เรียนรู้จากงานศพ

เรามาเจอกันวันนี้ เป็นโอกาสที่มีงานศพ หลวงพ่อไม่ได้ออกจากวัดมา 3 เดือนแล้ว แล้วก็ไม่ได้เปิดเทศน์ให้คนเข้าไปฟังตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม แต่สอนธรรมะนี่สอนทุกวัน ไม่ได้หยุด เป็นเวลาที่ได้สอนพระในวัด พวกเราใครเคยภาวนาบ้าง ยกมือให้หลวงพ่อดูหน่อย จะได้เทศน์แบบนักภาวนา

งานศพสอนเราว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน มีเกิดแล้วก็มีตาย ในงานศพพระชอบสวดอภิธรรมกัน ถ้าเราฟังแปลออกมาได้ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภาวะ สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขาหรอก อย่างในทางสมมตินี่เราก็ว่ามีคน ตอนนี้มีคนตาย แต่พระสวดอภิธรรมเพื่อสอนญาติโยม ไม่ใช่สวดให้ผีฟัง สอนให้โยมฟัง เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ได้มีคนตายหรอก

สิ่งที่เรียกว่าคน มันก็คือวัตถุธาตุที่มารวมกัน ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย และก็มีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาประกอบกัน เรียกว่ามีขันธ์ 5 มีรูป มีร่างกาย มีความรู้สึก สุข ทุกข์ ทางกาย ทางใจ มีความจำได้หมายรู้ อันนี้เป็นเรื่องของใจ ใจเป็นคนจำได้ ใจเป็นคนหมายรู้ จำได้ เช่น จำว่าอันนี้สีเขียว อันนี้สีแดง คนนี้ชื่อนี้ๆ ตัวจำนี่ มันจำมาแบบไม่ได้ศึกษาธรรมะ คือคิดจำแบบว่า มีคน มีสัตว์ มีเรา มีเขาขึ้นมา ตัวจำเรียกว่า ตัวสัญญา แต่จำแบบสัญญาวิปลาส คือบ้า จำแบบบ้าๆ ของไม่เที่ยงก็จำว่าเที่ยง หมายรู้ว่าเที่ยงนะบางที หมายรู้ว่าสุข หมายรู้ว่าเป็นตัวเรา จำได้แล้วก็หมายรู้ จำได้ก็แบบที่พวกเราจำเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้ หมายรู้มันเป็นอีก step หนึ่ง หลังจากจำได้แล้วก็อาศัยข้อมูลเดิมที่มีอยู่มาหมายรู้สิ่งที่กำลังมี ฟังยากไปก็ไม่ต้องสนใจ เอาง่ายๆ ก็ได้

อีกตัวหนึ่งที่มันประกอบเป็นตัวเรา นอกจากร่างกาย นอกจากความรู้สึกสุข ทุกข์ นอกจากความจำได้หมายรู้ ก็คือความปรุงแต่งของใจ ปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง ปรุงความไม่ปรุงบ้าง เมื่อเช้านี้สอนพระที่วัด องค์นี้ปรุงดี ปรุงดีปรุงอะไรบ้าง ปรุงสติสัมปชัญญะ ปรุงความรู้เนื้อรู้ตัว ปรุงสมาธิที่ดี ปรุงเจริญปัญญา การเจริญปัญญาก็ยังเป็นความปรุงแต่งอยู่ เป็นโลกียะอยู่ ก็ต้องอาศัยความปรุงดีไปก่อน ถึงจุดหนึ่งศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์แล้ว มันก็จะพ้นจากความปรุงได้

เดินตรวจแถวพระไป โอ้ องค์นี้ปรุงชั่ว ปรุงชั่วปรุงไง ปรุงหลง ใจลอย เหม่อๆ ฟุ้งซ่าน พอใจลอยไปก็กระทบอารมณ์ที่ชอบใจก็ปรุงราคะขึ้นมา กระทบอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็ปรุงโทสะขึ้นมา หงุดหงิด หลวงพ่อเดินผ่านพระไปก็พาให้ดู องค์นี้กำลังปรุงดี จิตใจตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว แยกธาตุแยกขันธ์ได้ นี่ก็ปรุงแต่ง แต่ปรุงดี องค์นี้ปรุงชั่ว กำลังฟุ้งซ่านอยู่ กำลังหลงไปคิดแล้วไม่รู้ว่ากำลังหลงอยู่

พอหลวงพ่อไล่ตรวจมาอย่างนี้ พระถัดไปได้ยิน ก็พยายามปรุงอีกแบบหนึ่ง ปรุงไม่ปรุง ทำใจว่างๆ บอกนี่ก็คือปรุงแต่ง ความดิ้นรนที่จะไม่ปรุงแต่งก็คือความปรุงแต่ง ฉะนั้นความปรุงแต่งก็มี 3 แบบ ปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงความไม่ปรุงแต่ง ตัวนี้ล่ะที่ทำให้เกิดกุศลอกุศลทั้งหลายขึ้นมา

อีกตัวหนึ่งที่ประกอบเป็นตัวเรา คือตัวจิต คือตัววิญญาณ หรือตัวใจ จิต วิญญาณ ใจ ใจภาษาบาลีเรียกมโน เดี๋ยวนี้เอาคำว่ามโนไปใช้เสียหาย แปลว่าคิดเพ้อเจ้อ บ้าๆ บอๆ คิดเอาเอง มโนจริงๆ แปลว่าใจ จิต มโน วิญญาณ ก็คือธรรมชาติอย่างเดียวกัน ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ อย่างเรารู้รูปทางตา เรารู้เสียงทางหู เรารู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น รู้สิ่งที่สัมผัสร่างกายทางร่างกาย รู้เรื่องราวทางใจก็ด้วยใจ วิญญาณทางใจ

สิ่งเหล่านี้ 5 ประการนี้ คนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะก็คิดว่าคนมีอยู่ พอมีคนอยู่ ก็มีคนเกิด มีคนตาย มีคนยังไม่ตาย แต่ถ้าเราสามารถภาวนาแล้วแยกธาตุแยกขันธ์ออกไปได้ เราจะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าคนนั้น จริงๆ มันไม่ใช่คนหรอก มันก็แค่ขันธ์ 5 เป็นตัวรูป ร่างกายนี่ตัวรูป ตัวเวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์ ตัวสัญญาคือความจำได้กับความหมายรู้ ตัวสังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว พยายามจะไม่ปรุง แล้ววิญญาณคือความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างเรามีลูกตาอยู่ เรากำลังลืมตาอยู่นี่ล่ะ คนเดินผ่านข้างหน้าเรา แต่เรากำลังใจลอยไปคิดเรื่องอื่น วิญญาณของเราตอนนี้เกิดทางใจเรียกว่า มโนวิญญาณ เราไม่มีวิญญาณ คือความรับรู้อารมณ์ทางตา ฉะนั้นคนเดินผ่านหน้าเรา เราก็ไม่เห็น เดินมาผ่านเฉียดจมูกเรา ยังไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่าไม่มีวิญญาณไปรับรู้ เนื่องจากขณะนั้นวิญญาณไปเกิดอยู่ที่อื่น เกิดอยู่ที่ใจ อะไรอย่างนี้ ไปเกิดอยู่ที่หู

ถ้าเราได้ฝึกกรรมฐาน ขั้นแรกสุด พยายามแยกสิ่งที่เราเคยเห็นว่าเป็นคนออกมาเป็น 5 ส่วนนี้ เป็นรูปธรรม 1 ส่วน นามธรรม 4 ส่วน นามธรรมก็ประกอบด้วย ความสุข ทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ นี่ตัวหนึ่ง ความจำได้ ความหมายรู้ ตัวหนึ่ง ความปรุงดี ความปรุงชั่ว ความพยายามจะไม่ปรุง นี่อีกตัวหนึ่ง ความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณแปลว่า ความรับรู้อารมณ์ พอเราแยกออกไปแล้ว เราจะเริ่มเห็นความจริง

อย่างถ้าเรามีจิตตั้งมั่น เราต้องฝึกก่อน ก่อนที่เราจะเห็นขันธ์ 5 มันแยกได้ ต้องฝึกความรู้สึกตัวให้เป็นก่อน พอจิตเรารู้สึกตัวตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา พอสติระลึกรู้ลงในร่างกาย มันจะเห็นว่าร่างกายนี้เป็นแค่วัตถุแค่ก้อนธาตุ พวกเราลองจับมือตัวเองดูซิ อย่าไปจับคนอื่น ยุคนี้เค้าห้ามจับเรี่ยราด รู้สึกไหม มือนี่มันไม่บอกเลยนะว่ามันคือตัวเรา รู้สึกไหม มันแข็งๆ มันนิ่มๆ มันแข็งๆ ตรงนี้เย็น ตรงนี้อุ่น อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ ธาตุดินมันก็แข็งๆ ธาตุอุ่นๆ มันก็ธาตุไฟ เพราะฉะนั้นรูปธรรมมันก็ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมนั่นเอง ตอนนี้มันยังประชุมมันรวมตัวกันอยู่ มีทั้งดิน น้ำ ไฟ ลมอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวพอตาย ธาตุไฟ ธาตุลมมันดับ พอธาตุลมดับ ไฟก็ดับเพราะไม่มีลมหล่อเลี้ยง อย่างไฟไหม้ถ้าไม่มีอากาศเข้าไป ไฟก็ดับ ฉะนั้นพอธาตุลมดับ ธาตุไฟก็ดับ ตัวจะค่อยๆ เย็นๆ แล้วธาตุน้ำก็ค่อยๆ แยกตัวออกไป ธาตุน้ำมันเคลื่อนไหวได้ ก็ไหลออกไป เป็นน้ำเลือด น้ำหนอง ไหลออกไป เหลือซากแห้งๆ หนังติดกระดูก ก็เป็นกอง กองธาตุดิน นี่แยกธาตุแบบพระสูตร ถ้าแยกแบบอภิธรรมเป็นอีกแบบหนึ่ง ยุ่งกว่านี้เยอะเลย ถ้าเราอยากพ้นทุกข์ เราแยกแบบพระสูตรก็พอแล้ว ถ้าอยากรู้มาก แล้ววงเล็บยากนาน ก็แยกแบบอภิธรรมนั่นล่ะ แยกแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรได้

เราดูลงมาในร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่วัตถุที่มารวมกันอยู่ชั่วคราว มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มารวมกันอย่างนี้ ฉะนั้นบางคนกรรมจัดสรร หน้าตาดี บางคนหน้าตาน่าเกลียด บางคนก็สุขภาพแข็งแรง บางคนก็เจ็บป่วยพิกลพิการ นี้กรรมเป็นตัวจัดสรรให้เราได้รูปอย่างนี้มา เราเฝ้ารู้เฝ้าดูลงในกาย เราก็จะเห็นร่างกายเป็นแค่วัตถุธาตุ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาหรอก ธาตุนี้รวมกันอยู่ชั่วคราว พอกรรมตัดรอน ถึงวาระแล้วธาตุลมก็ดับ ธาตุไฟก็ดับ ธาตุน้ำ ธาตุดินก็แยกตัวออกจากกัน หาความเป็นคนไม่ได้ ฉะนั้นที่พระท่านสวดอภิธรรมเพื่อจะสอนให้เราเห็นว่า มันไม่มีคนหรอก ฉะนั้นอย่าไปเสียอกเสียใจเลยว่า ญาติเราตาย แม่เราตาย ยายเราตาย อะไรอย่างนี้ ที่จริงมันไม่มีคนตาย แต่เพียงแต่ธาตุมันแยกตัวออกไปเท่านั้นเองตามวาระของมัน ที่เค้าฟังอภิธรรมก็เพื่อจะให้รู้เรื่องอย่างนี้ เพียงแต่สวดกันแล้วก็แปลไม่ได้ก็เลยไม่เข้าใจความหมาย สวด พอเราฟังไม่รู้เรื่อง เราก็คิดว่าพระสวดให้ผีฟัง เรายังไม่รู้เรื่องเลย ผีมันจะไปรู้เรื่องอะไร

ทีนี้เรามาเฝ้าดูต่อไปในสิ่งที่เรียกว่าตัวเราๆ ร่างกายเราเห็นแล้วว่าไม่ใช่เรา มาดูความรู้สึกสุขทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ความสุขทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์นี้เกิดขึ้นในร่างกายกับจิตใจ ถ้าทางร่างกายมีแต่ความสุข ความทุกข์เกิดขึ้น ทางจิตใจมีสุข ทุกข์ กับความไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นทางใจ ดูเวทนาทางกายดูยาก ถ้าไม่ทรงสมาธิมากพอ พอเจ็บปวดมากๆ สติแตก ฉะนั้นเราดูเวทนาทางใจดูง่ายกว่า ในขณะนี้ถ้าใจเราไม่สุข ใจเราก็ทุกข์ ถ้าใจเราไม่สุขไม่ทุกข์ ใจเราก็เฉยๆ มันมี 3 แบบเท่านั้น เวทนาในใจนี่คือสุข ทุกข์ กับเฉยๆ เราก็อ่านใจตัวเองไป ใจตอนนี้สุขเราก็รู้ ใจตอนนี้ทุกข์เราก็รู้ ใจตอนนี้เฉยๆเราก็รู้ เฝ้ารู้เฝ้าดูไป แล้วเราจะเห็นเลยว่า ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่คงที่ สั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้ ถ้าเลือกได้ ในโลกนี้ไม่มีคนร้องไห้ ก็สั่งใจ จงมีแต่ความสุข แล้วก็ไม่มีใครร้องไห้ มีแต่คนยิ้มแย้มทั้งวัน มีความสุข ทีนี้ใจมันเป็นของสั่งไม่ได้ มันปรุงความทุกข์ขึ้นมาก็ห้ามมันไม่ได้

เมื่อห้ามมันไม่ได้ทำยังไงดี ก็เรียนรู้มันไป เวลาความทุกข์เกิดขึ้นในใจ เรามีสติเฝ้ารู้เฝ้าดูไป เราจะเห็นว่าความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป เวลามีความสุขเกิดขึ้นเราก็มีสติเฝ้ารู้เฝ้าดูไป เราก็จะเห็นว่าความสุขมีอยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป หรือใจเฉยๆ มันก็อยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย ตอนนี้เฉย ประเดี๋ยวก็ไม่เฉยแล้ว เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ขึ้นมาแล้ว นี่เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป เราจะได้เห็นความจริงว่า ความสุขความทุกข์มันเหมือนภาพลวงตา มันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริงหรอก ถ้าเราเห็นตรงนี้ได้ มีคนตายขึ้นมาใจเรามีความทุกข์ เรามีสติรู้ทันใจที่ทุกข์ เราก็จะเห็นว่าความทุกข์เป็นของแปลกปลอมเข้ามาสู่ใจ อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป เรื่องอะไรไปทุกข์ให้มันเสียเวลา มันของหลอกๆ ความทุกข์ก็เหมือนฝันร้าย หลอกๆ ไม่ได้มีจริง มาแล้วก็ไปๆ เวลาอยู่ในโลกธรรมดา ก็ใฝ่ฝันอยากได้ความสุข ถ้าเราเคยหัดภาวนา ดูจิตดูใจตัวเองบ่อยๆ เราก็จะเห็นว่าความสุขก็เป็นของชั่วคราว อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับไป ความสุขก็ไม่เที่ยงความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ล้วนแต่ยึดถือไว้ไม่ได้ทั้งสิ้น

อย่างเวลามีคนตายเราเสียใจ เสียใจก็ไม่ต้องหาทางแก้ไขอะไรหรอก มีสติรู้ลงไปตรงๆ ที่ใจของเราเลย ใจมันกำลังร้องไห้อยู่ก็มีสติรู้ลงไป เราก็จะเห็นเลยความเศร้าโศกเสียใจ ความทุกข์ทางใจที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นของแปลกปลอม ใจเราเป็นแค่คนรู้ ใจไม่ได้สุข ไม่ได้ทุกข์อะไรด้วยเลย ใจเป็นแค่คนรู้ คนดูอยู่เฉยๆ ความสุข ความทุกข์ ความไม่สุข ไม่ทุกข์นั้นเป็นของถูกรู้ถูกดู มาแล้วก็ไป เพราะฉะนั้นใจจะไม่เกลียดความทุกข์ ใจจะไม่หลงรัก หิวโหยในความสุข ใจจะไม่อยากให้จิตใจว่างๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะรู้ความจริง มันห้ามอะไรไม่ได้หรอก ฉะนั้นเวลาคนตายนอกจากเห็นความจริงของรูป ก็มาเห็นความจริงของเวทนาด้วย

สัญญาดูยาก การจำได้หมายรู้ สังเกตไหม พูดย่อๆ อย่างเวลาญาติของเราตาย พ่อแม่เราตาย ปู่ย่าตายายเราตาย หรือเพื่อนรักเราตาย คู่ของเราตาย เราจะทุกข์ตอนที่เรานึกถึง ถ้าตอนนั้นเราไปนึกถึงเรื่องอื่น เราไม่ได้นึกถึงคนนี้ ไม่ได้ระลึกถึงเขา ไม่ได้มีความจำได้ถึงคนนี้ขึ้นมา ใจไม่ทุกข์หรอก แต่พอเราคิดถึงเขาขึ้นมาอีกสัญญามันทำงาน สังขารคือความเศร้าโศกเสียใจก็เกิดขึ้น ฉะนั้นเราเฝ้ารู้เฝ้าดู จริงๆ เรามีทุกข์ขึ้นมาก็เพราะว่าเราไปคิดถึง คิดถึงคนที่จากไปแล้ว นี่เราเฝ้ารู้เฝ้าดูตัวเองไป เราก็จะรู้เลยว่า ความตายของคนอื่นไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ความคิดของเราเองต่างหากที่ทำให้เราทุกข์ ความหมายรู้ของเราเองมันทำให้เราทุกข์

เราฝึกกรรมฐานก็เพื่อจะได้ฉลาด เราจะรู้เลยคนอื่นไม่ได้ทำให้เราสุขหรือเราทุกข์ ใจของเราแอบปรุงสุข ปรุงทุกข์ขึ้นมาเอง จากการที่เข้าไปสำคัญมั่นหมายว่านี่คือคนที่เรารัก ตอนนี้ตายไปแล้ว เราก็ทุกข์ ถ้าใจเราไปคิดเรื่องอื่น อย่างเวลามีงานศพเนี่ยะ มีกิจกรรมที่ต้องทำมากมาย ฉะนั้นระหว่างงานศพพวกญาติๆ ที่จัดงานศพนี่ไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่หรอก เพราะมัวเวียนหัวก็ทะเลาะกันเองบ้างอะไรบ้าง มีเรื่องวุ่นวายใจตลอดเวลา ลืมเรื่องคนตายไป ไม่ได้ทุกข์เพราะคนตายหรอก แต่ทุกข์ว่าเอาข้าวต้มมาหรือยัง ทำไมยังไม่มา จะเผาแล้วดอกไม้จันทน์มาหรือยัง อะไรอย่างนี้ ไปทุกข์เรื่องอื่น ไม่ได้ทุกข์เพราะคนตายแล้ว ทำไมไม่ได้ทุกข์เพราะคนตาย เพราะไม่ได้คิดเรื่องคนตาย ไปคิดว่า “โถ แม่เรา เมื่อวานซืนยังเดินได้เลย วันนี้ตายไปแล้ว ไม่น่าเลย เพิ่งอายุ 100 ปีเท่านั้น” คิดอย่างนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นมันทุกข์ก็เพราะใจเราเอง เฝ้ารู้เฝ้าดูนะ เพราะสัญญามันหลอก มันคิดมันปรุงไป แล้วตัวสังขาร ตัวดี ตัวชั่ว เราเฝ้ารู้ลงไปในใจเราเรื่อยๆ เราก็จะเห็น ความปรุงดีก็อยู่ชั่วคราว ความปรุงชั่วก็อยู่ชั่วคราว ปรุงไม่ดี ปรุงไม่ชั่วก็ของชั่วคราว

ชีวิตเราแทนที่จะมองชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เราสามารถซอยชีวิตเราเป็นช่วงเล็กๆ สั้นๆ เป็นขณะๆ ได้ ชีวิตขณะนี้กำลังโกรธอยู่ ชีวิตขณะนี้กำลังโลภอยู่ ชีวิตตอนนี้กำลังฟุ้งซ่านใจลอยอยู่ ชีวิตตอนนี้กำลังรู้สึกตัวอยู่ เราแยกชีวิตของเราเป็นส่วนย่อยๆ ออกมา เราจะเห็นว่ามันเกิดแล้วก็ดับทั้งนั้น ความสุขเกิดแล้วก็ดับ ความทุกข์เกิดแล้วก็ดับ ความดีเกิดแล้วก็ดับ ความชั่วเกิดแล้วก็ดับ เฝ้ารู้ไป โลกนี้มีแต่ของไม่ยั่งยืน เฝ้ารู้ลงไปในที่จิตที่ใจเราเรื่อยๆ เราจะเห็นเลยว่าทุกสิ่ง ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งดี ทั้งชั่วเกิดและดับทั้งสิ้น เหมือนเรากำลังฝันอยู่ สิ่งที่เรารู้ รู้สึกว่าจริงจังในความเป็นจริงในสายตาของผู้ปฏิบัติ มันเหมือนเรากำลังฝันอยู่เท่านั้นเอง ฝันดีบ้างฝันร้ายบ้าง ฝันแล้วสุขบ้างทุกข์บ้าง ฝันแล้วโกรธก็ได้ เคยไหมฝันแล้วโกรธ ฝันแล้วโลภก็ได้ใช่ นี่มันเหมือนฝันอยู่ ชีวิตมันก็เหมือนความฝัน ตื่นขึ้นมาอยู่กับความเป็นจริง ความฝันก็หายไปแล้ว เราเคยฝันว่าคนที่อยู่ในโลงเนี่ยะเคยอยู่กับเรา เป็นพ่อเป็นแม่เรา มันก็จริงอย่างโลกๆ แต่ในทางธรรมะแล้ว ขันธ์ 5 เหมือนความฝันเท่านั้นเอง เหมือนความฝัน เหมือนพยับแดด เหมือนภาพลวงตา มีแต่ความจริงก็เหมือนไม่มี

ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมของชีวิตอย่างนี้แล้ว การที่คนที่เรารักตายไป เราจะไม่เศร้าโศกหรอก เราจะเห็นว่าวัตถุมันแตก ความสุขความทุกข์ในใจเรา เกิดจากความคิดของเราเอง ไม่ใช่เกิดจากเขาตาย ไม่ใช่เกิดจากคนตาย ฉะนั้นที่เราทุกข์เพราะเราคิดเอาเอง อย่างถ้าเราคิดถ้าเราลองศึกษาเปรียบเทียบดู อย่างถ้าพ่อแม่เราตายเราก็ทุกข์นิดหน่อย ถ้าลูกเราตายนี่ทุกข์แสนสาหัสเลย เพราะพ่อแม่ตายนี่เราเคยคิดอยู่เรื่อยๆ ว่าพ่อแม่แก่แล้วต้องควรจะตายก่อนเรา แต่ลูกนี่เราไม่กล้าคิดว่ามันจะตายก่อนเรา ก็กลัวมากเลย ฉะนั้นเวลาพ่อแม่ตายเราทำใจได้ ทำใจได้ง่ายกว่า แต่ถ้าลูกตายเราไม่เคยคิดมาล่วงหน้าเลยว่าลูกเราจะตาย แค่จะคิดยังไม่กล้าจะคิดเลย กลัวว่าจะแช่งลูก พอลูกตายปั๊บนี่ใจมันรับไม่ได้ ฉะนั้นที่จริงแล้วมันทุกข์เพราะใจมันยอมรับความจริงไม่ได้ ถ้าใจยอมรับความจริงได้สักอย่างเดียว ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น
การที่เราเรียนกรรมฐานแยกขันธ์ 5 เราเห็นความจริงของขันธ์ 5 ก็เพื่อให้ใจมันยอมรับความจริงได้ว่าร่างกายนี้ก็ไม่เที่ยง สุขทุกข์ดีชั่วอะไรก็ไม่เที่ยง จิตใจของเราก็ไม่เที่ยง เป็นของมีชั่วคราวแล้วก็หายไป ทุกอย่างเหมือนภาพลวงตา พอเห็นอย่างนี้แล้วเวลาคนที่เรารักพลัดพรากไป จากเป็นหรือจากตาย มันก็ไม่ทุกข์หรอก เรารู้เลย มันทุกข์เพราะสัญญา มันปรุงขึ้นมา สังขารมันก็ปรุงต่อ รับช่วงกันไป ความทุกข์มันก็เผาผลาญจิตใจของเรา นี่คือใจความที่เราควรจะเรียนจากงานศพ

งานศพไม่ใช่งานสังสรรค์เฮฮา ตามต่างจังหวัดนี่บางทีงานศพนะเขามานั่งกินเหล้ากัน มาเล่นการพนันกัน ตำรวจยกเว้นไม่จับ เป็นธรรมเนียมก็ไม่จับ คนมานั่งเล่นไพ่เล่นไฮโลในวัดนั่นล่ะ ดีไม่ดีเณรก็ย่องไปเล่นด้วย ทำไมต้องมาเล่นเฮฮา เขาบอกเป็นเพื่อนศพ ไม่ได้เป็นเพื่อนศพหรอก เป็นเพื่อนเจ้าภาพ ถ้าแขกไปหมดแล้ว ไม่มีคนที่จะต้องคอยดูแลแล้วมันเศร้าใจ ก็เป็นวิธีแก้เศร้าของชาวบ้าน ของคนไม่ได้ศึกษาธรรมะ ถ้าคนศึกษาธรรมะเฝ้ารู้เฝ้าดูลงในกายในใจ ความเศร้าโศกไม่มีหรอก ฉะนั้นถ้าเราฝึกกรรมฐานไปเรื่อย สิ่งที่เราจะได้มาก็คือความมั่นคงในจิตใจ เราจะไม่เศร้าโศก พ้นจากความเศร้าโศก เราก็เป็นอิสระขึ้นมา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
18 พฤษภาคม 2563
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์โสธรธรรมนิมิตร
จ.ชลบุรี