มองให้เป็นจะเห็นธรรมะ

ช่วงนี้ก็มีข่าวมาบอกหลวงพ่ออยู่เรื่อยๆ หลายคนเป็นโควิดตายแล้ว บางคนก็พ่อตาย เข้ามาในบ้านติดกันในบ้านแล้ว ป้องกันยากที่สุดแล้วป้องกันคนใกล้ตัว ความตายมาถึงเมื่อไรก็ได้ เป็นธรรมชาติของชีวิตเกิดแล้วก็ต้องตาย ตายตอนนี้หรือตอนไหนมันก็ต้องตายนั่นล่ะ

ถ้าเราเข้าใจความจริงของชีวิต ยอมรับได้เราก็ไม่ทุกข์ ที่สำคัญคือก่อนตาย เราสะสมความดีหรือความชั่วเอาไว้เยอะ เรามีเรื่องอะไรจะต้องเสียใจไหม อะไรที่ดีๆ ควรจะทำแล้วยังไม่ทำมีไหม เรื่องชั่วบางอย่างควรจะละยังไม่ละมีไหม ถ้าคิดถึงความดีที่ควรทำยังไม่ได้ทำ ความชั่วที่ควรละยังไม่ได้ละ จิตก็เศร้าหมอง ถ้าเราไม่อยากเศร้าหมองตอนจะตาย เราก็ทำความดีที่ควรจะทำ ละความชั่วที่ควรจะละเสียตั้งแต่ก่อนจะตาย

ไม่ใช่รอตายแล้วจะเรียกให้พระช่วย พระช่วยไม่ได้หรอก เราต้องเข้าใจศาสนาพุทธ ศาสนาที่สอนให้เราช่วยตัวเอง ไม่ใช่ให้พระมาช่วยเรา นั่นไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่ศึกษาศาสนาพุทธไม่ดีพอ เราหวังพึ่งพระ เหมือนที่คนศาสนาอื่นเขาหวังพึ่งพระเจ้าพึ่งเทวดา อย่างเวลาเราไปไหว้พระพุทธรูปเราก็ไหว้ไม่เป็น พระพุทธรูปนั้นเราไหว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ท่านมีปัญญาอันยิ่งใหญ่ สามารถแสวงหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวของท่านเอง แล้วเส้นทางของท่านนั้น ทำให้ท่านเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ แล้วท่านก็ยังมีความกรุณามาสอนพวกเราอีก ให้เรารู้ตามเห็นตามพ้นทุกข์ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การสอนให้คนเห็นธรรมะนี่ยากมากเลย

 

นับถือที่ตัวคุณธรรม

เวลาเราไหว้พระพุทธรูป เราก็คิดถึงคุณของพระพุทธรูป คนส่วนหนึ่งไหว้พระพุทธรูปไหว้แบบเทวรูป ไหว้แล้วบนบานศาลกล่าวขอให้ช่วยโน้น ขอให้บันดาลอย่างนี้ เพราะเราไม่รู้จักคำว่ากฎแห่งกรรมเลย เราร้องขออย่างเดียว พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนสิ่งเหล่านี้เลย แต่พวกเรานับถือพระพุทธเจ้าเหมือนนับถือเทพเจ้า เอาไว้ร้องขออย่างโน้นอย่างนี้ ธรรมะก็เหมือนกัน เวลาเราคิดถึงพระธรรม อันนี้คิดถึงยากหน่อย เป็นนามธรรมนึกไม่ออก เอาเว้นไว้ก่อน หรือว่าเราคิดถึงพระสงฆ์ เราคิดถึงพระเป็นองค์ๆ หลวงปู่นั้น หลวงพ่อนี้ อันนั้นยังไม่ใช่ ถ้าเรานึกถึงพระสงฆ์ ก็ไม่ใช่เรียกให้หลวงปู่ทวดช่วยเราอย่างนั้น ให้หลวงปู่นั้นช่วยเราอย่างนี้ นั่นไปนับถือเหมือนนับถือเทวดาให้มาช่วยเราอย่างโน้นอย่างนี้

เวลาเรานึกถึงพระสงฆ์ เราก็นึกถึงคุณความดีของพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น พระสงฆ์ท่านเดินมาในเส้นทางอย่างนี้ ท่านมีศีล ท่านมีสมาธิ ท่านมีปัญญา เมื่อก่อนท่านก็เป็นคนแบบพวกเรานี่ล่ะ มีกิเลสหนาปัญญาหยาบเหมือนๆ กัน แต่ว่าท่านอดทน ท่านได้คำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วลงมือปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม แล้วท่านก็เลยน่าเคารพกราบไหว้เป็นแบบอย่าง เราเคารพพระสงฆ์ในฐานะเป็นแบบอย่าง ของคนที่เคยมีกิเลสแล้วสามารถต่อสู้เอาชนะกิเลสไปได้ ก็เป็นตัวอย่างให้เราดู วันหนึ่งเราก็ต้องไปตรงนี้จนได้ ไปสู่จุดนี้จนได้เหมือนกัน ถ้าเราไม่ท้อถอยเสียก่อน การนับถือพระก็นับถือที่คุณงามความดีของพระ ไม่ใช่นับถือแบบเป็นเทวรูป หรือเป็นพระเจ้า เป็นเทวดาจะมาช่วยอะไรเรา

กระทั่งการนับถือเทวดา ถามว่าชาวพุทธนับถือเทวดาได้ไหม นับถือได้ เรานับถือธรรมะที่ทำให้คนธรรมดาอย่างนี้เป็นเทวดาได้ เห็นไหมเรานับถือที่ตัวคุณธรรม นับถือพระพุทธเจ้า เราก็นับถือในคุณธรรมของพระพุทธเจ้า นับถือในคุณธรรมของพระธรรม นับถือในคุณธรรมของพระสงฆ์ คิดถึงเทวดา นับถือในคุณธรรมที่ทำให้ท่านเหล่านั้นได้เป็นเทวดา ท่านเหล่านั้นเป็นคนดีทำไมเราจะนับถือไม่ได้ ท่านเหล่านั้นมีอย่างน้อยมีศีล ท่านมีศีลแล้วก็ท่านมีหิริโอตัปปะ ไม่ใช่มีศีลอย่างเดียว อย่างพวกเราถือศีลบางทีถือได้ไม่ดี ถือด้วยการกดข่มบังคับตัวเอง ในขณะที่พวกเทวดาเขาถือศีลเพราะเขามีหิริโอตัปปะ เขาละลายใจที่จะทำชั่ว เขาเกรงกลัวผลของความชั่ว เห็นไหมเขาสูงกว่าเราชั้นหนึ่ง ฉะนั้นเราจะนับถือได้ไหม นับถือได้แต่ไม่ใช่นับถือแบบเทวรูป ไหว้เพื่อจะให้ช่วยเราอย่างโน้นช่วยเราอย่างนี้ จะให้ช่วยบ้านช่วยเมือง ถ้าบ้านเมืองของเราแล้วเราไม่ช่วยกัน ใครจะมาช่วยเราได้ เทวดาก็ช่วยไม่ได้ ถ้าคนในบ้านในเมืองไม่มีศีลมีธรรม เบียดเบียนข่มเหงกัน บ้านเมืองก็ไม่สงบสุข เทวดาก็ช่วยไม่ได้

 

ก้าวไปในทางที่ร่มเย็นเป็นสุข

ฉะนั้นเราต้องมีเหตุมีผล เราเป็นชาวพุทธ เรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือเทวดา นับถือบรรพบุรุษอะไรไม่ใช่เรื่องเสียหาย การนับถือบรรพบุรุษอย่างเราไปเช็งเม้ง ไปอะไรอย่างนี้มันเสียหายตรงไหน เราก็คิดถึงบุญคุณของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของเราได้มีบุญคุณแก่เราอย่างไร หรือมีบุญคุณกับบ้านเมืองมาอย่างไร ได้ทำความดีอะไรมา ถ้าเราคิดถึงความดีของบรรพบุรุษ เราก็ตั้งใจ เราเป็นลูกเป็นหลานเราก็จะเดินตามอย่าง บางคนบรรพบุรุษเลว ขายยาเสพติด ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ ขี้โกง คอร์รัปชันอะไรอย่างนี้ เราก็เอาเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง บรรพบุรุษของเราโกงไว้ตั้งเยอะตั้งแยะ สุดท้ายก็ไปตัวเปล่าๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่คนเขานึกถึงตามหลังเขาก็ด่าเอา สิ่งนี้บรรพบุรุษก็ให้บทเรียนแก่เรา ว่าอะไรที่เราควรละ อะไรที่เราควรประพฤติ เราไหว้อะไร ไม่ว่าเราจะเคารพอะไร เคารพเข้ามาให้ถึงคุณธรรมของสิ่งนั้น จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเทวดา เป็นบรรพบุรุษอะไรก็ตามเถอะ มองเข้าไปให้เห็นธรรมะให้หมดเลย แล้วเราจะก้าวหน้า ชีวิตเราจะก้าวไปในทางที่ร่มเย็นเป็นสุข

ค่อยๆ ฝึก หลวงพ่อไปไหว้พระวัดโน้นวัดนี้ ไปดูศิลปะงดงามอะไรอย่างนี้ บางทีก็ไปนั่งสมาธิ บางวัดนั่งแล้วใจสว่างไสวร่มเย็น ไปไหว้พระพุทธรูปเอาความดีใส่ตัว ไม่ใช่ไปขอ ตั้งแต่หลวงพ่อเด็กๆ แล้ว เรียนอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนวัด โรงเรียนอยู่ในวัด ว่างๆ เข้าไปนั่งอยู่ในโบสถ์ไม่มีใครเขาเข้าหรอก ไปนั่งอยู่คนเดียว เห็นพระพุทธรูปผุๆ พังๆ เปื่อยไปหมดเลย เป็นพระปูน เราก็ไหว้พระ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นั่งสมาธิภาวนาไปเรื่อยๆ นี่เรียกไหว้พระเป็น ไหว้พระแล้วก็เอามาปฏิบัติธรรม ไม่ได้คิดว่าขอให้เทวดามาช่วยเรา ให้นั่งสมาธิได้ดี ไม่เคยขอเลย ดีไม่ดีอยู่ที่ตัวเราเอง

ฉะนั้นหลวงพ่อไม่ได้ห้าม จะไปไหว้พระพุทธรูปอะไรอย่างนี้เป็นเรื่องดี แต่ไหว้แล้วให้ถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ อย่าไปติดอยู่ที่อิฐที่ปูน ที่ทองเหลืองที่สร้างเป็นพระขึ้นมา ถามว่าพระพุทธรูปมีพลังงานไหม มี พลังงานที่ดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี พลังงานดีๆ อย่างพระพุทธรูปบางองค์ พระคู่บ้านคู่เมืองทั้งหลาย มีพลังงานของเทวดาเยอะแยะเลย เทวดาเขาผูกพันอยู่กับพระพุทธรูปองค์ไหน เขาก็คอยมากราบมาไหว้ พลังงานก็มีเยอะแยะเลย เราไปไหว้ เราไปกราบ ไปนั่งสมาธิ ใจเราก็สงบเร็ว สงบง่าย คล้ายๆ เราได้รับกระแสที่ดี ได้รับพลังงานที่ดี ฉะนั้นถ้าเราไปอยู่ตามผับตามบาร์อย่างนี้ พลังงานที่ชั่วมันเยอะ คนกินเหล้าเมายา คนหลงโลก กินเหล้าเคล้านารี เคล้าบุรุษกันกิเลสทั้งนั้น แค่เราเหยียบเข้าไปตรงนั้น ใจเราก็วุ่นวายไปหมดแล้ว

สิ่งพวกนี้หลวงพ่อไม่ไป ตั้งแต่เป็นโยมไม่เคยไปเลย เคยเข้าไปดิสโกเธคทีหนึ่ง ก็ติดทีมเขาเข้าไป พอเขาเข้ากันหมดเหลือเราคนเดียว ไม่เข้าก็ดูแปลกแยก เข้าไปแล้วไฟวูบวาบๆ แก้วหูแทบจะแตก กลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ฟุ้งไปหมดเลย ใจมันสลดสังเวช นี่มันนรกชัดๆเลย มันอบายภูมิชัดๆ เลยไฟวูบวาบๆ เสียงก็อึกทึกครึกโครม เสียงของนรกดังมาก ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก อย่างพวกเรามีหูแบบพวกเรา เข้าไปไม่ต้องใกล้มากเลย ห่างเป็นร้อยๆ กิโลแก้วหูจะแตกแล้ว เสียงมันดังขนาดนั้น มันทรมานมากเลย พวกนี้เขาจำลองนรกขึ้นมาเป็นผับ เป็นบาร์ เป็นเธคอะไรขึ้นมา ดื่มน้ำทองแดงกัน แหมเอร็ดอร่อย เข้าไปเราเห็นแล้วสลดสังเวช ได้จังหวะหลวงพ่อหนีเลย พอคนเขาเผลอเราก็หนี หลบไปหาครูบาอาจารย์ตามวัด

บางทีไปต่างจังหวัดเขาไปกินเหล้าเมายากัน พวกข้าราชการชอบนักเชียว หลวงพ่อก็ถ้าหลบได้หลบเลย แล้วก่อนจะไปที่จังหวัดนั้นเราก็ไปสืบดูก่อนว่า มีครูบาอาจารย์องค์ไหนอยู่ใกล้ๆ มันยังไม่ดึกเกินไปเราก็ไป ไปเจอครูบาอาจารย์ดีๆ ก็ตั้งหลายองค์ด้วยวิธีนี้ เรื่องอะไรเราจะต้องไปหลงกับภพของนรก ภพของเปรต ของอสุรกาย ภพของเดรัจฉาน เต็มไปด้วยความหลงทั้งนั้นเลย ฉะนั้นเราก็เข้าไปเห็นแล้วเราก็ไม่ได้ไปว่าเขา เขาเป็นอย่างนี้ไปว่าเขาทำไม เขาก็เป็นตามชั้นตามภูมิของเขา วันหนึ่งเขาพัฒนาจิตใจขึ้นมาเขาก็เลิกไปเอง วันนี้เขายังเลิกไม่ได้เขาก็เป็นอย่างนี้ไปก่อน เขาก็ทุกข์ไปก่อน แต่เราไม่เอาอย่างเขาหรอก

ธรรมะมีในที่ทุกที่ ธรรมะไม่ได้อยู่กับวัด อยู่กับครูบาอาจารย์อย่างเดียวหรอก ฉะนั้นธรรมะอย่างเราไหว้พระพุทธรูปเราก็เห็นธรรมะ นึกถึงพระธรรมเราก็เห็นธรรมะ นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงพระสงฆ์เราก็เห็นธรรมะ กระทั่งนึกถึงนรกนั่นล่ะ นรกบนดินทั้งหลาย เราก็เห็นธรรมะ คนในโลกนี้เต็มไปด้วยคนหลง ในโลกนี้เต็มไปด้วยคนหลง นึกว่ามีความสุข แท้จริงแล้วไม่ได้มีความสุขจริง ความสุขอันนั้นเป็นความสุขที่เร่าร้อน ไม่ใช่ความสุขที่ร่มเย็น ไม่เหมือนธรรมะเป็นความสุขที่ร่มเย็น อย่างเราเข้าสมาธิพอจิตเราสงบ เราจะรู้สึกเย็น ร่มเย็นเป็นสุขไปทุกขุมขนเลย แต่ถ้าเราไปอยู่ในที่หนาวๆ อย่างประเทศที่เย็นจัดๆ หรือในพื้นที่ที่เย็นจัดๆ พอเราคิดถึงธรรมะ คิดถึงการภาวนา คิดถึงพระพุทธเจ้า มันจะเกิดพลังงานที่อบอุ่นขึ้นมา ฉะนั้นเวลาอยู่ในที่ร้อนๆ เรานึกถึงเราก็เย็น ไปอยู่ในที่เย็นๆ นึกถึงก็อบอุ่นขึ้นมาได้ เป็นเรื่องประหลาด ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเลย

ฉะนั้นค่อยๆ ฝึกค่อยๆ พัฒนาตัวเองไป ถ้าจิตใจเราอยู่กับธรรมะ มันร่มเย็นเป็นสุข เวลามันร้อนก็เย็นๆ สบาย เย็นกว่าห้องแอร์ มันสดชื่นเย็นชื่นฉ่ำเลย มันคล้ายๆ อากาศร้อนจัดๆ เราภาวนา มันรู้สึกเย็นไปทุกขุมขนเลย มันชื่นใจ เวลาหนาวๆ ภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้า มีความร้อนผุดขึ้นมาจากกลางอกเราเลย จะรู้สึกอบอุ่นสบาย อุ่นไปถึงมือถึงเท้า ปลายมือปลายเท้านี้อุ่นไปหมด เป็นเรื่องของพลังงาน เรานึกถึงสิ่งที่ดีก็เกิดสิ่งที่ดีกับตัวเรา เรานึกถึงสิ่งที่ชั่วมันก็เกิดแต่สิ่งที่ชั่วๆ กับเรานั่นเอง ทุกวันนี้พื้นจิต ภูมิจิตภูมิธรรมอะไรของพวกเราส่วนใหญ่มนุษย์ยุคนี้ ความหลงมันเยอะ โมหะมันเยอะ เราพยายามฝืนกระแสโลก อย่าไปไหลตามมัน โลกมันหลง มันวุ่นวาย เราก็อย่าไปยุ่งกับมัน เราอยู่กับมันแต่ว่าเราไม่ยุ่งกับมัน จำเป็นต้องอยู่กับมัน เราหนีไปอยู่นอกโลกได้ที่ไหน เราก็ต้องอยู่กับความวุ่นวายนี่ล่ะ แต่อยู่ให้เป็น อยู่แล้วเราก็เห็นธรรมะเกิดขึ้นในใจเราตลอดเวลา

 

รักษาใจของเรา รักษาตัวเราให้สะอาดหมดจดไว้

เราเห็นสิ่งที่ดีเราก็นึกถึงสิ่งที่ดีนี้ ที่สุข ที่สงบนี้ เป็นผลมาจากความดีที่สร้างไว้ เช่น มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เป็นความดีที่เราสร้างขึ้นมา กับผลได้รับเป็นความสุขความสงบ ถ้าเวลาเราไปเห็นสิ่งที่แย่ๆ อย่างเข้าไปในผับ ในบาร์ ในซ่องในอะไรอย่างนี้ เราก็เห็นเลยมันมีแต่ทุกข์ มีแต่คนหลง น่าสงสาร น่าสลดสังเวช ไม่ใช่น่าหลงใหลเลย เห็นแล้วสลดสังเวช แต่พูดไม่ได้ พูดไม่ได้ก็ไม่พูด เตือนไม่ได้ก็ไม่เตือน เรื่องอะไรจะไปแกว่งปากหาเท้าคนอื่น เราแค่เราไม่ทำตามเขาเท่านั้นเอง จำเป็นติดกลุ่มเข้าไปก็หาทางเลี่ยงเสีย รักษาสติ รักษาจิตใจของเราไว้ อย่างหลวงพ่อไปนั่ง บางทีไปในวงราชการ เขากินเหล้ากินอะไรกัน เราอย่าไปบอกฉันไม่กินเหล้า ฉันรังเกียจพวกเธอ อย่างนั้นเราอยู่ยาก เขากินเหล้าเราก็กินกับไป เขากินโน่นกินนี่ก็ช่างเขา เขาจะบ้าผู้หญิงบ้าอะไรก็เรื่องของเขา เรารักษาใจของเรา รักษาตัวของเราให้สะอาดหมดจดไว้

เวลาเราเจอครูบาอาจารย์เราไม่มีความละอาย ถ้าเราทำชั่วไป ไปหาครูบาอาจารย์มันละอายใจ เราไม่กล้ามองหน้าครูบาอาจารย์เลย อย่างพวกเราหลายคนรู้สึกไหม อยากเจอหลวงพ่อแต่พอเผชิญหน้าหลวงพ่อ ก้มหน้าหลบเลยไม่กล้ามองหน้ากันหรอก เราเห็นแล้วพฤติกรรมอย่างนี้ เราก็รู้ต้องไปทำชั่วอะไรมาแน่นอน ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเอง ธรรมะมีอยู่รอบๆ ตัวเรา รู้จักมองเราก็จะเห็นธรรมะ พระก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่ล่ะ มารก็อยู่รอบๆ ตัวเรา สวรรค์ นรกก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง พยายามฝึกตัวเอง ลดละกิเลสไปเรื่อยๆ เจริญกุศลไปเรื่อยๆ ไม่งมงาย ไม่เชื่อตามคนอื่น เชื่อตามที่เขาลือเขาเล่า อันนั้นดีอันนี้ดีอะไรนั่นเขาบอก จริงๆ ดีหรือไม่ดี ต้องพิจารณาเอาด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยตามเชื่อๆ เขาไป

อย่างคนชอบไปไหว้หลวงพ่อโสธร ก่อนจะมีโควิด หลวงพ่อไปไหว้พระ บางทีก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อโสธร ก็คุ้นเคยกับท่านมาตั้งแต่เด็ก คุ้นกับท่านตั้งแต่เด็กๆ พ่อก็ชอบพาไปไหว้ ก็ไปไหว้แล้วก็นึกถึงพระ นึกถึงความร่มเย็นเป็นสุข ก็ภาวนา เข้าไปช่วงหลังๆ ลานที่เขาไหว้ท่าน องค์นั้นองค์ปลอมองค์ที่เขาไหว้กันตอนนี้ องค์จริงท่านแตกแล้วก็ซ่อมๆ เอาไว้อยู่ในโบสถ์ องค์ที่เขาทำขึ้นใหม่หล่อขึ้นมาเป็นทองเหลือง แต่เดิมเป็นปูน ตอนสร้างโบสถ์ท่านแตกไปแล้ว หน้าลานที่กว้างใหญ่เต็มไปด้วยไข่ต้ม มีละครชาตรีรำ แล้วก็มีไข่ต้มแก้บน เราเห็นเราก็เอ็นดูไม่ใช่ว่าดูถูกเขาหรอก เราก็นึกแต่ก่อนเราก็คงเป็นอย่างนี้ แต่บุญที่เราได้เจอครูบาอาจารย์ พ่อแม่ของเราก็สอนให้เรารู้จักทำบุญใส่บาตรถือศีล ฟังเทศน์ ผู้ใหญ่เขาสอนมา เราเกิดในครอบครัวของสัมมาทิฏฐิ ไม่ได้ร่ำรวยแต่มันมีรวยด้วยศีลด้วยธรรม ฉะนั้นเราไปเห็นคนเขาหลง เอาไข่ต้มไปถวายหลวงพ่อโสธร บางทีตอนบ่ายยังถวายเลย พระกินเข้าไปได้อย่างไร แล้วถ้าหลวงพ่อเป็นหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อคงไม่เอาแล้วไข่เห็นแล้วจะอาเจียน เห็นทุกวันเลย

ก็เหมือนเราไปไหว้พระพรหม ก็เอาไข่ต้มมะพร้าวอ่อนไปไหว้ คลอเรสเตอรอลสูงทั้งนั้นเลย พระพรหมท่านก็คงกลัวเหมือนกัน อย่างไหว้พระพรหมเราไหว้อะไร เราไหว้คุณธรรมที่ทำให้ท่านเป็นพรหม ทำไมมี 4 หน้า เป็นสัญลักษณ์ของเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จิตที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นจิตของพรหม จิตที่มีหิริโอตัปปะ เป็นจิตของเทพ จิตที่มีศีลมีธรรมเป็นจิตของมนุษย์ได้ เรามองเข้าไป เวลาเคารพกราบไหว้อะไรก็เห็นถึงคุณธรรม

ไปเจอสิ่งชั่วร้ายอะไรเราก็เห็นถึงธรรมะ ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ เพราะเขาหลง ทำไมเขามัวเมาอย่างนี้ เขาประมาท ทำไมเขาเพลิดเพลินอยู่กับอบายมุขแบบนี้ เพราะเขามีราคะ บ้าผู้หญิงอะไรอย่างนี้ บางทีก็บ้าผู้ชาย ยุคนี้ผู้หญิงก็ล่าผู้ชาย ผู้ชายยุคนี้ถึงต้องระวังตัวมากเลย รักนวลสงวนตัวยิ่งกว่ายุคไหนๆ ส่วนผู้หญิงก็แก่กล้าเข้มแข็ง โลกมันก็กลับหัวกลับหางไปหมด เราเห็นเราก็เข้าใจมัน ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม เห็นคนทำชั่ว ไม่ใช่ไปดูถูกเขา ถ้าเราเห็นคนทำชั่วเราก็เกลียดเขา เราก็ดูถูกเขา นั่นเรากำลังทำชั่วอยู่ อย่างเราเกลียดนักการเมืองคนนี้ เห็นแล้วก็เกลียดเลย ด่ามันเรื่อยๆ เขียนคอมเมนต์ด่ามันอะไรอย่างนี้ เรากำลังชั่วตามเขาไปแล้ว

ฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร ในที่ไหน สิ่งที่เราต้องรักษาไว้คือใจของเรา แล้วมองธรรมะให้ออก มองพระพุทธรูปก็เห็นธรรมะ มองครูบาอาจารย์ก็เห็นธรรมะ เห็นรูปปั้นเทวดาเราก็เห็นธรรมะ เห็นรูปปั้นพระพรหมเราก็เห็นธรรมะ เห็นงานศพ เห็นโลงศพ เห็นอะไรเราก็เห็นธรรมะ กระทั่งเห็นในแหล่งอบายมุขก็เป็นธรรมะ ฉะนั้นธรรมะอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่เราจะเห็นหรือไม่เห็น อยู่ที่เราจะรู้จักใช้ประโยชน์ในการพัฒนาจิตใจตัวเองหรือไม่รู้จัก ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรเลย ฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเราจะรู้ ไม่มีคนแก่ ไม่มีคนเจ็บ ไม่มีคนตายหรอก เพราะไม่มีคน มันไม่มีคนหรอก

 

ธรรมะมี 2 ระดับ

ธรรมะมี 2 ระดับ ระดับหนึ่งก็คือฝึกที่จะไม่เห็นแก่ตัว เป็นธรรมะที่เราจะอยู่กับโลก อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความสนุกเพลิดเพลิน หลงใหลโลก อยู่กับโลกแบบไม่เห็นแก่ตัว อยู่แบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือจุนเจือคนอื่น สัตว์อื่น เรียกว่าเราอยู่กับโลกเป็น ธรรมะอีกขึ้นหนึ่งไม่ใช่ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นว่าไม่มีตัว เห็นว่ามันไม่มีตัว ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ความสุขความทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ความดีความชั่วไม่ใช่ตัวเรา ความรับรู้คือวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เป็นธรรมะในขั้นโลกุตตระ ฉะนั้นขั้นแรกเราต้องไม่เห็นแก่ตัวเสียก่อน ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ แล้วจะไปมองให้เห็นว่าตัวไม่มี มันทำไม่ได้หรอก

อยู่กับโลกก็พยายามลดละความเห็นแก่ตัวไป มีโอกาสทำทานก็ทำ รักษาศีลก็ต้องลดละความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุข ความสนุกสนานอะไรอย่างนี้ กินเหล้าเมายาสนุกเหลือเกิน เราก็ลดละไม่ตามใจกิเลส ไม่เห็นแก่ตัวเอง ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แล้วนำความทุกข์อันยาวนานมาให้อะไรพวกนี้ ฉะนั้นอยู่กับโลกพยายามที่จะฝึกตัวเองให้มันไม่เห็นแก่ตัว ให้มันลดละลงไป ถ้าอยากพ้นโลกก็มองความจริงของกายของใจ ให้เห็นว่าตัวไม่มี ไม่ใช่ไม่เห็นแก่ตัว ตัวไม่มีจะเห็น ไม่มีตัวจะให้เห็น มีแต่รูปธรรม มีแต่นามธรรม นี่เส้นทางเดินที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเดินมา อย่างความดีในโลกท่านก็ทำไม่ใช่ไม่ทำ เวลามีโอกาสทำทานท่านก็ทำ ศีลท่านก็รักษา การภาวนาท่านก็ทำ มาภาวนาอยากพ้นทุกข์จริงๆ ก็เสียสละจริงๆ สละความสุขความสบาย ความเพลิดเพลิน ความเคยชินในโลก มาเรียนรู้ตัวเองอย่างจริงจัง จนเห็นความจริงตัวเราไม่มี ถ้าเห็นได้ว่าตัวเราไม่มี มีแต่รูปธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีแต่นามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อันนี้เราเข้าสู่โลกุตตรธรรมแล้ว เราได้พระโสดาบันแล้ว เราเห็นว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับไป

ฉะนั้นเฝ้ารู้เฝ้าดูว่าไม่มีตัว ไม่มีตัวตน มีแต่รูปธรรมนามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป พัฒนาต่อไปอีก เราก็จะเห็นเลย สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนั้น ไม่มีอย่างอื่นหรอกนอกจากทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ถ้าเห็นอย่างนี้ได้จิตจะพ้นโลกเด็ดขาดเลย ทีแรกมันจะเห็นร่างกายนี้ก่อน เพราะร่างกายมันเป็นของหยาบ มันเห็นง่ายกว่า มันจะเห็นว่าร่างกายนี้มันมีแต่ทุกข์ มันคือตัวทุกข์ล้วนๆ เลย ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง พอเห็นอย่างนี้ก็ปล่อยวางกายได้ เป็นภูมิของพระอนาคามี เรากำลังจะภาวนาเข้ามาที่จิตที่ใจ ก็เห็นจิตใจนี้เราเห็นมาแต่แรกแล้วว่ามันเกิดดับ มันไม่ใช่ตัวเรา แล้วมันเป็นตัวอะไร มันเป็นตัวทุกข์ มันเป็นตัวทุกข์เพราะอะไร เพราะมันไม่เที่ยง เพราะมันถูกบีบคั้นให้แตกสลาย เพราะมันบังคับไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจควบคุม เห็นอย่างนี้ที่สุดแห่งทุกข์ก็ถึงตรงนี้เลย เมื่อไรเห็นถึงจิตเป็นไตรลักษณ์ที่สุดแห่งทุกข์ก็อยู่ตรงนี้ล่ะ นี่สำหรับคนซึ่งอินทรีย์แก่กล้า

พอเราผ่านธรรมะมาสูงขึ้นๆ หันไปมองเพื่อนร่วมโลกของเราเก่าๆ เห็นแล้วก็น่าสงสาร เขาดิ้นรน เขาแย่งชิง เขาแสวงหาอะไรมากมาย อยากได้รับความสุข สุดท้ายสิ่งที่ได้มาคือความว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย อยากได้โน้นได้นี้ อยากมีโน้นมีนี้ สุดท้ายก็ว่างเปล่าไม่มีอะไร น่าสงสาร มันจะไม่รู้สึกว่าเราดีกว่าเขา ไม่รู้สึกว่าเราเลวกว่าเขา ไม่รู้สึกว่าเราเสมอกับเขา ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย มีแต่ความเห็นอกเห็นใจ ฉะนั้นถ้าเรายังเกลียดคนชั่วอยู่ เรายังภาวนาไม่ดีพอหรอก ถ้าเราหลงเคารพบูชาคนดีหรือสิ่งดีๆ ในฐานะของวิเศษ เราก็ยังไม่เข้าใจธรรมะ

 

มองให้เป็นจะเห็นธรรมะ

ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเองให้ดี พัฒนาไปเรื่อยๆ ภาวนาไปเรื่อยเราจะถึงจุดที่ เรารู้เลยว่าเราไม่ได้อะไรมา แล้วเราก็ไม่ได้เสียอะไรไป นอกจากได้สัมมาทิฏฐิมา เสียมิจฉาทิฏฐิไป ได้ความเห็นถูก ได้ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ก็เห็นโลกตามความเป็นจริงนั่นล่ะ ละความเห็นผิดไป พอเราเห็นถูกเราไม่เห็นผิด คราวนี้เราอยู่ตรงไหน ตรงนั้นก็เป็นธรรมะไปหมดเลย ในคัมภีร์ท่านก็เคยสอน ครูบาอาจารย์ก็เคยพูดให้ฟัง ว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหนที่นั่นคือที่สัปปายะ เพราะฉะนั้นท่านไปอยู่ในผับในบาร์ จริงๆ ท่านไม่ไปหรอก แต่เกิดหลงหลุดเข้าไปที่ตรงนั้นสัปปายะ พระอรหันต์ไปอยู่ในนรกก็สัปปายะแล้ว ท่านอยู่ที่ไหนที่นั่นก็ร่มเย็น เป็นเรื่องอัศจรรย์นะธรรมะ เวลาเราเข้าใกล้ครูบาอาจารย์เราจะรู้สึกอบอุ่น แล้วก็รู้สึกร่มเย็น ฟังแล้วก็ไม่รู้ร้อนหรือเย็น อบอุ่นแต่ว่าร่มเย็น

เราก็ฝึกตัวเรา อย่างเราเห็นครูบาอาจารย์ดูท่านมีความสุข ฝึกตัวเราไป เมื่อก่อนท่านก็เหมือนเรา ล้มลุกคลุกคลานมาแล้วทั้งนั้น เคยทำผิดทำพลาดมาแล้วทั้งนั้น ใครบ้างยังไม่เคยทำความผิด เคยฆ่าคนก็มี พระอรหันต์แต่ก่อนบางองค์ท่านก็เคยฆ่าคน แต่ไม่ใช่ฆ่าตอนเป็นพระอรหันต์ อย่างพระองคุลีมาล ก็เคยทำผิดมา ทำผิดฆ่าคนตั้งพันคน ทีนี้ท่านเจอบัณฑิต ท่านได้พระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรนำทางให้ท่าน ท่านเห็นพระพุทธเจ้าสงบ พระพุทธเจ้าทำไมร่มเย็นเป็นสุข ท่านเองทำไมมีแต่ความเร่าร้อน ท่านก็อยากร่มเย็นเป็นสุขบ้าง ก็ฟังธรรม ลงมือปฏิบัติใช่ไหม สุดท้ายท่านก็เข้าถึงความร่มเย็นเป็นสุขอันเดียวกับพระพุทธเจ้า

ฉะนั้นก่อนที่เราจะถึงความบริสุทธิ์ เราก็ผ่านความไม่บริสุทธิ์มาทั้งนั้นทุกคน ฉะนั้นอย่าเสียอกเสียใจอะไรที่เราไม่ดีตอนนี้ลดละเสีย ความดีอะไรยังไม่ได้ทำ ทำเสีย แล้วเราจะดีเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความโง่ความหลง ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อันตรายที่สุดเลย อย่างไร อยู่ตรงไหนก็มีธรรมะ หัดมองให้เป็นแล้วจะเห็นธรรมะ ธรรมะอยู่กับโลกก็อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว อยากพ้นโลกไปก็จะเห็นว่าตัวเราไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรมนามธรรม ค่อยๆ ฝึกไปแล้วเราก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเดินให้เราดู เราไหว้พระพุทธรูปเรานึกถึงพระพุทธเจ้า แต่เดิมท่านก็มีกิเลสท่านก็เคยทำความผิด ทำไมท่านเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยธรรมะอันใด ถ้าเราเดินอยู่ในธรรมะอันนั้น วันหนึ่งเราก็ไปเหมือนท่านได้

สอนตัวเองไปอย่างนี้ ไม่ใช่ไปถึงก็บนเลยขอโน่นขอนี่ เพราะฉะนั้นเรื่องในเมืองไทยคอร์รัปชันเยอะ ติดสินบนเยอะเป็นเรื่องปกติเลย เราไปไหว้พระเรายังบนเลย ขอให้เกณฑ์ทหารแล้วไม่ต้องถูกจับใบแดงอย่างนี้ บางคนก็ขอให้จับใบแดงไม่ได้ หลวงพ่อนี่ไงจับใบแดงไม่ได้ แต่จับใบแดงไม่ได้เป็นแบบชาวพุทธเพราะไปเรียน ร.ด. (รักษาดินแดน) มีเหตุมีผลใช่ไหม ไม่จับใบแดงไม่ได้ จะไปขอหลวงปู่องค์นั้นหลวงพ่อองค์นี้ บางองค์ท่านชอบทหาร ขอให้ไม่ต้องเป็นทหาร ท่านอวยพร “เออ! ให้มึงเป็น แล้วมึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร” อย่าขี้ขอภาวนาเอา

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กันยายน 2564