ฝึกลดละความเห็นแก่ตัว

จะศึกษาธรรมะก็ต้องช่วยตัวเองให้มากหน่อย นักปริยัติก็ควรจะเรียนบ้าง หลวงพ่อนอกจากภาวนา ทางปริยัติหลวงพ่อก็อ่านเหมือนกัน ไม่ได้ไปเข้าโรงเรียนไปอะไร แต่ว่าอ่านเอา อ่านพระไตรปิฎก มีหนังสือคู่มือ ก็คือหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่านอาจารย์ประยุทธ์ ท่านเป็นสมเด็จแล้ว สมเด็จประยุทธ์ ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มานั่งอ่านธรรมะหมวดนั้นหมวดนี้ อ่านแล้วก็รู้ว่า ธรรมะแต่ละเรื่องๆ มันโยงเข้าหาการปฏิบัติได้ทั้งสิ้น

การปฏิบัติ มันก็มี 2 ส่วน ปฏิบัติเพื่อจะอยู่กับโลกอย่างมีความสุข มีความเจริญทางจิตใจด้วย กับปฏิบัติเพื่อพ้นจากโลก ฉะนั้นในธรรมะก็จะมีอยู่ 2 ส่วนปนๆ กันอยู่ ในพระไตรปิฎกก็เหมือนกัน ไปอ่านพระสูตร สูตรบางสูตรก็สอนให้เราอยู่กับโลกอย่างมีความสุข มีความสะอาดมากขึ้นๆ ไม่ใช่สุขอย่างเดียว ชาวพุทธเราอยู่กับโลกอย่างมีความสุขอย่างเดียวไม่พอ ต้องสะอาดด้วย

ค่อยๆ ฝึกตัวเองให้ลดละกิเลสไป เป็นฆราวาสก็ฝึกทำทาน รักษาศีล ภาวนา ถ้าเป็นนักบวชอยากพ้นโลกก็เป็นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ฆราวาสก็เริ่มจากเรื่องทาน ทำไมมาเน้นให้ฆราวาสทำเรื่องทาน พระหรือนักบวชทำทานได้ไหม ทำได้ ทำตามสภาพ ทานไม่ใช่ว่าต้องจ่ายเงินทำตลอดเวลาเมื่อไหร่ แต่ที่ท่านสอนให้ทำทาน เพื่อจะได้ฝึกลดละความเห็นแก่ตัว ท่านสอนให้รักษาศีล เพื่อจะได้ไม่ตามใจกิเลส สอนให้ภาวนา หัดภาวนา ไหว้พระสวดมนต์อะไรอย่างนี้ ให้ทำไว้ จะได้เป็นพื้นฐานที่จะต่อยอดขึ้นสู่สมถะวิปัสสนาต่อไป ฉะนั้นการทำทานสอนให้เราไม่เห็นแก่ตัว ให้เห็น มองคนอื่น มองสัตว์อื่น ด้วยความเมตตาสงสารอะไรอย่างนี้ จิตใจอ่อนโยน มันภาวนาง่าย

ชาวโลกมันก็อยู่กับโลก ต่อสู้แย่งชิงอะไรต่ออะไรกัน หวังจะได้แต่ผลประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้รู้จักทำทาน ทำทานทำเพื่อลดละความเห็นแก่ตัว ฝึกตัวเองนั่นเอง ฝึกสู้กิเลสนั่นล่ะ แทนที่จะละโมบโลภมาก หิวไม่รู้จักเลิก คนหิวมากมันก็ทุกข์มาก อยากมากก็ทุกข์มาก ทีนี้ถ้ารู้จักพอ มันก็จะรู้จักให้ พอรู้จักพอ มันก็จะมีส่วนเกินขึ้นมา สามารถเอื้อเฟื้อคนอื่น เอื้อเฟื้อสัตว์อื่นได้ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นการฝึกตัวเอง พวกเราเรียนกรรมฐาน บางทีเรารู้สึกเรื่องทำทานนี่เรื่องกระจอกงอกง่อย เราภาวนาแล้วไม่ต้องทำทานก็ได้ เราไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำทาน มันเรื่องดี ไม่ใช่ไม่ดี

อย่างหลวงพ่อทำงานนี่ มีทีมงานเป็นร้อยเลย ที่ช่วยหลวงพ่อทำงานแต่ละด้านๆ ทีมไลฟ์สดก็เกือบ 10 คน ทีมแม่ครัวก็มีสัก 10 คน ทีมผลิตสื่อ ทีมอะไรต่ออะไรนี้อีกเยอะแยะ ทีมก่อสร้างช่วยดูแลวัดอะไรพวกนี้ ส่วนใหญ่ที่มาทำงานกับหลวงพ่อเป็นอาสาสมัคร ไม่ได้เงินได้ทองอะไรกับใครเขา ไม่มีผลประโยชน์อะไรหรอก ทำไมมาทำ ทำเพราะว่าไม่เห็นแก่ตัว มาช่วยกันทำงานรับใช้พระศาสนา รับใช้วัดอะไรอย่างนี้ ทำก็เพื่อลดละความเห็นแก่ตัวด้วย ถ้าเห็นแก่ตัวทำไม่ได้ เดี๋ยวก็ตีกัน ผลประโยชน์ไม่ค่อยจะมีอะไรหรอก จะแย่งกันใหญ่ แต่มาเพื่อด้วยการให้ อย่างทีมแม่ครัว ไม่มีเงินเดือนอะไรให้ มาทำงาน งานหนัก แต่ละคนตัวเล็กๆ แบกหม้อ แบกไหอันใหญ่ๆ สิ่งเหล่านี้ก็คือทานที่เขาทำให้นั่นเอง เขาฝึกที่จะไม่เห็นแก่ตัว

 

 

ในโลกนี้หาความสุขความสงบยาก คนเห็นแก่ตัวมันเยอะ อย่างคอยจ้องคอยดู จะเรียกร้องผลประโยชน์อะไรได้ เรียกร้องอุตลุดเลย ให้รัฐบาล ให้ประเทศชาติช่วยเหลือเรื่องโน้น เรื่องนี้ เรียกร้องมากๆ แล้วก็ให้มากๆ  ต่อไปพลเมืองของเราจะเสีย เหมือนพลเมืองบางประเทศ หลวงพ่อเคยเห็น ไม่ทำงาน เพราะถ้าตกงานแล้วมีสวัสดิการรัฐให้ ก็ไม่ทำงาน วันๆ ก็เดินไปเดินมา ชีวิตไม่มีคุณค่าเลย ชีวิตที่ไม่ได้ทำประโยชน์คือชีวิตที่ไม่มีคุณค่า

ถ้าเราพร้อมจะแบมือขอความช่วยเหลือ เรียกร้องความช่วยเหลืออะไรนี่ ลำบากแล้ว เราฝึกสิ่งซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไร ที่ผ่านมาเราฝึกที่จะช่วยตัวเองให้มากที่สุด ถ้าเราช่วยตัวเองไม่ได้ สังคมก็มาช่วย หรือบางทีจำเป็นจริงๆ เรื่องมันใหญ่จริงๆ รัฐก็มาช่วย ตอนนี้เรื่องเล็กเรื่องน้อยอะไร ก็เรียกให้รัฐช่วย อ้างเสียภาษี เสียสักเท่าไหร่กัน เรียกร้องสูง บางประเทศล่มจมไปเพราะเรื่องนี้ บางประเทศล้มละลายเลยเพราะเรื่องนี้ เรื่องประชานิยมอะไรพวกนี้ไม่ใช่เรื่องดี นักการเมืองได้หน้าได้ตา แต่ว่าบ้านเมืองเสียหาย คนถูกฝึกให้ไม่ช่วยตัวเอง

เราชาวพุทธ เราไม่ทำอย่างนั้นหรอก เราชาวพุทธพยายามช่วยตัวเองให้เต็มที่เลย มีกำลังเหลือ เราก็ช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ช่วยสัตว์ทั้งหลาย ถ้าความต้องการของเราน้อย ความต้องการของเราเท่าที่จำเป็น การเลี้ยงชีวิตมันก็ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรมาก แต่ถ้าเราต้องการเพื่อสนองกิเลส มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ที่น่าเป็นห่วงมากคือเด็กๆ ถูกเลี้ยงให้สปอยล์มากเลย เลี้ยงให้บริโภคสูง อยากบริโภคแบบฝรั่ง แต่ไม่ได้ดำรงชีวิตทำงานแบบฝรั่ง ฝรั่งรุ่นเก่า ฝรั่งแต่ก่อนอายุ 18 ก็ออกจากบ้านแล้ว ไปทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ อย่างนี้เขาโต ของเราเรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ยังขอเงินพ่อขอเงินแม่อยู่ มันไม่โต

เราชาวพุทธ เราก็พยายามพึ่งตัวเองให้ได้ ขอความช่วยเหลือคนอื่นเมื่อมันจำเป็นจริงๆ อย่างคนญี่ปุ่น เขาฝึกของเขามาดี เขาช่วยตัวเองสูงมากเลย ช่วยไม่ไหวจริงๆ ถึงจะขอความช่วยเหลือ นิสัยใจคออย่างนี้ มันเหมาะเป็นนักสู้ ชาวพุทธเราอยากพ้นทุกข์ได้จริงๆ ต้องเป็นนักสู้ ไม่ใช่ขอ ขอไปหมดเลย ขอใครไม่ได้ก็ไปขอต้นไม้ ไปขอหวยจากต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้ มีสัตว์ประหลาดเกิดขึ้น วัวออกลูกมามี 2 หัว ก็ไปกราบไปไหว้อะไรอย่างนี้ หาที่พึ่งอย่างนี้ บางทีก็ไปไหว้ภูเขา ไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้ ไหว้ก้อนหิน ขอโน่นขอนี่ นั่นไม่ใช่ชาวพุทธ ชาวพุทธไม่ได้นับถืออะไรนอกจากพระรัตนตรัย แล้วพึ่งตัวเอง พยายามพึ่งตัวเองให้เต็มที่เลย

สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมที่เริ่มเปลี่ยนในสังคมของเรา เริ่มเปลี่ยน บางคนไม่มีความจำเป็น อย่างเวลารัฐบาลเขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ นี่เป็นเรื่องดี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ บางคนไม่มีความจำเป็น มีฐานะดีอยู่แล้วไปลงชื่อรับเงินด้วย ได้รับมาแล้วก็มาหัวเราะเล่น เมื่อก่อนก็มีขอเงินจากรัฐบาลได้ก็หัวเราะ เดี๋ยวจะไปฉีดโบท็อกซ์อะไรอย่างนี้ นี่ไม่ได้มีจิตสำนึกที่ดีเลย ถ้าบ้านเมืองมีพลเมืองอย่างนี้พัฒนายาก

ธรรมะสำหรับโลกๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทานใช่ไหม ท่านไม่ได้สอนให้เรียกร้องนู่น เรียกร้องนี่ตลอดเวลา ท่านสอนให้ให้ คนที่ให้มันเติบโต คนที่อยากได้ของคนอื่น อยากให้คนอื่นมาประคบประหงมอะไรอย่างนี้ มันไม่เติบโตหรอก ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าใช้ได้ตั้งแต่เรื่องโลกๆ มันธรรมะสำหรับคนในโลก เพราะฉะนั้นเราก็ดู อย่างในบ้านเราช่วงนี้อากาศหนาวๆ ในบ้านเราลองไปค้นดู เสื้อผ้าตัวไหนไม่ได้ใช้มาเป็นปีแล้ว แสดงว่าคงไม่ได้ใช้แล้ว ก็ไปให้คนอื่นเขาบ้าง คนที่เขาลำบาก มี ไม่ใช่ไม่มี ไม่ต้องถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊กว่า วันนี้ฉันไปทำบุญที่นี่ บริจาคที่นี่ นี่ล่ะรัฐบาลไม่เหลียวแลเลย ฉันต้องเหลียวแล นี่ไม่ถูกแล้ว ไม่ได้เป็นบุญ เป็นกุศลแล้ว ทำอย่างนั้น

 

“ถ้าเริ่มต้นก็เห็นแก่ตัวแล้ว เราจะปล่อยวางตัวตนได้อย่างไร”

 

ฉะนั้นเราทำด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ฝึกความไม่เห็นแก่ตัวไว้ แล้ววันที่เราเริ่มภาวนา มันจะไม่ยาก การมาภาวนาก็คือมาเรียนรู้ความจริงของกายของใจเพื่อจะปล่อยวางตัวตนลงไป ถ้าเริ่มต้นเราก็เห็นแก่ตัวแล้ว เราจะปล่อยวางตัวตนได้อย่างไร มันยากกว่าการไม่เห็นแก่ตัวอีก ไม่เห็นแก่ตัวแล้ว แล้วต้องมาภาวนาอีกให้เห็นความจริงของรูป นาม กาย ใจ มันถึงจะปล่อยวางตัวตนลงไปได้ ฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนมีลำดับ มีขั้น มีตอน

พวกอินทรีย์อ่อนมากๆ อย่างฆราวาส ส่วนใหญ่อินทรีย์อ่อนมากๆ ท่านสอนทำทาน พระก็ต้องทำ ไม่ใช่สอนฆราวาสทำทานแล้วพระไม่ทำ พระทำทานในสิ่งที่พระทำได้ อย่างพระไม่มีเงิน พระก็ทำธรรมทาน หรือไม่มีอะไรจริงๆ เราสอนใครไม่ได้ เราไม่มีสมาธิ ไม่มีอะไร รักษาศีลให้ดี รักษาข้อวัตรให้ดี เดินบิณฑบาตด้วยความสำรวม ฆราวาสเขาเห็น เขาก็จะเห็นว่า แบบอย่างของพระนี่ดี เรียบร้อย น่าเลื่อมใส นี้ก็เป็นการให้ทานกับชาวบ้านแล้ว ด้วยการแสดงให้ดูว่าความสงบ ความสำรวมมันเป็นอย่างไร มันสวย มันงามอย่างไร

ระหว่างพระเดินบิณฑบาตเป็นระเบียบเรียบร้อย มันงามจับตาจับใจ อย่างคนเดินถนนคุยกันเฮๆ ฮาๆ อะไรนี่ เล่นกันไปเล่นกันมา ดูก็ไม่ต่างอะไรกับหมาเวลามันไปเป็นฝูง เดี๋ยวก็งับกัน เดี๋ยวก็เล่นกัน เดี๋ยวก็กระโดด ดูไม่ได้สวยได้งามอะไรเลย ฉะนั้นอย่างเราเดินบิณฑบาตเป็นระเบียบเรียบร้อย มันก็ส่งเสริมรักษาศาสนาได้ คนเขามาเห็น เขาเย็นตาเย็นใจ เขารู้สึกศาสนานี้ให้ความร่มเย็น นี่ก็ทาน

ทานอย่างที่พระเราทำได้ อย่างเรามีผ้า มีอะไรเหลือ เราก็แจก อย่างวัดเรา ช่วงที่เปิดวัด ลาภสักการะเยอะ หลวงพ่อก็ไม่ได้ให้พวกเราใช้เยอะ ส่วนใหญ่ส่งไปช่วยที่อื่น ตอนนี้ปิดวัดไปเลย ลาภสักการะก็ไม่ค่อยมี แต่เราก็อยู่ของเรากันได้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของแค่ basic minimum needs เราอยู่กันได้

ฆราวาสต้องรู้จักทำทานเพื่อลดละความเห็นแก่ตัว รู้จักให้ ไม่ใช่อยากจะเอาตลอด มีศีลเพื่อจะฝึกใจ ไม่ให้ตามใจกิเลส อยากไปเห็นผู้หญิงสวย มีเมียอยู่แล้วก็อยากมีอีกอะไรนี่ ก็มีศีล ไม่ทำ อย่างนั้นคือตามใจกิเลส ตามใจราคะ ตามใจกาม เราเป็นมนุษย์ ใจสูง ถ้าเราตามใจกิเลสไปเรื่อยๆ มันจะต่างอะไรกับสัตว์ สัตว์บางตัวไม่มักมากในกามด้วยซ้ำไป อย่างในวัดเรามีนกเงือกอย่างนี้ เขาเรียกนกแก๊ก นกเงือกอย่างเล็กๆ นกพวกนี้ผัวเดียวเมียเดียว ถ้าตายไปตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งไม่ค่อยอยู่ สัตว์บางประเภทก็มั่วสุมเยอะ หมาอะไรอย่างนี้

เราเป็นคน เราก็พยายามอย่าไปตามใจกิเลส รักษาศีลไว้ การผิดศีลนี่อาจจะให้ความสุขเราในเบื้องต้น แต่ให้ความทุกข์เราในเบื้องปลายแน่นอน มีชีวิตยาวๆ แล้วหัดสังเกต เราจะรู้เลยว่า คนมีศีลกับคนทุศีล ไม่มีศีลนี่ มีชีวิตที่แตกต่างกัน ช่วงแรกๆ คนมีศีลจะถูกหัวเราะเยาะ เพราะสังคมนี้เต็มไปด้วยพวกไม่มีศีล พอผ่านวันผ่านเวลาไป คนมีศีล มีความร่มเย็นเป็นสุข คนไม่มีศีลนี่ ชีวิตไม่มีค่าเลย ชีวิตหมดคุณค่า ไม่มีความดีความงามอะไรที่นึกถึงแล้วจะได้ชื่นใจ

ฉะนั้นอย่าไปตามใจกิเลส ถ้ากิเลสมันมา เรายังสู้มันไม่ไหว ตั้งใจรักษาศีลก่อน อย่างไรก็ไม่ยอมผิดศีล เราโกรธเขา เราไม่ชกไม่ต่อยเขา ไม่ตีเขา ไม่ด่าเขา ไม่ใส่ร้ายเขา ทุกวันนี้เราถูกฝึกให้ผิดศีลโดยไม่รู้ตัวเยอะเลย มีโยมคนหนึ่ง ซื้อ iPad มาให้หลวงพ่อเมื่อไม่นานนี้ หลวงพ่อก็ได้ดู อ้อ เดี๋ยวนี้เขาผิดศีลกันเยอะมากเลย ผิดศีลเยอะมากก็คือ ใครตั้งกระทู้โพสต์อะไรลงมานี่ คนจะไปออกความเห็นกัน ด่ากัน ฝ่ายหนึ่งด่า เดี๋ยวอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปด่าอีกฝ่ายหนึ่ง ด่ากันไปด่ากันมา เราไม่รู้หรอกว่า นี่คือการฝึกที่จะผิดศีล มันคือมุสาวาท

บางคนบอกว่าพูดความจริงจะมุสาวาทได้อย่างไร พูดความจริง ในขณะที่พูดนั้นประกอบด้วยเมตตาไหม หรือประกอบด้วยโทสะ พูดความจริงแต่ประกอบด้วยโทสะ มันก็เข้ามุสาวาทเหมือนกัน มุสาวาทหรือศีลข้อที่ว่าไม่มุสาวาท ไม่ใช่แค่ว่าพูดไม่โกหก บางคนไปกินโน่นกินนี่ก็ต้องมาโพสต์บอกเขา นี่เข้าขั้นฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านโอ้อวด อวดเซลฟ์ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า อวดเซลฟ์ว่านี่ได้ไปกินของดี ได้ไปกินของแพง

ถ้าไม่ระมัดระวัง มันก็ผิดศีล ผิดธรรมไปเรื่อยๆ ปากก็บอกอยากดี เราเป็นคนดี คนอื่นเลว แต่เราดี เอาเข้าจริงมันก็ไม่ดีพอๆ กัน ถ้าด่ากันไปด่ากันมา มันก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าสู้กันด้วยเหตุผล จำเป็น พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า ใครพูดเท็จมา ประกาศเรื่องไม่ดีมา ไม่จริงมา ให้เราอุเบกขา ไม่ใช่ ท่านบอกให้เอาชนะความเท็จด้วยความจริง เหมือนอย่างรัฐบาลนี้ทำอะไร มีคนมาด่าทุกเรื่องเลย แต่รัฐบาลเขาก็ฉลาด เขาก็สู้ด้วย fact ด้วยความจริง อย่างด่าเขาเรื่องวัคซีนนี่ เขาก็อธิบายเหตุผลได้ มีเหตุมีผล ชนะความเท็จด้วยความจริง แล้วก็ชนะจริงๆ ด้วย พวกเท็จมันก็ต้องไปหาเรื่องเท็จต่อไปเรื่องอื่น ต่อไปเรื่อยๆ นานๆ คนเขาก็เห็นเองว่าพวกนี้พูดจาเชื่อถือไม่ได้

ฉะนั้นอยู่ในสังคม ไม่ใช่เอาชนะกันด้วยกิเลส เขาพูดไม่ถูกใจเรา เราก็ด่าๆๆ อย่างนั้นเราก็เลวเสมอกัน แต่เขาพูดไม่ถูก ใส่ร้ายสถาบัน ใส่ร้ายรัฐบาล เรารู้เหตุรู้ผลนี่ อธิบายได้ อย่างหมออธิบายเรื่องวัคซีน มีเหตุมีผล ฟังแล้วก็พวกที่โวยวาย มันพูดไม่ออก ฉะนั้นเราต้องเอาชนะความเท็จด้วยความจริง แต่เราอย่าผิดศีลเสียเอง ลุกขึ้นมาก็ด่ากันไปด่ากันมา มันก็เลวพอกัน เอาชนะกันไม่ได้หรอก

เมื่อวานเทศน์ธรรมะลึกล้ำ วันนี้เทศน์ให้โยมฟังบ้าง เมื่อวานเทศน์ให้พระฟัง ฉะนั้นโยมอย่านึกว่าถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ดูจิต ดูใจ ดูกายอะไรแค่นั้นพอ เงื่อนไขพื้นฐานอะไรต้องทำด้วยๆ ทาน ทำเพื่อลดละกิเลส ศีล ทำเพื่อฝึกใจไม่ให้ไหลตามกิเลส ข่มใจไม่ให้ไหลตามกิเลส หัดสู้มันบ้าง อย่ายอมผิดศีล อย่างโกรธขึ้นมา อยากด่าเต็มที่ ถ้าด่าเขาแล้วมันผิดศีล กระแนะกระแหนก็ผิดศีล ก็ไม่ทำ สู้กันด้วยเหตุด้วยผล สู้อย่างผู้เจริญ อย่างนั้นใช้ได้ อย่างไรเราก็สามารถชนะความเท็จด้วยความจริงได้ นี่พระพุทธเจ้าบอก

ฟังแล้วจะทำหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประเภทไปกินอะไรมาก็ต้องมาโฆษณา ตลก มีกระทั่งสวัสดีวันอาทิตย์ สวัสดีหาอะไรวันอาทิตย์ ดูทำอะไรซึ่งไร้สาระมาก ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เสียเวลา ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเอง เราจะได้มีเวลาเหลือ บางคนบอก ไม่มีเวลาจะปฏิบัติเลย มัวแต่มีเวลาเหลวไหลเสียเยอะเลย คำว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ มันเป็นข้ออ้างของคนที่จะไม่ปฏิบัติ ถ้าจะปฏิบัติใช่ไหม กิเลสเกิดแล้วไม่ยอมทำผิดศีล นี่ก็เรียกเราปฏิบัติแล้ว ใจฟุ้งซ่าน ถึงเวลาเราก็มาทำความสงบเข้ามาบ้าง สงบหรือไม่สงบก็ช่าง ขอให้ได้ทำเถอะ หายใจเข้าพุทหายใจออกโธอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงวันหนึ่งมันก็สงบของมันเองล่ะ ฝึกทุกวันๆ คนก็คร่ำครวญ จิตไม่สงบเลย ให้ทำกรรมฐานไม่ทำ แล้วบอกว่าจิตไม่สงบ

บางคนไปไหน คนเขาก็เกลียดอะไรอย่างนี้ ทำไมไม่มีธรรมะให้คนเขารักบ้าง ธรรมะที่จะทำให้คนเขารักนี่ เรื่องทาน เรื่องปิยวาจา พูดให้ดีกับเขา เรื่องทำตัวให้เป็นประโยชน์ เรื่องทำตัวเสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ เดี๋ยวเขาก็รักเอง เอื้อเฟื้อ ให้ประโยชน์กับเขา เขาก็รักเอง แต่ต้องเป็นการให้ประโยชน์ในทางดี ให้ประโยชน์ในทางเลวนี่ ไม่ดีเลย ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา อย่างหาเสียงเลือกตั้ง ให้ประโยชน์ชาวบ้าน จ่ายเงินหัวละพัน อันนั้นไม่ใช่ทาน นั่นคือการลงทุนในทางทุจริต บางคนทุจริต เริ่มต้นก็ทุจริตแล้วนี่ ท่ามกลาง เบื้องปลาย มันก็ทุจริตอีก อย่างถ้าเริ่มต้นมาทุจริต จะให้มันดำรงตนแบบไม่ทุจริต ยาก ลงท้ายมันก็ไม่สุจริตเหมือนกัน

 

เอาธรรมะมาใช้เป็น ชีวิตเราก็ร่มเย็น

เราต้องสะอาด ชาวพุทธเรา เราไปแก้ที่คนอื่นไม่ได้ เรามาแก้ที่ตัวเอง ฝึกตัวเองให้ดี ถือศีลเอาไว้แล้วก็รู้จักแบ่งปัน รู้จักให้ รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่างหลวงพ่อตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่เขาก็ให้เลี้ยงแมว ให้เลี้ยงสัตว์อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นการฝึกจิตใจให้อ่อนโยน ถ้ายุคโน้นตื่นเช้าขึ้นมา ก็ให้เล่นเกม ให้ไล่ยิงกัน ให้ไล่ฆ่ากัน ไล่ฟันกันอะไรอย่างนี้ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไป มันเป็นวิธีฝึกที่ไม่ดีเท่าไหร่หรอก

อย่างเด็กได้เลี้ยงสัตว์ ได้อะไร แต่ต้องดู อย่าไปให้มันรังแกสัตว์ ถ้ามันรังแกสัตว์ ต้องรังแกมัน ต้องเล่นงานมันก่อน ฝึกมันให้รู้จัก อย่างบางคนชอบเดินแกล้งเหยียบโน่น เหยียบนี่ แกล้งสัตว์ ผู้ใหญ่เขาเอาจริง นั่งๆ อยู่ เดินอยู่ เขาแกล้งเดินเหยียบขามัน ไอ้เด็กนั้นมันเกเร แกล้งเหยียบขามัน มันก็โวยวาย เขาก็ถาม “เจ็บหรือเปล่า เจ็บหรือ โอ ฉะนั้นที่ไปเหยียบแมว แมวก็เจ็บนะ” นี่สอนมัน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เด็กมันก็อ่อนโยนลง มันรู้จักเมตตา รู้จักอะไร ต้องค่อยๆ ฝึกไป

พวกเราเป็นชาวพุทธเสียเปล่า เราเอาธรรมะมาใช้ไม่ค่อยเป็น ถ้าเอาธรรมะมาใช้เป็น ชีวิตเราก็ร่มเย็น คนรอบๆ ตัวเราก็ร่มเย็น ครอบครัวเราก็ร่มเย็น แล้วความร่มเย็นนี่มันติดอยู่ในตัวเรา ไปอยู่ในที่ทำงาน คนในที่ทำงานเขาจะเริ่มเห็นว่าเราไม่เหมือนคนอื่น อย่างหลวงพ่อ อยู่ๆ หลวงพ่อไม่ได้เดินไปสอนกรรมฐานใคร อย่างหลวงพ่อพุธท่านสั่งให้สอนให้เผยแผ่ หลวงพ่อก็เขียนบทความไปลงหนังสือ ไม่ลงชื่อจริงด้วย ไม่ได้บอกว่าฉันคือนายคนนี้ๆ ไม่ได้อยากเด่นอยากดังอะไรทั้งสิ้นเลย ผลตอบแทนอะไรก็ไม่ได้เอา ฉะนั้นคนไม่รู้หรอกว่าหลวงพ่อภาวนา แต่เขาเห็นหลวงพ่อหน้าตาผ่องใส ดูเราสงบ ดูเราผ่องใส เขาก็สนใจ เขาค่อยๆ ถาม เราก็ค่อยๆ บอก ถึงวันหนึ่งเขาก็อยากปฏิบัติบ้าง นี่ฝึกอย่างนี้

ในที่สุดหลวงพ่อก็มีเพื่อนที่ปฏิบัติหลายคน มาบวชนี่เราก็ไม่ต้องไปโฆษณา ประชาสัมพันธ์ว่า จงมาเรียนกับฉันเถอะ ไม่เคยทำเลย มีแต่ว่าทำอย่างไรมันจะมาเรียนไม่มากนัก อย่างบวชทีแรก มาหาหลวงพ่อ มากันทั้งวันเลย กลางคืนยังมาเลย หลวงพ่อก็เริ่มต้องลิมิตแล้ว ไม่อย่างนั้นเราไม่มีเวลาภาวนา เราก็ยังต้องภาวนาอยู่ ก็บอกมาแต่กลางวัน กลางคืนไม่รับแขกแล้ว ก็ยังมาทั้งวัน ต่อมาก็เริ่มลดลง มาเฉพาะช่วงเช้า เขาก็มาแต่ช่วงเช้า ต่อมาก็ลดลงอีก มาเฉพาะวันนี้ๆ เวลาอื่นอย่ามา เราก็มีเวลาของเรา เรายังต้องภาวนา กิเลสเรายังมี ต้องต่อสู้ ก็แบ่งเวลาทำประโยชน์คนอื่นส่วนหนึ่ง ทำประโยชน์ของตัวเองส่วนหนึ่ง ก็ภาวนาเอาตัวรอดมา ค่อยๆ ฝึกของเรา

ถึงทุกวันนี้หลวงพ่อก็ยังแบ่งเวลา เวลาส่วนหนึ่งเราก็อยู่ของเราเอง เช้าๆ สอนพระ ถ้าปิดวัด เช้าๆ ก็สอนพระทุกวัน วันพุธก็สอนจริงจังหน่อย ถ้าเปิดวัดโยมมามันก็ต้องสอนบ้างอะไรบ้าง แบ่งเวลากัน ถ้าเปิดวัดก็มีอาคันตุกะอีก บางองค์ก็มาบ่ายๆ เย็นๆ อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องอธิบาย ขอเวลาให้มาเช้าๆ อะไรอย่างนี้ บ่ายๆ เย็นๆ หลวงพ่อเดินออกมาอีกรอบหนึ่ง อีกวันหนึ่งหลวงพ่อจะไม่มีแรงแล้ว นี่ค่อยๆ ปรับสมดุล

พวกเราอยู่ที่บ้าน เราก็พยายาม แค่ไหนพอดี จำเป็นต้องออกงานไหม ฆราวาสก็จำเป็น แค่ไหนพอดี เราก็ต้องดู มีงานอะไร ออกทุกงาน อย่ามาคุยเรื่องภาวนาเลย งานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ก็ยังสนใจต้องไปร่วมงานทุกงาน มันไม่ได้เรื่องหรอก ฉะนั้นก็ดู ทำอย่างไรเราจะมีเวลาเพื่อตัวของเราเองบ้าง อย่างตอนหลวงพ่อเป็นฆราวาส งานแต่งงานอย่างนี้ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ยกเว้นคนในกองเดียวกันใกล้ๆ กันแต่ง ถึงจะยอมไป คนนอกกองเราแต่ง ก็แค่ช่วยเงินไปอะไรไป เอาเวลาไว้ภาวนาของเราเอง แต่งานศพก็ไป เพราะงานศพไปนี่เราไปได้ภาวนา ไปในงานศพ จิตใจมันจะสงบ คนมันไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ เราไปเราก็ภาวนาของเราไป เห็นความตาย ให้เห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้เขาแสดงตัวอย่างให้เราดู นอนอยู่ในโลง หรือนอนแบมือให้รดน้ำอยู่ วันหนึ่งเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น

เป็นฆราวาสก็ยังเรียนธรรมะอย่างนี้ อยู่ในชีวิตจริงๆ อย่างนี้ มีระเบียบ มีวินัยในตัวเอง สังเกตตัวเองไป ทำอะไรแล้วกุศลเจริญ ก็เอาอันนั้น อย่างไปงานศพนี่กุศลเจริญ ไปงานเฮฮาแล้วอกุศลเจริญ ก็เลี่ยง เลี่ยงเท่าที่เลี่ยงได้ ไม่เลี่ยงเลยก็ไม่ได้ บางทีอยู่ในวงเขากินเลี้ยง เขากินเหล้า เราก็ต้องนั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกับเขา เขากินเหล้า เรากินกับอะไรอย่างนี้ กินแต่กับอย่างเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน เขาก็มองว่าทำไมไม่กินเหล้า หลวงพ่อก็กินโซดา ให้สีสันมันกลมกลืนกับเขา หยดโค้กลงไป 2-3 หยด เหมือนวิสกี้เลย กินอยู่กับเขานี่ล่ะ เขาอยากชน ก็ชนกับเขา ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ศีลเราก็รักษาของเราได้ เขาถามว่า ทำไมไม่กินเหล้า กินไม่ได้ แพ้ แพ้อะไร เขานึกว่าเราแพ้ แพ้กิเลสสิ ผิดศีล เราไม่ได้โกหกๆ แต่ว่ารักษาศีลของเราอย่างฉลาดหน่อย ไม่ต้องปะทะกับใครเขา นี่เป็นฆราวาส มันก็ต้องรู้จักเทคนิคเอาตัวรอด ไม่ให้ผิดศีลเหมือนกัน

 

ลดละความเห็นแก่ตัว ข่มใจไม่ให้ไหลตามกิเลส

ฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ วันนี้หลวงพ่อพูดอย่างนี้ ฟังแล้ว โอ้ ไม่เห็นเกี่ยวกับกรรมฐานเลย ทำให้ได้ แล้วจะรู้ว่าสำคัญอย่างไรกับกรรมฐาน ทำไป นอกจากลดละความเห็นแก่ตัวแล้ว ยังเป็นการข่มใจไม่ให้ไหลตามกิเลส เราถึงเวลาที่เราจะมาทำกรรมฐานมันไม่ยากเลย เราไม่ไหลตามกิเลสแล้ว เราก็ย้อนกลับมาดูกายดูใจของตัวเองได้ ถ้าเราดูด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ดูแล้ว โห มันน่ารักเหลือเกิน มันดีเหลือเกิน เข้าข้างตัวเองไปเรื่อยๆ ดูกิเลสของตัวเองก็ไม่เป็นไรนิดหน่อย ไม่เป็นไร โอ้ ถูกมันหลอก ระดับนี้พระยังเป็นเลย อธิบายแทนกิเลสเลย แก้ตัวแทนกิเลสเหยงเลย กิเลสยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย ตัวเรามีกิเลสอยู่นี่ หาข้ออ้าง หาข้อแก้ตัวให้มันสารพัดเลย นั่นคือความอ่อนแอ

ถ้าใจเราเคยฝึกตัวเองที่จะลดละความเห็นแก่ตัว ความรักหน้ามันก็เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง อย่างเราภาวนาเรารักหน้ามากเลย ไม่กล้ากระทั่งจะเห็นตัวเองเลว อย่างนั้นไม่มีทางที่จะภาวนาได้เลย ฉีกหน้ากากตัวเอง ไม่ต้องไปฉีกให้คนอื่นดูหรอก ตัวเองอย่าโกหกตัวเองก็พอแล้ว ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง กิเลสของเรามีอะไรอยู่ มีตัวไหนไม่ดีอยู่ มีตัวไหนซ่อนเร้นอยู่ ขุดคุ้ยมันขึ้นมาดู เอามันขึ้นมาดู พอเห็นมันแล้วก็อย่าไปแก้ตัวแทนมัน บางคนเห็นกิเลสปุ๊บ แก้ตัวเลย แก้ให้มัน ธรรมดานะ ใครๆ ก็มี ไม่เป็นไรหรอก กิเลสเล็กน้อย เดี๋ยวเราละกิเลสหยาบก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยละตัวนี้ก็ได้ทีหลัง

หลักของการปฏิบัติก็คือ กิเลสตัวไหนกำลังปรากฏ รู้ตัวนั้น ไม่ใช่ผัดเอาตัวนี้ไว้ก่อน ไม่ใช่เดี๋ยวค่อยไปขุดเอาตัวที่ยังไม่เกิดมาดูก่อนอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันต้องใจแข็ง ใจเด็ด กล้าฉีกหน้ากากตัวเอง ปอกเปลือกตัวเองออกมา ดูแก่นแท้ของตัวเองออกมา แต่ละคนมันจะมีจุดอ่อน แต่ละคนมันจะมีความอ่อนแอที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ เราก็ไม่ใช่ต้องประกาศกิเลสของเรา แต่ถ้าเราทำผิดพระวินัย ต้องประกาศ เพราะว่าพระพุทธเจ้าวางหลักเกณฑ์ไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเราเห็นกิเลสของเราภายใน มันยังไม่ได้ล้นออกมาถึงขั้นผิดธรรมผิดวินัย เราอย่าไปปกป้องมัน ดูมันเข้าไป สังเกตมันเข้าไป

มันเกิดจากอะไรไปดูให้ดีเถอะ มันมาจากความอ่อนแอทั้งนั้นเลย ความเห็นแก่ตัว ความอ่อนแอ ยอมแพ้กิเลส เพราะว่าความเห็นแก่ตัวนั่นล่ะ กลัว รักษาหน้า กระทั่งหลอกตัวเอง ไม่กล้าดูกิเลสที่ตัวเองมี เยอะเชียวล่ะ ไม่ใช่น้อยๆ แบบนี้ ฉะนั้นกล้าหาญ ฝึกตัวเองทุกวันๆ ฝึกที่จะไม่เห็นแก่ตัว ฝึกที่จะไม่ยอมทำผิดศีล แล้วลึกลงมาก็ฝึกรู้จักตัวเองๆ นี่ขั้นจะพ้นโลกแล้ว ขั้นกรรมฐานแล้ว

ฉะนั้นทีแรกฝึกไม่เห็นแก่ตัว รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน ฝึกข่มใจไม่ให้ไหลตามกิเลส แล้วก็มาฝึกที่จะรู้จักตัวเอง ตัวเราจริงๆ เป็นอย่างไร รู้มันเข้าไป อย่าไปปกป้องกิเลส เห็นแล้วน่าเบื่อ ถ้าเป็นพระอยู่กับหลวงพ่อ หลวงพ่อมักจะฉีกหน้ากากเมื่อถึงเวลาอันควร ไม่ปล่อยไว้หรอก แต่กับโยม หลวงพ่อไม่ฉีกหรอก ปล่อย ขืนไปฉีกมัน มันก็ฉีกเราสิ มันดีไม่ดีมันเตะเอา เคยมี ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ด้วย ลูกศิษย์ท่านเล่าให้ฟัง ท่านสอนๆ กรรมฐานอยู่ มันกระทบใจคน มันกระเทือนกิเลสเขา มันลุกขึ้นเตะท่านเลย ท่านก็อาพาธ ไม่นานก็มรณภาพไป แต่เตะหลวงพ่อไม่ใช่ง่าย อาวุธหลวงพ่ออยู่รอบตัวเลย มันเตะมา เราเอากระติกน้ำร้อนรับอะไรอย่างนี้ เราฝึกวิทยายุทธจนคล่องตัว

ไปฝึก ฝึกที่จะไม่เห็นแก่ตัว รู้จักให้ ฝึกที่จะไม่ตามใจกิเลส ต่อไปก็ฝึกรู้จักตัวเองให้แท้จริง ให้ถ่องแท้ ค่อยๆ ฝึกไป อันนี้ใช้ได้ทั้งพระทั้งโยม ที่สอนอย่างนี้ เป็นพระเห็นแก่ตัวน่าเกลียดที่สุดเลย พระเห็นแก่ตัวอัปลักษณ์ที่สุดเลย เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ อยากได้ของเขา อยากได้อะไรอย่างนี้ ไม่ไหว บางคนบอกเป็นพระกรรมฐานบรรลุธรรมชั้นโน้นชั้นนี้ ก็วิ่งหาตำแหน่งหาอะไรต่ออะไร เหลวไหลๆ หมู่เพื่อนสหธรรมิกรอบๆ ตัวเขาก็ไม่เอาด้วย

ฉะนั้นอย่าเห็นแก่ตัว ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ลด ค่อยๆ ละไป เราอาจจะไม่เด่น ไม่ดัง ไม่ร่ำรวย แต่สุดท้าย ชีวิตเราร่มเย็นเป็นสุข ชีวิตคนจะต้องการอะไรมากมาย มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอน มีเสื้อผ้าใส่พอไม่ให้ลามกอุจาด ไม่ให้ร้อนไม่ให้หนาวเกินไป เจ็บไข้มียากิน มีหมอ ไปโรงพยาบาลได้ แล้วจิตใจสงบสุข มีความสุขเยอะแยะเลย บางคนหลวงพ่อเคยเห็น รวยนะ ร้ายมาตั้งแต่หนุ่มๆ ตอนแก่นอนหมดสภาพแล้วก็ยังหงุดหงิดไปหมดเลย รู้สึกลูกหลานเลวมากเลย ไม่ช่วย ไม่หาหมอดีๆ มา อย่างโน้นอย่างนี้ ตายไปด้วยจิตที่เศร้าหมอง จะไปไหน ก็ไปตามความเศร้าหมองของจิต

ในขณะที่บางคนภาวนามานาน เขาตาย ตายอย่างสุขสงบจริงๆ เลย ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไรเลย เมื่อก่อนหลวงพ่อรู้จักผู้หญิงชาวบ้านทางสุรินทร์ รู้จักอยู่หลายคน คนหนึ่งชื่อป้าเหว่ย ป้าเหว่ยแกออกจากครอบครัวแก มาอยู่วัด อยู่กับหลวงพ่อคืน แกก็ภาวนาของแกเรื่อยๆ คนไปวัด แกก็สงสารเขา ไม่มีข้าวกิน ก็หุงให้กิน ดูแลช่วยเหลือ ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เวลาจะตาย แกตายอย่างงดงามมากเลย สวยงาม หรือผู้หญิงบางคน หลวงพ่อไม่เห็นเขาตายอย่างไร เห็นเขาตอนไม่ตาย อย่างแม่สะเกียวนี่ แกขายผักอยู่ในตลาดที่สุรินทร์ เมืองสุรินทร์ หน้าร้อนมันร้อนจัด ผักแกก็เหี่ยวเชียว คนรอบๆ ตัวแกที่ค้าขายอยู่ด้วยกัน ก็เหี่ยวไปหมดเลย มีแกผ่องใสอยู่คนเดียว ใส สว่าง สบาย นั่นก็ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์เหมือนกัน ภาวนา

ฆราวาสก็ทำได้ดี ถ้าเขาตั้งใจทำ เห็นอยู่หลายคนอยู่ อย่างคนหนึ่งชื่อตาเปื๋อย ตาเปื๋อยตาย แล้วเผาออกมา กระดูกเป็นพระธาตุ เป็นฆราวาส ทางวัดเขาก็สร้างเจดีย์ใส่กระดูกไว้ให้ ฉะนั้นฆราวาส ถ้าตั้งใจจริง ไม่เห็นแก่ตัว อย่างพวกนี้ไม่เห็นแก่ตัว เห็นใครลำบากมานี่ช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยก็ช่วย อย่างไปตามวัด เขาก็หุงข้าวให้กิน อะไรให้กิน เราเดือดร้อนอะไร เราไปบอก

ตอนหลวงพ่อไปหินหมากเป้ง มีแม่ครัวใหญ่คนหนึ่ง ชื่อแม่บู่ แม่บู่ขาพิการอยู่ข้างหนึ่ง เป็นโปลิโอ เดินกะเผลกๆ เวลาเรามีปัญหาอะไร เราบอกแม่บู่ แม่บู่ช่วยทุกเรื่องเลย ตั้งแต่หาข้าวให้กิน ขับรถไปจองตั๋วให้อะไรให้ ช่วยทุกอย่างเลย เจ็บไข้หายาให้ แกไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย จิตใจแกงามจริงๆ จิตใจแกสุขจริงๆ นี่แค่เรานึกถึง เรายังอิ่มเอิบเลยว่า คล้ายๆ เรานึกถึงคนดี ใจเราก็อิ่มเอิบ

ฉะนั้นฆราวาส เราก็ดีได้ คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่ถ้าเขารุกรานสิ่งซึ่งเขาไม่ควรรุกราน เป็นหลักของบ้านของเมือง เราก็ปกป้อง แต่ปกป้องไม่ใช่ด้วยการด่า ปกป้องด้วยเหตุด้วยผล อย่างนี้ทำได้ ชาวพุทธเราทำได้ เอาความจริงชนะความโกหก นี่ทำได้ แต่ถ้าเอาความหยาบคายชนะความหยาบคาย ไม่มีใครชนะหรอก มีแต่หยาบคายมากกว่าเก่า บางคนก็หน้าหนา หน้าด้านขึ้นมา มันไปฉี่กลางถนนก็ได้ ประท้วง ประท้วงประเทศไหนเขาทำกัน ไปอึ ไปฉี่กลางถนน มันก็ไม่ถูก มันก็ไม่งาม มันดูไม่มีวัฒนธรรม คนไม่มีวัฒนธรรมไปนำความคิดคนอื่นเขาได้อย่างไร มันก็ต้องดีให้เขาเห็นสิ เขาถึงจะตาม เอาความหยาบไปให้เขาเห็น ใครเขาจะตาม นี้เราก็ไม่เอาอย่างเขา เขาเป็นอย่างนั้น เพราะเขาเป็นอย่างนั้น เขามีเหตุผลของเขา

เราก็มีเหตุผลของเรา คือเราต้องการพ้นทุกข์ เราก็ฝึกตัวของเราเองให้ดีไป ศีล 5 รักษาเอาไว้ ข่มใจไม่ให้ไหลตามกิเลสจนผิดศีล 5 อะไรที่จะเป็นความเห็นแก่ตัว อ่านตัวเองให้ออก ค่อยลดละไป แล้วก็ปอกเปลือกตัวเอง ดูหน้าตาที่แท้จริงของเราเอง สังเกตไป ฝึกได้อย่างนี้ ชีวิตเราก็จะร่มเย็นเป็นสุข เป็นฆราวาสก็จะภาวนาอย่างน้อยก็ไปสุคติหรือได้ธรรมะ ก็ทำได้เหมือนกัน โสดาบัน สกทาคามี ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ฆราวาสจะทำได้ เป็นพระก็ฝึกเข้มข้นขึ้น มีโอกาสพ้นทุกข์ได้ก็พ้นทุกข์ไป ไม่พ้นทุกข์ชาตินี้ก็พ้นชาติต่อๆ ไป ค่อยๆ ฝึกเอา แต่ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ เราก็ไม่มีทางดี

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 มกราคม 2564