัวเรา นี่คือตัวเรา
ทีนี้ถ้าเมื่อไรจิตเราตั้งมั่นเราจะเห็นว่าขันธ์มันแตกตัวออกไป อย่างพอเราจิตตั้งมั่นแล้วสติระลึกลงที่กาย เราจะเห็นว่ากายกับจิตมันคนละอันกัน แล้วมันจะเห็นเลยว่ากายไม่ใช่เราหรอก ร่างกายไม่ใช่เราเลย เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ร่างกายเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออกตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ ถึงจุดหนึ่งมันก็แตกสลายไป คืนธาตุให้กับโลกไป อันนี้ก็เป็นแค่สำนวนที่ว่าคืนธาตุให้โลก เพราะจริงๆ ร่างกายเรานี่มันเป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว จิตที่หมายรู้ผิด จิตที่คิดผิด จิตที่เชื่อผิด ไปขี้ตู่เอาธาตุของโลกมาเป็นตัวเราของเรา ถ้าจิตเราตั้งมั่นปัญญามันจะเกิด มันเห็นธาตุนี้เป็นสมบัติของโลก มันจะรู้เลยกายนี้ว่าง ร่างกายนี้ว่างจากความเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรา เป็นเขา ร่างกายนี้กับโลกข้างนอกเป็นอันเดียวกัน เสมอกัน เป็นอันเดียวกันเลย
ถ้าจิตเราตั้งมั่นพอ ปัญญามันเกิด มันเห็นเลยร่างกายกับโลกข้างนอกเป็นอันเดียวกัน ร่างกายมันก็เป็นวัตถุเท่านั้นเอง แล้วสิ่งที่แฝงอยู่ในร่างกายก็คือตัวเวทนาทางกาย เราก็จะเห็นถ้าจิตเราตั้งมั่น แล้วพอเกิดเจ็บเกิดปวดในร่างกายขึ้น เราก็จะเห็นว่าความเจ็บปวดทั้งหลายกับร่างกายคนละอันกัน เป็นคนละอันกัน อย่างร่างกายเราอยู่เฉยๆ แล้วเรานั่งนานมันเมื่อย เราก็จะรู้เลย จิตเราตั้งมั่นเราจะรู้ ความเมื่อยมันแทรกเข้ามาในร่างกาย ความปวดมันแทรกเข้าในร่างกาย มันไม่ใช่ร่างกาย ความปวดความเมื่อยไม่ใช่วัตถุ เป็นความรู้สึกที่แทรกเข้ามาในร่างกาย หรือความสุขความทุกข์ทางใจก็เหมือนกัน ความสุขความทุกข์ทางใจถ้าจิตเราตั้งมั่นเราก็จะเห็น ความสุขความทุกข์มันเหมือนเมฆลอยผ่านมาแล้วก็ลอยไป ลอยมาแล้วก็ลอยไป หรือเหมือนความฝัน
บรรดาเจตสิกคือความรู้สึกสุขทุกข์ ความจำได้ ความหมายรู้ ความปรุงดี ความปรุงชั่ว อันนี้เป็น 3 ขันธ์ คือเวทนาขันธ์ สุขทุกข์ เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญาขันธ์ ความจำได้ ความหมายรู้ แล้วก็สังขารขันธ์ ความปรุงดี ความปรุงชั่ว ความปรุงไม่ดีไม่ชั่ว สิ่งเหล่านี้เหมือนความฝัน มันมีอยู่แต่เราจับต้องไม่ได้จริง ความฝันเราจับต้องไม่ได้ใช่ไหม ความสุขในใจเราจับต้องไม่ได้ ความทุกข์ในใจก็เป็นของที่จับต้องไม่ได้ คล้ายๆ มันมา มีเหตุมันก็มา หมดเหตุมันก็ไป กุศลอกุศลในใจเราก็จับต้องไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ฉะนั้นเจตสิกธรรมทั้งหลาย คือธรรมะที่ประกอบจิต ทั้งสุขทุกข์ ทั้งความจำได้หมายรู้ ทั้งความปรุงดีปรุงชั่ว มันเหมือนเราฝันอยู่ ตอนนี้เรากำลังฝันอยู่ว่าเรามีความสุข ความฝันจับต้องไม่ได้ ตื่นขึ้นมาก็หายไปหมด ความรู้สึกทั้งหลายในใจเราเหมือนความฝัน มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป สั่งให้มาก็ไม่ได้ เราจงใจฝันเรื่องนี้สั่งไม่ได้ อยากฝันเรื่องนี้สั่งไม่ได้
เพราะฉะนั้นสังเกตไปเรื่อยๆ ถ้าจิตเรามีกำลัง เราเห็นร่างกายนี้เป็นแค่วัตถุอันเดียวกับโลกข้างนอก เราเห็นเจตสิกคือ เวทนา สัญญา สังขาร เหมือนความฝัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หาสาระแก่นสารอะไรที่แท้จริงไม่ได้ ฉะนั้นจิตเราจะค่อยประณีตๆ มากขึ้น มันเข้ามาใกล้จิตมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวร่างกายเป็นของหยาบที่สุด ตัวเจตสิกธรรม ตัวสุขทุกข์ ตัวความจำได้หมายรู้ ตัวปรุงดีปรุงชั่ว ละเอียดกว่าร่างกาย แต่ก็ยังหยาบ หยาบกว่าอะไร หยาบกว่าจิต
ทีนี้พอเรารู้ทันแล้ว สุขทุกข์ดีชั่วเหมือนความฝัน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันจะเห็นเลยจิตที่เราฝึกมาอย่างดี จิตผู้รู้ของเรานี่ที่มันตั้งมั่นเด่นดวงอยู่นี่ ทีแรกเรารู้สึกว่าจิตนี้คือตัวเรา ในบรรดาขันธ์ 5 สิ่งที่รู้สึกว่าเป็นเรามากที่สุดคือจิต สิ่งที่ละความเห็นผิดว่าเป็นเรายากที่สุดก็คือจิต รู้สึกไหมในนี้มีเราอยู่คนหนึ่ง เราคนนี้เป็นคนไปเห็นรูป เราคนนี้ได้ยินเสียง เราคนนี้เป็นคนคิด เราคนนี้มีความสุข เราคนนี้มีความทุกข์ เราคนนี้โลภโกรธหลง มันรู้สึกว่าจิตคือตัวเรา ทีนี้ตัวขันธ์ 5 4 ขันธ์แรกเราเห็นแล้วมันไม่ใช่เรา ร่างกายเป็นวัตถุของโลกไม่ใช่เรา เจตสิกคือตัวเวทนาสุขทุกข์เฉยๆ ตัวสัญญาความจำได้หมายรู้ ตัวสังขารความปรุงดีปรุงชั่วปรุงไม่ดีไม่ชั่ว มันเหมือนความฝัน ควบคุมอะไรไม่ได้ บังคับไม่ได้ มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป
ทีนี้มาถึงจิต จิตคือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิตคือธรรมชาติที่รู้ เรารู้สึกนี่คือตัวเรา แล้วทำอย่างไรเราจะเห็นได้ว่ากระทั่งจิตก็ไม่ใช่ตัวเรา เราต้องมีจิตผู้รู้ก่อน ถ้าเรายังไม่มีจิตผู้รู้ เรามีแต่จิตผู้หลง เราดูไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกจิตของเรา ทำกรรมฐานที่บอก จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไปเพ่งแล้วรู้ ฝึกให้เยอะเลย พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้แล้ว เราก็จะเห็นว่าจิตผู้รู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เช่นเดียวกับขันธ์อันอื่นนั่นล่ะ จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปดูรูป เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปฟังเสียง เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปดมกลิ่น เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปลิ้มรส เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้รู้สิ่งสัมผัสทางกาย เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวรู้อารมณ์ทางใจ เขาเรียกธรรมารมณ์
แล้วเราก็พบว่ามันเลือกไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาคือมันไม่เที่ยง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็อะไรอย่างนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่มีจิตผู้รู้ คนในโลกก็จะเป็น เดี๋ยวก็หลงดู เดี๋ยวก็หลงฟัง เดี๋ยวก็หลงคิด มันมีแต่หลง เมื่อมันมีแต่หลง มันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีสมาธิอะไรเลย มันจะเห็นความจริงใดๆ ไม่ได้ มันก็รู้สึกว่ากูทั้งนั้น ตัวกูของกูทั้งหมด ฉะนั้นจิตตัวจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นหรือจิตที่ทรงสัมมาสมาธินี่สำคัญมาก ถ้าไปดูองค์มรรคทั้ง 8 องค์สุดท้ายคือตัวสัมมาสมาธิ ตัวนี้ตัวสำคัญเลย ถ้าเราพัฒนามาตามลำดับจนถึงสัมมาสมาธิได้ จิตเราตั้งมั่นได้ สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่ต้องพูดถึงโลกุตรปัญญา ไม่มีหรอก
ฉะนั้นต้องฝึก ทำกรรมฐานจิตหลงแล้วรู้ จิตไปเพ่งแล้วรู้ พอถึงจุดสุดท้ายจิตเราตั้งมั่นโดยที่ไม่ได้เจตนาแล้ว แล้วเราก็เห็นมันตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็กลายเป็นจิตผู้คิด จิตผู้คิดก็ไม่เที่ยงดับไป ตรงนี้เราจะเห็นว่าจริงๆ แล้วจิตเกิดดับ จิตไม่ได้มีดวงเดียว พวกเราจะรู้สึกว่าจิตมีอยู่ดวงเดียว จิตชาติก่อนกับจิตเดี๋ยวนี้ก็ดวงเดิม จิตเดี๋ยวนี้กับชาติหน้าก็ดวงเดิม เรารู้สึกไหมในนี้มีเราอยู่คนหนึ่งซึ่งคงที่อยู่ เราวันนี้กับเราเมื่อวานก็คนเดียวกัน เพราะอะไร กำลังของสมาธิเราไม่พอ ปัญญามันไม่เกิด ถ้าจิตเราตั้งมั่นจริงๆ เราจะเห็นเลย จิตผู้รู้มันเกิดทางใจเกิดแล้วก็ดับ จิตที่ไปดูรูปมันเกิดทางตามีรูปเป็นอารมณ์ เกิดแล้วก็ดับ
ฉะนั้นจิตนี้เกิดดับอยู่ทางทวารทั้ง 6 ตลอดเวลา จิตไม่ได้มีดวงเดียว ถ้าใครคิดว่าจิตมีดวงเดียว นั่นคือมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัสสตทิฏฐิ จิตนี้เที่ยง แล้วส่วนใหญ่พวกเรากระทั่งนักปฏิบัติชอบคิดว่าจิตมีดวงเดียว เราต้องฝึกจิตของเราให้ดี เห็นไหม มันลงคำว่าจิตของเรา มันคิดว่าจิตคือตัวเราของเรา แต่ถ้าเราฝึกสมาธิเรามากพอ สติเราเร็วพอ เราจะเห็นจิตเกิดดับ จิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับที่ตา จิตเกิดที่หูแล้วดับที่หู จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก จิตเกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น จิตเกิดที่กายดับที่กาย จิตเกิดทางใจก็ดับทางใจ จิตเกิดที่ไหนดับที่นั้น จิตไม่ได้มีดวงเดียวแล้วก็วิ่งไปมา หัดใหม่ๆ เราจะรู้สึกว่าจิตเราวิ่งไปวิ่งมา อย่างที่หลวงพ่อบอกว่าทำกรรมฐานอันหนึ่ง จิตไหลไปคิดแล้วรู้ จิตไปเพ่งแล้วรู้ อันนี้ดูอย่างนี้ไปก่อน แต่อันนี้ยังไม่ได้มีปัญญาถูกต้อง ถ้าปัญญาถูกต้องก็คือจิตตั้งมั่นอยู่ก็รู้ แล้วจิตตั้งมั่นมันดับเกิดจิตที่คิด จิตที่คิดอยู่ชั่วคราวก็ดับเกิดจิตที่ตั้งมั่น จิตตั้งมั่นอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับเกิดจิตที่ไปดูรูปอะไรอย่างนี้ จะหมุนสลับไปเรื่อยๆ โดยมีจิตผู้รู้เป็นตัวคั่นอยู่ทุกอัน
ฉะนั้นรู้กับหลงสลับกันไปเรื่อยๆๆๆ ตรงที่มันไปดูรูปไปฟังเสียงส่วนใหญ่มันจะหลง เพราะสติของเรายังไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างไรก็หลง พอเข้าใจไหม อย่างเราไปเดินจงกรมเดินช้าๆ จิตมันไม่ช้าด้วย แกล้งทำร่างกายให้เคลื่อนไหวช้าๆ เคลื่อนช้าๆ จิตหลงไปคิดตั้ง 10 รอบแล้ว ฝึกตามลำดับแล้วจะไม่ยาก ถ้าได้ยินหลวงพ่อพูดว่ามีจิตตั้งมั่น เห็นจิตผู้รู้ก็เกิดดับ จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ จิตทุกชนิดไม่ใช่ดวงเดียวอะไรอย่างนี้ ฟังแล้วยาก แต่ถ้าเราทำตามลำดับมา
อะไรจะสำคัญเท่าไม่ทุกข์
ถือศีล 5 ไว้มีกายวิเวก ฝึกจิตตวิเวก แล้วก็มาเจริญสติเจริญปัญญานี่ล่ะ เรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจไป ถ้าฝึกมากๆ มันก็จะเห็นโลกนี้ไม่มีอะไร โลกนี้ที่คนหลงอยู่มันหลง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส คิดว่านำความสุขมาให้ แท้จริงแล้วมันนำความทุกข์มาให้ เวลาเราเห็นรูปที่สวยเราก็ยินดีพอใจอยากให้มันอยู่นานๆ แล้วมันอยู่นานๆ ได้ไหม มันก็อยู่ไม่ได้ พอมันหายไปเราก็เสียใจ อย่างเราเห็น สมมติเรามีจีบผู้หญิงคนหนึ่งเขาสวย เราเห็นแล้วเรามีความสุข แล้ววันหนึ่งเขาหายไป เราสั่งว่าเธออย่าแก่ เธอจะต้องสวยตลอดกาล เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เป็นไปไม่ได้ หรือแฟนเราเป็นหนุ่มหล่ออย่างนี้ เราจะสั่งว่าจงหล่อตลอดกาล มันเป็นไปไม่ได้
ความสุขในโลกกามสุขนี้ไม่เคยอิ่มไม่เคยเต็ม เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงกับของที่หยาบ ของที่ชั่วคราว ความสุขกับโลกๆ มันเหมือนยาแก้ปวดเท่านั้นเอง มันไม่ได้ล้างที่ต้นตอของปัญหา ต้นตอของปัญหาคือการที่เรายึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเราของเรา อันนี้ค่อยๆ ฝึกไป ตรงที่เราฝึกได้จิตตวิเวกเราก็จะพ้นจากกาม คือจิตเราไม่หิวในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส แล้ว เรามีความสุขอยู่กับสมาธิ แล้วตรงที่เราฝึกได้อุปธิวิเวกไม่มีกิเลส เราจะเห็นจิตที่ทรงสมาธิอยู่ก็ยังมีทุกข์
เพราะฉะนั้นจิตของพรหม จะพรหมชั้นไหนก็ตามเถอะ ก็ยังมีทุกข์ ทั้งพรหมทั้งหมดทั้ง 20 ชนิด เขาเรียกมี 20 ชั้น รูปพรหม 16 อรูปพรหมอีก 4 20 พรหม ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ทำไมเป็นทุกข์ ก็จิตมันเป็นตัวทุกข์ ภาวนาไปจะเห็นเลยจิตนั่นล่ะคือตัวทุกข์ ไม่มีตัวสิ่งใดในโลกนี้จะทุกข์เหมือนตัวจิตเลย ค่อยๆ ฝึกวันหนึ่งเห็นตรงนี้มันก็จะปล่อยวางได้ ถ้าไม่เห็นทุกข์จะไม่ปล่อยวาง ฉะนั้นเห็นทุกข์ถึงจะเห็นธรรมแท้ๆ
การเห็นทุกข์เรียกเรารู้อริยสัจ 4 พอเรารู้ทุกข์ สมุทัยคือความอยากจะถูกละโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปนั่งละตัณหา ขอให้รู้ทุกข์เท่านั้น อย่างถ้าเราเห็นความจริงว่าร่างกายเราคือตัวทุกข์ ถ้าเห็นตรงนี้ อันนี้มันภูมิของพระอนาคามี เห็นร่างกายเป็นตัวทุกข์ จิตมันจะไม่เกิดความอยากจะให้ร่างกายมีแต่ความสุข มันจะไม่มีความอยากจะให้ร่างกายไม่ทุกข์ เพราะมันยอมรับความจริง ยอมรับธรรมดาของกายแล้วว่ามันคือตัวทุกข์ นี่ระดับหนึ่ง
พอภาวนาถัดจากนั้นเราผ่านขันธ์ 5 เราวางๆๆ เข้ามาถึงจิตแล้ว เราเห็นจิตมันยังเกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเกิดมาทำอะไร มันเกิดมารู้อารมณ์ ทุกคราวที่รู้อารมณ์ มันเกิดภาระของจิต มันจะเห็นจิตนี้มีภาระหนักหนาสาหัสที่สุดเลย จิตไม่เคยได้หยุดพักเลย จิตต้องรับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ตอนนอนหลับมีจิตไหม มี ตอนนอนหลับก็ยังมีจิตอยู่ เห็นไหม มีอารมณ์ไหม มี เขาเรียกอตีตารมณ์ อารมณ์เก่าๆ ที่เก็บๆ ไว้ มี
ฉะนั้นจิตนี่พอเราภาวนามาถึงจุดนี้ เราจะเห็นเลยจิตนี้ต้องสนองรับอารมณ์ตลอดเวลา ออกรู้อารมณ์ตลอดเวลา เป็นภาระอย่างยิ่ง ร่างกายเราทำงานเมื่อยๆ เราก็ไปนอนได้ แต่จิตไม่เคยได้หยุดพักเลย ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งตื่น ทั้งหลับ ฉะนั้นจิตนี้เป็นตัวที่ทุกข์แสนทุกข์ ทุกข์ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าผู้หญิงเวลาออกลูกนี่ทุกข์ที่สุดเลย หลวงพ่อไม่เคยออกลูกเลยเปรียบเทียบไม่ได้ แต่รู้อย่างหนึ่ง จิตนี่มันตัวทุกข์จริงๆ มันมีภาระตลอดเวลาเลย ต้องกระทบอารมณ์ตลอดเวลา กระทบแล้วก็ต้องทำงาน คล้ายๆ ทาสที่ยิ่งกว่าทาสอีก ไม่เคยได้หยุดพักเลย พอเราภาวนาเรื่อยๆ เราเห็น อ้อ จิตมันคือตัวทุกข์ที่แท้จริง ในสามโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรทุกข์เท่าตัวจิตเลย
พอเราเข้าใจว่าจิตคือตัวทุกข์แล้ว มันปล่อยวางจิตได้ มันไม่ยึดถือจิตได้ มันเหมือนอย่างเรารู้ว่ากายคือตัวทุกข์ มันปล่อยวางกายได้ ถ้ารู้ว่าจิตคือตัวทุกข์ มันก็ปล่อยวางจิตได้ เมื่อเราปล่อยวางจิตแล้ว เรามองไปในสามโลกธาตุ เราจะพบว่าไม่มีที่ไหนที่จะหยั่งลงไป เกิดตรงนั้นแล้วจะไม่ทุกข์ เพราะอะไร ไม่ว่าเกิดทีไรมันก็เกิดจิตขึ้นมาทุกทีเลย เราจะมีจิต ไปเป็นพระพรหมก็มีจิต แล้วจิตมันคือตัวทุกข์ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในอารมณ์ที่ประณีตเท่านั้นเอง ถ้าภาวนาเรื่อยๆ แล้วมันจะหาที่เกิดไม่ได้
เคยมีพราหมณ์คนหนึ่งไปด่าพระพุทธเจ้า สมณโคดมไม่ผุดไม่เกิด ท่านบอก เออ ถูกๆ ไม่เกิดหรอก เพราะไม่รู้ว่าจะไปเกิดตรงไหน มองไปที่ไหนไม่เห็นมีที่มันจะดีวิเศษเลย มองไปที่ไหนทั้งสามโลกธาตุมีแต่ทุกข์ ฉะนั้นถูกต้องแล้ว พระสมณโคดมไม่ผุดไม่เกิด พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรสชาติ ท่านบอก เออ ถูกอีก ด่าอะไรมาท่านบอกใช่หมดเลย แต่ท่านอธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง สุดท้ายอีตาพราหมณ์นั่นถอดใจเลย ยอมไหว้ ยอมฟังธรรม
ถ้าเราภาวนาเราจะรู้เลยว่าโลกนี้ไม่มีรสชาติหรอก รสของกามมันเจือด้วยความเผ็ดร้อนเสมอ ที่สำคัญไม่ว่ารสของกามหรือรสของฌานสมาบัติ มันก็จะนำความทุกข์มาให้ เพราะว่าอะไร จิตมันคือตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นต้องฝึกไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งพวกเราจะเห็นตรงนี้ อันนี้หลวงพ่อไม่ได้เก่งหรอก หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา ก็เลยมาบอกต่อ เดี๋ยวจะว่าเราอวดอุตริยุ่งยากขึ้นไปอีก เอ้า วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้
ปีใหม่ขออวยพร ไหนๆ ก็ปีใหม่แล้ว อวยพร ทำความดี ทำความดี ละความชั่ว ทำความดีไว้ มองโลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่อยาก ในโลกไม่เคยหยุดนิ่ง ในโลกมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ยอมรับความจริงได้ เราจะอยู่กับโลกที่วุ่นวายโดยทุกข์น้อยๆ หรือไม่ทุกข์ อะไรจะสำคัญเท่าไม่ทุกข์ พอไม่ทุกข์จิตมันมีความสุขมีความสงบเต็มที่ ฉะนั้นขออวยพร อย่าทำชั่ว ทำความดี ฝึกจิตฝึกใจตัวเองให้มันสะอาด ให้มันผ่องแผ่วมากขึ้นๆ นี่ล่ะเป็นพรที่แท้จริง เป็นพรที่พวกเราต้องทำเอาเอง หลวงพ่อทำแทนให้ไม่ได้ ทำแทนได้พระพุทธเจ้าท่านทำแทนพวกเราหมดแล้วล่ะ เจริญสุข ชอบประโยคนี้ล่ะ
แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
21 ธันวาคม 2568