ช่วงนี้เราก็ลำบากกันในเรื่องการดำรงชีวิต คนทำมาหากินลำบาก ขาดแคลนอาหาร เครื่องนุ่งห่มยังใช้ของเก่าได้ อาหารนี่ต้องการทุกวัน ที่อยู่อาศัยอะไรอย่างนี้ บางคนก็เช่าบ้าน เสียค่าเช่าบ้าน ลำบากเพราะไม่มีรายได้ ไม่มีค่าเช่าบ้าน ดีเรามีระบบสวัสดิการ เจ็บป่วยรักษา 30 บาทอะไรอย่างนี้ มีประกันสุขภาพ ประกันสังคม ในด้านสาธารณสุขเราค่อนข้างดี เมืองนอกที่คนไทยบางคนว่าดีนักดีหนา ถ้าไม่มีเงิน ป่วยขึ้นมาเป็นหมาข้างถนน เข้ารักษาพยาบาลอะไรไม่ได้หรอก ไม่มีประกัน ไม่ได้มีเงิน ของเรายังดีเจ็บป่วยเป็นโควิดก็รักษาฟรี เป็นสิ่งซึ่งหลายๆ ประเทศเขาไม่มี ยิ่งประเทศที่เขาเจริญแล้ว เขาไม่ทำอย่างนี้ ตัวใครตัวมัน พวกเราก็พยายามรักษาตัวเอง ทำมาหากินเท่าที่ทำได้ มีช่องทางอะไรที่สุจริต ก็หากินไปให้พอเลี้ยงตัวเองได้ พอมีเงินซื้อข้าวกิน มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรค สิ่งที่จำเป็นจริงๆ ของชีวิตมันก็มีเท่านี้
พระพุทธเจ้าสร้างสังคมพระขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้เราเห็น อาหารก็ไปบิณฑบาตมา วันหนึ่งๆ อาหารที่เรากินจริงๆ ไม่มากหรอก อย่างเราไปร้านอาหาร สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะเลย จริงๆ คนหนึ่งกินได้ไม่มาก 10 – 20 คำ ตะกละๆ อย่างมากก็ 30 คำ ท้องจะแตกแล้ว อย่างพระไปบิณฑบาตมาได้ ก็พอมีชีวิตอยู่ได้ ร่างกายต้องการอาหาร ไม่ใช่ต้องการอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ ต้องการแค่สารอาหารเท่านั้น กิเลสเราต้องการกินโน่นกินนี่ อันนั้นความต้องการของจิต ร่างกายต้องการอาหารจริงๆ
พระมีเครื่องนุ่งห่มน้อย มีสบง มีจีวร มีสังฆาฏิ สบงเป็นผ้านุ่ง จีวรเป็นผ้าห่ม ก็ใช้แทนเสื้อ จีวรก็เหมือนเสื้อใส่ ส่วนสังฆาฏินั้น เป็นผ้าห่มเวลาหนาว พระก็จะมีหลักๆ ก็มีเท่านี้ ก็พออยู่ได้ บางคนเขาไม่เข้าใจ ก็คิดว่าพระต้องห่มผ้าให้ครบ 3 ผืนตลอดเวลา นั้นไม่ได้เรื่อง คิดเอาเอง เมื่อก่อนก็มีคนว่าหลวงพ่อว่าไปเทศน์ทำไมไม่ห่มสังฆาฏิซ้อนลงไปในจีวร อย่ามารู้วินัยดีกว่าเราเลย พระวินัยไม่ได้กำหนดไว้อย่างนั้น ยิ่งหลวงพ่ออยู่ในวัดอย่างนี้ เดินไปเดินมาในวัด หลวงพ่อไม่ต้องพกสังฆาฏิหรอก มันมีที่เก็บอยู่ในวัดใช่ไหม ออกไปข้างนอกถ้ามีอานิสงส์กฐิน อานิสงส์พรรษาอะไร ไม่ต้องพกสังฆาฏิไปก็ได้ เมืองไทยร้อนจะตายไป ไปไหนมาไหนก็ห่มซ้อนไป มันไม่เข้ากับภูมิประเทศ มันเป็นการถือศีลบำเพ็ญพรตงมงายเสียด้วยซ้ำไป สังฆาฏิมันไว้เวลาหนาวๆ เอามาห่ม ถ้าไม่หนาวก็ไว้หนุนหัว ไว้แทนหมอน
พระก็มีปัจจัย 4 มีแบบจำกัดเท่าที่จำเป็นจริงๆ ที่อยู่อาศัยก็มี ถ้าไม่ใช่ฤดูเข้าพรรษา อยู่โคนไม้ก็ได้ มีกุฏิก็อยู่กุฏิ ไม่มีกุฏิก็อยู่ใต้ต้นไม้ก็ได้ เมื่อก่อนหลวงพ่อไปภาวนา ยังเป็นโยมเลย เข้าไปวัดครูบาอาจารย์ บางทีท่านจะให้อยู่กุฏิพระ หลวงพ่อขออนุญาตท่าน ขอไปอยู่ในป่า ไปนอนกลางดินในป่าใต้ต้นไม้ มันภาวนาสะดวก มันไม่มานอนสบายอกสบายใจตลอดเวลา อย่างเราไปนอนโคนต้นไม้ ผูกกลดไว้อะไรอย่างนี้ ใจมันจะตื่นตัว ไม่รู้ตัวอะไรมันจะบุกเข้ามาเมื่อไร หรือผีมันจะมาเมื่อไรอะไรอย่างนี้ จิตมันจะตื่นตัว บางที่ผีมันก็ดุจริงๆ เอาเรื่องเลย ฉะนั้นที่อยู่อาศัยของพระก็มีกุฏิ มีวิหาร ไม่มีจริงๆ อยู่ใต้ต้นไม้ ยารักษาโรคก็มี ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้มีน้ำผึ้ง น้ำอ้อยอะไรอย่างนี้ เนยเป็นยารักษาโรคของคนโบราณ
ในช่วงที่ยากลำบากเราพยายามให้มีปัจจัยดำรงชีพอย่างน้อยแค่พออยู่ได้ก็ดีที่สุดแล้ว ช่วงของความยากลำบากนานๆ มันก็ผ่านเข้ามาทีหนึ่งในชีวิตเรา มันผ่านมาได้ มันก็ผ่านไปได้ โควิดมันไม่อยู่กับเราตลอดไปหรอก ถ้าอยู่ก็อยู่แบบกระจอกๆ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนตอนนี้ ทุกอย่างก็หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ช่วงนี้รักษาตัวไว้ให้รอดเท่านั้น
อาหารของจิตใจคือบุญทั้งหลาย
ทางร่างกายเราก็มีปัจจัย 4 ทางจิตใจเราก็ต้องการปัจจัย 4 เหมือนกัน สิ่งที่เป็นอาหารของจิตใจก็คือบุญทั้งหลาย จิตที่มีบุญจะมีความสุข บุญนำความสุขมาให้ จิตใจจะมีความสุข ฉะนั้นเราสร้างความดีอะไรได้ เราก็ทำไปเถอะเท่าที่เรามีโอกาส การที่เราทำดี ทำบุญ มันเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจเราไม่ให้เหี่ยวแห้งตายไป จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน จิตใจที่เป็นบุญมีความสุข เพราะบุญเป็นชื่อของความสุข จิตใจมีแต่บาปก็คือจิตใจขาดอาหาร ถ้าจิตใจมีบุญ ทำบุญ จิตใจเราก็ได้อาหารที่ดีมาหล่อเลี้ยงจิตใจ
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนว่า บุญทั้งหลายมีโอกาสทำก็ทำ โอกาสผ่านไปแล้วก็อยู่เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องตะเกียกตะกายทำบุญจนกระทั่งร้อนใจ ถ้าทำบุญจนเดือดร้อนใจ ไม่ได้บุญหรอก มันทำไปด้วยความโลภ ด้วยความหลงอะไรอย่างนี้ หรือทำแล้วก็หวังโน่นหวังนี่ ใจไม่ได้อิ่มเอิบ ไม่เบิกบาน ทำบุญแล้วหวังว่าจะถูกหวย จะได้อย่างโน้นจะได้อย่างนี้ บางทีเราก็ได้ยินเขาลือกันว่า มีบางคน ผู้หญิงบางคนถอดแหวนถวายบูชาพระธาตุอะไรนี่ ตั้งความปรารถนาให้ได้คู่ครองที่ดีอะไรอย่างนี้ จิตเขาเป็นบุญจริงๆ บุญก็ให้ผลๆ อันนี้ไม่ได้ให้ทำอย่างนี้ทุกคน ถ้าทำแล้วหวังผล มันไม่ได้อะไรเท่าไรหรอก ใจที่เป็นบุญมันมีความสุขอยู่ในตัวเองแล้ว นี่คือการให้อาหารแก่จิตใจ
พระก็ทำบุญเท่าที่ทำได้ มีอาหารเหลือก็แบ่งปันให้คนอื่น ให้สัตว์อื่นอะไรอย่างนี้ คนถวายปัจจัยมา ไม่ค่อยได้ใช้ ก็ช่วยเหลือสังคม อย่างหลวงพ่อก็ทำ พระในวัดก็ช่วยกันทำเรื่อยๆ ส่งไปที่มูลนิธิฯโน้นมูลนิธิฯนี้ โรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้ มีข้าวของส่วนเกินกว่าความจำเป็นก็ส่งไปช่วย เมื่ออาทิตย์ก่อนหลวงพ่อก็รวมเงินกับพระอาจารย์อ๊ากับคุณแม่ ซื้อน้ำส่งไปให้โรงพยาบาลสนาม ซื้อไป 8,400 ขวด พวกเราอนุโมทนาเอา เราอนุโมทนาเราก็ได้บุญ เป็นบุญ บุญเกิดจากการอนุโมทนา พอเราคิดถึงบุญใช่ไหม ใจเราก็จะแช่มชื่น นี่คือการให้อาหาร การให้อาหารกับใจ หลวงพ่อพูด หลวงพ่อทำบุญอย่างนี้ ให้พวกเราอนุโมทนาเอา อนุโมทนามัยก็เป็นบุญอย่างหนึ่งใน 10 ประการ บุญจากการอนุโมทนา ใจเราก็สว่างไสวแช่มชื่น มีความสุขเหมือนได้กินอาหาร ฉะนั้นบุญเป็นอาหารของใจ
ศีลเป็นเสื้อผ้าของจิต
วัตถุก็เป็นอาหารของร่างกาย ร่างกายต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ร่างกายต้องการเสื้อผ้า สิ่งที่เป็นเสื้อผ้าของจิตก็มี ศีลเป็นเสื้อผ้าของจิต เสื้อผ้านี่เราใส่ไปเพื่อจะได้ไม่ต้องอับอายขายหน้า อย่างเสื้อผ้าเราใส่ สวมเสื้อผ้านี่จะได้ไม่อุจาดลามก ไม่ต้องอับอายขายหน้า บางคนหน้าด้านก็ไม่กลัวโป๊อะไรอย่างนี้ เสื้อผ้าของจิตคือศีลนี่เอง ถ้าศีลเราดีคล้ายๆ เราแต่งตัวเรียบร้อย ไปเข้าสังคมที่ไหนก็องอาจกล้าหาญ คนไม่มีศีลเขาเรียกหน้าด้าน อย่างถ้าพระไม่มีศีลเขาเรียกอลัชชี ไม่รู้จักอาย ศีลเป็นเครื่องปิดกั้นสิ่งที่น่าอาย ก็คือเป็นเสื้อผ้าของจิตเรานี่เอง เราต้องรักษาศีล มิฉะนั้นเราก็เหมือนผีเปรตเดินล่อนจ้อนไป อายผีสางเทวดาฟ้าดิน คนไม่มีศีลมีธรรม มันเหมือนคนแก้ผ้าโทงๆ เดินไปกลางตลาดนัดอะไรอย่างนี้
ถ้าพวกเราภาวนาแล้วเกิดได้ทิพยจักษุ ได้ตาทิพย์ เราก็จะเห็นพวกผี พวกเปรต บางทีไม่ค่อยมีเสื้อผ้าใช้ อัตคัดขาดแคลน บางตัวไม่มีเลย บางตัวมีนิดเดียวอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำตัวเหลวไหล มีศีลไว้ ก็จะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ให้จิตใจเรา จิตใจเราไม่ต้องละอายใจ เจอครูบาอาจารย์ก็ไม่ต้องละอายใจ เพราะเรามีศีล อย่างพระก็มีศีล ถ้าเป็นพระไม่ดี ไม่รักษาศีล เขาเรียกผู้ไม่มีความละอาย ผู้ไม่มีความละอายภาษาบาลีเรียกว่า อลัชชี อลัชชีคือผู้ไม่มีความละอาย พวกเสียศีลก็เป็นอลัชชี
บ้านของจิตเรียกว่าวิหารธรรม
เห็นไหมร่างกายต้องการอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค จิตก็ต้องการอาหารคือบุญ ต้องการเครื่องนุ่งห่มคือศีล ต้องการที่อยู่อาศัยคือสมาธิ เรามีบ้านอยู่ จิตก็ต้องมีบ้านอยู่ บ้านของจิตเราเรียกว่าวิหารธรรม เราต้องมีวิหารธรรม ถ้าเราภาวนาเราไม่มีวิหารธรรม ไม่มีเครื่องอยู่ของจิต มันก็คือคนไร้บ้าน คนไม่มีบ้านอยู่มีความสุขไหม ไม่มีความสุขหรอก อย่างน้อยมันก็ต้องมีที่อยู่ ที่กิน ที่นอน สัตว์มันก็ยังต้องการมีรัง ทำรังเลี้ยงลูกมันอะไรอย่างนี้ หรืออยู่ตามต้นไม้ ฝนตกก็หลบอยู่ใต้ใบไม้ สัตว์เล็กสัตว์น้อย ใบไม้ร่วงลงไปก็ไปอยู่ พวกงูพวกอะไร มีกอไผ่มันก็เข้าไปอยู่ในกอไผ่นี่สัตว์มันก็ต้องการที่อยู่อาศัย คนก็อยากมีบ้าน
จิตก็ต้องมีบ้านเหมือนกัน บ้านของจิตไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเช่า แต่ต้องสร้างเอาเอง เราก็เลือกเอาว่าเราจะอยู่บ้านแบบไหน เราจะอยู่กับลมหายใจดีไหม ใช้ลมหายใจเป็นบ้านของจิต ถ้าจิตมาอยู่ในลมหายใจ ก็ได้พักผ่อน สบาย ไม่มีอันตรายแผ้วพาน อย่างเวลาอยู่บ้านเรารู้สึกปลอดภัย จิตที่มีสมาธิมีวิหารธรรม มันจะรู้สึกปลอดภัย ไม่กลัวอะไร องอาจกล้าหาญ ฉะนั้นเวลาเราภาวนา เราก็หาบ้านให้จิตอยู่สักหลังหนึ่ง จะอยู่กับพุทโธก็อยู่ไป อยู่กับลมหายใจก็อยู่ไป หรือจะอยู่กับหายใจเข้าพุท หายใจออกโธก็ได้ อันนี้มันควบกันได้ อยู่กับการรู้อิริยาบถ 4 ก็ได้ ยืนก็รู้สึก เดินก็รู้สึก นั่ง นอน รู้สึก อยู่กับการเคลื่อนไหว การหยุดนิ่งก็ได้ อันนี้เรียกว่าสัมปชัญญบรรพ ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก จิตใจเคลื่อนไหว รู้สึก ไม่ปล่อยให้จิตร่อนเร่ไปอย่างนู้นอย่างนี้ แต่จิตหนีไปที่อื่น จิตไม่มีบ้านอยู่แล้ว จิตเป็นพวก เร่ร่อนโฮมเลส (homeless) ไม่มีบ้านอยู่
ฉะนั้นเราจะภาวนาจะให้มีความสุข เราก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ มีบุญ ทำบุญไป จิตใจจะได้แช่มชื่นเบิกบานเหมือนได้อาหาร มีศีลไว้ จิตใจก็มีเครื่องนุ่งห่ม มีสมาธิไว้ จิตใจจะมีที่อยู่อาศัย ทีนี้สมาธิของบางท่าน ท่านก็อยู่กับรูปฌาน บางท่านก็อยู่กับอรูปฌานอะไรอย่างนี้ บางท่านก็อยู่กับพระนิพพาน อยู่กับพระนิพพานก็เข้าสมาบัติ เข้าผลสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ก็ไปอยู่กับพระนิพพานได้ ใช้นิพพานเป็นอารมณ์ หรือเรายังไม่ถึงขั้นพวกนั้น เราก็อยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธ เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายพอง เห็นร่างกายยุบอะไรนี้ หาที่อยู่อาศัยให้จิตมันอยู่สักอย่างหนึ่ง อย่างมากก็ 2 อย่าง เช่น หายใจกับพุทโธ 2 อย่าง แต่อย่าเอาหลายบ้าน
คนหลายบ้านมีภาระเยอะ ถ้าเรามีบ้านหลายหลัง เราจะรู้สึกเลยเรามีภาระเยอะจริงๆ เดี๋ยววันนี้ต้องไปดูบ้านนี้ วันนี้ต้องไปดูบ้านนี้ เข้าไปบ้านนี้ก็ไปกวาดๆๆ เช็ดถู เหนื่อย หมดเวลาพักนิดเดียว อ้าว เปลี่ยนวันอีกแล้ว ต้องย้ายบ้านอีกแล้ว ไปกวาดบ้านอีกหลังหนึ่งอะไรอย่างนี้ มีบ้านหลายหลังไม่ได้มีความสุข มีภาระเยอะ จิตนี้ก็เหมือนกัน มีวิหารธรรม มีสัก 1 – 2 อย่าง อย่างเดียว มีบ้านเดียวดีที่สุด บางคนบ้านเดียวมัน จิตมันยังไม่พอใจ ดิ้นไปดิ้นมาอยู่ ให้มันมี 2 บ้าน แต่ 2 บ้านปลูกติดๆ กันเลย อย่างหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ มันอยู่ด้วยกันเลย ติดกัน เป็นบ้านแบบรั้วชนกัน
ฉะนั้นจิตก็ต้องการที่อยู่ ถ้าจิตไม่มีที่อยู่ จิตก็จะเป็นคนร่อนเร่ ร่อนเร่ไปอย่างไร ร่อนเร่ไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เที่ยวไปในอารมณ์น้อย อารมณ์ใหญ่ อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ อารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อารมณ์หยาบ อารมณ์ละเอียด อารมณ์ที่อยู่ภายใน อารมณ์ที่อยู่ภายนอก จิตก็ร่อนเร่เที่ยวไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีที่อยู่ ฉะนั้นทำกรรมฐานหาที่อยู่ให้จิตสักอย่างหนึ่ง พอจิตมันมีที่อยู่แล้ว มันสบาย มันมีที่พักผ่อนสบายแล้ว
เชื้อโรคก็คือตัวกิเลส สิ่งที่จะล้างกิเลสได้คือตัวปัญญา
ร่างกายยังต้องการยารักษาโรคด้วย จิตก็ต้องการ โรคของจิตก็คือกิเลส ไม่ใช่เชื้อโรค โรคของร่างกายอาจจะเป็นความผิดปกติของเซลล์ในร่างกายเอง เป็นพวกมะเร็งอะไรอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเชื้อโรค บางอย่างก็เป็นเชื้อโรค อย่างโควิดอย่างนี้เป็นเชื้อโรค ก็ต้องการยารักษา หรือยาป้องกัน เชื้อโรคที่มาทำร้ายจิตใจเรา ให้สกปรกรกรุงรัง ให้เลวทรามจนกระทั่งไปเกิดในอบายได้ เชื้อโรคก็คือตัวกิเลส สิ่งที่จะล้างกิเลสได้คือตัวปัญญา
ศีลยังไม่ล้างกิเลส ศีลมันคล้ายๆ ศัตรูมันเข้มแข็งมาก เรายังสู้มันไม่ได้ต้องหลบหนีมันก่อน เข้าป้อมซ่อนตัว ไม่ยอมไปเผชิญหน้า สมาธิก็เป็นตัวสู้กิเลสอีก เวลาจิตเรามีสมาธินี่ จิตมันมีกำลังมากขึ้น มากกว่ารักษาศีล เพราะฉะนั้นมันจะเริ่มผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับกิเลส เมื่อไรมีสมาธิขึ้นมา กิเลสก็ถอยไป เมื่อไรสมาธิเสื่อม กิเลสก็กลับมา ยังไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ยารักษาโรคกิเลสไม่มีอะไรดีกว่าตัวปัญญา ตัวปัญญาคือตัวเข้าใจความจริง มันจะล้างกิเลสได้เด็ดขาด กิเลสมันก็มีหลายระดับ ปัญญามันก็มีหลายระดับ ปัญญาขั้นต้น ปัญญาขั้นกลาง ปัญญาขั้นละเอียด
อย่างพระพุทธเจ้าท่านสอน พระโสดาบันมีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย พระสกิทาคามีมีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิปานกลาง มีปัญญาเล็กน้อย พระอนาคามี มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ มีปัญญาปานกลาง พระอรหันต์มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิสมบูรณ์ มีปัญญาสมบูรณ์ ตรงมีปัญญาสมบูรณ์ที่ล้างกิเลสได้หมดจดแล้ว ปุถุชนมันจะยิ่งน้อยกว่านั้นอีก ศีลก็ไม่สมบูรณ์แล้ว ฉะนั้นตั้งใจรักษาศีลให้สมบูรณ์ไว้ ตั้งใจเอาไว้ ถ้าสร้างความดีทั้งหลายมีโอกาสทำก็ทำ รักษาศีลให้ดี แล้วก็ฝึกสมาธิเป็นเครื่องต่อสู้กิเลสในระดับหนึ่ง กิเลสขั้นกลางๆ ใจมีสมาธิก็ไปสู้กับกิเลสพวกนิวรณ์ได้ นิวรณ์เป็นกิเลสเครื่องกั้นคุณงามความดี ส่วนตัวปัญญานั้นเอาไว้สู้กิเลสในชั้นละเอียดคือความโง่ของเรา
พระโสดาบันมีปัญญาเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อยของพระโสดาบันก็คือการเห็นความจริงแล้วว่าตัวเราไม่มี ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ความจำได้หมายรู้ไม่ใช่ตัวเรา ความปรุงดีปรุงชั่วไม่ใช่ตัวเรา จิตใจที่หมุนเวียนไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ใช่ตัวเรา แล้วสุดท้ายกระทั่งตัวจิตผู้รู้ก็ไม่ใช่ตัวเรา จิตผู้รู้นี่เป็นจิตที่เป็นกุศลอย่างยิ่ง พัฒนาขึ้นมาสูงสุดแล้วในการปฏิบัติ ก็จะมีจิตผู้รู้ขึ้นมา มันจะเดินปัญญาได้อย่างแท้จริง ถ้ายังไม่มีจิตผู้รู้ ยังเดินปัญญาไม่ได้จริง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอาศัยผ่านทางสมาธิมา ฝึกไปจนกระทั่งจิตของเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา พอจิตเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เราก็มาเจริญปัญญา ดูลงในร่างกายใช่ไหม ก็จะเห็นร่างกายมันไม่ใช่ตัวเรา มันแค่ของถูกรู้ถูกดู
ตั้งใจรักษาศีลให้สมบูรณ์ไว้ ความดีทั้งหลายมีโอกาสทำก็ทำ
รักษาศีลให้ดี แล้วก็ฝึกสมาธิเป็นเครื่องต่อสู้กิเลสในระดับหนึ่ง
กิเลสขั้นกลางๆ ใจมีสมาธิก็ไปสู้กับกิเลสพวกนิวรณ์ได้
นิวรณ์เป็นกิเลสเครื่องกั้นคุณงามความดี
ส่วนตัวปัญญานั้นเอาไว้สู้กิเลสในชั้นละเอียด คือความโง่ของเรา
เฝ้ารู้ลงไปในแต่ละขันธ์ๆ จนกระทั่งในที่สุด มันเห็นกระทั่งจิตก็ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี ตรงนี้เป็นปัญญาเบื้องต้น เป็นปัญญาเบื้องต้นคือเห็นความจริงแล้วว่าตัวเราไม่มี ล้างสังโยชน์ กิเลสที่ผูกมัดเราไว้ในภพ ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ล้างสังโยชน์ได้ 3 ตัวคือสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ามีตัวตน วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ถ้าเราภาวนาจนเราล้างความเป็นตัวตนได้ เราจะหมดสงสัยในพระรัตนตรัยเลย พระพุทธเจ้าเป็นคนสอนเรามาอย่างนี้ ให้เราเจริญสติเจริญปัญญาอย่างนี้ เราทำได้ พระพุทธเจ้ามีจริง ธรรมะที่ท่านสอนพาเราพ้นทุกข์ได้จริงๆ พระสงฆ์มีจริง ตอนนี้เชื่อเลย พระสงฆ์มีจริงไม่ต้องเชื่องมงาย เพราะจิตเรานี้กลายเป็นพระสงฆ์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาได้โสดาบันเราจะรู้เลยพระพุทธเจ้ามีจริง พระธรรมมีจริง พระสงฆ์มีจริง เขาเรียกว่าเราไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัย
กิเลสอีกตัวหนึ่งที่พระโสดาบันท่านละคือสีลัพพตปรามาส การถือศีลบำเพ็ญพรตอย่างงมงาย อะไรที่เรียกว่าการถือศีลบำเพ็ญพรตอย่างงมงาย ก็คือการถือศีลหรือมีข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ไม่เป็นไปเพื่อการเจริญกุศล เพื่อการละอกุศล เขาเรียกว่างมงายหมดเลย ไม่อยู่ในองค์มรรค ไม่เดินอยู่ในร่องรอยของอริยมรรค ไม่เป็นไปตามแนวทางของโพชฌงค์อะไรพวกนี้ พวกนี้เป็นสีลัพพตปรามาส เป็นความโง่งมงาย อย่างเราถ้าเราคิดว่าก่อนเราจะนั่งสมาธิเราต้องไหว้พระสวดมนต์ก่อน ถามว่าดีไหม ดี ถ้าเรารู้ว่าไหว้พระสวดมนต์มันเหมือนการไหว้ครู ก่อนจะชกมวยไหว้ครูเสียหน่อย แล้วการไหว้พระสวดมนต์จะทำให้จิตเราลดความฟุ้งซ่านลง แล้วมันนั่งสมาธิสงบง่าย ไหว้พระสวดมนต์อย่างรู้เหตุรู้ผล อย่างนี้ไม่ใช่สีลัพพตปรามาส แต่ถ้านั่งไหว้พระสวดมนต์บทนั้นบทนี้ อาราธนากรรมฐานนั้นกรรมฐานนี้ สวดๆๆ แล้วหวังว่าจะดี นี่คือสีลัพพตปรามาส มันไม่ได้อยู่ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาเลย แต่ว่าทำไปด้วยโลภะ อยากจะดี
เพราะฉะนั้นในสิ่งๆ เดียวกัน ในการกระทำอย่างเดียวกัน สำหรับคนๆ หนึ่งเป็นสีลัพพตปรามาส อีกคนหนึ่งอาจจะไม่เป็นก็ได้ แต่ทำโดยรู้เหตุรู้ผล ทำโดยเห็นประโยชน์ว่ามีประโยชน์เกื้อกูลต่อการพัฒนาจิตใจ หรือบางคนก็คิด ต้องกินอันโน้นถึงจะดี ต้องกินอันนี้ถึงจะดี หรือคิดว่ากินมื้อเดียวดีที่สุด ใครกิน 2 มื้อไม่ดี กูกินมื้อเดียว กูเท่อะไรอย่างนี้ อันนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อมรรคผล แต่เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส อย่างนี้ไม่ดี อีกท่านหนึ่งก็ฉันมื้อเดียวเหมือนกัน หรือฉัน 2 มื้อก็ตาม แต่ท่านรู้วัตถุประสงค์ กินอาหารมีวัตถุประสงค์เพื่อหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์นี้ให้มันอยู่ได้ จะได้มีเรี่ยวมีแรงภาวนา แต่ถ้าคิดว่าอดอาหาร บางคนอดอาหารแล้วคิดว่าการอดอาหารนี้ล่ะคือการเจริญมรรค หรืออดนอนคือการเจริญมรรค ถ้าทำไปโดยคิดว่าอดอาหารแล้วอดนอนเป็นข้อดี ถูกต้อง ทำให้เราจะเกิดมรรคผล อันนั้นยังงมงายอยู่ แต่ถ้าบางท่านสำรวจตัวเองแล้ว ท่านอดอาหาร บางวันอดอาหารหรือบางวันอดนอน สติของท่านดี ท่านอดนอนผ่อนอาหารเพื่อพัฒนาสติของท่าน อันนี้ไม่ใช่สีลัพพตปรามาส ฉะนั้นในสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าทำด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน มันก็มีคุณค่าที่แตกต่างกัน
พอเป็นพระโสดาบันก็จะไม่งมงายแล้ว ก็พ้นจากความงมงายได้ รู้ว่าเส้นทางจริงๆ ที่จะไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นก็คือเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องของอริยมรรคมีองค์ 8 ปัญญาขั้นต้นเป็นพระโสดาบันก็จะล้างกิเลส 3 ตัวนี้ได้ ตอนขั้นต้นเราเห็นแล้วว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ปัญญาขั้นกลางจะเห็นว่าตัวรูป ตัวกายนอกจากมันไม่ใช่ตัวเราแล้ว มันยังเป็นตัวทุกข์ ร่างกายไม่ใช่ของดี ไม่ใช่ของวิเศษ แต่คือตัวทุกข์ล้วนๆ เลย ถ้าเราสติปัญญายังไม่พอ ยังไม่ได้ปัญญาขั้นกลาง เราก็รู้สึกร่างกายนี้สุขบ้างทุกข์บ้าง แต่พอเราภาวนาได้ธรรมะขั้นที่สาม มีปัญญาขั้นกลาง เราจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่มีหรอกทุกข์บ้างสุขบ้าง มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อยเท่านั้นเอง จิตมันก็หมดความยึดถือในกาย เพราะมันเห็นทุกข์ เห็นทุกข์แล้วเรื่องอะไรมันจะไปหยิบเอาไว้ใช่ไหม ของมันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ของดีของวิเศษ จิตมันก็ปล่อยวางกายได้
เพราะฉะนั้นในภูมิจิตภูมิธรรมระดับที่สาม ท่านไม่ยึดถือกาย ก็ไม่ยึดถือตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทั่งตายังไม่ยึดถือ ท่านก็ไม่ยึดถือรูป ท่านก็ไม่ยินดียินร้ายในรูป ละกามและปฏิฆะในรูป กระทั่งหูยังไม่ยึดถือ ท่านก็ไม่ยึดถือเสียง เมื่อไม่ยึดถือเสียง ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีกาม ไม่มีปฏิฆะในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ในสิ่งสัมผัสทางกายทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านไม่ยึดร่างกาย ท่านจะมายึดถือสิ่งที่มาสัมผัสร่างกายอะไรนักหนา แล้วก็ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านมีปัญญาขั้นกลาง เห็นความจริงว่ากายนี้คือตัวทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง แต่มันคือตัวทุกข์มากกับทุกข์น้อยสลับกันไป จิตก็หมดความยินดียินร้ายในกาย ก็หมดความยินดียินร้ายในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็คือการละกามซึ่งเป็นตัวยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ละปฏิฆะคือความไม่พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กามราคะกับปฏิฆะก็ขาด ละสังโยชน์ระดับกลางได้แล้ว
ที่เหลือก็เป็นงานทางใจล้วนๆ สังโยชน์ที่เหลือไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรข้างนอกเท่าไรแล้ว มันจะตะลุมบอนลงมาที่จิตดวงเดียวนี้ล่ะ ปัญญาขั้นสุดท้าย ที่ปัญญาขั้นสูง ท่านจะเห็นความจริงว่าจิตนี้คือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย แต่มันคือตัวทุกข์ ขั้นกลางท่านเห็นว่ากายนี้คือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ขั้นสูงมันมีปัญญาเห็นจิตนี้คือตัวทุกข์ บางทีก็ทุกข์มากบางทีก็ทุกข์น้อย หาสาระแก่นสารไม่ได้ จิตก็ปล่อยวางจิต เมื่อจิตปล่อยวางจิตได้ ขันธ์ 5 ที่เหลือมันเป็นผลผลิตของจิต อาศัยจิตดวงเดียวนี้ล่ะสร้างขันธ์ 5 ขึ้นมาทั้งหมด พอปล่อยวางจิตดวงเดียว ขันธ์ 5 ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตก็ถูกปล่อยวางไปหมด โลกทั้งโลกที่เราเข้าไปสัมผัส เราก็อาศัยขันธ์ 5 ไปสัมผัส ขันธ์ 5 เราก็วางแล้ว โลกทั้งโลกมันก็วางไปด้วย เพราะฉะนั้นวางจิตดวงเดียวนี่ก็จะวางขันธ์ 5 ทั้งหมด วางโลกทั้งหมดได้ นี่คือปัญญาอย่างยิ่ง
ปัญญาขั้นสูงมันจะล้างกิเลสซึ่งเป็นศัตรู เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ยิ่งเราภาวนาได้มากเท่าไร มีปัญญาสูงขึ้นๆ ขั้นต้นโสดาบัน สกิทาคามี ขั้นกลางคือพระอนาคามี ขั้นสูงคือพระอรหันต์ เป็นงานต่อสู้กิเลสทั้งสิ้นเลย เอาชนะกิเลสได้ จิตใจก็ไม่มีเชื้อโรคอีกแล้ว ก็ปลอดเชื้อ คราวนี้ปลอดเชื้อแล้ว สบาย ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกับกิเลส ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกับโลกอีกต่อไป ที่เรากัดกันแทบเป็นแทบตายอยู่ในโลกทุกวันนี้ก็เพราะกิเลส บางคนอยากใหญ่อยากโต อยากมีอำนาจอะไรอย่างนี้ ใครจะเป็นใครจะตายช่างมัน หลอกให้ประชาชนตายก็ได้เพื่อเป็นช่องทางจะได้ขึ้นไปสู่อำนาจอะไรอย่างนี้ กิเลสทั้งนั้นเลย มันน่าสงสาร เห็นคนพวกนี้แล้วมันน่าสงสารจริงๆ เลย
ถ้าพวกนี้มันมีตามีหู มีทิพยโสต มีทิพยจักษุอะไรนี่ มันจะไม่ทำชั่วอย่างนี้เลย หลวงพ่อยังยกย่องหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอยู่เรื่องหนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสอนให้คนเห็นนรกเห็นสวรรค์อะไรนี่ พอคนเห็นนรกเห็นสวรรค์ เออ มันมีจริงๆ มันไม่กล้าทำชั่วแล้ว มันอยากทำดี มันเป็นแรงขับให้หยุดทำชั่ว เป็นแรงขับให้ทำความดี อย่างถ้าเราภาวนาเราเห็นผีมีจริง เปรตมีจริง อสุรกายมันก็มี สัตว์นรกก็มี เทวดาก็มี พรหมก็มี พอมันเห็นแล้ว เราก็รู้เลยเขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันแยกตามระดับความหยาบความละเอียดของจิตเท่านั้นเอง จิตถ้ามันมีกิเลสมากมันก็ไปสร้างภพสร้างภูมิ สร้างขันธ์ 5 ในอบายขึ้นมา จิตที่มันมีกิเลสน้อยมันก็มาสร้างขันธ์ 5 อยู่ในสุคติ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เราภาวนาเราจะรู้ว่า โอ้ ศัตรูร้ายของเราจริงๆ คือกิเลส
บางคนก็เห็นแต่ความสุขชั่วคราว ไม่มีสติปัญญา อย่างมีมาขโมยตกปลาในวัดอย่างนี้ พระก็พยายามห้าม ห้ามมันก็หลบไป ประเดี๋ยวพอเผลอมันก็มาตกอีกมาจับอีก ตกทุกวัน ที่เราห้ามหลวงพ่อไม่ได้หวงปลา เราไม่อยากให้มันต้องลำบาก สุดท้ายมันก็จะมาเป็นเปรตอยู่นั่นล่ะ มาเป็นเปรตแล้วก็มาขอส่วนบุญอยู่ตามวัดอะไรอย่างนี้ พวกนี้มันไม่รู้ว่าสังสารวัฏมันน่ากลัวแค่ไหน มันก็เห็นแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าสั้นๆ อย่างอาจจะมีบางคนอาจจะรับจ้างแกล้งตายกลางถนนอะไรอย่างนี้ สร้างข่าวให้วุ่นวาย แกล้งตายอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ถ่ายรูปเสร็จไปลงเฟซบุ๊กแล้วก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปตายที่อื่นต่ออะไรอย่างนี้ อาจจะทำอย่างนั้นก็ได้ รับจ้างไปเรื่อยๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก พวกนี้เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า เพราะไม่รู้ว่าชีวิตไม่ได้จบสิ้นเมื่อตาย
ถ้าคิดว่าชีวิตนี้จบสิ้นเมื่อตาย ทำอะไรก็ได้เพื่อจะได้มีชีวิตในขณะนี้ให้มีความสุข คิดว่ารวยๆ แล้วมีความสุข ดังๆ แล้วมีความสุข มันความสุขของคนโง่ คนรวยมันก็กลุ้มใจ เงินทองจะเก็บไว้ที่ไหน จะฝากธนาคารดีไหม ธนาคารจะล้มไหม หรือเอาไปเล่นหุ้น หุ้นจะเจ๊งไหม เครียดไปหมด รวยมากก็กลุ้มมาก มีบริวารมาก บางคนมีแมวเป็นบริวารหลายตัว เป็นภาระ ต้องหาข้าวให้มันกิน วุ่นวาย แต่ไม่ได้ว่าอะไร เลี้ยงด้วยความเมตตาสัตว์ก็ดี อนุโมทนา แต่บางคนชีวิตวุ่นวายไปทุกอย่างเลยทำอะไร มีรถยนต์หลายคันคิดว่าดี ก็เป็นภาระเยอะ คือให้ค่ากับสิ่งซึ่งไม่มีค่า
จริงๆ สิ่งที่เราต้องการในชีวิตเราคือปัจจัย 4 ทางร่างกาย ปัจจัย 4 ทางจิตใจ ที่หลวงพ่อว่าสิ่งที่จะเป็นปัจจัย 4 ของจิตใจก็คือมีทำทานทำบุญไป มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา นั่นล่ะเป็นปัจจัยที่ให้จิตใจของเราสดชื่นแข็งแรง เหมือนปัจจัย 4 ทำให้ร่างกายของเราสดชื่นแข็งแรง เราก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองไป รักษาศีล เจริญสติ เจริญปัญญาไป ชีวิตก็จะดีขึ้นๆ ร่างกายนี้ตายแล้วก็ตายเลย แต่จิตนี้ตายแล้วเกิดต่อ เพราะฉะนั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างให้ร่างกายอยู่รอดกับให้จิตใจอยู่รอด เอาจิตใจอยู่รอดไว้ รอดจากกิเลสได้มีความสุขที่สุดเลย มีชีวิตอยู่ทางโลกรอดไปวันหนึ่งๆ ก็เพื่อรอความทุกข์อันใหม่ที่จะมาถึง แต่จิตใจที่มันอยู่รอดไปแล้ว มันมีความสุข มันมีความอิ่ม มันมีความเต็มอยู่ในตัวเอง ไม่หิวไม่กระหาย ความหิวความกระหายของจิตก็คือตัวตัณหา คือมันไม่โง่เสียอย่างเดียว มันก็ไม่หิว หิวก็เพราะโง่.
วัดสวนสันติธรรม
1 สิงหาคม 2564