อย่าถลุงเวลาให้วอดวายไปเฉยๆ

หลวงพ่ออนุโมทนา พวกเรามาฟังธรรม การฟังธรรมตามกาลเป็นมงคลอย่างหนึ่งในชีวิตเรา การได้เห็นสมณะก็เป็นมงคลอีกอย่างหนึ่ง ถ้าฟังแล้วเอาไปปฏิบัติชีวิตเราก็จะดีขึ้น มีความสุข ความสุขในโลกเป็นของไม่ยั่งยืน มาแล้วก็ไปๆ แสวงหาด้วยความเหนื่อยยากความสุขในโลก แต่รักษาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็ไป โลกไม่เคยหมดสิ้นจากปัญหา ปัญหาโน้นปัญหานี้มีตลอดเวลา พอเรามาฝึกจิตฝึกใจของเราในท่ามกลางโลกที่มีปัญหา เราสามารถอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ เราปฏิบัติแล้วสิ่งที่เราจะได้ก็คือไม่ทุกข์ ไม่ใช่ว่าได้เงินได้ทองอะไร

เรื่องความทุกข์มันเป็นปัญหาใหญ่ของโลก สัตว์โลกล้วนแต่จมอยู่ในความทุกข์ทั้งนั้น ทำไมมันทุกข์ ก็กิเลสมันลากเอาไป ตอนที่กิเลสมันกระตุ้นให้เราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราก็คิดว่าทำแล้วจะมีความสุข ลงท้ายมันก็ทุกข์ ยิ่งถ้าทำอะไรผิดศีลผิดธรรม มันเป็นบาปเป็นกรรม ผลมันเป็นทุกข์เร่าร้อน ไม่มีความสุขจริง อย่างคนทุจริตโกงบ้านโกงเมืองอะไร มันมีความสุขตรงไหน เขาก็ต้องคอยคิดว่าวันนี้จะไปซ่อนที่ไหน จะหนีไปประเทศไหนอะไร หาความสุขไม่ได้ หรือกระทั่งนักบวชๆ ทำผิดศีลผิดธรรม ก็มีความทุกข์ เคยมีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีคนสรรเสริญ เขาก็นินทา เคยมีความสุขก็มีความทุกข์

 

ยาแก้ทุกข์

ฉะนั้นศัตรูใหญ่ที่ทำให้พวกเราต้องมีความทุกข์นั่นคือกิเลสของเราเอง กิเลสของคนอื่นมันทำให้เกิดปัญหามากระทบเราได้ อย่างพวกกักตุนสินค้าอะไรนี่ เขามีกิเลสของเขา อยากรวยก็มีผลกระทบมาสร้างปัญหาให้เราได้ หรือเราหาของกินของใช้ลำบากอะไรอย่างนี้ อันนี้ตัวอย่าง คนอื่นสร้างปัญหาให้เราได้แต่เราสร้างทุกข์ให้ตัวเอง พระพุทธเจ้าก็ให้ยาแก้ทุกข์กับเรามา บางคนได้ตำรายามาแล้วไม่เคยปรุงยา ไม่เคยกินยา ก็ไปไม่รอด ก็ยังทุกข์อยู่ เหมือนคนเป็นโรค มีตำรายารักษาโรคแต่ว่าไม่เคยปรุงยามากิน โรคก็ไม่หาย

อย่างพระพุทธเจ้าสอนธรรมะให้เรานี้สอนตำรายาให้เรา สอนวิธีที่เราจะปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ บางคนเรียนตำรับตำรา เรียนปริยัติเรียนอะไรอย่างนี้ แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติ ถึงคราวที่กิเลสมามันสู้ไม่ไหว ให้เรามองคนเหล่านี้ว่าเป็นคนซึ่งน่าสงสารมากกว่า รักษาใจของเราให้ดีเวลาเกิดเรื่องเกิดราวอะไรที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ พระสงฆ์ก็เหมือนนักรบ คนที่มาบวชเหมือนทหารเข้าสนามรบ บางคนมันก็ล้มหายตายจากกลางทาง บางคนมันก็ท้อแท้หนีไป บางคนสู้ได้ สู้บ้าง แพ้บ้าง ชนะบ้าง สุดท้ายก็ชนะจนได้ พวกเราก็เหมือนกัน เราก็ต้องต่อสู้ อย่ายอมแพ้

เห็นมีข่าวนานหนักหนาแล้ว มีทหารพรานหรืออะไร โดนระเบิด แขนห้อยร่องแร่ง ตัดแขนตัวเองออกไป ก็ยังสู้อีก ถ้าใจขนาดนี้มันพอจะข้ามวัฏสงสารได้ แต่ถ้าใจขี้ขลาด รักแต่ความสุข รักแต่ความสบาย จะเดินจงกรมเสียหน่อยก็กลัวเมื่อย จะนั่งสมาธิกลัวเป็นเหน็บชาอะไรอย่างนี้ มันใจอ่อนแอ ถ้าเป็นนักรบก็เป็นนักรบที่ไม่ได้เรื่อง พร้อมจะวิ่งหนี อย่างคนมาบวช บางคนก็ประสบความสำเร็จ เข้าใกล้ความพ้นทุกข์ไปตามลำดับ อันนี้ถือว่าดี บางคนก็แพ้ แพ้ก็ต้องออกไป ก็เท่านั้นเอง มันไม่ได้ทำให้ศาสนาเราเสียหายอะไร ยิ่งคนไม่ดีถูกคัดออกไปศาสนาเรายิ่งดี ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เราก็มองว่าศาสนาเสียหาย มันเสียตรงไหน ที่เสียมันเรื่องคนต่างหาก แล้วคนไม่ดีมันถูกคัดออกไป นั่นเป็นเรื่องดีกับศาสนาเรา มันก็จะได้สะอาดขึ้นๆ แต่ว่าบอกอย่างหนึ่งว่าไม่มีวันหมดหรอก ตราบใดที่คนที่มาบวชมันก็มาจากฆราวาสมาจากอย่างพวกเรานี้ ก็มีกิเลส แล้วก็สู้ได้บ้างสู้ไม่ได้บ้าง ฉะนั้นไม่ต้องตกใจ

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สัจธรรมอย่างไรก็เป็นสัจธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าองค์นี้องค์เดียวเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็เป็นอย่างเดียวกันนี้เอง พระพุทธเจ้าก่อนๆ ท่านก็สอนเรื่องอริยสัจ 4 เหมือนกัน ทีนี้คนมันทรงความรู้เรื่องอริยสัจ 4 ไว้ไม่ได้ ศาสนาก็สูญไป นานๆ ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็มาสอนเรื่องเดิมนั่นล่ะ ฉะนั้นสัจธรรมไม่เคยสูญหาย ที่สูญหายก็คือจิตใจของคน ไม่มีคุณภาพพอที่จะรองรับสัจธรรมไว้

พวกเรายังถือว่ามีบุญพอสมควร เราเกิดมาในยุคที่พระศาสนายังดำรงอยู่ เราเกิดมาในแผ่นดินที่ดี ในประเทศที่ดี ในแผ่นดินที่ยังดี คือแผ่นดินที่ยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ อันนี้เป็นเรื่องยาก สัตว์โลกมีตั้งเกือบหมื่นล้าน คนในโลก 7 – 8 พันล้าน ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้านิดเดียว อย่างในเมืองไทยก็ได้ยินเยอะหน่อย บางประเทศเขาก็สูญไปแล้ว บางประเทศก็เพี้ยนไป ไม่ใช่พุทธจริงๆ แล้ว ของเราก็เป็นพุทธปนเปื้อนเหมือนกัน ไม่ใช่พุทธจริงหรอกที่พวกเราเป็นอยู่ ความคิดทฤษฎีชี้นำ เรียกทิฏฐิของเรายังไม่ได้บริสุทธิ์จริง จะต้องภาวนาซักฟอก จิตใจเราจนเกิดสัมมาทิฏฐิที่แท้จริงขึ้นมา เพราะฉะนั้นเห็นคนอื่นทำผิดทำพลาด อย่าไปด่าเขา เขาทำผิด ความชั่วของเขา ถ้าเราด่าเขา นี่ความชั่วของเราแล้ว สัมมาวาจาของเราเสีย ศีลข้อ 4 ของเราเสีย ก็กรรมมันก็ให้ผลของแต่ละคนไป

ทีนี้พูดเรื่องทุกข์ ทำอย่างไรเราจะพ้นทุกข์ได้ คนในโลกเกลียดทุกข์กลัวทุกข์ ไม่ว่าจะเกลียดทุกข์อย่างไรก็หนีทุกข์ไม่พ้น เพราะว่าทุกข์มันอยู่ที่ร่างกายจิตใจของเรา จะหนีไปต่างดาวก็เอาร่างกายเอาจิตใจของเราไปด้วย มันก็เอากองทุกข์ไปด้วยนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นจริงๆ ทุกข์เป็นสิ่งที่หนีไม่ได้ จะหนีได้อย่างไร ทุกข์มันอยู่ที่กายที่ใจของเรา พระพุทธเจ้าเลยสอนเราว่าให้รู้ทุกข์ เรียนรู้มันเข้าไป เหมือนทุกข์ เหมือนเป็นโรคร้ายที่อยู่ในร่างกายในจิตใจของเรา มัวแต่หนีมัน ไม่มีวันชนะ แล้วก็หนีไม่รอด ท่านบอกให้เรียนรู้มัน

ความทุกข์ในร่างกายความทุกข์ในจิตใจมันเกิดมาได้อย่างไร ถ้าเรารู้สาเหตุของมัน แล้วเราละที่สาเหตุ เราก็จะดับความทุกข์ได้ แต่ถ้าเราพยายามจะไปดับตัวทุกข์ไม่มีทางดับได้ ตัวทุกข์มันเป็นแค่ผลของเหตุ เหตุของทุกข์ อย่างที่เรามีร่างกายขึ้นมา เรามีกรรมส่งผลมาให้เรามาเกิด มีชนกกรรมส่งผลให้เรามาเกิด มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็มีมาตรฐานของมนุษย์ มันต้องแก่ มันต้องเจ็บ มันต้องตาย หนีไม่พ้น เมื่อหนีไม่พ้นแล้วเราอยากหนี เราอยากไม่แก่ เราอยากไม่เจ็บ เราอยากไม่ตาย สิ่งที่เราจะได้ก็คือความกลุ้มใจความทุกข์ใจ ร่างกายเราเป็นทุกข์ตามธรรมชาติ แต่เมื่อเรายอมรับความจริงไม่ได้ว่าร่างกายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ความทุกข์อันนั้นก็เข้ามาถึงจิตใจเรา

 

อยากขึ้นเมื่อไร จะมีความทุกข์ทุกที

อย่างเราอยากไม่แก่ กลุ้มใจ ทำอย่างไรจะไม่แก่ พยายาม หนังเหี่ยวก็ไปดึงหนัง ผมหงอกก็ไปย้อมผม ฟันหลุดแล้วก็ไปทำฟันปลอมอะไรอย่างนี้ พยายาม ถ้าเปลี่ยนอวัยวะต่างๆ ได้ทุกอย่างคงมีคนเปลี่ยน จะได้เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาล เอาเข้าจริง มันหนีไปไม่รอดหรอก มันแค่หลอกตาเท่านั้นเอง อย่างเราแก่แล้วเราไปดึงหนังให้ตึง มันหลอกตาว่ายังหนุ่มยังสาว แต่ว่าร่างกายภายในมันหลอกไม่ได้ หลอกตัวเองไม่ได้ จะให้เราเดินคล่องแคล่วว่องไวเหมือนหนุ่มเหมือนสาวมันทำไม่ได้ ดีไม่ดีหัวทิ่มเลย เพราะฉะนั้นเราไปแก้ความแก่ ความเจ็บ ความตายอะไรไม่ได้จริง

ถ้าเรายอมรับไม่ได้เราจะทุกข์ อย่างพอเราแก่เรายอมรับไม่ได้ เรากลุ้มใจ นึกถึงผมหงอกเส้นแรกที่พวกเรามี บางคนอาจจะยังไม่มี แต่ดูหน้าตาแล้วน่าจะมี นึกถึงตอนที่เราเจอผมหงอกเส้นแรกใจเราหวั่นไหวไหม หรือดีใจ โอ้ ธรรมะแสดงตัวให้ดูแล้ว พระพุทธเจ้าสอนความจริง เกิดแล้วต้องแก่ รู้สึกไหม ไม่รู้สึกหรอก รู้สึกตกใจ ตายแล้วผมหงอกแล้ว ทำอย่างไรดี มีเส้นเดียวแอบถอนออกไป คนอื่นจะได้ดูดีว่าเรายังไม่แก่ เห็นไหม มันแค่หลอกๆ ตัวเอง หลอกคนอื่นไปวันๆ หนึ่งเท่านั้น เพราะความจริงหนีความจริงไม่พ้น

ถ้าเราแก่แล้วเราไม่อยากแก่ หรือเรากลัวจะแก่ เราจะกลุ้มใจ เห็นไหมความทุกข์มันเข้ามาที่ใจเรา เพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้ เราอยากในสิ่งซึ่งไม่เป็นจริง ตัณหาที่ทำให้เรามีความทุกข์ เพราะมันเป็นความอยากซึ่งไม่จริง อยากไม่แก่มันเป็นเรื่องไม่จริง มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันก็ทุกข์ อยากไม่เจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นเรื่องไม่จริง มันก็ทุกข์ อย่างไรมันก็ไม่สมอยาก อยากไม่ตายมันก็ไม่สมจริง อย่างไรก็ต้องตาย

ฉะนั้นเวลาความอยากเกิด สังเกตให้ดีมันล้วนแต่เป็นของซึ่งไม่จริงทั้งนั้น ถ้าเราไม่แก่อยู่แล้ว ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นอมตะอยู่ได้ เราจะอยากไม่ตายไหม ไม่ เพราะเราไม่ตายอยู่แล้ว เราจะอยากไม่ตาย แต่พออยู่ไปนานๆ เบื่อ อยากตายคราวนี้ อยู่มานานแล้ว คนรู้จักก็ตายไปหมดแล้ว เรายังอมตะอยู่คนเดียว ไม่อยากอยู่แล้ว คราวนี้อยากตายแล้ว อยากตายก็ผิดธรรมชาติอีกแล้ว เพราะตัวเองไม่ตาย ได้รับพรจากพระศิวะมาแล้วเป็นอมตะ ไม่ตายอะไรอย่างนี้ สังเกตให้ดี ความอยากทั้งหลายแหล่ล้วนแต่เป็นของที่ไม่มี ถ้ามีแล้วมันก็ไม่อยาก

ถ้าเราทำกรรมฐานเราก็เรียนรู้ความจริง การทำกรรมฐานเพื่อเรียนรู้ความจริงของร่างกายของจิตใจไป อย่างร่างกายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เรารู้สึกอยู่ที่ร่างกายเรื่อยๆ ไป วันหนึ่งจิตเรายอมรับความจริงได้ว่าร่างกายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ฉะนั้นเวลาแก่ใจจะไม่หวั่นไหว เวลาเจ็บจิตใจก็ไม่หวั่นไหว เวลาจะตายจิตใจก็ไม่หวั่นไหว ความทุกข์มันอยู่ได้แค่ร่างกายแต่ความทุกข์มันเข้ามาไม่ถึงจิตใจ ถ้าจิตใจเข้าใจความจริงของร่างกาย เราก็จะไม่ทุกข์เพราะร่างกาย อะไรจะเกิดในร่างกาย เราก็เห็นว่า อ๋อ มันธรรมดา ธรรมดานั่นล่ะธรรมะ เราเห็นธรรมดาของร่างกาย ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย นี่เราเห็นธรรมะ แล้วใจเรายอมรับธรรมะอันนี้ได้ใจเราจะไม่ทุกข์

ในด้านจิตใจ จิตใจของเรา สังเกตดูเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้ายอยู่ทั้งวัน บางทีตอนเช้ามีความสุข ตอนสายหงุดหงิด ตอนเช้าตื่นนอนมาใหม่ๆ แหม มีความสุข ตอนสายจะไปทำงาน รถติดเยอะแยะเลย หรือฝนตก ฝนตกก็ด่าฝน ไม่รู้จักตกให้เป็นเวล่ำเวลา หาเรื่องกระทั่งกับฝน สังเกตไหม ฝนมันชอบตกตอนจะเลิกงาน นิสัยเสีย รู้สึกแย่จังเลย ทำไมไม่ตกกลางคืนตอนเรานอนจะได้เย็นสบาย เห็นไหมอยากอีกแล้ว พออยากแล้วไม่ได้อย่างอยากก็ทุกข์แล้ว ที่จริงแค่อยากเฉยๆ ก็ทุกข์แล้ว อยากแล้วมันจะเกิดความลุ้นว่าจะได้อย่างที่อยากไหม ใจก็ทุกข์แล้ว อยากถูกหวยอย่างนี้ ใจก็ทุกข์แล้ว ลุ้น เมื่อไรจะถูก เมื่อไรมันจะออก ออกแล้วมันจะถูกไหม ถูกหรือจะถูกกิน เตรียมมาม่าไว้แล้ว เป็นที่พึ่งสุดท้ายก่อนที่หวยจะออก เห็นไหมมันมีแต่เรื่องทุกข์ ใจที่อยากถูกหวยเห็นไหม กระวนกระวายๆ มีความทุกข์แล้ว

ฉะนั้นจิตใจเรามันก็ต้องเจอความจริง ก็คือถ้ามันมีความอยากขึ้นเมื่อไรมันจะมีความทุกข์ขึ้นทุกที มีความอยากเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้นล่ะ อันนี้เป็นกฎของธรรมะ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มา ความทุกข์เกิดเพราะสมุทัย สมุทัยคืออะไร คือตัณหา คือความอยาก เรามีความอยากเกี่ยวกับร่างกายเรา เราก็ทุกข์แล้ว ใจเราทุกข์แล้ว อยากไม่แก่ใช่ไหม ก็ทุกข์ อยากไม่เจ็บก็ทุกข์ อยากไม่ตายก็ทุกข์ ความอยากทางจิตใจ เราอยากได้แต่ความสุข อยากให้สมหวังตลอดเวลา อยากให้มันไม่มีความผิดหวัง ไม่พลาดหวังอะไรอย่างนี้ หวัง มีแต่ความอยากอย่างนี้ อยากได้อารมณ์ที่ดีคือได้ความสุข ได้กระทบรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่ดี ได้คิดนึกแต่เรื่องดีๆ อยากอย่างนี้ อยากไม่กระทบ อยากให้มันไม่กระทบอารมณ์ที่ไม่ดี อย่างอยากให้คนไม่ด่า อยากให้คนชมอย่างเดียว ไม่มีคนด่าอะไรอย่างนี้ อยากให้คนสรรเสริญ ไม่มีคนนินทา อยากรวย อย่างเดียว ไม่จน ต้องมีรายได้ดีตลอดกาลอะไรอย่างนี้ มีความอยากเกิดขึ้น

ใจที่มีความอยาก ความทุกข์จะเกิดทันที อันนี้ไปสังเกตตัวเองว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่จริงก็เลิกนับถือศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนไม่จริง จะไปนับถือทำไม แต่ถ้าเราไปสังเกตใจเรา ทุกคราวที่อยาก ความอยากเกิดขึ้น ใจมันกระวนกระวาย ใจมันทุกข์ทันทีเลย ความดิ้นรนกระวนกระวายของจิตนั่นล่ะเรียกว่าภพ ภพก็คือสังขาร คือความปรุงแต่งของจิต ดิ้นรนของจิต เพราะฉะนั้นตัณหาเป็นผู้สร้างภพ แค่เราอยากปฏิบัติ อยากให้จิตสงบเราก็ไปนั่งแต่งจิตให้มันนิ่งๆ ให้มันเงียบๆ ให้มันซึมๆ เลย ถ้าดูเป็น แค่อยากจะสงบ อยากจะปฏิบัติ ก็ทุกข์เรียบร้อยแล้ว

 

อริยทรัพย์เป็นสิ่งที่เราต้องสะสม

แต่ว่าความอยากมันมี 2 อย่าง อันหนึ่ง อยากไปตามใจกิเลส อันนั้นเรียกว่าตัณหาอันหนึ่ง อยากไปในทางที่จะพ้นจากกิเลส คือเรียกฉันทะ 2 อัน ถ้าอยากตามใจกิเลส อย่าไปตามใจมัน ถ้าอยากในทางที่จะไปพ้นจากกิเลส ให้ตามใจมัน ให้ทำไปเลย ยกตัวอย่าง เราอยากนั่งสมาธิ อยากเดินจงกรมอย่างนี้ ถ้ามันอยากนั่งสมาธิเพราะว่ามันอยากดี ให้รู้ทันเลย ใจมันอยากดีแล้ว อยากสุข อยากสงบ อยากดี อยากมีฤทธิ์มีเดช อันนี้ทำด้วยกิเลส ทำด้วยตัณหา อย่าไปนั่งสมาธิเพราะเหตุเหล่านั้น อย่านั่งเลย ยิ่งนั่งจะยิ่งได้มิจฉาทิฏฐิมา จะได้หลงว่ากูเก่งกว่าคนอื่น กูมีฤทธิ์มีเดช มีหูทิพย์ตาทิพย์ กูรู้อดีต กูรู้อนาคต กูตัวเบ้อเร่อเลย แต่ถ้าเรานั่งสมาธิเดินจงกรม เพราะมันเป็นสิ่งที่สมควรนั่ง เพราะว่าถ้าเรานั่งไปเราจะได้ขัดเกลาจิตใจตัวเอง ได้เดินตามร่องรอยที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ จะได้ไปสู่ความพ้นทุกข์ในวันหนึ่งข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวย เพื่อโลก เพื่อสมบัติทางโลกๆ แต่เป็นเพื่ออริยทรัพย์

ลองไปเปิดกูเกิลดู อริยทรัพย์เป็นสิ่งที่เราต้องสะสม อริยทรัพย์ เราจะสะสมแต่ทรัพย์ทางโลกซึ่งเป็นภาระของเรา สะสมไว้หลายบ้าน สะสมมีเงินมีทอง ลูกมันตีกันตายเลย ฆ่ากันก็มี แทนที่พี่น้องมันจะรักกัน พ่อแม่มีมรดกมาก มันฆ่ากันเลย ไม่มีความรักกันแล้วพี่น้อง ยิ่งมีเขย มีสะใภ้ มีลูกของตัวเอง ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มขึ้นๆ มีข่าวอยู่เรื่อยๆ ล่ะ บางตระกูลฆ่า ซ้อใหญ่ฆ่าซ้อเล็ก ซ้อเล็กวางแผนฆ่าซ้อกลางอะไรไป วุ่นวาย นี่เรื่องโลกๆ

ถ้าเรามาหัดภาวนา เราจะเห็นเลย ตามรู้ตามดูจิตใจของเราไปเรื่อยๆ เราจะเห็นความสุขที่คนทั้งหลายในโลกเขาหิว มันก็แค่ของชั่วคราว ความทุกข์ที่คนในโลกเขาเกลียด มันก็แค่ของชั่วคราว ความดีใจ ความเสียใจ ความสมหวัง ความผิดหวัง ล้วนแต่ของชั่วคราวทั้งนั้นเลย สังเกตตัวเองไปเรื่อยๆ สังเกตไป แล้ววันหนึ่งจิตเรายอมรับความจริงได้ สุขเกิดแล้วก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วก็ดับ กุศลอกุศลล้วนแต่เกิดแล้วดับทั้งนั้นเลย จิตที่ไปรับรู้อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราก็จะไม่หิวความสุข เราก็จะไม่เกลียดความทุกข์ ใจเราเข้าสู่ความกลางในทุกๆ สถานการณ์

เวลาที่จิตใจเรามีความสุขขึ้นมา เราก็ไม่หลงลำพองว่าความสุขจะอยู่กับเราตลอด เวลาเราสมหวัง เราก็ไม่คิดว่าเราจะต้องสมหวังตลอด อย่างเคสที่มีข่าวอื้อฉาว พอเป็นใหญ่เป็นโตก็คิดว่าจะต้องเป็นใหญ่เป็นโตตลอด ไม่มีใครทำอะไรได้ ก็จะลำพอง แต่ถ้ารู้ว่าทุกอย่างมันไม่ยั่งยืนหรอก มันเป็นของชั่วคราว เวลาความสุขมาหรือได้ยศได้ศักดิ์อะไรมา เราก็จะรู้สึกมันของชั่วคราว ไม่หลงลำพอง ใจเราก็มีความสงบสุข เวลาเราเจอความทุกข์ เจอความผิดหวังทั้งหลาย ชีวิตมีปัญหามากมาย เราก็จะรู้ว่าปัญหาทั้งหลายมันมาแล้วก็ไป ไม่หมดหรอก ส่วนความทุกข์ในใจเราอันนี้มันก็ของชั่วคราว

ลองสำรวจใจตัวเอง แต่ละคนผ่านความทุกข์มามากมายแล้วล่ะ บางคนลูกตาย ลูกตาย ในโลกอันนี้ทุกข์สาหัสเลย ยกให้เป็นเบอร์หนึ่ง ถ้าลูกตายทุกข์เยอะ พ่อแม่ตายทุกข์น้อย เพราะเราเห็นว่าสมควรตาย อยู่มานานแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมดาคนแก่จะตาย คู่ของเราตายมันก็อาการหนักหน่อย แต่ถ้าลูกตายหนัก หนักสุดๆ เลย เพราะเรานึกไม่ถึง เราไม่เคยคิดเลยว่าเด็กจะต้องตายก่อนเรา แล้วเราไม่กล้าคิดด้วย เรากล้าคิดไหมว่าลูกจะตายก่อนเรา แค่คิดยังไม่กล้าคิดเลย กลัวเป็นอัปมงคล กลัวอย่างนั้น พอสถานการณ์จริงมันเกิดขึ้น ใจเราจะยอมรับความจริงไม่ได้ เพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าลูกจะตายก่อนเรา ฉะนั้นเวลาลูกตายจริงๆ บางคนเพี้ยนเลย บางคนก็หงอย เป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคจิตไป เพราะยอมรับความจริงไม่ได้

แต่ถ้าเราภาวนาเรื่อยๆ เราจะเห็น ความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว ความสมหวังความผิดหวังอะไรก็ของชั่วคราวทั้งหมดเลย ทุกสิ่งในชีวิตเราที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเป็นของชั่วคราวทั้งหมด ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าดีหรือชั่ว กระทั่งจิตใจเรา ถ้าฝึกได้ดีแล้วจะเห็นว่ากระทั่งจิตเราก็เป็นของชั่วคราว ไม่มีอะไรเลยที่เกิดขึ้นมาแล้วยั่งยืน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วกระทั่งจิตใจของเราเองเกิดแล้วดับทั้งสิ้น ถ้าเห็นตรงนี้ เราก็รู้ตัวเราไม่มี แล้วความทุกข์มันเกิดเพราะเราเข้าไปยึดถือ ตัวเราไม่มี เราอยากให้มันมี เรายึดมัน เราก็ทุกข์ ความสุขผ่านมา อยากให้มันอยู่ถาวร เราก็ทุกข์ ปัญหาชีวิตผ่านเข้ามา อยากให้มันไม่มีปัญหา มันก็ทุกข์ การต้องพลัดพรากจากคนที่รัก จากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์

คนรุ่นนี้น่าสงสาร ไม่ค่อยมีญาติ เป็นพวกไร้ญาติขาดมิตรส่วนใหญ่ ไร้ญาติขาดมิตรญาติไม่ค่อยมีทุกวันนี้ เพื่อนก็ไม่ค่อยมี กระทั่งบ้านติดกัน เพื่อนบ้าน แต่ก่อนเขาเรียกเพื่อนบ้านเดี๋ยวนี้เพื่อนบ้านไม่รู้จักกัน คนยุคนี้ไร้ญาติขาดมิตร เหงา ต้องหาหมามาเลี้ยง ต้องหาแมวมาเลี้ยง พอแมวตาย บางคนร้องไห้มากเลย บางคนจัดพิธีศพ เชิญ ทำการ์ดเชิญมาร่วมงาน คุณคนนี้ตาย เราก็หลงไป อ้าว แมวหรอก เคยมีโยมคนหนึ่ง แหม นินทาเสียหน่อย เป็น Case study ไม่ได้นินทาเขา ไม่ได้เอ่ยชื่อ วันหนึ่งเขาเอารูปภาพมา 2 ใบ หาหลวงพ่อบอกว่าขอให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาแผ่ส่วนบุญหน่อย ญาติของผมตาย ก็ส่งรูปมา หลวงพ่อหยิบมาดู อ้าว หมานี่หว่า แผ่ๆ อีกคนหนึ่งครับ อีกคนหนึ่ง ส่งรูปมา ยายผมตาย หมามาก่อนยายอีก คนยุคนี้ไม่มีญาติ ไร้ญาติขาดมิตรจริงๆ ว้าเหว่ก็เอาหมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ที่ผูกพันรักใคร่ แต่รักสัตว์ก็ยังดี ดีกว่าทารุณสัตว์ แต่ที่พูดอย่างนี้หมายถึงว่าคนรุ่นเราว้าเหว่

สมัยหลวงพ่อเด็กๆ คนในเมืองไทยมี 20 กว่าล้าน หลังสงครามโลกไม่นาน มีคนไม่มาก แต่ญาติเราเยอะจริงๆ ตรงนั้นก็ญาติคนนี้ก็ญาติ นับไม่ถูกเลย นี่ก็ปู่ โน่นก็ปู่อีกแล้ว ทำไมปู่มันหลายคน ย่าก็หลายย่า เยอะแยะไปหมดเลยญาติ ลูกพี่ลูกน้องของตาก็นับญาติ นับไปหมดเลย ญาติเยอะๆ สมัยนั้นคนน้อยแต่ญาติเยอะ สมัยนี้คนเยอะแต่ญาติน้อย เราว้าเหว่ๆ เหงา พอเหงาไม่รู้จะทำอะไร ก็เล่นโซเชียลไปวันๆ หนึ่ง ไม่ก็หาความสุขเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไป แทนที่เราจะมัวแต่เหงาๆ แล้วก็ผลาญเวลา มาลงมือปฏิบัติดีกว่า

 

เรียนธรรมะเราทุ่มเทกันทั้งชีวิต

การปฏิบัติ เราถึงจุดสุดท้ายเราจะต้องตัดตรงเข้ามาให้ถึงจิตได้ เพราะกุศลเกิดที่จิต อกุศลเกิดที่จิต มรรคผลก็เกิดที่จิต แต่ว่าหลายคนอยู่ๆ เข้ามาดูจิต ดูไม่ได้หรอก หลวงพ่อกล้าพูดเลยที่บอกดูจิตๆ ส่วนใหญ่ดูไม่ถึงจิตจริงหรอก ดูไม่ได้เพราะกำลังของสติสมาธิไม่พอ เพราะฉะนั้นก่อนที่เราก็จะมาเห็นกิเลส ล้างกิเลสที่จิตใจหรือเกิดมรรคผลที่จิตใจเรา ต้องพากเพียรมา เส้นทางนี้ไม่ใช่ใกล้ๆ เส้นทางนี้ยาวนานอยู่ ต้องอดทน มันไม่ใช่ปุบปั๊บๆ ไม่ใช่เหมือนชงมาม่า ใส่น้ำร้อนไปไม่กี่นาทีก็กินได้แล้ว

เรียนธรรมะเราทุ่มเทกันทั้งชีวิตเลย แล้วถ้าเราระลึกชาติได้เราจะรู้เลย ชาติเดียวไม่พอ แต่อย่างพวกเราไม่ต้องตกใจ พวกเราสนใจฟังธรรม ต้องไม่ใช่ชาติแรกที่สนใจธรรมะแล้ว ถ้ายุคแรกๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร กว่าจะมาสนใจ กว่าจะลงมือศึกษา กว่าจะสะสมบุญบารมี จนกระทั่งมาเกิดในยุคที่ศาสนายังดำรงอยู่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ท่านบอกการเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การที่เราได้ฟังได้ยินธรรมะยากหนักเข้าไปอีก การที่เราจะปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมก็ยากหนักเข้าไปอีก การที่เราจะบรรลุธรรมยากมากๆ แต่อย่าท้อถอย ถ้าท้อถอยก็คือแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันรบ เราลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเราเป็นนักรบ เป็นวรรณะกษัตริย์นี่วรรณะนักรบ ฉะนั้นเราต้องเข้มแข็ง มาทำเปาะแปะๆ ออดอ้อน พวกอ้อนครูบาอาจารย์หลวงพ่อไม่นิยมเลย ถ้ามาอ้อนหลวงพ่อโดนดุทุกรายเลย อย่ามาอ้อน ต้องสู้เอา ธรรมะไม่ใช่เรื่องของคนอ่อนแอ

ถ้าสู้ไม่ได้เลย ทำอย่างไร ไม่เคยปฏิบัติเลยจะทำอย่างไร ไม่เคยปฏิบัติเลย ทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ทำไปเถอะ จะนั่งสมาธิจะเดินจงกรมอะไรก็ได้แต่ทำโดยมีเป้าหมายให้ถูกต้อง เป้าหมายของการปฏิบัติไม่ใช่เอาความสุข ไม่ใช่เอาความสงบ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะเป็นคนดี เพราะความสุข ความสงบ ความดียังเป็นของไม่เที่ยง เราหัดปฏิบัติทุกวันๆ เพื่อพัฒนาสติของเราให้ดีขึ้นๆ อย่างทุกวันเราก็นั่งสมาธิเดินจงกรม อย่างถ้าเป็นหลวงพ่อตอนเด็กๆ หลวงพ่อหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับสอง ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้หวังผลว่าจะได้อะไร

พอทำไปด้วยใจที่ธรรมดาๆ ใจที่ปกติ หายใจไม่กี่ที จิตก็รวม ได้สมาธิขึ้นมา ทีแรกได้สมาธิแล้วยังโง่ พอมีสมาธิมันจะเกิดนิมิต มีแสงสว่างเกิดขึ้น เราอยากรู้อยากเห็นอะไรมันก็รู้ออกเห็นได้ เต็มไปด้วยของเล่น ของเล่นทั้งหลายของสมาธิคือกับดักเรา ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์เตือน เราไปติดกับดักอันนี้ หรือถ้าเราไม่ได้สะสมบารมีมามากพอ พอเราไปได้กับดัก ไปหลงกับดักหรือพวกนิมิตทั้งหลายของสมาธิ เราก็ไปไม่รอดแล้ว สนุกอยู่กับเรื่องของนิมิต รู้วาระจิตคนอื่นอะไร จริงๆ บอกตรงๆ รู้จิตคนอื่นง่ายกว่ารู้จิตตัวเอง รู้จิตคนอื่นง่ายมากเลย แต่รู้จิตตัวเองยากมากเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปดูจิตคนอื่น ให้รู้จิตตัวเองไว้

ขั้นต้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยมีสติรู้ทันจิตใจตัวเองไว้ อย่างเราหายใจเข้าพุทออกโธ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าตอนนี้จิตหนีไปแล้ว หายใจไปๆ จิตไหลไปจมอยู่ที่ลมหายใจ ร้อยละร้อยของนักปฏิบัติที่ดูลมจิตไปจมอยู่ที่ลม ให้รู้ทันไว้ตอนนี้จิตจมลงไปอยู่ที่ลมหายใจแล้ว บางคนดูท้องพองยุบ ดูแล้วจิตหนีไปที่อื่น ให้รู้ทันว่าจิตหลงไป ดูท้องพองยุบแล้วจิตไหลลงไปอยู่ที่ท้อง ให้รู้ว่าตอนนี้จิตไหลลงไปอยู่ที่ท้องแล้ว คอยรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมาไว้ให้ดี รู้ไปบ่อยๆ แล้วต่อไปจิตเราจะตั้งมันขึ้นมา จิตเราจะตั้งมั่น ค่อยๆ มีกำลังขึ้นมา อย่างหลงแล้วรู้ๆ

ตัวนี้ไม่ใช่พูดเล่น ไปทำ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัด กรรมฐานทั้งหลายนั้นเป็นแค่เหยื่อตกปลา พวกเราจิตใจของเราเป็นปลาคนละชนิดกัน ไม่ต้องเลียนแบบกัน เหยื่อสำหรับปลาชนิดนี้ก็แบบนี้ เหยื่อของปลาอย่างนี้ก็อย่างนี้ เหยื่อของปลาขี้โมโห ท่านก็ใช้เจริญเมตตา เหยื่อของปลามีราคะมาก ก็อาจจะพิจารณากาย พิจารณาปฏิกูลอสุภะ เราพิจารณาไปๆ ใจมันหลงไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน ใจมันถลำลงไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน อย่างนี้ก็ได้ หรือเราหายใจไป เราชอบคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ฟุ้งซ่าน เราหายใจไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ จิตไปเพ่งลมหายใจก็รู้ หรือเราชอบนึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าไป

พอนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว สมมติเรานึกภาพพระพุทธเจ้าไม่ออก นึกภาพพระสักองค์อย่างองค์ข้างหลังนี้ท่านนั่งมาหลายปีแล้ว หลวงพ่อเห็นตั้งแต่ท่านยังไม่สวยอย่างนี้ ยังเป็นทองเหลืองทองแดงปกติเลย ดูแล้วเหมือนทองแดงทองเหลืองธรรมดา ตอนนี้ไม่เหมือนแล้ว ถ้าพวกเรามีสมาธิหน่อย เรามองพระองค์นี้ขลังแล้วเพราะท่านฟังเทศน์มานานแล้ว เวลาฟังธรรมไม่ใช่มนุษย์ฟังข้างเดียว พวกเทพเขาก็มาฟัง แล้วพวกพระทั้งหลาย พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกำลังของเทวดา เราอย่านึกว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะพระพุทธเจ้ามาสิงอยู่ พระพุทธเจ้านิพพาน อย่างพระญาณนเรศวร์ วัดญาณสังวราราม ก็มีเทวดาใหญ่ๆ 3 องค์ หลวงพ่อโสธรเทวดาเป็นพันเลย ทำไมเทวดาเยอะ คนไปไหว้เยอะ คนไปทำบุญ เวลาทำบุญจิตเป็นกุศล มันก็ดึงดูดสิ่งที่ดีงามมา ถ้าเราไปทำแต่สิ่งที่ชั่ว สิ่งที่ชั่วมันก็มาหาเรา อย่างในบ้านเราทะเลาะกันทุกวัน รับรองผีเปรตผีตายโหงตายห่าอะไรมาเต็มบ้านเลย ไฉนมาเรื่องนี้ได้

ตั้งอกตั้งใจทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิต หลงแล้วรู้ไปเรื่อยๆ หลงมันมี 2 อย่างหลักๆ อันหนึ่ง หลงไปคิดเรื่องอื่นหรือหลงไปดูโน้นดูนี้ ลืมการทำกรรมฐาน อีกอย่างหนึ่งคือหลงไปเพ่ง อย่างดูลมหายใจ ก็เพ่งลมหายใจ ดูท้องก็เพ่งท้อง ดูเท้าก็เพ่งเท้า ดูร่างกายทั้งตัวเพ่งมันทั้งตัวเลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ให้รู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา อย่าห้าม แค่รู้ทันสิ่งที่มันมี สิ่งที่มันเป็นเท่านั้นล่ะ ตามรู้ตามเห็นไป แล้วทุกครั้งที่สติเกิด รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป จิตที่หลงไหลไปคืออุทธัจจะ จิตมีอุทธัจจะ จิตฟุ้งซ่าน ทันทีที่รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตฟุ้งซ่านจะดับ จิตที่ตั้งมั่นจะเกิด เราจะเริ่มได้จิตที่ตั้งมั่น ทีแรกได้ขณะเดียว เดี๋ยวก็ฟุ้งใหม่ ฟุ้งใหม่รู้อีก ก็ตั้งขึ้นมาอีก จนกระทั่งหลงแล้วรู้ๆ ถี่ยิบ จิตที่ตั้งมั่นจะตั้งมั่นมีกำลังมากขึ้นๆ เมื่อจิตเราตั้งมั่นได้แล้ว จะด้วยกรรมฐานอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่ที่สำคัญ ต้องรู้ทันจิตตัวเอง มันถึงจะตั้งมั่น ถ้าทำแล้วสงบเฉยๆ จิตไม่ตั้งมั่น จิตจะไปตั้งแช่ในอารมณ์นิ่งๆ ว่างๆ อะไรอย่างนั้นไป ฉะนั้นให้หลงแล้วรู้ๆ ทำบ่อยๆ แล้วจิตเราจะตั้งมั่น

 

จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ไม่ใช่ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง

ในโลกแทบไม่มีเลยคนที่จิตตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัว เราเกิดมากับความหลง มีชีวิตอยู่กับความหลงแล้วก็ตายไปกับความหลง เมื่อสัก 2 – 3 อาทิตย์ก่อน มีพระองค์หนึ่งมาส่งการบ้านหลวงพ่อ มาจากวัดอื่น หลวงพ่อเห็นหน้า หลวงพ่อถามท่านไปทำอะไรมา ทำไมภาวนาได้เรื่องขึ้นมาภาวนาเป็นแล้ว เรียนตั้งหลายปี นั่นพระ แล้วพยายามภาวนาทุกวันเลย ท่านบอกไม่มีอะไรมาก ท่านเดินจงกรม เดินไปทีแรกมันก็เดินแล้วก็หลงไปคิดเรื่องอื่นบ้าง เดินแล้วก็เพ่งบ้างอะไรอย่างนี้ ต่อมาเดินแล้วคอยรู้ทัน เดินแล้วจิตหลงไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน เดินแล้วจิตไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน ตรงนี้ตรงที่รู้ทัน รู้ทันจิตใจตัวเอง จิตมันค่อยมีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง

พวกเรามันมีแต่จิตผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง มันจะไปทำอะไรได้ มันก็สร้างอบายใส่ตัว อย่างดีก็ไปเป็นเทวดาเป็นพรหมอะไรอย่างนั้น ของปรุงแต่งทั้งหมดเลย ถ้าอยากข้ามภพข้ามชาติ ต้องฝึกให้จิตตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นก็คือจิตที่ทรงสัมมาสมาธิ จิตชนิดนี้เกิดด้วยสัมมาสติ การที่เรามีสติคอยรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา รู้สภาวะที่มันไหลไปไหลมา ไม่ห้าม ไหลได้แต่ไหลแล้วรู้ๆ อย่าไหลหลงไปนานๆ ฝึกเรื่อยๆ จิตจำสภาวะของการไหลได้ พอจิตไหลปุ๊บ สติเกิดปั๊บ คือตัวสัมมาสติ เกิดอัตโนมัติ ทันทีที่สัมมาสติเกิด สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมอ แต่พอมันตั้งมั่นได้ชั่วขณะ สัมมาสมาธิก็เป็นขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ แต่ขณะๆ ขณะๆ ต่อไปเรื่อยๆ ถี่ยิบขึ้นมา เราจะรู้สึกว่าจิตมันมีกำลัง พอจิตมันมีกำลังขึ้นมาแล้ว มันเดินปัญญาได้แล้ว

ถ้าจะเดินตามสูตรเลย ตามขั้นตามตอนเลย เริ่มจากกาย เวทนา จิต ธรรม เริ่มอย่างนี้เลย 4 อันดับนี้ไล่ไปเถอะ แต่ถ้ากำลังเราพอ หลวงพ่อนี้กำลังพอ หลวงปู่ดูลย์ให้พาสเข้าไปที่จิตตานุปัสสนาเลย ข้ามไปโน่นได้ แต่พวกเรากำลังไม่ค่อยไหว รู้สึกลงที่กาย พอจิตเราตั้งมั่นปุ๊บ รู้สึกลงที่กายไป อย่าไปเพ่งกาย ถ้าจิตไหลไปที่กายผิดอีกแล้ว กลายเป็นเพ่งกาย จิตต้องตั้งมั่น จิตไม่ไหลไป แต่รู้สึกระลึกได้ว่าร่างกายมันนั่งอยู่ ร่างกายมันกำลังหายใจอยู่ ร่างกายมันกระดุกกระดิกอยู่ มันจะเห็นว่าร่างกายกับจิตเป็นคนละอันกัน ขันธ์มันจะแยกได้ เพราะฉะนั้นถ้าจิตเรามีสัมมาสมาธิจริง จิตตั้งมั่นจริง ขันธ์มันจะแยกได้ ขันธ์แยก

เมื่อวัน 2 วันนี้ก็มีพระมาส่งการบ้าน ขันธ์แยก บอกขันธ์แยกแล้ว แยกอย่างไร เราดูอย่างไรก็ไม่แยก ดูอย่างไรท่านก็ไม่แยก ท่านบอกตอนนี้ท่านเอาจิตไว้ตรงนี้ ร่างกายอยู่ตรงนี้ ขันธ์แยก โอ๊ย บอกว่าขันธ์อย่างนั้น ขันธ์แตกแล้ว ไม่ใช่ขันธ์แยก เอาจิตไปไว้บนอากาศแล้วมองย้อนลงมา ไม่ใช่ การแยก จิตก็อยู่ที่จิตปกตินี่ล่ะ แต่สติปัญญามันแยกได้ มันเห็นว่าร่างกายที่นั่งอยู่กับจิตเป็นคนละอันกัน พอเราเห็นร่างกายกับจิตเป็นคนละอัน เรารู้สึกไปเรื่อยๆ บางมีเราก็เห็นไตรลักษณ์ของร่างกาย ร่างกายนี้มันนั่งอยู่ เดี๋ยวมันก็ทุกข์ หายใจเข้ามันก็ทุกข์ หายใจออกมันก็ทุกข์ เห็นทุกข์ของร่างกายไปเรื่อยๆ นี่เราเดินปัญญาแล้ว ขึ้นวิปัสสนาแล้ว

ทีแรกเราแยกขันธ์ได้ เห็นกายก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง ตรงนี้เริ่มเป็นปัญญาขั้นแรก เรียกนามรูปปริจเฉทญาณ สามารถแยกรูปแยกนามได้ เสร็จแล้วดูไปเรื่อยๆ มีสติมีจิตตั้งมั่น สติ ระลึกกาย ก็จะเห็นว่าร่างกายนี้มันก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ หายใจออกก็ทุกข์ หายใจเข้าก็ทุกข์ นั่งนานๆ ก็ทุกข์ ยืนนานก็ทุกข์ เดินนานก็ทุกข์ นอนนานๆ ก็ทุกข์ อย่านึกว่านอนแล้วไม่ทุกข์ ถ้านอนไม่ทุกข์คงไม่พลิกซ้ายพลิกขวาหรอกตอนนอน นี่พลิกทั้งคืนเพราะมันทุกข์ มันขยับหนีทุกข์ไปเรื่อยๆ พอเราเห็นอย่างนี้ เราเห็น โอ้ ร่างกายมีแต่ตัวทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ นี่เห็นอนัตตา

บางคนเห็นตรงนี้ ร่างกายเป็นทุกข์เป็นอนัตตา จิตที่ไปรู้กายมันเห็นแต่ทุกข์ มันไม่มีอะไรดีเลย จิตเองก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็รู้กายเดี๋ยวก็หนีไปรู้อย่างอื่น จิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง แล้วจิตจะรู้กาย สั่งให้รู้ตลอดก็ไม่ได้ ห้ามว่าอย่าหนีไปที่อื่นก็ห้ามไม่ได้ นี่คืออนัตตาของจิต เพราะฉะนั้นบางท่านดูกายแล้วบรรลุพระอรหันต์ เพราะว่าเห็นความจริงแล้ว กายนี่คือตัวทุกข์ จิตนี่ก็คือตัวทุกข์ หาดีไม่ได้เลย ท่านที่เดินอย่างนี้คือท่านพระอานนท์ พระอานนท์ คืนสุดท้ายก่อนจะบรรลุพระอรหันต์ พระไตรปิฎกบอกเลย ท่านใช้เวลาส่วนมากอยู่กับกายคตาสติ คือมีสติพิจารณาอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่คิด กายคตาสติตัวนี้ไม่ใช่กายคตาสติในกรรมฐาน 40 แต่เป็นเรื่องกายคตาสติในสติปัฏฐาน เป็นการเห็นไตรลักษณ์ของกาย แล้วท่านก็บรรลุ

ทีนี้พวกเราเห็นร่างกายเป็นทุกข์ ใจมันก็ยังไม่บรรลุอีก ดูให้มันละเอียดเข้าไป ความทุกข์มันอยู่ในร่างกาย นี่ขึ้นเวทนานุปัสสนาแล้ว ความทุกข์อยู่ในร่างกาย ความทุกข์ไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายนั่งอยู่นี่ล่ะ แต่เดิมไม่ทุกข์แล้วความทุกข์มันแทรกเข้ามา ฉะนั้นความทุกข์ไม่ใช่ร่างกาย ความทุกข์เป็นของอนัตตา เราสั่งไม่ได้ เราไม่ได้เชิญมันมา มันมาได้เอง ดูไปเรื่อยๆ ในที่สุดจิตเป็นกลางกับความทุกข์ แล้วเราเห็น บางทีพอร่างกายเป็นทุกข์ ใจเราก็ทุกข์ด้วย เราทำเวทนานุปัสสนา ดูเข้ามาที่จิตตัวเองได้แล้ว เราเห็นจิตใจเรา อย่างพอร่างกายเรามีความทุกข์เกิดขึ้น ใจเราก็พลอยทุกข์ด้วย พอร่างกายมีความสุข ใจเราก็พลอยมีความสุขด้วย เราก็เห็นใจเราเดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ ห้ามไม่ได้ สั่งไม่ได้ สั่งว่าจงมีแต่ความสุขก็ไม่ได้ อย่าทุกข์ก็ไม่ได้ นี่เราเห็นไตรลักษณ์ของเวทนาทางใจ

 

รู้สึกกายรู้สึกใจเรื่อยๆ
วันหนึ่งเราจะเห็นปฏิจจสมุปบาท

ต่อไปเราภาวนาเรื่อยๆ เราก็จะเห็นอีกเวลาความสุขทางใจเกิดขึ้น ราคะแทรก เราจะชอบอกชอบใจ เวลาความทุกข์ทางใจเกิดขึ้น โทสะแทรก เวลาไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้น บางทีโมหะแทรก ที่จริงแล้วเวลาที่ราคะแทรก จะแทรกได้ก็ต้องมีโมหะเกิดร่วมด้วยเสมอ เวลาจิตจะมีโทสะก็ต้องมีโมหะเกิดร่วมด้วยเสมอ ฉะนั้นอกุศลจิตทุกดวงทุกตัวมีโมหะประกอบด้วยเสมอ เหมือนอย่างกุศลทุกๆ ดวงต้องมีสติประกอบด้วยเสมอ พอเราหัดอย่างเราดูกายแล้วเราก็เห็นเวทนาทางกาย เขยิบขึ้นมาเห็นเวทนาทางใจ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ในใจ แล้วเราเห็นกิเลส ตรงที่เราเห็นกิเลสเกิดดับๆ อยู่ เราขึ้นมาที่จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว ต่อไปเราก็จะเห็นการทำงานของมัน

กิเลสมันเกิดได้ก็เพราะมันมีเหตุ กุศลเกิดได้ก็เพราะมันมีเหตุ สิ่งทั้งหลายมันมาจากเหตุ มาเพราะเหตุ มีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับไม่ได้ ในที่สุดจิตมันก็เข้าใจธรรมะที่ประณีตลึกซึ้งมากขึ้น รู้เหตุรู้ผล อันนั้นมันขึ้นธัมมานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนาที่สูงที่สุดก็คือการเห็นอริยสัจหรือการเห็นปฏิจจสมุปบาท ทุกวันนี้คนก็ชอบพูดถึงปฏิจจสมุปบาท ท่องตำรามาพูด แต่หาความสะใจไม่ได้เลย หลวงพ่อตอนเป็นนักศึกษาเคยไปบวชวัดชลประทาน หลวงพ่อปัญญาเป็นอุปัชฌาย์ ท่านบอกท่านไม่ค่อยว่าง นิมนต์เยอะเหลือเกิน ท่านให้หนังสือท่านพุทธทาสมาเล่มหนึ่งมานั่งอ่าน มีเรื่องปฏิจจสมุปบาท อ่านแล้วก็ไม่รู้เรื่อง เที่ยวถามพระในวัด พระในวัดก็ไม่รู้เรื่อง ไปถามพระโตๆ ถามว่าปฏิจจสมุปบาทคืออะไร อ๋อ ธรรมะที่มีเหตุให้เกิดอะไรนี่ เกิดตามเหตุปัจจัยแล้วเดินหนีเลย กลัวถามมากกว่านั้น เรารู้แล้ว ไม่รู้นี่หว่า รู้แล้วว่าไม่รู้ เราก็ไม่ไปรุกเขา ไปรุกเขาฉีกหน้ากัน

หลวงพ่อพอสึกมา ไปหาตำราอ่านปฏิจจสมุปบาท อ่านอวิชชามี 8 องค์ประกอบ สังขาร อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารมี 3 อย่าง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร แต่มันลิงค์กับอวิชชาอย่างไรไม่รู้ สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ มันเกิดอย่างไรไม่รู้ มันจำได้ทีละตัวๆ แต่มันไม่เห็นว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร อย่างนี้ไม่เรียกว่ารู้ปฏิจจสมุปบาท อย่างนี้เรียกว่าจำปฏิจจสมุปบาท

ค่อยภาวนาเรื่อยๆ ไป รู้สึกกายรู้สึกใจเรื่อยๆ วันหนึ่งเราจะเห็นปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทลึกซึ้งนัก ลึกมากเลย ส่วนที่ง่ายๆ ยกตัวอย่างให้ดู อย่างตาเราเห็นรูป พอตาเราเห็นรูปที่พอใจใช่ไหม มีความสุขเกิดขึ้น เห็นรูปที่ไม่พอใจ มีความทุกข์เกิดขึ้น มีผัสสะก็เกิดเวทนา พอมีความสุขความทุกข์เกิดขึ้น ก็จะมีกิเลสแทรก มีความชอบความไม่ชอบเกิดขึ้น พอชอบก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น เกิดตัณหา พอไม่ชอบก็อยากให้หมดไปสิ้นไป อันนี้เกิดวิภวตัณหา เวทนามันเชื่อมมาที่ตัณหาอย่างนี้ ตัณหาทำให้จิตกระโจนเข้าไปตระครุบอารมณ์ ตรงที่จิตโดดเข้าไปจับอารมณ์ เรียกว่าอุปาทาน เมื่อจิตมันจับอารมณ์แล้ว มันจะปรุงแต่ง ตรงที่มันปรุงแต่ง เรียกว่าภพ แล้วตรงที่มันมีภพ จิตมันจะหยิบฉวยจิตขึ้นมา ตรงนี้ตรงที่จิตหยิบฉวยอายตนะขึ้นมา เรียกว่าชาติ ตรงทันทีที่จิตหยิบฉวยอายตนะขึ้นมา หยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะหยิบฉวยใจขึ้นมา ความทุกข์เกิดทันทีเลย เพราะฉะนั้นมีชาติเมื่อไรมีทุกข์เมื่อนั้น

ต้องภาวนากันแทบเป็นแทบตายเลยกว่าจะเห็น ไม่ใช่นั่งท่องๆ แล้ว โอ้ เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจแบบนั้นสู้กิเลสไม่ได้หรอก มันไม่เห็นกระบวนการ หรืออวิชชาเป็นอย่างไร อวิชชามีตั้ง 8 ตัวจะรู้อย่างไรในขณะจิตเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราต้องค่อยๆ ทำไป เบื้องต้นฝึกให้จิตตั้งมั่น ด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา เรารู้ทันได้ถ้าเราฝึกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งทุกวัน ทุกวันต้องทำ แรกๆ หัดใหม่ๆ หลวงพ่อบอกวันละ 15 นาที ตอนนี้เพิ่มแล้ว ค่าเล่าเรียนแพงขึ้นกว่าเก่าแล้ว แพงพอๆ กับค่าเช่าที่วัดบางแห่ง อย่างน้อยไปเดินจงกรมให้ได้ ถ้ายังมีขาอยู่ ยังเดินได้ ไปเดินให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงเดินทีเดียวไม่ไหว แบ่งก็ได้ เช้าชั่วโมงหนึ่ง กลางคืน 2 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้

หลวงพ่อเดินจงกรมเหมือนกัน กลางวันทำงานกินข้าวเสร็จแล้ว หลวงพ่อไม่มานั่งหลับเคลิ้มๆ หรือทำโน่นทำนี่ หลวงพ่อเดินแต่เดินไปวัด ทำไมไม่เดินกลับไปกลับมา เดี๋ยวคนเขาว่าบ้า เราก็ทำเป็นว่าเราเดินไปไหว้พระวัดโน้นไหว้พระวัดนี้ เดินไป พอไปถึงหน้าโบสถ์ก็ยกมือไหว้ก็กลับแล้ว เดินกลับ ทุกก้าวที่เดิน เดินด้วยความรู้สึกตัวอยู่ นี่คือการปฏิบัติ กลางวันก็ทำ

ถ้าพวกเรามีเวลาว่างเมื่อไรก็ถลุงมันให้มันวอดวายหายไปเฉยๆ น่าเสียดาย โดยเฉพาะเอาเวลาไปใช้พัฒนากิเลส ตามใจกิเลสไปเรื่อยๆ กิเลสมันก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ ปัญญาของเราไปสิ จิตใจเราก็จะแข็งแรงขึ้น กุศลมันจะแข็งแรงขึ้น แล้วสุดท้ายเราก็ละบาปอกุศลได้ เจริญกุศลถึงพร้อมได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เราก็จะข้ามโลกได้ ข้ามโลกได้เข้าสู่โลกุตตระได้

ไปภาวนาเอา ทำในรูปแบบ ต้องทำ มิฉะนั้นจิตจะไม่มีแรง ทำในรูปแบบแล้วก็มีสติ ไม่ใช่ทำเอาสงบเฉยๆ ทำไป แล้วถ้าจิตมันจะรวมมันสงบ ก็อย่าไปฝืนมัน ให้มันพักไป แต่พอมันขึ้นมา ถ้ามันลงลึก ร่างกายมันหาย โลกมันหายใช่ไหม มันถอนออกมามีร่างกาย ทำกรรมฐานไป แล้วจิตไหลแล้วรู้ๆ ฝึกให้เยอะ แล้วต่อไปปัญญามันจะแยกขันธ์ ร่างกายก็อันหนึ่ง เวทนาอันหนึ่ง สังขารอันหนึ่ง จิตอันหนึ่ง แยกกาย เวทนา จิตได้ แล้วก็จะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมัน จะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ถ่องแท้ในร่างกาย จิตจะวางกาย จิตจะถอนตัวออกมา ไม่เข้าไปเกาะร่างกาย แต่ถอนบางทีเกิดจากกำลังของสมาธิ ถ้าสมาธิเสื่อมมันก็จะเกาะอีกเพราะมันไม่ได้ตัดด้วยมรรค

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
บ้านจิตสบาย
18 พฤษภาคม 2568