การเจริญเมตตา

การฟังธรรมนั้นในยามฉุกเฉินในยามจำเป็นฟังที่บ้าน เพราะมันดีที่สุดแล้ว แต่การที่เราขวนขวายมาฟังธรรมกับครูบาอาจารย์ตัวเป็นๆ เห็นตัวกัน จิตใจมันได้พลังที่แตกต่างกัน อยู่บ้านรอ 9 โมงเช้า เราตื่น 8 โมงก็ทัน ล้างหน้าแล้วก็มานั่งหาว นั่งบิดขี้เกียจ สะลึมสะลือรอฟังธรรม กับพวกหนึ่งต้องตื่นแต่เช้ามืดเลยมาฟังที่วัด ความขวนขวายมันแตกต่างกัน อันนี้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม การทำกรรมที่ใช้ effort (ความพยายาม) เยอะ ใช้ความทุ่มเทเยอะ กรรมนั้นก็มีผลมากทั้งดีและชั่ว อย่างเราต้องใช้ความเพียรพยายามมากในการเข้าไปขโมยของ กับไม่ได้ใช้ความพยายาม เดินๆ อยู่เห็นของเขาหล่น เจ้าของเดินอยู่ข้างหน้า หยิบเอา พวกที่ทุ่มเทใช้ความพยายามมาก กรรมมันแรงกว่า

กรรมดีก็เหมือนกัน ต้องอดทนต่อสู้ความขี้เกียจ ตื่นแต่เช้ามืดเลยเพื่อจะมาวัด ใจมันต้องเข้มแข็งกว่ากัน บุญก็เลยแรงกว่า ช่วงที่ผ่านมาเรามาวัดไม่ได้ ดีที่สุดคือฟังอยู่ที่บ้าน อันนั้นเป็นชอยส์ (ทางเลือก) ที่ดีที่สุดที่เราทำได้ ถ้าเรามาฟังธรรมที่ขวนขวายมา บุญมันแรงกว่ากัน อานิสงส์ไม่เท่ากัน พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ให้แย่งกันมา เดี๋ยวต้องจัดการเลือกมาจำนวนหนึ่ง

ทุกวันนี้โลกมันวุ่นวายมาก ทั้งระดับชาติ นานาชาติ ทั้งระดับภายในชาติ ในชาติก็แยกกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ความวุ่นวายมันเยอะแยะไปหมด ตั้งสติให้ดี ให้จิตมันเคล้าเคลียอยู่กับธรรมะ ถ้าเราตั้งสติไม่ดี ตั้งหลักไม่ดี กระแสโลกมันก็กระทบกระแทกเราตลอดเวลา อ่านข่าวนี้หรืออ่านความคิดความเห็น เรื่องนี้ถูกใจเราใจเราก็รู้สึกสะใจ มัน อ่านของคนที่ความเห็นต่างกับเรา อ่านแล้วใจมันก็มีโทสะเกิดขึ้น เศร้าหมอง อกุศลเกิดขึ้น บางทีเราก็หงุดหงิดว่าทำไมคนนี้โง่เหลือเกิน ไม่รู้เหตุรู้ผลเลย โมโหเขา ตรงที่โมโหเขา คนโง่คือเราเอง ที่จริงเขาก็ไม่โง่หรอก แต่ละคนมันก็มีสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง เบื้องหลังเป็นความหลงผิดบ้าง เรียกว่าทิฏฐิ เบื้องหลังเป็นผลประโยชน์บ้าง สิ่งเหล่านี้มากำหนด เขาต้องมีคำพูดอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้ บางทีมีผลประโยชน์แอบแฝง บางทีก็เป็นเรื่องของลัทธิอุดมการณ์จริงๆ

โลกนี้มันวุ่นวาย พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนชาวบ้านอย่างฆราวาส ทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะตัณหาและทิฏฐิ เราลองดูทุกวันนี้ข่าวสาร ที่ทะเลาะกันมันพ้นจากเรื่องตัณหากับทิฏฐิไหม ตัณหาคือเรื่องผลประโยชน์ที่แอบแฝงอยู่ อย่างพวกหนึ่งก็โจมตี รัฐบาลทำอะไรดีไม่ดีไม่สนหรอก ด่าไว้ก่อน เพราะว่ามีอะไรอยู่ข้างหลัง เราก็ดู เป็นเรื่องของตัณหา เรื่องผลประโยชน์ซ่อนเร้นอะไรอย่างนี้ หรือมีเรื่องทิฏฐิคิดว่าลัทธิอุดมการณ์อย่างนี้ดี ลัทธิอุดมการณ์ที่แตกต่างจากที่เราชอบไม่ดี อันนี้ทะเลาะกันด้วยทิฏฐิ ที่เต้นแร้งเต้นกากัน มันก็เพราะ 2 ตัวนี้เอง หนีไม่พ้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนว่า คนมันทะเลาะกันเพราะตัณหาและทิฏฐิ พวกเราเป็นนักปฏิบัติ เราเข้าใจเขาไม่ต้องไปโกรธเขา ฝ่ายค้านเขาก็พูดอย่างนี้ เขาเรียกตะบี้ตะบันค้าน มีเหตุผลไม่มีเหตุผลไม่สำคัญหรอก ขอให้ได้ด่าไว้ก่อน อันนี้ค้านแบบคลาสสิก คัดค้านแบบเมื่อ 50-60 ปีก่อน เชย

ถ้าค้านด้วยเหตุด้วยผลอันนี้น่ากลัว แล้วมันเป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ได้ เราเข้าใจเขา เขาเป็นอย่างนี้เพราะอย่างนี้ๆ เข้าใจ ไม่ต้องไปโกรธหรอก เขาก็เต้นแร้งเต้นกาไปตามบทบาทของเขา มีผลประโยชน์ซ่อนอยู่ข้างหลังบ้าง มีลัทธิอุดมการณ์ซ่อนอยู่ข้างหลังบ้าง ถ้าเราเข้าใจ เขาเป็นอย่างนี้เพราะอย่างนี้ๆ ใจเราจะสงสาร แทนที่จะโกรธมันจะเมตตา โถ อยู่มาตั้งนานเรียนหนังสือมาก็เยอะอะไรอย่างนี้ ทำไมคิดได้แค่นี้ น่าสงสารจังเลย มองไม่ออกว่าตัวเองกำลังถูกตัณหาและทิฏฐิผลักดันอยู่ แทนที่จะโกรธ จิตมันจะเกิดความเมตตาขึ้นมาแทน พอจิตมันเกิดความเมตตาแล้ว ความโกรธมันดับทันทีเลย ไปสังเกตดูเวลาเราโกรธอะไร ถ้าความเมตตามันเกิดขึ้น ถ้าเกิดความเข้าใจแล้วเกิดความเมตตาขึ้นมา ความโกรธมันหายไปทันทีเลย

 

โบราณสอนว่า “ให้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” เป็นคำสอนที่ดี คือทำความเข้าใจเขา
มองเขาในมุมของเขา ไม่ใช่ตัดสินเขาในมุมของเรา พยายามฝึกจิตฝึกใจของเราให้มันเป็นกลางจริงๆ

 

อย่างบางคนอกหักก็โกรธแฟน แฟนเราไม่ดีอะไรอย่างนี้ เราเข้าใจจิตใจของเขา บางทีเราเองให้บางอย่างเขาไม่ได้ เขาก็เลยไม่พอใจ พอเราเข้าใจอย่างนี้ความเมตตามันเกิด ไม่โกรธแล้ว หรือบางทีเราจะนอน หมาข้างบ้านเขาล่ามโซ่ไว้หน้าบ้าน หมามันก็เห่า มันได้รับความทุกข์ มันอยากจะไปเดินบ้างก็ไม่ค่อยจะได้ มัดล่ามโซ่ไว้อย่างนั้น มันมีความทุกข์ มันก็เห่าไปเรื่อยๆ ถ้าแปลออกก็คร่ำครวญ เศร้าโศก พอเราได้ยินอย่างนี้เราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็โกรธหมาตัวนี้เห่าไม่รู้จักกาลเทศะ โกรธหมา เราเข้าใจ โอ้ มันมีความทุกข์มันต้องเห่าเพราะมันทุกข์ พอเห็นว่ามันทุกข์เท่านั้น ใจมันเกิดความเมตตาสงสาร มันก็ไม่โกรธ จิตใจก็ร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา

ฉะนั้นใจที่เราหัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา คือเข้าใจทำไมเขาต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาต้องคิดอย่างนี้ ถ้าเข้าใจแล้ว ความเมตตาสงสารมันจะเข้ามาแทนที่ความโกรธ กระทั่งคนในบ้านเรา บางทีสามีเราเจ้าชู้อะไรอย่างนี้ ไปดูทำไมมันเจ้าชู้ เราก็เลี้ยงอย่างดียังอดเจ้าชู้ไม่ได้ พวกเจ้าชู้จริงๆ ส่วนมากที่หลวงพ่อสังเกต ผู้ชายเจ้าชู้เป็นเพราะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จิตใจมันอ่อนแอรู้สึกตัวเองใกล้จะแก่แล้ว ตัวเองอย่างโน้นตัวเองอย่างนี้ พยายามเจ้าชู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ายังแข็งแรง ยังหนุ่ม ยังมีเสน่ห์อยู่อะไรอย่างนี้ เป็นความคิดที่น่าสงสาร ฉะนั้นพวกเจ้าชู้ไม่ใช่คนเก่ง แต่ว่าเป็นพวกมีปมด้อย อย่างขุนแผนทำไมเจ้าชู้ ขุนช้างไม่เจ้าชู้ ขุนช้างมันเฟิร์มมาตั้งแต่เด็ก ขุนแผนชีวิตอนาถาลำบาก แม่ก็พาหนีราชภัยหัวซุกหัวซุนไป ไปโตขึ้นมาในวัดมีชีวิตที่ลำบาก ขุนแผนก็อยากพิสูจน์ตัวเองก็มีคุณค่าเหมือนกัน นอกจากวิทยายุทธ์ดีแล้ว ก็ต้องทดสอบ เจ้าชู้

พอเราเห็น โอ้ คนเจ้าชู้ดูไปดูมามันเป็นพวกอ่อนแอ พยายามจะพิสูจน์ตัวเองว่าแข็งแรง ยังหนุ่ม ยังหล่อ ยังดี ยังน่าสนใจ ลึกๆ คือ พยายามจะพิทักษ์อัตตาตัวตนเอาไว้นั่นเอง เราเข้าใจก็ไม่โกรธมันหรอก มันน่าสงสาร ผู้หญิงหลายๆ คน แฟนเราทำไมเจ้าชู้นัก ถ้าเข้าใจมันไม่มีอะไรหรอก มันอ่อนแอ พอเราเข้าใจความโกรธมันจะหายไปทันทีเลย หรือผู้ชายบางคนผู้หญิงเป็นแฟนมีผู้ชายอื่น ถ้าเราไปดูเหตุดูผลเขาเพราะอะไร เพราะรู้สึกว่าชีวิตเขาไม่มั่นคงเลย คบกับเราไม่มั่นคงอะไรอย่างนี้ เขาก็ต้องการที่พึ่งที่มั่นคงมากกว่านี้ เราให้เขาไม่ได้ความมั่นคงอันนี้ เราเข้าใจ เราก็ไม่โกรธ ความเมตตาสงสารจะเกิดขึ้นแทนที่

ฉะนั้นที่โบราณสอนว่า “ให้เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” เป็นคำสอนที่ดี คือทำความเข้าใจเขา มองเขาในมุมของเขา ไม่ใช่ตัดสินเขาในมุมของเรา พยายามฝึกจิตฝึกใจของเราให้มันเป็นกลางจริงๆ ถ้าจิตใจเราเป็นกลาง เราก็จะมองโลกตามความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น ถ้าจิตใจเรามีอคติเข้าข้างตัวเอง มองแบบเข้าข้างตัวเองตลอด ก็จะมีอคติตัดสินคนอื่นตามใจชอบของตัวเอง ความวุ่นวายมันก็เกิดขึ้น

 

การเจริญเมตตา

พยายามฝึกตัวเองให้ใจมันมีความเมตตาเกิดขึ้น ใจมันร่มเย็นเป็นสุข แล้วเมตตานี้ก็เอามาทำสมถกรรมฐานได้ อย่างเราเจริญเมตตาไปเรื่อยๆ อาจจะบริกรรมกำกับลงไปก็ได้ “เมตตา คุณัง อะระหัง เมตตา” เตือนใจตัวเองไป บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็แต่งบทภาวนา ให้เราระลึกถึงความเมตตา อย่างหลวงปู่ขาวมีอยู่บทหนึ่งดีนะ บริกรรมแล้วจิตใจร่มเย็น บอก “พุทธะเมตตัง จิตตังมะมะ พุทธะพุทธา นุภาเวนะ ธัมมะเมตตัง จิตตังมะมะ ธัมมะธัมมา นุภาเวนะ สังฆะเมตตัง จิตตังมะมะ สังฆะสังฆา นุภาเวนะ” ถ้าฟังให้ดีมันจะมีลักษณะของความเป็น rhythm มีจังหวะ

การที่มีคำบริกรรมแล้วเป็นจังหวะๆๆ สมาธิมันจะเกิด แล้วมันพ่วงด้วยความเมตตาเข้าไป เตือนตัวเองให้ระลึกถึงความเมตตาอะไรอย่างนี้ พอจิตรวมลงไปก็จะเรียกว่า เมตตาเจโตวิมุตติ คำว่า เจโตวิมุตติ ก็คือจิตมันเข้าฌานนั่นเอง ถ้าปัญญาวิมุตติก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้เรื่องของฌาน แต่เวลาบรรลุมรรคผลมันมีทั้งเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ คือมีทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทำงานร่วมกัน

ถ้าเราต้องการให้จิตของเราร่มเย็นเป็นสุข มีเครื่องอยู่ที่เป็นสุข แทนที่จะมีเครื่องอยู่ที่วุ่นวายเร่าร้อนอย่างทุกวันนี้ เราเจริญเมตตาเนืองๆ พระพุทธเจ้าท่านแจกแจงอานิสงส์ของเมตตาเจโตวิมุตติไว้ตั้ง 11 อย่าง ตื่นอยู่ก็มีความสุข หลับอยู่ก็มีความสุขอะไรอย่างนี้ หน้าตาผ่องใส ผิวพรรณผ่องใส อย่างคนที่จิตใจไม่ดี ไปดู ดูที่ไหน ดูในโทรศัพท์มือถือนี้ล่ะ พวกกิเลสแรงๆ หน้าตามันผ่องใสเสียที่ไหน ถึงจะเมคอัพอย่างไรดูอย่างไรก็สกปรกอยู่ แต่จิตที่มันมีสมาธิที่เกิดจากความเมตตา ผิวพรรณมันผ่องใส มันนวล มันผ่องออกมาจากข้างในเลย แล้วท่านบอกว่า ไม่ตายด้วยศาสตรา อาวุธ ยาพิษ หรือไฟอะไรอย่างนี้

อันนี้ไม่ใช่เจริญเมตตาเฉยๆ แล้วก็จะเป็น อันนี้ต้องเป็นเมตตาเจโตวิมุตติ ถ้าเมตตาเฉยๆ ก็ยังโดน เอาตัวไม่รอดหรอก ยังเมตตาไม่พอ ถ้าเมตตาจนถึงจิตรวม รวมสว่างลงไปตรงนี้ปลอดภัย มีพลังงานที่จะคุ้มครองตัวเอง อย่างบางคนทุกวันนี้มันเล่นไสยศาสตร์กันเยอะ ใช้พลังไสยศาสตร์ทำร้ายกัน ถ้าเราเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ จิตมันจะสว่าง ผิวพรรณวรรณะมันสว่างไสวไปหมดเลย สิ่งไม่ดีมากระทบมันสะท้อนหมด เราไม่ต้องทำอะไรมันสะท้อนไปเอง เราไม่ตายด้วยศาสตราวุธ อาวุธของมารทิ่มแทงมา สะท้อนหมด

 

เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์

ท่านบอกเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ อย่างคนที่มีความเมตตา อย่าว่าแต่มนุษย์เลย สัตว์มันยังรักเลย อย่างสัตว์ร้ายๆ ใจเรามีเมตตาอยู่ สัตว์ก็ไม่ทำร้ายเรา ยกเว้นสัตว์ที่มันบาดเจ็บมันถูกคนทำร้ายมาจนฝังใจ พวกนี้ถึงเจอคนมีเมตตามันก็กัดเอาเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นสัตว์ทั่วๆ ไป เราเห็นมัน เราเมตตามัน มันก็เมตตากับเรา เป็นมิตรกับเรา เคยมีพระองค์หนึ่งท่านนั่งอยู่งูเห่ามา มาเลื้อยหาอะไรกินอยู่แทบเท้าท่าน มุดไปมุดมา ท่านนั่งเก้าอี้อยู่ในสนาม ริมสนาม งูมา งูไม่รู้สึกว่าท่านเป็นพิษเป็นภัย งูไม่ชูหัวแผ่แม่เบี้ยเลย ก็หากินอะไรของมันไปเรื่อยๆ สบายๆ ต่างคนต่างมีความสุข สัตว์มันก็ไม่ทำร้าย กระแสของความเมตตามันร่มเย็น

 

เข้าสมาธิได้เร็ว

มีข้อดีหลายอย่าง แล้วผู้เจริญเมตตาเวลาทำสมาธิจะทำง่าย จิตใจเราพอคิดถึงความเมตตา คิดถึงสัตว์ทั้งหลายด้วยความรู้สึกเป็นมิตร จิตมันจะเข้าสมาธิอย่างรวดเร็วเลย บางทีเราไม่ได้คิดอะไร เราแค่บริกรรมไป “เมตตา คุณัง อะระหัง เมตตา” บริกรรมไปเรื่อยๆ สบายๆ จิตรวม รวมลงไปโดยมีกระแสของเมตตาหล่อเลี้ยงอยู่ จิตเข้าถึงอรูปฌานได้ จิตจะพลิกเข้าถึงอรูปฌานเลย ร่างกายหายไป โลกนี้หายไป ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวจิตกับกระแสของความเมตตา อิ่มเอิบ เบิกบาน ชุ่มชื่น จะเข้าสมาธิได้เร็ว

เวลาจะตาย คนจำนวนมากเวลาจะตายมันเจ็บ พอมันเจ็บมันก็จะหงุดหงิด พอจิตมันหงุดหงิด ตายไปด้วยจิตที่หงุดหงิดก็ไปอบาย แต่ถ้าเราเจริญเมตตาจนชิน เราเห็นร่างกายนี้มันน่าสงสาร สัตว์ตัวนี้กำลังจะตายแล้ว สัตว์ตัวนี้ถูกเวทนาบีบคั้น สัตว์ตัวนี้ก็คือร่างกายเรา พอเราเห็นอย่างนี้เราจะค่อยๆ ดูมันไป มีสติเห็นร่างกายมันหายใจแขม่วๆ ใกล้จะหมดลมแล้ว บางทีก็หายใจเฮือกๆๆ หายใจแล้วต้องขยับไหล่ไปด้วย เพราะร่างกายมันจะหายใจไม่ไหวแล้ว เราก็เห็นร่างกายมันหายใจเฮือกๆๆ อยู่ จิตมันเป็นคนรู้คนดู ไม่มีโมโห จิตไม่โมโห ตายไปก็ไปสุคติเลย

 

ตายด้วยความมีสติ

อานิสงส์ของความเมตตาอีกข้อหนึ่ง แต่ไม่ใช่เมตตาธรรมดา เมตตาเจโตวิมุตติ หมายถึงจิตมันทรงสมาธิอยู่ มีความเมตตาอยู่ จะมีสติเวลาตาย มีสติในการทำกาละ มีสติตอนที่จะตาย เห็นร่างกายมันตายใจเป็นคนดูเฉยๆ ถ้าปัญญามันแก่กล้าในขณะนั้น อาจจะบรรลุพระอรหันต์ไปในขณะที่ตายเลยก็ได้ เป็นพระอรหันต์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า ชีวิตสมสีสี หมายถึงว่ากิเลสมันขาดไปพร้อมๆ กับชีวิต ถ้าเราเจริญเมตตาจนชิน แล้วเรายังไม่ได้มรรคได้ผลอะไร ตอนจะตายเราก็ดูเห็นร่างกายมันจะตายแล้ว ใจเรามีความชุ่มชื่นเบิกบาน โอ้ สัตว์ตัวนี้น่าสงสาร ไม่โมโห ดูไปมันไม่ใช่ตัวเราหรอก ไม่มีตัวเราที่ไหนเลย สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ดับไปทั้งสิ้น ร่างกายนี้เกิดขึ้น ตอนนี้ใกล้จะแตกดับแล้ว ห้ามมันไม่ได้ รักษาไว้ก็ไม่ได้แล้ว ควบคุมไว้ก็ไม่ได้แล้ว พอเห็นอย่างนี้ปัญญามันเกิด

สิ่งที่เกิดขึ้นมีแต่ทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ตัวที่เจ็บป่วยนั่นก็ตัวทุกข์ มันใกล้จะดับไปแล้ว มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป จิตรู้แจ้งเห็นจริง ว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป เรียกว่ารู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง ทันทีที่รู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง ตัณหาคือสมุทัยจะถูกละในขณะนั้นเลย นิโรธคือนิพพานจะปรากฏในขณะนั้นเลย เพราะนิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้นในขณะนั้นเลย การที่เรารู้ทุกข์ ละสมุทัย เข้าถึงนิโรธ แล้วก็เกิดอริยมรรค เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ถ้ามันไปเกิดในขณะที่จะตายพอดีก็จะเป็นพระอรหันต์ชนิดชีวิตสมสีสี เพราะฉะนั้นผู้เจริญเมตตาเนืองๆ จนจิตเราสงบด้วยกระแสของความเมตตา ทำเมตตาเจโตวิมุตติได้ เวลาทำกาละคือตาย จะตายด้วยความมีสติ ไม่ทุรนทุราย ด่าคนโน้น ด่าคนนี้ โมโห โมโหกระทั่งร่างกายของตัวเอง หงุดหงิดไปหมดเลย พวกนั้นก็ไปอบาย

 

ไปสู่พรหมโลกได้

ข้อสุดท้ายของอานิสงส์ ผลประโยชน์จากการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ ก็คือสามารถไปสู่พรหมโลกได้ ไปเป็นพรหมได้ เพราะการเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ จิตมันเข้าถึงฌาน พอจิตเข้าถึงฌานก็ไปเป็นพรหมได้แล้วตาย แล้วยังมีอาสวกิเลสเหลืออยู่ ถ้าไม่มีอาสวกิเลสเหลืออยู่ก็นิพพานไปตอนที่ตาย ถ้ายังมีอาสวะเหลืออยู่ก็จะไปเกิดในพรหมโลก พรหมโลกมันดีกว่าเทวโลก เทวโลกยังมีรักมีอะไรวุ่นวาย พรหมโลกมันคล้าย ๆ โลกของพระ เทวโลกมันโลกของเศรษฐี เศรษฐีวุ่นวายไหม เศรษฐีก็ยังวุ่นวาย แต่โลกของพระที่เป็นพระจริงๆ ไม่วุ่นวาย “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” ไม่มีเรื่องวุ่นวาย สบาย

ฉะนั้นอย่างเราเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ จิตรวมลงไปด้วยกระแสของความเมตตา มีกระแสของความเมตตาเอิบอาบอยู่ จิตเราเข้าถึงพรหมโลกได้ เข้าไปได้ตั้งแต่ฌานที่ 1 2 3 4 5 6 7 เลย เข้าฌานถึงอรูปฌานได้ ก็มีความสุข มีความสงบ ไม่ต้องวุ่นวาย อกหักรักคุดอะไรไม่มีอีก ฉะนั้นการที่เราจะเจริญเมตตาควรจะทำไว้ ถึงเจริญเมตตาแล้วยังไม่เข้าฌานสมาบัติอะไรก็ไม่ต้องตกใจ ทำไปเรื่อยๆ จิตมีอุปจารสมาธิ เราบริกรรมเมตตาไปเรื่อยๆ ในที่สุดจิตมันก็ร่มเย็น เข้าไม่ถึงฌานแค่นั้นก็วิเศษถมไปแล้ว เราก็จะมีความสุขมากกว่าคนทั้งหลาย ที่เขาเร่าร้อนด้วยเพลิงของกิเลส จิตใจเราร่ม จิตใจเราเย็น มีความสุข ผิวพรรณวรรณะเราก็ผ่องใส

มีบางคนถามทำไมหลวงพ่อออร่าดีเหลือเกิน ก็หลวงพ่อมีสมาธิ เราก็เจริญสติ เจริญสมาธิของเราไปเรื่อยๆ ออร่ามันดีเอง เราไม่ได้ไปจ้างใครเขาทำผิวหนังให้มันมีประกาย บางคนมันทำ หาอะไรมาพอกๆ ให้ดูดี อย่างพระบางองค์เมื่อก่อนเคยได้ยินข่าว จีวรสั่งมาจากต่างประเทศสั่งอย่างดีเลย เวลากระทบแสงแดดสะท้อนแสงรัศมีวูบวาบๆ คนดูแล้วท่านองค์นี้บุญบารมีมาก แสงออกเลย ถ้าดูให้ดีมันออกที่จีวร ไม่ได้ออกที่ตัว เราภาวนาหน้าตาเราจะสดใส หน้าหงิกหน้างอ อ่านข่าวโควิด อ่านข่าวการเมืองเครียดไปหมดเลย อย่างนั้นอย่างไรก็ไม่ผ่องใส

ฉะนั้นเราพยายามรู้สึก รู้สึกตัว เจริญเมตตาเรื่อยๆ ทำอะไรไม่เป็นก็บริกรรมไป บริกรรมไปเรื่อยๆ “เมตตา คุณัง อะระหัง เมตตา” แล้ววางใจให้มันมีความสุข วางใจให้มันอ่อนโยน ค่อยๆ ฝึกพอชำนิชำนาญ การทำสมาธิจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เป็นอานิสงส์ของเมตตา ทำสมาธิได้ง่าย มีดีหลายอย่าง

เพราะฉะนั้นการที่เราเจริญเมตตา เราได้รับความสุขตั้งแต่ปัจจุบัน แล้วความสุขในอนาคต คือตอนที่เราจะตาย แล้วความสุขอย่างยิ่ง ความสุขอย่างยิ่ง คือพอมีสมาธิแล้วเจริญปัญญาต่อไปแล้วก็ถึงพระนิพพาน จิตไม่มีสมาธิ ไม่มีทางบรรลุมรรคผลนิพพานหรอก เวลาจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านบรรลุด้วยเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติที่ไม่กำเริบกลับ หมายถึงไม่เสื่อมลงไป กิเลสไม่ย้อนกลับมาอีก

ค่อยๆ ฝึกทุกวันๆ ชีวิตจะได้ร่มเย็นเป็นสุข

 

 

ที่วัดตอนนี้ก็ถึงวาระที่พระจะสึก พระรอบเข้าพรรษาก็เตรียมจะเข้ามาแล้ว พวกจะสึกออกไปก็ไปภาวนาต่อ ตั้งอกตั้งใจภาวนาไป จะข้ามวัฏฏะไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคิดจะข้ามวัฏฏะจริงๆ มารจะลองของ ถ้าเราแค่ว่าบวชตามประเพณีอะไรอย่างนี้ มารไม่มายุ่งกับเราหรอก กระจอก แต่คิดจะข้ามวัฏฏะ อยากจะได้มรรคผล มารจะมาเล่นงานเรา มาทดสอบเรา เช่นเราภาวนาของเรากำลังดีๆ มีผู้หญิงมาร้องห่มร้องไห้ อยากให้สึกออกไปแต่งงานด้วยอะไรอย่างนี้ มารมันทดสอบแล้ว จะแพ้จะชนะก็แล้วแต่เวรแต่กรรมแล้ว ก็ต้องสู้ ถ้าอยากได้ดีจริงๆ ต้องสู้ ออกไปอยู่กับโลกจะมีอะไร โลกมีอะไรตอบได้ไหม “นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป” นั่นล่ะโลก

ใจมีสติ มีปัญญาถอนตัวออกจากโลกเสีย อันนี้สำหรับพระ สำหรับโยมแค่เจริญเมตตาไว้ได้ ไม่ไปทะเลาะกับเฟซบุ๊กแค่นั้นก็บุญโขแล้ว ทุกวันนี้กัดอยู่กับเฟซบุ๊ก คนนั้นเขียนอย่างนี้ คนนี้เขียนอย่างโน้น ใจเราก็ดิ้นเร่าๆๆ ดูแล้วอนาถ ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวนักหนาหรอก อีกไม่กี่ปีก็ตายจากกันไปหมดแล้ว จะชอบกันก็ต้องพลัดพราก จะเกลียดกันก็พลัดพรากกันไป ยิ่งเกลียดมากยิ่งไปเจอกันอีก จิตใจเราผูกพันอยู่กับคนนี้ เกลียดมันมาก เดี๋ยวเราก็จะเจอมันอีก ฉะนั้นเราเกลียดอะไร โบราณสอน เกลียดอะไรก็ได้อย่างอันนั้นล่ะ เพราะว่าเราทำกรรมไว้เราเกลียดมัน จิตใจเราคอยเพ่งโทษมัน สังเกตไหมเราเกลียดใครเราจะคอยตามข่าวของคนนั้นมาก ถ้าเราเฉยๆ เราไม่ตามข่าวหรอกคนนี้ แต่ถ้าเราเกลียดคนไหนเราจะคอยฟัง จับผิดมันไปเรื่อยๆ เลย ก็เป็นศัตรูกันตั้งแต่ชาตินี้ ชาติต่อไปก็ไปเกลียดกันอีก สะสมความเกลียดชังกันไว้ ความทุกข์ก็สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ

ถ้าเราเป็นมิตร มีไมตรี มีเมตตา แต่ไม่ต้องไปคบกับเขา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า เมตตาไม่มีประมาณแล้วไม่รู้จักเลือกคบคน ไม่ได้ การไม่คบคนพาล เป็นมงคลของชีวิตข้อที่หนึ่งเลย ถ้าคบคนพาล คบคนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ชีวิตนี้ไม่มีวันได้ดีอีกต่อไปแล้ว ทั้งทางโลกทางธรรมก็เอาดีไม่ได้หรอก ฉะนั้นไม่ต้องรู้จัก ไม่คบคนพาล พวกไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คบก็คบกับบัณฑิต เคารพคนที่ควรเคารพ อยู่ในสถานที่ที่ดี อย่างเราอยู่ในบ้านเรา บ้านเราก็สงบดีอยู่แล้ว ไม่ต้องหาเรื่องเดือดร้อนเข้ามา ด้วยการเปิดเฟซบุ๊กดูแล้วก็หงุดหงิดๆ อย่างนั้นอยู่ในสถานที่อยู่ที่ไม่ดีแล้ว เพราะว่าเราทำให้มันเกิดมลพิษขึ้นในพื้นที่ของเราเอง

 

เรารู้จักเลือกคบคน รู้จักเคารพคนที่ควรเคารพ
รู้จักอยู่ในสถานที่ที่ลดละกิเลสง่าย ชีวิตเราก็จะราบรื่นเจริญรุ่งเรืองไป
สิ่งเหล่านี้เป็นมงคลทั้งสิ้น

 

ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ เรารู้จักเลือกคบคน รู้จักเคารพคนที่ควรเคารพ รู้จักอยู่ในสถานที่ที่ลดละกิเลสง่าย ชีวิตเราก็จะราบรื่นเจริญรุ่งเรืองไป สิ่งเหล่านี้เป็นมงคลทั้งสิ้น มงคลไม่ได้อยู่ที่วัตถุ วัตถุมงคลไม่มีจริง วัตถุก็คือวัตถุ สิ่งที่เป็นมงคลก็คือการกระทำที่ดีของเราเอง อย่างพวกเราชอบวัตถุมงคล มีคนหนึ่งเยอะๆ แล้วก็เอามาถือไว้ ถือจนดำไปหมดเลย วัตถุที่ดีๆ จับเสียดำเลย สกปรกหมดเลยเพราะอะไร ใจสกปรก ไปเพ่งใส่มัน อัดพลังที่ไม่ดีเข้าไป อันนั้นเรียกใช้วัตถุมงคลไม่เป็น จะใช้วัตถุมงคลเป็น มันเป็นสื่อคิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

เรามีพระสักองค์ เราถือไว้ เราไม่ได้ดูพระ เราคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรม คิดถึงพระสงฆ์ สิ่งนี้ลึกซึ้งลงไปกว่าตัววัตถุ ถ้าใจเราคิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ ทะลุวัตถุเข้าไปได้ วัตถุเป็นแค่สื่อเท่านั้น เป็นเครื่องเตือนใจให้เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะเจอมงคลที่แท้จริง วัตถุมงคลตัวจริงเลย เราคิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อะไรนี้ จิตก็จะเกิดสมาธิขึ้น อันนี้วิธีทำสมาธิมีตั้งเยอะตั้งแยะ การเจริญเมตตา ก็เป็นวิธีทำสมาธิอย่างหนึ่ง ฉะนั้นทำอะไรได้ก็เอาไว้ก่อน ถ้าทำอะไรไม่ได้เลยเจริญเมตตาไว้ ชีวิตสบายหน่อย

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
12 มิถุนายน 2564