การปฏิบัติว่าไปแล้วมันก็ไม่ยาก ให้เรารู้หลักให้แม่นๆ เท่านั้น ตั้งอกตั้งใจทําไป ที่น่าสงสาร คนจำนวนมากอยากปฏิบัติแล้วก็ไปเรียนอะไรที่มันไม่ตรง ไปกดข่มบังคับจิตอย่างรุนแรง เกิดนิมิตบ้างอะไรบ้าง เกิดวิปัสสนูปกิเลสบ้าง แล้วหลงผิดไป ภาวนาแล้วเพี้ยน เยอะเลย พวกเรายังดีไม่มี มีแต่พวกเพี้ยนๆ มาให้แก้ โอ๊ย แก้ยาก แก้ลำบากมากเลย ฉะนั้นก่อนจะภาวนา เรียนหลักของการปฏิบัติให้ดี แล้วต้องแยบคายในการสังเกตจริงๆ ไม่เชื่อง่าย
อย่างเราไปเรียนบางที ทุกแห่งพูดเหมือนกันว่าอ้างหนังสือเล่มเดียวกัน อ้างพระไตรปิฎกอันเดียวกัน อ้างพระสูตรอันเดียวกัน แต่มันมีการตีความแตกต่างกัน ตรงนี้ยากมากเลยที่จะเข้าใจ นี่แล้วแต่บุญแต่กรรม มีบุญก็ภาวนาถูกทางไป ไม่มีบุญก็เพี้ยนๆ ไป แก้ลำบาก เวลาภาวนาผิด กว่าจะแก้คนหนึ่งยากมากกว่าสอนคนทั่วๆ ไป 5 คน 10 คนเลย ใช้เวลาเยอะกินแรงเยอะ
ธรรมะสำคัญที่สติ และศีลก็จำเป็นมาก
เวลาเราปฏิบัติ สังเกตไป ใจเราอยู่ในร่องรอยที่ถูกต้องไหม เราทำไปเพื่อความมักน้อย เพื่อความสันโดษ หรือทำไปเพราะอยากโน้นอยากนี้ ทำไปเพื่อลดละกิเลส หรือทำไปเพื่อสะสมกิเลส ค่อยๆ สังเกตตัวเอง อย่างภาวนาแล้วก็ไปนั่งเพ่งนั่งจ้อง เอาเป็นเอาตาย ทำด้วยความโลภ ไม่ใช่ทําเพื่อจะปล่อย บางคนบอกจะปล่อย แทนที่จะปล่อยกิเลส กลับไปปล่อยสติ ทำแล้วลืมเนื้อลืมตัวเคลิ้มๆ ทำใจล่องลอย ไม่ได้ปล่อยวางกิเลส แต่ไปปล่อยวางสติ ปล่อยวางสมาธิที่ถูกต้อง
ธรรมะสำคัญที่สติ และศีลก็จำเป็นมากเลย ถ้าศีลเราบกพร่อง ไม่มีทางเจริญหรอก อย่างบางคนชอบบี้มด เห็นมดมาก็จับบี้ไปเรื่อยๆ เคยชิน ไปนั่งภาวนา เศษกรรมอันนี้มันมี บางทีรู้สึกเหมือนมดมาไต่ คันยิบยับๆ ขึ้นมา จิตจะรวมเป็นสมาธิก็ไม่รวม ถอนออกมา นึกว่ามดมา บางคนเป็นมาก จนถึงตอนป่วยหนักใกล้จะตาย นอนอยู่โรงพยาบาล ห้องก็สะอาดดี ก็ร้องโวยวายว่ามดมาเยอะแยะเลย เต็มห้องเลย ให้พยาบาลมาไล่เร็วๆ เข้า กลัวมดกัด อย่างนี้ก็มีทุคติเป็นที่ไป มีนิมิตที่ไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว เรียกมีกรรมนิมิต ฉะนั้นศีลจำเป็น ต้องรักษาไว้ให้ดี มีประโยชน์ทั้งในปัจจุบัน มีประโยชน์ทั้งในอนาคต จะทำมรรคผลนิพพานก็ต้องมีศีล
ตอนเด็กๆ หลวงพ่อเคยซนครั้งหนึ่ง ที่บ้านมันมีต้นตะขบ บ้านอยู่เมืองนนท์ สมัยนั้นสวนทั้งนั้น มันมีค้างคาวตัวไม่โตเท่าไร ชอบมาบินโฉบ มากินลูกตะขบ หลวงพ่อก็ โอ้ ทำไมมันบินเร็วจัง สงสัยว่าถ้าเราดักตีมัน เราจะตีทันไหม ก็ไปใช้ลวดที่สมัยโบราณใช้ขึงผ้าม่าน มันยืดหยุ่นได้ มาหมุนๆ หมุนๆ พอค้างคาวมาก็ตีฟึบ ไม่เคยถูกเลย บอก โอ้ มันเร็วจริง ขนาดเราไม่ได้ขยับมือ แค่นี้ ไม่ได้เงื้อมือฟาด อย่างแค่นี้ยังไม่ทันเลย
วันหนึ่งก็นึกถ้าเราตีก่อนมันจะมา จะตีถูกไหม วันนั้นพอเห็นมันมาแต่ไกลแล้ว ฟาดเลย ถูกหลังมัน ค้างคาวหล่นปุ๊บลงไปที่พื้น แล้วไปขยับปีก ขยับๆ ใจๆ ใจหล่นวูบเลย เราไม่ได้คิดจะทำร้ายสัตว์เลย แค่สงสัยแบบเด็กๆ ว่าใครจะไวกว่ากัน เสร็จแล้วก็ลืม ลืมค้างคาวตัวนี้ไปนานเลย เพราะตอนนั้นยังเด็กมากๆ เลย วันหนึ่งโตแล้ว มานั่งสมาธิอยู่ จิตกำลังรวมๆ ค่อยๆ รวมลงไป ก็ได้ยินเสียง เสียงดังปุ๊บ เสียงเหมือนแส้ฝ่าอากาศ มันกระทบหลังเราเปรี้ยงเข้าให้ โหย เจ็บแบบใจสั่นริกๆ ริกๆ เลย เราก็เห็นภาพค้างคาวขยับอยู่ที่พื้น มันขยับอยู่พักหนึ่งแล้วมันก็บินไปได้ มันไม่ได้ตายแต่คงเจ็บ ขนาดเป็นเด็กๆ เล่น เล่นซนๆ ไม่ได้เจตนาทำร้ายสัตว์ด้วยซ้ำไป ซนเฉยๆ
มันเป็นวิหิงสาวิตก เบียดเบียนเพราะความโง่ กรรมตัวนี้ยังให้ผล ทำสมาธิ จิตกำลังจะรวมถูกฟาดกลางหลัง แล้วจิตก็ถอนออกมา เข้าสมาธิไม่ได้ตอนนั้น หลุดออกมาเลยแล้วเจ็บ ใจสั่นริกๆ ริกๆ เลยรู้กรรมนี้มันเอาจริง มันขวาง ถ้าศีลเราเสีย มันขวางการทำสมาธิ ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น มันสำนึกกับจิตใจอย่างลึกซึ้งเลย
ฉะนั้นพยายามตั้งอกตั้งใจ รักษาศีล 5 ข้อไว้ให้ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นทางร่างกาย ด้วยร่างกายของเรา ด้วยวาจาของเรา ก็ไม่เบียดเบียนสติสัมปชัญญะของตัวเอง หลักของศีล 5 เบียดเบียนผู้อื่นด้วยร่างกายของเรา ก็อย่างไปทำร้ายเขา ทำร้ายคนอื่นสัตว์อื่น ไปฆ่าคนอื่นฆ่าสัตว์อื่น นี่ศีลข้อหนึ่ง ไปเบียดเบียนทรัพย์สินของเขา นี่ศีลข้อสอง
อย่างเห็นบางคนเลี้ยงช้าง ช้างจมน้ำตายตั้งหลายตัว น่าสงสารจังเลย พวกที่เหลือไม่ตาย ย้ายไปจะเอาอะไรให้มันกินยังไม่รู้เลย กินวันหนึ่งไม่ใช่น้อยๆ น่าสงสารสัตว์ เห็นคนเลี้ยงช้าง บางทีก็มีคนมาขอซื้องา ตัดงาของมันขายไปเป็นท่อนๆ แต่ตัดลึกไม่ได้ ถ้าตัดมากเกินไป ไปถึงโพรง งาช้างมันตันเฉพาะตอนปลาย เลยตอนปลายเข้าไปมันก็เป็นโพรง คล้ายๆ โพรงฟันของเรา ถ้าตัดลึกถึงตรงนั้น ช้างติดเชื้อตาย นี่ก็เบียดเบียดเขา แค่นี้มันก็เบียดเบียนสัตว์แล้ว ไปตัดงาเขาอะไรอย่างนี้ อย่างถ้าเขาตายแล้ว อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันภูมิใจ ช้างมันก็ภูมิใจมันมีงา ไปตัดมัน น่าสงสารมัน นี่เบียดเบียนทรัพย์สินของผู้อื่น
เบียดเบียนคนรักของผู้อื่น อย่างมี ไม่อยากเรียกพระเลย ก็พระนั่นล่ะสอน ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ เจอคนถูกใจ หิ้วไปนอน คืนเดียวแล้วก็เลิกกัน ไม่พูดกันอีกแล้ว ไม่รู้จักกัน ผิดศีลไหม พระคนนี้ก็บอกไม่ผิดศีล ไม่ได้เป็นชู้ไม่ได้เป็นไร พอใจกันก็ผสมพันธุ์กัน มันผิดทั้งศีลผิดทั้งธรรม อย่างเราไปหิ้วผู้หญิงสักคนหนึ่ง เขามีผัวหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ หรือพ่อแม่เขาถ้ารู้ว่าลูกเขาเป็นอย่างนี้จะเสียใจแค่ไหน อันนี้มันก็ผิดศีลตรงๆ
มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง พวกเราอาจจะเคยได้ยินชื่อ ท่านไม่ได้สายกรรมฐาน เป็นพระโพธิสัตว์ คือหลวงปู่หงษ์ หลวงปู่หงษ์ท่านสอนลูกศิษย์ท่าน ถึงขนาดบอกว่าไปเที่ยวโสเภณีก็บาป ผิดศีล เพราะไม่รู้ว่าเขามีผัวมีอะไรหรือเปล่า นี่ขนาดสายพระโพธิสัตว์ยังรักษาศีล กลัวจะผิดศีลสอนลูกศิษย์ต้องรักษาศีล
ทุกวันนี้ที่เบียดเบียนกันหนักก็คือเบียดเบียนทางวาจา วาจาก็คือถ่ายทอดความคิดของเราออกมาผ่านสื่อต่างๆ ผ่านตัวหนังสือก็ได้ ผ่านเสียงคำพูดก็ได้ ก็ถือเป็นการถ่ายทอดวาจาของเราเหมือนกัน เขียนอะไรกันเสียหายเยอะแยะเลย พวกเราก็มีๆ บางทีหลวงพ่อต้องเตือนเหมือนกัน จะมาอยู่วัดแล้วก็ไปอยู่โรงแรมอยู่รีสอร์ทอะไรกันแถวๆ นี้ รอบๆ ศรีราชา เสร็จแล้วก็ไปเล่ากัน ที่นี่มีผี แล้วคนก็ไม่กล้าไปพัก อันนี้เบียดเบียนเขาด้วยวาจา
ถ้าที่นี่มีผี อยากถามกลับว่าที่ไหนไม่มีผี ไม่มีหรอก โลกนี้อยู่มาตั้งนาน ตายซ้ำตายซ้อนอยู่อย่างนี้ตั้งเยอะตั้งแยะ ฉะนั้นแค่พูดอย่างนี้ เราก็ต้องระวัง เราเบียดเบียนคนอื่นด้วยคำพูดของเราแล้ว ไม่ได้เจตนา แต่คะนอง เที่ยวบอก หรือไปกินข้าวร้านอาหาร แล้วก็รีวิว โน่นไม่ดีนี่ไม่ดี อย่าไปเข้าร้านนี้ มันไม่ดีสำหรับตัวเอง เราไปทำให้คนไม่เข้าร้านเขา อันนี้ก็เบียดเบียน ฉะนั้นการถือศีลไม่ใช่เรื่องท่องๆ เอาแล้วบอกฉันถือศีลแล้ว เราต้องละเอียดต้องรอบคอบ สิ่งที่เราทำนั้นผิดศีลหรือเปล่า ต้องสังเกต ต้องรอบคอบ ต้องมีสติมีปัญญา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้จิตเศร้าหมอง อย่างถ้าเราเที่ยวบอกตรงนั้นผีตรงนี้ผี เวลาเราภาวนา บางทีรู้สึกผีมากวน ที่จริงจิตไปกวนผี ผีไม่ได้กวนเรา ฉะนั้นต้องระมัดระวัง
ถ้าศีลเราดี เราจะดีทั้งปัจจุบัน ดีทั้งอนาคต
ดีที่สุดเลยคือถึงพระนิพพานได้
ถ้าศีลเราดี เราจะดีทั้งปัจจุบัน ดีทั้งอนาคต ดีที่สุดเลยคือถึงพระนิพพานได้ ดีในปัจจุบันเราก็จะเป็นคนที่มีเครดิตดี อย่างเราเป็นคนซื่อสัตย์ ค้าขายก็ซื่อสัตย์อะไรนี่ ผลดีก็คือคนเชื่อถือ หรือเราพูดจาเชื่อถืออะไรไม่ได้ โกหกทุกคำพูด อยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่โกหกทุกคำพูดเลย ไปหาเสียงที่หนึ่งพูดอย่างหนึ่ง ไปอีกที่หนึ่งพูดอีกอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้สื่อมันเก่ง มันจับ 2 ที่มาชนกัน โกหกตลอด จะมีเครดิตไหม ก็ไม่มี
ฉะนั้นถ้าไม่มีศีล เราจะไม่มีเครดิตในสังคม เสื่อมทางสังคม คนไม่เชื่อถือไม่นับถือ ถ้ามาภาวนา ใจจะฟุ้งซ่าน มีเคยเห็น โกหกทุกคำพูดเลย โกหกแบบเฉยๆ เลย โกหกแบบไม่รู้ตัวว่าโกหก รู้ๆ แต่ว่าโกหกหน้าตาย พูดอะไรก็โกหกหมดเลย แล้วเวลาภาวนาก็ภาวนาแบบโกหก ทำเป็นนั่งสมาธิอย่างโน้นอย่างนี้ ใจมันไม่รวมหรอก มันไม่สงบ ก็คนโกหกใจมันฟุ้งซ่าน กรรมมันให้ผล
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรนี่ บางทีพูดเล่น พูดเล่นจนเคยตัว ไปแหย่เขาไปบลัฟเขาเล่นอะไรอย่างนี้ เราสนุก แต่คนที่ถูกบลัฟไม่มีความสุข เราก็เบียดเบียนด้วยคำพูด สมัยพุทธกาลพระราหุลเป็นเด็กซนเด็กช่างพูด ก็พูดแหย่พระโน้นพระนี้ไปเรื่อย พระพุทธเจ้าต้องเตือนว่าอย่ามุสาวาท มุสาวาทไม่ใช่แค่โกหก อำเล่นก็เป็นแล้ว คะนอง
ถ้าเราตั้งใจรักษาศีลดี เวลาทำสมาธิจิตก็จะรวมง่าย ถ้าเราทำสมาธิจนเก่ง ถึงอัปปนาสมาธิ เกิดอภิญญาด้วย ไม่ใช่สมาธิเฉยๆ แต่ศีลเสียสมาธิก็เสื่อม ตัวอย่างเทวทัต เทวทัตศีลเสีย เคยมีสมาธิดีก็เสื่อม ฉะนั้นศีลนอกจากทำให้เราเป็นที่น่าเชื่อถือในปัจจุบัน อยู่ในสังคมอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่คิดเบียดเบียนคนอื่น จิตใจมีความสุข อันนี้เป็นความสุขในปัจจุบันที่เห็นๆ
ข้อดีอีกอย่างก็คือทำสมาธิง่าย เวลาทำสมาธิ ถ้าเรารักษาศีลของเราได้ดี แล้วเราต้องการทำความสงบ เรานึกถึงศีลที่เรารักษามาอย่างดีช่วงหนึ่ง รักษาวันเดียวยังไม่มีอานิสงส์พอ รักษายาวๆ เรานึกถึงว่า โอ้ นี่เรารักษาศีลข้อนี้มาได้ดี ไม่ด่างพร้อย จิตเกิดสมาธิทันทีด้วยสีลานุสสติ
สมัยพุทธกาลก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านภาวนา เพื่อนร่วมร่วมรุ่นก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี เป็นอะไรกัน ได้ดีกันไป ของท่านจิตไม่สงบเลย ภาวนาไม่ได้ ทำอย่างไรจิตก็ไม่รวม แล้วท่านก็เสียใจ ท่านก็เลยเอามีดโกน มาปาดคอตัวเอง ก่อนจะตายก็นึกถึง เราบวชมาทั้งที เราไม่ได้อะไรเลยหรือ ก็บอก เอ๊ะ ไม่ใช่ ตลอดเวลาที่บวชมา เรารักษาศีลมาอย่างดีเลย เพื่อนสหธรรมิก คือเพื่อนพระด้วยกันก็ไม่เคยติเตียนท่านว่าผิดศีล พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยว่าท่านผิดศีล ตัวท่านเองก็ระลึกไปก็ไม่เคยผิดศีล
พอท่านนึกถึงว่าศีลของท่านดีอย่างนี้ สะอาดหมดจดมากเลย ศีลก็เป็นการปฏิบัติธรรม แสดงว่าท่านปฏิบัติธรรมมาดีแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจ พอท่านคิดว่าท่านรักษาศีลมาได้ดี ไม่มีอะไรด่างพร้อยเลย จิตท่านรวม แล้วท่านก็เห็นร่างกายกำลังจะตาย จนกระทั่งขณะที่ตายบรรลุพระอรหันต์ เพราะเห็นแล้ว ร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ สิ่งที่เกิดนั้นก็มีแต่ทุกข์เกิด ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป รู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์ บรรลุพระอรหันต์
พวกพระก็ไปถามพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ฆ่าตัวตายไปตกนรกขุมไหน พระสมัยโน้นก็ช่างสงสัยไม่ต่างกับพวกเรา พวกเราเวลาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงตาย แล้วชอบมาถามพระว่าตายแล้วไปไหน ชอบมาถามหลวงพ่อ บางทีหลวงพ่อก็ตอบไป ตอนเป็นๆ ไปไหนหลวงพ่อยังไม่รู้เลย พอตายแล้วจะรู้หรือ เซ้าซี้มากขึ้น ก็ตอบอีกลึกลงไปอีกชั้น ไปตามกรรมสิ ก็ไปตามกรรม แล้วดูสิที่ผ่านมาในชีวิต เขาทำกรรมดีมากหรือทำกรรมดีน้อยล่ะ ไปดูเอาเอง หลวงพ่อไม่ได้รู้จัก
ถ้ามีอาจิณกรรมชั่ว โอกาสไปทุคติมันก็สูง ไม่ต้องให้พระบอก ก็ใช้หลักที่พระพุทธเจ้าสอน นี่พวกพระก็ไปถามพระพุทธเจ้าว่าพระที่เชือดคอตายไปตกนรกขุมไหน พระพุทธเจ้าบอกไม่ตก องค์นี้เป็นพระอรหันต์สมสีสี คือเป็นพระอรหันต์แล้วก็สิ้นชีวิตลงตอนนั้นเลย เห็นไหมอานิสงส์ของศีล ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ รักษาศีลจนนาทีสุดท้าย ศีลด่างไปนิดหนึ่ง ไปเชือดคอตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ทำร้ายตัวเองบาดเจ็บ ยังไม่ทันตาย ไปเชือดคอ บาปไหม บาป แต่ยังไม่ถึงขนาดฆ่าตัวตาย แล้วบรรลุพระอรหันต์เสียก่อน อกุศลกรรมก็ตามไม่ทัน เป็นโมฆะไป
ฉะนั้นตั้งอกตั้งใจรักษาศีล 5 ข้อให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องประณีต แล้วการที่เราจะรักษาศีลได้ดี เราต้องมีสติรักษาจิต ถ้าเราไม่มีสติรักษาจิต เรารักษาศีลให้ดีไม่ได้หรอก ถ้าเรามีสติรักษาจิต ก็คือมีสติคอยรู้เท่าทัน กิเลสอะไรเกิดขึ้นกับจิต คอยรู้ทันไป หัดรู้บ่อยๆ หัดทีแรกมันก็จะรู้ได้แต่กิเลสหยาบ ต้องโกรธแรงๆ ก่อนอะไรอย่างนี้ ถึงจะรู้ หัดไปเรื่อยๆ ดูไป หัดดูทุกวันๆ ดูบ่อยๆ ต่อไปกิเลสเล็กกิเลสน้อยอะไรเกิดก็รู้
เราจะรักษาศีลได้ดี เราต้องมีสติรักษาจิต
เบื้องต้นอาจจะต้องกิเลสรุนแรง ล้นออกมาเป็นการทำผิดศีลทางกาย ทางวาจาอะไรอย่างนี้ ก็รู้ทัน แล้วถ้าเราอ่านจิตอ่านใจตัวเองออก ละเอียดประณีตขึ้นไป เรารู้ทันกิเลสที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเรา ตัวนี้สำคัญ ถ้าเรามีสติว่องไว รู้เท่าทันกิเลสที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเราได้ ความคิดและคำพูดและการกระทำของเราทั้งหมด มันจะดีงาม มันจะไม่ผิดศีลหรอก
คนทำชั่วทางร่างกาย ใช้ร่างกายไปทำชั่ว หรือใช้วาจาทำชั่ว ก่อนที่กายจะชั่ว วาจาจะชั่ว จิตมันชั่วไปก่อน เพราะฉะนั้นเราไประวังที่กายที่วาจาอย่างเดียวเหนื่อย เล่นมันที่ต้นตอเลย มีสติรักษาจิตตัวเอง ดูจิตไป รู้ทันจิตไป กิเลสอะไรเกิดขึ้นที่จิต มีสติรู้ทันไป ไม่ต้องไปห้ามกิเลส ไม่ต้องพยายามบอก กิเลสอย่าเกิดๆ เหมือนอย่าโกรธๆ อย่าเสียใจๆ ไม่ต้องไปห้ามหรอก มันห้ามไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันเป็นอนัตตาหมด
สภาวธรรมทั้งหลายมันเป็นอนัตตา เราจะไปห้ามจิตไม่ให้โกรธ ไม่ให้น้อยใจอะไรอย่างนี้ ห้ามไม่ได้ แต่เรามีสติรู้เท่าทันจิตตัวเองได้ หัดรู้ไป ทีแรกต้องรู้อารมณ์รุนแรง กิเลสรุนแรงก่อนแล้วก็เราไปชกหน้าเขาไป เราก็เพิ่งนึกได้ เฮ้ย ไปชกเขาเพราะเมื่อกี้นี้โกรธ ลืมตัว เริ่ม อย่างน้อยก็เริ่มรู้เล็กๆ น้อยๆ ทำผิดไปแล้วล่ะถึงจะรู้ ด่าเขาไปแล้ว ถึงจะรู้ว่า เฮ้ย มันทำไปด้วยความโกรธ
หรือไปจีบผู้หญิง หรือไปจีบผู้ชาย เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาก็เสมอภาค เขาก็จีบผู้ชายอะไรอย่างนี้ เราสังเกตดู เวลาจะจีบใครสักคน มุสาวาทแทบทั้งนั้น สังเกตให้ดี ไม่ใช่เรื่องจริงเรื่องที่ไปพูดกัน ไปหลอกกัน ถ้าเราประณีต สังเกตอย่างประณีตลึกซึ้ง จะรู้ทันเลย กิเลสมันเกิดอยู่แทบตลอดเวลา มันบงการการกระทำของเรา บงการคำพูดของเรา มโนกรรมมันมาก่อน กายกรรมวจีกรรมมันก็เลยตามมา ถ้ามโนกรรมของเราดี กายกรรมวจีกรรมมันก็จะดี
เพราะฉะนั้นหัดสังเกตจิตใจของเราให้ดี มีสติคอยรู้ทันจิตใจของตัวเอง เห็นคนนี้ปุ๊บหรือคิดถึงสิ่งนี้ปุ๊บ ราคะแทรกแล้ว มีสติรู้ทัน ราคะก็ดับ เห็นคนนี้ ได้ยินเสียงอย่างนี้ ได้กลิ่นอย่างนี้ จิตมีโทสะขึ้นมา มีสติรู้ทันว่ามีโทสะ โทสะก็ดับ ศีลเราก็จะเกิดขึ้น แล้วในขณะนั้นสมาธิก็จะเกิดด้วย สมาธิตัวนี้เกิดจากการที่เรามีสติ ถ้าเรามีสติถูกต้อง มีสัมมาสติ คือมีสติระลึกรูปนามกายใจ สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ฉะนั้นอย่างเราคิดร้ายคน คิดร้ายกับคน นั่งแช่งมันอยู่ในใจเรานี่ล่ะ เราเห็น เฮ้ย นี่มันพยาบาทเขา คิดร้ายกับเขามากเลย คิดด้วยความอาฆาตพยาบาท พอรู้ทันปั๊บ ความอาฆาตพยาบาทดับทันที จิตในขณะนั้นพลิกจากอกุศลเป็นกุศล ที่จริงมันไม่ได้พลิกหรอก จิตที่เป็นอกุศลมันดับ ด้วยกำลังของสติ สติรู้ทันปุ๊บดับเลย อกุศล แล้วจิตที่เป็นกุศลมันเกิดขึ้นแทน มันขึ้นแทนที่จิตที่ประกอบด้วยสติเป็นจิตที่เป็นกุศล
จิตที่มันเป็นกุศลอย่างนี้ มีสติรู้ทันจิตที่โกรธ ความโกรธดับ จิตก็ไม่ฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของความโกรธ สมาธิมันก็เกิดขึ้น มันไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อมันไม่ฟุ้งซ่าน มันก็ตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ไหลไปในโลกของความคิดที่จะสาปแช่งคนอื่น เห็นไหมเรามีสติเข้ามาถึงจิตใจ สมาธิเกิดเอง ใจมันจะสงบระงับลงมา แล้วพอใจเราสงบระงับ ฝึกบ่อยๆ ใจเราจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
หลวงพ่อยังไม่รู้จะใช้ศัพท์อะไรคําว่า เด่นดวง เดี๋ยวเราไปคิดว่าจิตเป็นดวงๆ เราจะได้ยินเรื่อยๆ จิตมีกี่ดวงอะไรอย่างนี้ นั่นเป็นแค่อะไร ลักษณะนาม เรียกเป็นดวงๆ ที่จริงจิตไม่มีดวงหรอก จิตไม่มีรูปร่าง แล้วจะไปมีดวงได้อย่างไร จิตมันเป็นอรูป แต่ไม่รู้จะเรียกมันอย่างไร จิตตัวที่หนึ่ง ตัวที่สอง นี่ก็เรียกเป็นตัวอีกแล้วมันต้องมีคำเรียก คนโบราณเลยเรียกว่าเป็นดวงๆ จะเรียกว่าจิตเชือกที่หนึ่ง จิตเชือกที่สองได้ไหม อยากเรียกก็เรียกไปสิ ไม่เห็นจะเป็นไร มันแค่โวหาร
ถ้าเรามีสติรู้ทันจิตใจตัวเองเรื่อยๆ จิตมันจะตั้งมั่นเด่นขึ้นมา แต่มันไม่ได้คงที่ จิตที่ทรงตัวเด่นขึ้นมา เกิดดับ มีแต่หลงแล้วรู้ๆ จิตที่มันทรงตัวขึ้นมา มันเหมือนไฟกระพริบ แต่มันกระพริบเร็วจนรู้สึกว่าไม่กระพริบ เหมือนหลอดไฟ ไฟฟ้ามันเป็นไฟสลับ เกิดดับๆๆ อยู่ตลอด แต่มันต่อเนื่องกันเร็ว เราเลยรู้สึกไฟมันไม่ดับ ถ้ามันดับยาวๆ เราก็บอกไฟดับ เราดูออก
จิตนี่ก็เหมือนกันเกิดดับเร็ว เกิดดับเร็วจนเรารู้สึกว่ามันไม่ดับ อันนั้นเรียกว่า แหม มันตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา มีเรี่ยวมีแรง แล้วอยู่กับเนื้อกับตัว เราก็จะเดินปัญญาต่อๆ ไป เอาสติไประลึกรู้ ไม่เจตนา สติระลึกรู้อะไรในรูปธรรมนามธรรม ก็ให้มันระลึกไป ระลึกแล้วจะเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศล ก็ไม่ว่ามัน ให้มันเกิดไป แต่เรามีความตั้งมั่นเป็นคนดู เราจะเห็นว่าความสุขความทุกข์ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป กุศลอกุศลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ถ้าจิตเราไม่ตั้งมั่นเด่นดวง มีความสุข จิตก็ไหลตามความสุขไป มีความทุกข์ จิตก็ไหลตามความทุกข์ไป มีกุศล จิตก็ไหลตามกุศลไป มีอกุศล จิตก็ไหลตามอกุศลไป เมื่อไหลตามกันไปกลายเป็นพวกเดียวกัน ดูกันไม่ออกแล้วคราวนี้ แต่ถ้าจิตมันแยกตัวออกมา ตั้งมั่น เด่นดวงอยู่ มันจะเห็นว่าความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่จิตหรอก
มันเป็นแค่เหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน จิตอยู่ในบ้าน นั่งอยู่ เห็นตัวอะไรต่ออะไรเดินผ่านหน้าต่างไป ผ่านประตูไป จิตเป็นแค่คนดู มันจะเห็นทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนแต่ผ่านไปทั้งสิ้น แต่ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น ไปเห็นคนเดินผ่านหน้าบ้าน ก็วิ่งตามเขาไป คนนี้ชอบ วิ่งตามไปดู คนนี้เกลียด สงสัยมันมาเดินแถวนี้ทำอะไร มันจะมาเล่นงานเราหรือเปล่า ก็ต้องตามไปดู นี่มันส่งออกไปข้างนอก แต่ถ้ามันตั้งมั่นมันจะเห็นความจริงว่าทุกอย่างมาแล้วก็ไป
การปฏิบัติต้องให้ถึงพร้อม
ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
การปฏิบัติ เราต้องให้ถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ปัญญาต้องเห็นไตรลักษณ์ เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไปๆ มีแล้วก็หายไป ไม่มีอะไรคงที่ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าศีลเราไม่ดี สมาธิเราก็พัง พอศีลไม่ดี ใจจะถูกกิเลสเย้า ยั่วยวน ชักจูงไป จิตก็ฟุ้งซ่าน สมาธิเราก็เสีย ไม่ตั้งมั่น แล้วถ้าเราไม่มีศีล เราไปเจริญปัญญา มันจะเป็นปัญญาแบบคนทุศีล ปัญญาแบบตามใจกิเลสปกป้องกิเลส เข้าข้างกิเลส
อย่างเราเห็นมดเดินอยู่ เราบอกสักว่าเห็น ไม่มีศีล ไปเหยียบมันเล่น แบบนี้มีปัญญา มดไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ฉะนั้นเหยียบได้ เจอหอยทากเดินก็เหยียบได้ เพราะหอยทากไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ฟังแล้วทุเรศไหม นี่มีปัญญาไหม มี รู้ว่าไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา แต่ศีลมันไม่มี มันก็ทำบาป จงใจแกล้งไปเหยียบมัน หลบได้ก็ไม่หลบ เหยียบมันเล่นกร๊อบแกร๊บๆ หอยตัวเล็กๆ เหยียบแล้วมันดังกร๊อบๆ
บางทีหลวงพ่อเคยพลาดไปเหยียบเหมือนกัน มืดๆ ตาเราไม่ค่อยจะดีแล้ว บางทีมันอยู่ในใบไม้ ใต้ใบไม้ ไม่รู้ เห็นหอยตัวหนึ่งเดินอยู่ที่ถนน เราก็หลบ หลบลงข้างทาง อ้าว ไปเหยียบทีเดียว 3 ตัวเลย หลบ 1 ตัวแต่มันไปอยู่ใต้ใบไม้ตั้ง 3 ตัวอะไรอย่างนี้ อย่างนี้เราไม่ได้มีเจตนาเจือปนสักนิดหนึ่ง แต่ถ้าเห็นแล้วก็บอกมีปัญญามาก ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ใครเคยอ่านเรื่องกามนิต วาสิฏฐีบ้าง เคยไหม ยกมือให้ดูหน่อยสิ ถ้าเคยอ่านก็แสดงว่าอาวุโส เดี๋ยวนี้คงไม่เรียนแล้วกระมัง อะไรที่ดีๆ เขาไม่ค่อยเรียนกันแล้วล่ะ เรียนอะไรกันก็ไม่รู้ เรียนออกมาจะเป็นมหาโจรกันไปหมดแล้ว ในนั้นในเรื่องนั้น มันจะมีนักบวชคนหนึ่ง ชื่อวาชศรพๆ นี่เรียนตั้งแต่มัธยมยังจำได้ เที่ยวสอนบอกว่า เราเป็นนักรบ เราไปต่อสู้กับข้าศึก เราไปฟันมันตัวขาด 2 ท่อน เราไม่บาป เพราะดาบของเราเคลื่อนผ่านช่องว่างไป ร่างกายคนเป็นอณูเล็กๆ มาประกอบกัน ดาบมันจะผ่านอณูไป เห็นไหมเราฟันความว่าง เราไม่ได้ฟันคน แหม ฉลาดไหมคิดอย่างนี้ ฉลาด แต่ฉลาดแบบไม่ฉลาด บอกมันไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มันบอกนี้ ฟังแล้วเก่งจังเลย เห็นว่าไม่มีคน เราฟันความว่าง
หลายคนเอะอะก็ว่างๆๆ มันว่างแบบวาชศรพ มันไม่ได้ว่างแบบพระพุทธเจ้า ว่างแบบพระพุทธเจ้า ว่างเพราะพ้นจากความปรุงแต่ง นี่ปรุงแต่งว่าว่าง คนละเรื่องกันเลย เพราะฉะนั้นจะมีปัญญาก็ต้องมีศีล มิฉะนั้นมันจะเป็นปัญญามหาโจร ฉะนั้นศีลไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าเรามีศีล เรามีสมาธิ เรามีปัญญา เจริญปัญญาไปเรื่อยๆ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง ไม่ถูกกิเลสย้อม ถึงวันหนึ่ง มรรคผลมันก็เกิด เพราะมรรคผลเกิดเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาบริบูรณ์ ไม่มีใครสั่งจิตให้บรรลุมรรคผลได้ จิตบรรลุมรรคผลเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาบริบูรณ์ เห็นไหมท่านพูดถึงศีลด้วย ไม่ใช่ปัญญาอย่างเดียว
ฉะนั้นเราจะต้องตั้งอกตั้งใจ ทุกวันตื่นนอนมาปุ๊บ เราตั้งใจวันนี้เราจะรักษาศีล 5 เอา 5 ข้อก็พอแล้ว ศีล 5 สำคัญมาก นานๆ ถือศีล 8 สักที ลองลิ้มรสชาติของการประพฤติพรหมจรรย์แบบย่อๆ ดู ลองเป็นคราวๆ ไม่เป็นไร แต่อย่างถ้าเราเป็นฆราวาสทำงานหนัก ทำงานเหนื่อยทั้งวัน เราไม่กินข้าวเย็นเลย ร่างกายบางทีก็ไม่ไหว เพราะเราก็มีหน้าที่ต้องดูแลร่างกายนี้เหมือนกัน พ่อแม่ให้มา สมบัติที่พ่อแม่ให้มา เอามาทำประโยชน์ ทำมาหากิน มาทำประโยชน์ที่ดีๆ ให้สังคมให้บ้านเมือง ประโยชน์สูงสุดก็คือการภาวนา เราก็มีหน้าที่ต้องดูแลร่างกายด้วย
ฉะนั้นพยายามตั้งอกตั้งใจ ทุกวันตื่นนอนมาตั้งใจรักษาศีล 5 ไว้ ก่อนจะกินข้าวเช้า ก็ตั้งใจรักษาศีล 5 ไว้ ก่อนจะกินข้าวกลางวัน ก็ตั้งใจอีก ก่อนจะกินข้าวเย็น ก็ตั้งใจอีกรอบหนึ่ง ก่อนนอนตั้งใจอีกที จะนอนแล้วทำไมจะต้องตั้งใจ ก็ไม่ได้ไปทำอะไรแล้วนี่ เอาไว้ก่อนเผื่อนอนแล้วไม่ตื่น ถ้าตายไปเจอยมบาล ยมบาลถามว่ามีอะไรดีบ้างในชีวิตนี้ ผมถือศีลจนวาระสุดท้ายของชีวิตครับ ยมบาลตัวสั่นด้วยความนับถือ
ฉะนั้นตั้งใจไว้ เราไม่รู้เราจะตายตอนไหน อาจจะตายตอนเช้า ตายตอนกลางวัน ตอนตื่นนอนก็รีบตั้งใจเลย บางคนตื่นนอนแล้วลุกพรวดขึ้นมา ความดันไม่พอ หน้ามืดหัวฟาดพื้นตาย อย่างนี้ก็มี ตื่นขึ้นมารีบไปอาบน้ำ น้ำเย็นๆ โดนหัวทีเดียว เส้นเลือดแตก เส้นเลือดสมองมันเย็นไป เส้นเลือดก็ขยายตัว เส้นเลือดแตกตาย ยังไม่ทันจะกินข้าวเลย บางคนกินข้าวเช้าแล้วสำลักข้าวตาย เห็นไหม ถึงบอกว่าให้ถือศีลไว้ก่อนจะกินข้าว เกิดสำลักข้าวตายขึ้นมา
มี หลวงพ่อเคยเจอ มีเรื่องจริงสำลักข้าวตาย ไม่มีคนช่วย ไม่มีใครรู้ว่าจะแก้อย่างไร คนข้าวติดคอ ไปลูบหลัง ลูบๆ ไม่ออกหรอก ต้องดัน ไปหาเรียนไว้ เผื่อคนใกล้ตัวเรา คนที่เราไปเจออาหารติดหลอดลม ได้ช่วยเขาได้ กินข้าวเช้าแล้วก็ตาย ถ้าตั้งใจถือศีลไว้ก่อน ตายไปยมบาลถาม มีความดีอะไรบ้าง ถือศีลจนตายเลย ยมบาลก็ปลาบปลื้ม แหม คนนี้ดี อนุโมทนา
เพราะฉะนั้นตั้งใจ ศีลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทำแล้วมีอานิสงส์มาก เราจะได้ประโยชน์ในปัจจุบันได้ประโยชน์ในอนาคต ได้ประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน ฟังแล้วง่ายไหม ถือศีล 5 ให้ได้แล้วค่อยมาบอกว่าง่าย
วัดสวนสันติธรรม
6 ตุลาคม 2567