๑
ถ้าจิตติดล็อคนิ่งๆ พัฒนาไม่ได้
ปัญญาจะไม่เกิด
จิตที่จะเรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจได้
คือจิตธรรมดา จิตที่กำหนดไว้จนกระทั่งนิ่ง แทนที่จะเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์
ก็เห็นว่ามันสุข มีความสุขได้ไม่กระทบกระเทือน
คนชมคนด่าเฉยตลอด
ดูมีความสุข ดูบังคับได้
แทนที่จะเห็นว่าบังคับไม่ได้
ถ้าเป็นธรรมชาติ
มันเจริญแล้วเสื่อม
ไม่ว่าระดับไหน
ปฏิบัติไปก็ยังเจริญแล้วเสื่อมอยู่
๒
เวลาเราภาวนาผิด แทนที่เราจะเห็นไตรลักษณ์
เราจะเห็นของไม่เที่ยงเห็นว่าเที่ยง
ของเป็นทุกข์เห็นว่าเป็นสุข
ของไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้
เห็นว่าเป็นตัวเรา บังคับได้
ถ้าเรารู้สึกอย่างนั้นต้องเฉลียวใจว่าไม่ถูก
ค่อยๆ สังเกตว่าผิดตรงไหน
๓
บางวันก็ภาวนาไม่เป็น
ภาวนาเป็นทุกวันทำสมถะแน่นอน
บางวันดูไม่รู้เรื่องเลยไม่เหมือนกับไม่ดูอะไรเลย
ไม่ดูกับดูไม่รู้เรื่อง
ดูไม่รู้เรื่อง ถามว่ารู้เรื่องไหม
รู้เรื่องว่าดูไม่รู้เรื่อง
๔
บางทีก็ภาวนาแล้วงงดูอะไรไม่ออก
งงก็เป็นสภาวะอันหนึ่ง
ก็รู้ว่างง
พองงแล้วมัวแต่คิดหาคำตอบมันก็เลยไม่รู้สักที
ถ้าเมื่อไหร่งงแล้ว รู้ว่างงใช้ได้
๕
ถ้าเป็นธรรมชาติมันเจริญแล้วเสื่อม
ไม่ว่าระดับไหน
ปฏิบัติไปก็ยังเจริญแล้วเสื่อมอยู่
บางวันสติปัญญาแหลมคม
บางวันสติปัญญาไม่ทำงาน
ถ้าต่ำกว่านั้นบางวันก็ฟุ้งซ่านดูอะไรไม่รู้เรื่องเลย
เพราะจิตรู้ความจริงว่าทุกอย่างเจริญแล้วเสื่อม เกิดแล้วดับ
เจริญขึ้นมา จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
เสื่อมไป จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางหมดความปรุงแต่ง
เมื่อจิตหมดความปรุงแต่ง ก็หมดภพ
๖
ภาวนารู้สึกวันนี้ดีวันนี้ไม่ดี อย่างนี้ใช้ไม่ได้
เพราะว่าปัญญา คือความเข้าใจไม่เกิด
ถ้าปัญญาเกิดจะเห็นเลย จิตเจริญแล้วเสื่อม เป็นเรื่องธรรมดา
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ เป็นเรื่องธรรมดา
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางจะพ้นจากความเจริญและความเสื่อม
หมายถึงว่าความเจริญเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว
ความเสื่อมเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว
อาศัยปัญญาเข้าใจความเป็นจริง
จิตก็หมดความปรุงแต่งหมดความดิ้นรน
ไม่ใช่พอเจริญจิตก็ดิ้นรนอยากรักษา
พอเสื่อมจิตก็ดิ้นรนอยากแก้ไข
เพราะจิตรู้ความจริงว่าทุกอย่างเจริญแล้วเสื่อม เกิดแล้วดับ
เจริญขึ้นมา จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
เสื่อมไป จิตก็เป็นกลางไม่ดิ้นรน
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางหมดความปรุงแต่ง
เมื่อจิตหมดความปรุงแต่ง ก็หมดภพ