ความกตัญญูทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์

วันนี้วันสงกรานต์ใช่ไหม วันที่ 13 สงกรานต์เดี๋ยวนี้กับเมื่อก่อน ไม่เหมือนกัน สมัยหลวงพ่อเด็กๆ สงกรานต์มันเป็นประเพณีที่งดงาม วัดเป็นศูนย์รวมของสังคม ทุกวันนี้ถนนเป็นที่มาเล่นน้ำกัน สงกรานต์จริงๆ ไม่ใช่แค่เอาน้ำมาสาดกัน ว่านี่คือสงกรานต์ มันก็เป็นวันที่สังคมกำหนดกันขึ้นมาว่า จะมาทำกิจกรรมทางสังคมด้วยกัน ถือเอาวันที่ดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษ หลายๆ สิบปีนี้ วันสงกรานต์ ถ้าดูตามพระอาทิตย์ที่เข้าสู่ราศีเมษ มันจะเคลื่อน มันจะไม่ตรงวันที่ 13 เมษายนตลอดกาล อีกกี่สิบปีมันจะเลื่อนวันหนึ่ง แต่เราไม่ได้สนใจพระอาทิตย์และดวงดาวแล้ว เราก็ถือเอาวันที่ 13

ตอนหลวงพ่อเด็กๆ วันสงกรานต์มันคือวันของความกตัญญูกตเวที แล้วก็เป็นวันของครอบครัว ญาติพี่น้องอยู่ต่างถิ่นกัน ถึงสงกรานต์ก็มารวมกัน ถ้าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ยังอยู่ ก็ไปรวมกันที่บ้านของผู้ใหญ่ ลูก หลาน เหลน มาเยอะแยะ มารดน้ำขอพร เอาผ้ามาให้ผู้ใหญ่ผืนหนึ่ง มารดน้ำขอพร ไม่ใช่มาสาดน้ำเหมือนเลี้ยงหมู เอาน้ำสาดให้หมูตัวเย็นๆ อันนั้นดูไม่มีวัฒนธรรม

ตอนเช้าจริงๆ ก็จะไปวัดกัน ก่อนที่จะมาไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน งานแรกของชาวพุทธเราก็คือเข้าวัดก่อน ถือเป็นสิริมงคล ไปทำบุญเลี้ยงพระ สรงน้ำพระ แล้วก็ทำบุญกระดูก คนแต่ก่อนบางคนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายตาย แล้วเอากระดูกไปไว้ที่วัด ตอนหลวงพ่อเด็กๆ วันสงกรานต์สนุกมากเลย จะต้องมาลงเรือที่คลองสำโรง นั่งเรือมาบางพลี วัดบางพลีใหญ่ พอทำบุญเสร็จแล้วก็ พระก็จะไปยกถาดกระดูกออกมา แต่ละถาดเป็นตระกูล ตระกูลนี้ก็ยกถาดนี้ออกมา มีป้ายชื่อบอก ให้ทำบุญสรงน้ำอัฐิ ชักบังสุกุล นี่จะเป็นเรื่องบุญ เป็นเรื่องที่ลูก หลาน เหลน คิดถึงบรรพบุรุษ มีบุญคุณทำให้เรามีชีวิตอยู่ ทำให้เราเติบโต ทำให้เราเลี้ยงตัวเองได้ การที่ไปไหว้พระไปอะไร ก็เป็นความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ แล้วทำบุญอัฐิ กตัญญูกับบรรพบุรุษ แล้วก็กินเลี้ยงร่วมกันหลังจากพระฉัน

สาดน้ำอะไร เขาสาดกัน ไม่ได้สาดกันบ้าเลือดเอาสนุกหรอก ก่อนจะสาดน้ำหรือจะรดน้ำ เขาขอโอกาสกัน ขอรดนะ เขาอนุญาตแล้วถึงจะรดให้ ไม่ใช่ไม่รู้จักใครสาดโครมๆ เข้าไป เอาสนุก อันนั้นมุ่งกันที่สนุก อันนั้นเขามุ่งความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชุมชน บรรยากาศอย่างนี้สูญหายไป เป็นโอกาสที่คนหนุ่มคนสาวจะเจอกัน อย่างมาเล่นทางแถวพระประแดง เขาเล่นสะบ้า เล่นลูกสะบ้า ผู้หญิงเล่น ผู้ชายเล่น แข่งกัน เอาสนุก ไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน มีจารีตประเพณีที่งาม เด็กๆ ก็เห็นวิธีการ ก็ซึมซับวัฒนธรรมที่สุภาพอ่อนโยน ประณีต ถูกสอนให้มีความกตัญญูกตเวทีโดยไม่รู้ตัว มันซึมซับ ดีกว่าพูด

 

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

อยู่ๆ เราไปพูดให้เด็กฟังว่าต้องมีความกตัญญู มันก็เถียงเอาอีก ไม่เห็นจะต้องกตัญญูเลย พ่อแม่มีราคะผลิตมันออกมา มันต้องมาเกิด ลำบาก หนอย ถูกเลี้ยงอยู่ลำบาก พ่อแม่เป็นคนเลี้ยงไม่ลำบาก สังคมมันวิปลาสมากขึ้นๆ ไปรับ concept ซึ่งเพี้ยนๆ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ลืมราก ลืมเหง้าทางวัฒนธรรม จารีตประเพณี ศีลธรรม จุดสำคัญเลยของวันสงกรานต์ คือเรื่องของความกตัญญูกตเวที แล้วก็ความรัก ความเผื่อแผ่ ทำอาหารก็แบ่งกันกิน เพื่อนบ้านก็มาทำบุญด้วยกัน สังคมอย่างนี้มันหมดไปเรื่อยๆ มันถูกกลบด้วยคำๆ เดียว สนุก สนุกอะไรนักหนา เอาน้ำไปสาดคน สนุก แล้วก็ไม่ใช่น้ำดี น้ำวิเศษอะไรหรอก บางทีก็มาหน้าวัดนี้ มาดูดน้ำในบ่อนี่ล่ะ ขโมยน้ำวัดเอาไปสาดกัน เข้าตา ตาไม่บอดก็บุญแล้ว

สังคมมันเปลี่ยน เราเข้าใจ มันต้องเปลี่ยน อินทรีย์ของคนแต่ละรุ่นๆ มันอ่อนลงเรื่อยๆ เมื่อ 40 ปีกว่า ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก บอกว่า “ต่อไปบ้านเมืองมันจะร้อนยิ่งกว่านี้อีก” ไม่ใช่เรื่องอากาศร้อน เรื่องผู้คน จิตวิญญาณที่ไม่ดีมาเกิดมากขึ้นๆ พอสังคมมีคนไม่ดีเยอะขึ้น มันก็ยิ่งดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีให้มามากขึ้นๆ มันดึงดูดกัน พวกเราชาวพุทธ ตอนนี้เราเป็นคนส่วนน้อย สมัยก่อนเขาจัดลำดับ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คนนับถือมากที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้เล็กแล้ว ไม่ใหญ่แล้ว เป็นเบอร์ 3 เบอร์ 4 อะไรแล้ว แล้วก็เล็กลงไปเรื่อยๆ

เพราะศาสนาพุทธเรา ไม่ได้ตอบสนองผลประโยชน์ทางการเมือง พวกการเมืองก็ไม่ค่อยสนใจ มีอำนาจก็บางทีย่ำยี บางประเทศศาสนาพุทธสูญไปเลย เพราะฝ่ายปกครองมันย่ำยีเอา อย่างกำหนดว่าใครจะบวชต้องขออนุญาต แล้วก็ไม่อนุญาต พระก็ขาดช่วงไป สูญไป ของเราตอนนี้มันอยู่ในช่วงท้าย ช่วงท้ายของศาสนาแล้ว เราอย่ามโนว่าศาสนาพุทธจะอยู่ 5,000 ปี พระพุทธเจ้าไม่ได้พูด คนรุ่นหลังมาพูดเอาเองว่าจะอยู่ 5,000 ปี เราดูมันถดถอยไปเรื่อยๆ แล้ว คุณงามความดีที่ศาสนาพุทธพยายามถ่ายทอด มันก็ถูกละเลย

อย่างเรื่องกตัญญูกตเวทีถูกละเลยมากขึ้นๆ เมื่อก่อนหลวงพ่อไปหาครูบาอาจารย์ ใจนี้มันจะทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งยำเกรง แต่ไม่กลัว มีความรู้สึกเลยว่า ถ้าครูบาอาจารย์บอกให้ทำอะไร จะทำทันทีเลย ยังนึกอยู่ ถ้าหลวงปู่ดูลย์สั่งให้บวช จะบวชทันทีเลย ใจมันเป็นอย่างนั้น เคารพครูบาอาจารย์ หลวงปู่ไม่สั่ง เพราะหลวงปู่รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา เคยจะถามท่านว่า “ต่อไปผมจะได้บวชอีกไหม” เคยบวชตอนเด็กๆ มารอบหนึ่งแล้ว ไม่ถาม ถ้าถามก็เหมือนดูถูกครูบาอาจารย์เรา ลดระดับครูบาอาจารย์กรรมฐานลงไปเป็นหมอดู ไม่ถาม เราเชื่อมั่นในเรื่องของกรรม แล้วก็ผลของกรรม ถ้าเหตุปัจจัยถึงพร้อมเราก็ได้บวช เหตุปัจจัยไม่ถึงพร้อม มันก็ไม่ได้บวช อยู่กับครูบาอาจารย์ เคารพมากเลย รักมาก แค่จะถามอะไรนอกเรื่องนอกราว ยังไม่กล้าถาม เกรงใจท่าน

พื้นจิตใจของคนส่วนใหญ่ในรุ่นนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้แล้ว มันก็คิดแต่จะเอา จะเอาให้ได้ ถ้าหากขอครูบาอาจารย์ แล้วให้ท่านทายอนาคตได้ มันคงหักคอ นี่ใจที่มันหยาบมันรองรับธรรมะ ซึ่งเป็นของละเอียดของประณีตไม่ได้ เราดูคน ถ้าจะดูคนว่าคนไหนเป็นคนดี วิธีดูที่ง่ายที่สุด ดูว่าเขาเป็นคนกตัญญูไหม กตัญญูเป็นเครื่องหมาย เป็นสัญลักษณ์ของคนดี ถ้าคนไม่รู้จักบุญคุณของคนอื่น ใครเขาทำคุณให้ก็ลืม พวกนี้เหลวไหล ไม่ใช่คนดีในมาตรวัดของชาวพุทธ

แต่เรื่องบุญคุณมันมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง ถ้าเราทำดีต่อผู้อื่น ด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่หวังผล เราจะไม่ทวงบุญคุณใคร เราทำความดี เราจะไม่อ้างว่านี่ฉันเคยดีต่อเธอ เธอจะต้องตอบแทนฉัน อันนั้นเป็นการลงทุน ไม่ใช่การทำด้วยใจที่สะอาดหมดจดจริงๆ ฉะนั้นเวลาเราทำความดีต่อใครก็ตาม ถ้าเขาเป็นคนดี เขาก็รู้จักนึกถึงบุญคุณที่เราทำให้ ถ้าคนไม่ดี มันไม่นึกหรอก แล้วถ้าเราไปทวงบุญคุณ อันนี้เราพลาดแล้ว บุญคุณเราไปทวง เขาจะตอบแทนให้หนึ่งครั้ง แล้วถัดจากนั้นก็ไม่มองหน้ากันแล้ว ไม่มีอะไรผูกพันทางจิตใจ เพราะว่าใจของเราเองไม่สะอาด ที่เราไปทวงบุญคุณเพราะเราคิดว่า การที่เราทำความดีต่อคนอื่น นี่คือการลงทุน

พ่อแม่ดูแลลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง ลำบาก ยิ่งคนโบราณออกลูกตายเยอะแยะเลย แล้วความเชื่อแบบไม่มีความรู้สมัยใหม่ พอตั้งท้องต้องอดไอ้โน่น ต้องเว้นไอ้นี่ ขาดสารอาหารหนักเข้าไปอีก คนแต่ก่อนเลยตัวเล็กๆ แต่เราชอบวาดภาพว่าคนโบราณตัวใหญ่ ที่จริงคนรุ่นนี้ตัวใหญ่กว่าคนโบราณ ตัวโตขึ้นเรื่อยๆ มันโตจนผิดสัดผิดส่วน เหมือนคนพิการ บางคนโตมากไปเหมือนคนพิการ พ่อแม่ลำบากมาก กว่าจะเลี้ยงลูกรอดมาได้ บางคนก็บอก โอ๊ย พ่อแม่เลวๆ ก็มี ไปทำแท้งลูก ไม่อยากได้ลูกก็ไปทำแท้ง พวกที่ไม่ได้ทำแท้งคือพวกที่อยากได้ลูก ฉะนั้นตัวเองทำด้วยความอยาก ไม่มีบุญคุณ บุญคุณนั้นมันอยู่ที่จิตสำนึกของเราเอง สำนึกเอาเองว่า อย่างพ่อแม่เรามีบุญคุณกับเราหรือเปล่า อยู่ที่สำนึกของเรา ไม่ใช่อยู่ที่พ่อแม่มาถามเราว่า นึกถึงบุญคุณของเขาหรือเปล่า

หลวงพ่อกราบครูบาอาจารย์วันหนึ่งหลายรอบ พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลาย เราเคารพ เรากราบไหว้ จิตใจเราอ่อนโยน ทุกวันเวลาจะฉันข้าว เวลาจะฉันข้าวนอกจากพิจารณาอาหาร หลวงพ่อยังพิจารณาต่อไปอีกช็อตหนึ่ง อาหารทั้งหมดนี้เราได้มา เพราะคนเขานับถือพระพุทธเจ้า ผ้าจีวรอะไรนี้เราได้มา เพราะคนนับถือพระพุทธเจ้า กุฏิ ศาลา ได้มาเพราะคนนับถือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีบุญมีบารมีมาก ผ่านไปจะ 3,000 ปีอยู่แล้ว ยังสามารถเลี้ยงลูกพระมาได้จนทุกวันนี้ คุณงามความดีของท่านมีมาก ใจนึกถึงด้วยความเคารพ ด้วยความรัก แล้วก็มีจิตสำนึกว่าเราต้องกตเวที กตัญญูนี่รู้คุณ กตเวทีนี่ตอบแทนคุณ

 

กตเวทีตอบแทนคุณ

สำหรับพระเรา การตอบแทนคุณก็คือการทำหน้าที่ หน้าที่ของพระ พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้ว ก่อนจะปรินิพพานท่านยังพูดเลย แทบจะประโยคสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านให้เราทำประโยชน์ของตน ประโยชน์ของผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท นี่คือหน้าที่ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเราชาวพุทธที่จะแทนคุณพระพุทธเจ้า คือศึกษาปฏิบัติธรรม นี่คือหน้าที่ไม่ใช่อาสาสมัคร อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ถ้าเราเป็นลูกที่กตัญญูกับพระพุทธเจ้า ก็ต้องรู้ว่า การที่เราศึกษาปฏิบัติธรรม ให้เข้าใจ ให้รู้ถูก เข้าใจถูก แล้วก็สืบทอดเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่น นั่นคือหน้าที่ของพวกเราชาวพุทธ ทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ทำประโยชน์ผู้อื่นให้เต็มตามความสามารถ

อย่างหลวงพ่อออกมาพูดเทศน์ปาวๆ นี้ เทศน์ไป 2,000 กว่ากัณฑ์แล้ว ทำไมต้องทำอย่างนี้ เพราะว่าต้องการแทนคุณ เราเคารพ เรารักพระพุทธเจ้า เราเคารพ เรารักครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าสั่ง ครูบาอาจารย์ก็สั่ง ครูบาอาจารย์ที่สั่งหลวงพ่อด้วยคำพูดเลย คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านสั่งหลวงพ่อตั้งแต่ปี 2526 บอก “คุณไปเผยแพร่วิธีการปฏิบัติ ที่จะมีสติรู้จิตรู้ใจตัวเอง เป็นของแปลกใหม่ ไม่มีคนสอน แต่คนที่จริตนิสัยเหมาะที่จะเรียนรู้อย่างนี้ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่ไปเผยแพร่ คนที่เขาควรจะได้โอกาส เขาก็จะเสียโอกาส”

ตอนนั้นหลวงพ่องงๆ เลย ท่านสั่งให้ไปเผยแพร่ เราก็ต้องทำ ครูบาอาจารย์สั่ง ค่อยๆ ทำไป องค์อื่นๆ ท่านไม่ได้สั่งด้วยวาจา แต่ท่านประคบประหงมหลวงพ่อมากเลย รู้เลยว่าครูบาอาจารย์ ประคบประหงมอย่างมากเลย ไปอยู่ตามวัดท่าน บางทีไม่มีข้าวกิน ท่านส่งบาตรของท่านมาให้ ให้กินข้าว ให้ไปภาวนาอยู่ในเขตพระ อยู่ในป่า นี่ความเมตตากรุณาที่ท่านให้ บางองค์ท่านก็บอกกับพระอุปัฏฐากท่านว่า ต่อไปอุบาสกคนนี้จะเป็นกำลังของพระศาสนา

ฉะนั้นเวลาเข้าไปหาท่าน ไปถาม ไปเรียน ไปอะไร ท่านเต็มที่ คล้ายๆ ท่านปลูกต้นไม้ไว้ วันหนึ่งก็จะได้เป็นร่มเงาสืบทอดไป ต้นไม้เก่าก็ล้มไป ต้นไม้ใหม่ก็โตขึ้นมา คือสิ่งที่หลวงพ่อทำอยู่ทุกวันนี้ งานปลูกต้นไม้ พวกเราก็พยายามเป็นต้นไม้ที่ดีหน่อย อย่าให้หนอนไชบ่อย หนอนคือโลภะ โทสะ โมหะ หลงโลก สนุกสนาน ด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะทั้งนั้น ตั้งอกตั้งใจ มีความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ด้วยการศึกษา ศึกษาปฏิบัติ ตอบแทนบุญคุณท่าน ด้วยการศึกษาปฏิบัติธรรม รู้ถูกเข้าใจถูก ก็ช่วยกันประกาศสืบทอดธรรมะอันนี้ออกไป

ตอนหลวงพ่อไม่สบาย ไปอยู่โรงพยาบาลศิริราช มีพระมหาเถระองค์หนึ่งท่านก็อาพาธ ก็มาอยู่ในชั้นเดียวกัน ห้องพัก พยาบาลก็มาบอกหลวงพ่อว่า ตอนนี้ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ตอนนั้นท่านยังเป็นเจ้าคุณฯ ท่านอาพาธห้องใกล้ๆ นี้ เลยให้พยาบาลไปขอโอกาสท่าน ว่าจะขอโอกาสเข้ามากราบท่านจะได้ไหม นี่ธรรมเนียมพระ ไม่ใช่นึกอยากจะไปหาครูบาอาจารย์ ทะเร่อทะร่าเข้าไป ธรรมเนียมนี้มีมาตั้งแต่พุทธกาลแล้ว พระอินทร์อยากมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ให้เทวดาชื่อปัญจสิงขร เป็นนักเล่นกีตาร์ ไปหาพระพุทธเจ้าก่อน ไปทาบทามว่าพระอินทร์จะมาเฝ้าได้ไหม

หลวงพ่อก็อาศัยพยาบาลไปถาม ท่านก็บอกเดี๋ยวอีกสักครู่ พอท่านพร้อมแล้ว ท่านก็ให้พยาบาลมาเรียก ท่านพร้อมก็คือ ท่านลุกขึ้นมาครองจีวร เพราะนอนอยู่บนเตียง ก็ไม่ใด้ใส่จีวร ใครจะไปใส่ ร้อนตายเลย พอท่านพร้อมแล้ว ก็เข้าไปกราบ ท่านรู้จัก คุยกันไม่มาก ท่านอนุโมทนาที่ทำงานเผยแพร่ ท่านก็ให้พร “ขอให้คุณหายเจ็บหายไข้ มีสุขภาพแข็งแรง ไปทำงานเผยแพร่สืบทอดพระศาสนาได้นานๆ” ท่านไม่ใช่พระป่า ท่านเป็นพระปริยัติ เก่งทางปริยัติ แต่พระปริยัติระดับนั้น ท่านเข้าใจคำว่าธรรมะ ท่านไม่ได้แบ่งแยกว่านี่สายปฏิบัติ นี่สายปริยัติ ต้องไม่ถูกกัน ไม่มี ท่านก็ดูแค่ว่าที่หลวงพ่อสอนไม่เพี้ยน สอนแล้วมีประโยชน์ ท่านก็อนุโมทนาให้

ที่จริงหลวงพ่อรู้จักท่านนาน แต่ท่านจำหลวงพ่อไม่ได้หรอก เคยร่วมงานกับท่านอาจารย์สมพร เทพสิทธา ที่กลุ่มอะไรไม่รู้ จำชื่อไม่ได้แล้ว สิ่งที่ท่านบอกก็คือให้ไปทำงาน นี่ครูบาอาจารย์ท่านสั่ง ท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อองค์หนึ่ง หลวงพ่ออ่านหนังสือของท่าน อ่านหลายเล่ม แต่บางเล่มอ่านยาก อ่านพุทธธรรม อ่านแล้วเหนื่อย ท่านเขียนวิชาการสูง ความรู้ท่านเยอะ ความรู้เราน้อย ค่อยๆ แกะๆ ไปเรื่อยๆ คนไหนที่หลวงพ่อได้ประโยชน์จากท่าน หลวงพ่อก็นับถือเป็นครูบาอาจารย์ ฉะนั้นครูบาอาจารย์หลวงพ่อมีสัก 40 องค์ได้ ประมาณนั้น คนที่เราได้ประโยชน์ บางคนเราได้ประโยชน์โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกัน เราดู เข้าไปดู

 

บางอย่างไม่ได้สอนด้วยคำพูด

อย่างหลวงปู่ชอบนี่เข้าไป ท่านนอนไม่สบาย นอนหันหลังอยู่ เป็นอัมพาต คนก็แวดล้อมเยอะเลย เหลือช่องอยู่นิดหนึ่ง ขึ้นกุฏิไม่ได้แล้ว ยืนอยู่ข้างล่างที่พื้น มองไปเห็น เห็นท่าน เห็นแต่ข้างหลัง ใจก็นึกถึงท่าน ยกมือไหว้ “ผมขอไหว้พระอรหันต์” ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า เราไม่รู้ แต่เราไหว้พระอรหันต์ นึกในใจอย่างนี้ ท่านหันกลับมาพยักหน้าทีหนึ่ง เอี้ยวตัวกลับมา เราก็ได้ความรู้บางอย่างจากท่านมา

หรือหลวงปู่ดูลย์ คราวหนึ่งไปหาท่าน แล้วตอนบ่ายท่านเข้าไปสรงน้ำ แต่หลวงปู่ดูลย์นับไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านสอนหลวงพ่อเยอะ แต่ว่าวิชาบางอย่างไม่ได้สอนด้วยคำพูด พอท่านไปสรงน้ำ หลวงพ่อก็ไปเดินเล่น หน้ากุฏิท่านมีสนามหญ้าเล็กๆ อยู่ สักพักใหญ่ๆ มีกระแสที่เย็นชื่นฉ่ำ รู้เนื้อรู้ตัวมาสัมผัส หันหลังอยู่ สัมผัส หันไป หลวงปู่อาบน้ำเสร็จแล้ว ออกมานั่งเก้าอี้แล้ว ก็เข้าไปกราบท่าน ก็เลยรู้ว่าเวลามีอะไรมากระทบใจเรา ความรู้สึกในใจเราเปลี่ยน เราก็ โอ้ ดูจิตใจได้คล่องตัวขึ้น ไม่ต้องพูด ที่จริงมีเรื่องเยอะกว่านั้นแต่พูดไม่ได้ เพราะท่านทั้งหลายส่วนใหญ่เป็นอนุปสัมบัน ไม่ใช่พระ

นี่ความรู้สึกที่มีต่อพระพุทธเจ้า ที่มีต่อครูบาอาจารย์ ประเภทเอาชีวิตเข้าแลกได้ ถ้าใจเราไม่ถึงขนาดนี้ เวลาเราภาวนาพอถึงจุดสำคัญ เราจะกลัว กลัวตาย ถ้ากลัวตายขึ้นมา นึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านแต่เดิมก็มีกิเลส ท่านก็สู้จนชนะ ครูบาอาจารย์แต่เดิมก็มีกิเลส ท่านก็สู้จนชนะ เอาชีวิตเข้าแลกมา ใจมันก็ห้าวหาญ คล้ายๆ เราลูกศิษย์มีครูเหมือนกัน มันก็ไม่กลัว ภาวนา อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ครูบาอาจารย์ไม่เคยมาเรียกร้อง ให้หลวงพ่อกตัญญูกตเวที ไม่เคยเลย แต่สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในใจเราเต็มเปี่ยม ทุกวันนึกถึง วันหนึ่งหลายๆ รอบด้วย นึกถึง เคารพ กราบไหว้ นึกถึงสิ่งที่ท่านสอน ตั้งแต่เด็กถูกสอนโดยผู้ใหญ่เขาทำให้ดู ในเรื่องของกตัญญูกตเวที อย่างเราเห็นผู้ใหญ่ เขามารดน้ำผู้ใหญ่มากกว่า หรือเห็นลูกหลานไปทำบุญกระดูก เราเห็น ใจมันค่อยรู้สึกๆ เป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยการทำให้ดู ไม่ต้องพูด เราก็รู้ว่านี้ควรทำ อันนี้ไม่ควรทำ แล้วความรู้สึกที่ว่า ผู้ใหญ่เป็นอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ควรหรือไม่ควร มันติดตัวมาจนถึงเวลาที่มาปฏิบัติ อย่างถ้าเราไปทำเสียหาย ปู่ย่าตายายต้องไม่ชอบ ถ้าเราทำอะไรดีๆ ปู่ย่าตายายดีใจ มันรู้สึกตั้งแต่เด็ก

เวลามาภาวนา หลวงพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ นานๆ 3 เดือน ถึงจะได้ออกไปกราบหลวงปู่ดูลย์ทีหนึ่ง แต่เหมือนหลวงปู่ดูลย์อยู่กับหลวงพ่อทั้งวัน เราคิดอย่างนี้ปุ๊บ เรารู้เลยคิดอย่างนี้ ถ้าหลวงปู่อยู่ หลวงปู่จะดุเอา อันนี้เป็นพยาบาทวิตก เป็นวิหิงสาวิตก เป็นกามวิตก ถ้าเราพูดอย่างนี้ หลวงปู่จะติเตียน เป็นมิจฉาวาจา ถ้าเราพูดอย่างนี้ หลวงปู่ไม่ว่า ถ้าเราทำอย่างนี้ หลวงปู่จะติเตียน จะมีความรู้สึกเหมือนครูบาอาจารย์ อยู่กับเราทั้งวัน เราจะคิด เราจะพูด เราจะทำ มันจะรู้สึกตลอดเลย เหมือนอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ เวลาอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ กลัวไหมว่าจะคิดไม่ดี แต่เดิมหลวงพ่อก็กลัวมันจะคิดไม่ดี ตอนหลังไม่กลัว เพราะเราฉลาดขึ้น

เราก็รู้ว่าจิตมันจะคิดห้ามมันไม่ได้ เราแค่มีสติเห็นว่ามันคิดไม่ดี แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องตกใจ พูดไม่ดีอันนี้เราเบรกได้ ทำไม่ดีนี้เราเบรกได้ คิดไม่ดีนี้เบรกไม่ได้ ให้รู้เอา ฉะนั้นเวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าเปรียบก็เหมือนเสือตัวร้ายตัวหนึ่ง ตัวเองเหมือนเสือตัวหนึ่ง หมายถึงเขี้ยวเล็บเยอะ กิเลสหนา ปัญญาหยาบ แต่พอเข้าใกล้ครูบาอาจารย์ เก็บเขี้ยว เก็บเล็บเรียบร้อย เป็นลูกแมว ท่านจะดุ จะด่า จะว่าอะไร ไม่โกรธ เอามาพิจารณา เอามาไตร่ตรอง ที่ได้ดิบได้ดีขึ้นมา สู้กิเลสมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์

หลวงพ่อไม่ได้ฟังครูบาอาจารย์อย่างเดียว หลวงพ่ออ่านพระไตรปิฎกด้วย เพราะฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์สอน เคารพ เชื่อ แต่ถ้าไม่ลงกับพระไตรปิฎกต้องพิจารณา อย่างกับหลวงปู่ดูลย์สอน พระพุทธเจ้าสอนทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคไว้อย่างหนึ่ง หลวงปู่ดูลย์สอนเรื่อง “จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลที่จิตส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ” ทำไมอริยสัจของหลวงปู่ดูลย์ ไม่เหมือนอริยสัจของพระพุทธเจ้า ใจก็คิดต่อว่า เรายังไม่เข้าใจตรงไหน ไม่ได้คิดว่าหลวงปู่ดูลย์สอนผิด คิดก่อนว่าเรายังไม่เข้าใจตรงไหน ทำไมธรรมะ 2 อันนี้ไม่ลงกัน

สุดท้ายภาวนาไปเรื่อย ก็พบมันลงกันล่ะ แต่หลวงปู่สอนแบบระวังตัวหน่อย ที่จริงก็คือ “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นอรหัตตมรรค ผลที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นอรหัตตผล” แต่ท่านไม่พูด ถ้าพูดเดี๋ยวคนก็มาเล่นงานท่าน พวกคนพาลเยอะ สอนธรรมะตรงๆ มันก็หาว่าอวดอุตริฯ เวลาเขาอวดอุตริฯ มันก็สาธุ นับถือ อย่างทุกวันนี้เรื่องพิสดารอะไรเยอะแยะ ไม่มีใครว่า แต่ถ้าสอนกรรมฐาน สอนเข้าถึงจิตถึงใจแล้ว ก็จ้องแล้วจะคอยจับผิด ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ยุคนี้มันยุคของมาร มันเป็นคติวิบัติ สังคมช่วงนี้เรียกคติวิบัติ กลับหัวกลับหางไปหมดแล้ว

วันสงกรานต์ เดี๋ยวฟังธรรมแล้ว จิตใจเป็นบุญเป็นกุศลแล้ว มีโอกาสก็รีบกลับบ้าน ไปไหว้พระที่บ้าน ไปทำบุญกับพระที่บ้าน แล้วก็ดูตัวเอง ที่เราทำต่อไปนี้ ที่เราคิด ที่เราพูด ที่เราทำต่อไปนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์จะรู้สึกอย่างไร ค่อยๆ สังเกตไป แล้วเราก็จะเข้าสู่ความสะอาดหมดจดมากขึ้นๆ มนุษย์ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ต่างกับเดรัจฉานตรงมีวัฒนธรรมนี่ล่ะ วัฒนธรรมก็เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผล ความจำเป็นของสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราก็มีวัฒนธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีผู้ให้ มีผู้รับ ผู้ที่เขาให้เราก่อนเรียกบุพการี เป็นคนที่หาได้ยาก คนที่ให้เราก่อนโดยไม่หวังผลอะไร เราต้องนึกถึง อย่าไปเชื่อความเห็นของมาร

อย่างยุคนี้ไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีวัฒนธรรม อันนั้นมันหมาแล้ว หมามันยังกตัญญู มันคล้ายๆ สัตว์ ในนี้สัตว์เยอะ ลูกสัตว์พอมันโต มันก็แยกตัวออกไปทำมาหากิน มีครอบครัวของมัน มันไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าเขาเป็นเดรัจฉาน ถ้าเราไม่ใช่เดรัจฉาน เราก็นึกถึงพ่อถึงแม่เราบ้าง นึกถึงผู้มีพระคุณของเราบ้าง มันเป็นสิ่งที่ดีงาม หรือเราทำคุณให้คนอื่น อันนี้เราก็เป็นบุพการีเหมือนกัน ทำแล้วก็แล้วไป ไม่ต้องหวังผลอะไรหรอก

 

รักษาใจเราไว้ให้ดี

โลกทุกวันนี้คนมันต้องวิ่งเร็วขึ้นๆ ตลอดเวลา ถูกกระตุ้นให้วิ่งตลอดเวลา แย่งชิงกันทุกสิ่งทุกอย่าง คนแก่วิ่งไม่ไหว ช้า ฉะนั้นลูกหลานบางที มันก็จำเป็นต้องทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เราสงกรานต์ ลูกหลานก็ยังไม่มาเยี่ยม อย่าเสียใจ เขากำลังวิ่งไปข้างหน้า เดี๋ยววันหนึ่งเขาก็ต้องหมดแรงวิ่งเหมือนกัน ถ้าเขามีศีลมีธรรมเหมือนเรา หมดแรงวิ่งก็ไม่ทุกข์มากหรอก อย่างเราแก่แล้ว เรากระโดดโลดเต้นไม่ไหวแล้ว ก็มีชีวิตเท่าที่มีได้ ดูแลตัวเองไป มีความสุขอยู่กับปัจจุบันไป ดีใจ ตื่นมาวันนี้ยังเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตามพื้นยังมีน้ำค้าง กลางคืนยังมีดวงดาว มีพระจันทร์ ดอกไม้ก็ยังบาน เห็นไหม ถ้ารู้จักมอง โลกก็ยังมีความสวยงาม ไม่ใช่มีแต่เรื่องหดหู่ท้อแท้ กระทั่งดอกหญ้ามันยังมีเลย ดอกหญ้าก็ยังบานได้ ดอกเล็กๆ ขาวๆ อะไร มองให้เป็น มันก็มีความงามของมัน

สมมติว่าลูกหลานไม่มาเยี่ยมเลย ก็มีความสุข อยู่กับการที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้ อันนี้พวกเราต้องเตรียมตัวไว้ วันข้างหน้าเราคงต้องเจอเหมือนกัน แล้วถ้าเรามีธรรมะต่อไปเราจะมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่ความสุขที่ต้องอาศัยคนอื่น หรือต้องอาศัยสิ่งอื่นๆ ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ถ้าเราขยันภาวนา ภาวนาถูกต้อง จิตใจเราจะประณีตงดงามมากขึ้นๆ อะไรดีๆ นั้นไม่ต้องฝืน มันทำเอง อย่างเรื่องกตัญญูกตเวที มันเกิดเอง ถ้าใจเราสะอาดพอ ใจเราสูงพอ ศีลมันก็มีเอง ไม่ต้องเจตนารักษา ถ้าใจเราสะอาดพอ สมาธิมันก็เกิดเอง ไม่ต้องพยายามทำหรอก ถ้าใจเราไม่สกปรก ใจเรามีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้ สมาธิมันก็เกิด ไม่ยากอะไร

หรือปัญญา เห็นไหมทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่สอนธรรมะให้เราทั้งนั้น ดอกหญ้าสักดอกหนึ่ง ก็สอนธรรมะเรา มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง มันก็แตกสลายไปในที่สุด แค่ดอกหญ้าดอกเดียว ก็สอนธรรมะได้สมบูรณ์แบบแล้ว ฉะนั้นพยายามมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว พยายามพัฒนาจิตใจตัวเองไป ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา แล้วต่อไปเราจะมีความสุข ตื่นเช้ามา ออกมาอากาศร้อนๆ ลมพัดมานิดหนึ่ง ก็มีความสุขได้แล้ว ไม่ใช่ตื่นเช้ามา หงุดหงิดตลอดเวลา แล้วมันจะหายร้อนไหม ไม่หายหรอก เพราะใจเรามันร้อนเสียแล้ว ถึงโลกไม่ร้อน ใจเราร้อนเราก็ร้อน โลกมันร้อนแต่ใจเราร่มเย็น มันก็เย็น ก็อยู่ได้ เหงื่อท่วมตัว ลมพัดมาถูก เย็น ลมแผ่วๆ

ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเอง จะวันสงกรานต์หรือไม่สงกรานต์ก็ตาม ถ้าเราฝึกตัวเองได้ เราก็จะรู้อะไรควรละ อะไรควรประพฤติ กาละนี้ เทศะนี้ คือในช่วงเวลานี้ กับบุคคลนี้ กับสถานที่อย่างนี้ เราควรจะทำอะไรกับประชุมชน กลุ่มชนอย่างนี้ เราควรจะทำอะไร เราจะรู้ ถ้าเราภาวนาของเราเรื่อยๆ อย่างหลวงพ่อเห็น คนเขารวมกลุ่มกันเอะอะ โวยวาย เฮฮา เราก็รู้ว่าเราควรจะทำอะไร คือถอยออกไปห่างๆ หน่อย เรารู้ มันรู้เอง ไม่ต้องมีใครมาสอนหรอก

ฉะนั้นเรียนให้รู้จิตใจของตัวเอง แล้วเราจะรู้ว่า อะไรควรประพฤติ อะไรควรจะละเว้น อย่างวันสงกรานต์ ก็เป็นวันของความกตัญญูกตเวที เราก็รู้ว่า เราควรจะต้องทำอะไร พ่อแม่ยังอยู่ก็ไปเยี่ยมสักหน่อย ไม่ว่างจะไปเยี่ยม ไปไม่ได้จริงๆ โทรศัพท์ไปคุยด้วยสักหน่อย หลวงพ่อวันนี้เดี๋ยวก็ต้องโทรศัพท์ไปคุยสักหน่อย ถ้าตายไปแล้วก็ทำบุญอุทิศไปให้ ได้รับหรือเปล่า เราไม่มีตาทิพย์หูทิพย์ เราไม่รู้ แต่ทำไปเถอะ ทำ เขารับไม่ได้ อย่างน้อยในใจเรา ก็ได้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว เราได้กตเวทีแล้ว

วันนี้เทศน์เรื่องโลกๆ หน่อยนะ เพราะวันนี้เป็นวันหลงโลก มันหลงโลกกันจริงๆ วันนี้ ขับรถก็ดีๆ หน่อย ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นอยู่บ้านดีที่สุด เมื่อก่อนหลวงพ่ออยู่กรุงเทพฯ วันที่หลวงพ่อชอบ ก็คือวันตรุษจีนกับสงกรานต์ คล้ายๆ โอ้ สบายแล้ว กรุงเทพฯ ไปไหนมาไหนสะดวก วันอื่นๆ ไม่ชอบเท่าไร ต้องแย่งกัน เดี๋ยวนี้ที่มอเตอร์เวย์คนขับรถเหมือนหมาบ้าหนักขึ้นทุกทีแล้ว ปาดซ้ายปาดขวา เขาพยายามแนะนำบอกว่า ให้เว้นระยะห่างจากคันหน้า 3 วินาที ของเราเว้น 3 วินาที พวกครึ่งวินาทีปาดเข้าตรงกลางเลย เราต้องเบรกเสียอีก คนชนิดนี้เยอะเดี๋ยวนี้ เพราะสังคมมันเป็นอย่างนี้ ยุคนี้มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปโมโหหรอก แต่ว่ารักษาใจเราไว้ให้ดีเท่านั้น

พ่อแม่ใครตายหมดแล้วบ้าง ยกมือสิ มีไหม ใครที่พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว ก็เยอะเหมือนกัน ก็สมควรหรอก เพราะหน้าตาพวกเราก็ไม่ใช่เด็กแล้ว คนไหนพ่อแม่ยังอยู่บ้างมีไหม โอ้ ยังเยอะ พอบอกพ่อแม่ตาย ไม่เด็กนะ พอบอกพ่อแม่อยู่เลยรีบยกเลยคราวนี้ ยังหนุ่มยังสาว มันจะได้สักเท่าไรเชียว จะหนุ่มสาวกันได้กี่ปี ไปกลับบ้าน ขับรถดีๆ นะ มีสติไว้ อย่าประมาท เราขับดี คนอื่นมันขับไม่ดี เราก็ตายได้ ฉะนั้นอย่าประมาท มีสติไปเรื่อยๆ

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
13 เมษายน 2567