การทำงานบ้านเป็นกรรมฐานที่ดีมาก

โยมถามคำถามหลวงพ่อ:
โยมฟุ้งซ่านมาก แล้วโยมมีเรื่องกังวลมาก เวลาอยู่บ้านเกี่ยวกับการทำงานบ้านทั้งวันเลยค่ะ ทำให้กับลูกและทำให้กับตัวเอง ทำให้มีโทสะตัวเล็กตัวใหญ่วิ่งไปวิ่งมาในจิตโยมทั้งวันเลยค่ะ

หลวงพ่อ:
อันนั้นล่ะเราใช้เป็นกรรมฐานได้

มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาทำงานบ้าน เป็นแม่บ้าน ดูแลลูกดูแลสามี สามีเป็นอัลไซเมอร์ด้วย ดูแลทุกอย่างเองเลย ทั้งตัวบ้าน ทั้งเสื้อผ้า ทั้งอาหาร
เขาไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ มันเป็นเครื่องอยู่ของจิต กวาดบ้านนี่ ระลึกรู้กายระลึกรู้ใจ ซักผ้ารู้กายรู้ใจ ทำอาหารรู้กายรู้ใจ
ภาวนาจนเข้าใจธรรมะเลย ด้วยการทำงานบ้านนี่ล่ะ
แต่ถ้าเราทำงานบ้านไป แล้วก็เศร้าหมองไป แหม มีแต่คนทำสกปรก เราทำสะอาดอยู่คนเดียวอะไรอย่างนี้นะ อย่างนี้โมโห
ถ้ามันโมโหจริงๆ ก็ห้ามมันไม่ได้ ก็รู้ว่าโมโหเอา
แต่จะบอกโยมว่าการทำงานบ้านนี่ เป็นกรรมฐานที่ดีมากๆ เลย
เวลาเราทำงานบ้าน เราเหนื่อย เรารู้ ร่างกายมันเหนื่อย ใจมันไม่พอใจอย่างอย่างนี้ เรารู้
ทำพอบ้านเราสะอาด เราสบายใจ มีความสุข รู้ว่ามีความสุข คนอื่นมาทำบ้านเราสกปรกอีกแล้ว โมโหลูกมาทำสกปรกอีกแล้ว โมโห รู้ว่าโมโหอะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นสามารถที่จะดูกายดูใจได้ทั้งวันเลย การทำงานบ้านนี่

ตอนหลวงพ่อเป็นนักศึกษาไปบวชที่วัดชลประทาน มีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่กุฏิติดกัน อยู่หน้าวัดเลย อยู่ข้างเมรุ พระอื่นอยู่หลังวัด เจ้าคุณปัญญาอุปัชฌาย์ท่านให้หลวงพ่ออยู่กุฏิตรงนี้เลย
เราก็เห็นหลวงตาองค์นี้ ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่ทำอย่างอื่น ไม่นั่งสมาธิ ไม่เดินจงกรม มีไม้กวาด 2 อัน เดินกวาดวัด จากหน้าวัดไปท้ายวัด ท้ายวัดมาหน้าวัด กวาดไปกวาดมา กวาดทั้งวันเลย
หลวงพ่อสงสารท่าน ว่า โอ้ย ท่านทำไมงานเยอะจัง พระอื่นถึงเวลาก็ไปนั่งสมาธิที่ท้ายวัดมีศาลานั่งสมาธิอยู่ ท่านไม่ได้ปฏิบัติเลย
ก็ไปบอกท่าน หลวงพ่อครับไปนั่งสมาธิกันดีกว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะมาช่วยกวาด
ท่านบอกไม่เป็นไร คุณบวชชั่วคราว คุณไปนั่งไป ผมกวาดเอง
ท่านก็กวาดอยู่อย่างนั้นนะ มีปอดข้างเดียวด้วย ตัดปอดไปอันหนึ่ง ท่านก็ทำอยู่อย่างนั้น
ตอนหลวงพ่อภาวนาเป็นนะ หลวงพ่อ อับอายขายหน้ามากเลย แทบจะเขกหัวตัวเองเลย โง่
ที่จริงท่านปฏิบัติอยู่ทั้งวันเลย เราปฏิบัติไม่เป็นไปนั่งอย่างนี้ นึกว่าปฏิบัติเหรอ
ท่านกวาดวัดนั้นล่ะท่านปฏิบัติ
ฉะนั้นโยมกวาดบ้านให้เป็นการปฏิบัติให้ได้ อย่าให้เป็นเรื่องเศร้าเสียใจ
นี่ล่ะคือการปฏิบัติ กวาดขยะไปด้วย กวาดกิเลสไปด้วย คือรู้ทันใจไปด้วย

เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่นที่บ้านผือ ตอนนั้นท่านเป็นพระเด็กๆ เป็นพระหนุ่ม
ท่านกลัวหลวงปู่มั่นมาก ท่านบอกตอนบ่ายๆ ต้องคอยฟังเสียง หลวงปู่มั่นจะโยนรองเท้าลงจากกุฏิดัง ตุ้บ อันนี้คือสัญญาณ เริ่มกวาดวัด
ก่อนหน้านั้น ทุกองค์ต้องทำสมาธิเดินจงกรมเงียบๆ จะมากวาดวัดโฉ่งฉ่าง รบกวนคนอื่นไม่ได้
แต่พอได้ยินว่าหลวงปู่มั่น โยนรองเท้าลงมาท่านจะลงจากกุฏิแล้ว ทุกคนก็จะคว้าไม้กวาด ไปกวาด
ครูบาอาจารย์องค์นี้ท่านก็คอยดู ว่าหลวงปู่มั่นจะกวาดไปทางไหน
หลวงปู่มั่นไม่มีที่กวาดประจำ ท่านจะกวาดประกบลูกศิษย์เป็นสายๆ ไป
องค์นี้กลัว เพราะอย่างนั้นจะคอยดู ยังไม่กวาด
เห็นหลวงปู่มั่นมาทางนี้ ท่านจะไปกวาดที่อื่น นี่หนีอย่างนี้ทุกวันเลย
วันหนึ่งก็เห็นหลวงปู่มั่นไปทางโน้นแล้ว กวาดสบายใจเลย
กวาดๆ อยู่ ได้ยินเสียงกวาดตามหลังมา หันไปดูเป็นหลวงปู่มั่น ท่านกวาดตามมาแล้ว ตกใจ รีบกวาด
อุ๊ย ลุยใหญ่ จะหนี หลวงปู่มั่นก็กวาดตามนะ แต่ว่าแอบโกงหน่อยๆ ก้าวไป 3 ก้าว กวาดที 3 ก้าวกวาดที ใครจะชนะ
สุดท้ายเข้าถึงตัวท่าน หลวงปู่มั่นมาถึงตัวท่านเลย นึกว่าหลวงปู่มั่นท่านจะดุอะไร เพราะท่านขึ้นชื่อเรื่องดุ
ปรากฏหลวงปู่มั่นไม่ดุ หลวงปู่มั่นก็สอนท่าน พระน้อย พระน้อยคือพระหนุ่ม พระน้อยกวาดตาด หมายถึงกวาดไม้กวาดนี่ล่ะ “กวาดตาดกวาดพื้นนี่ กวาดตาดนี่ต้องค่อยๆ กวาด มันถึงจะสะอาด รีบร้อนนะ มันไม่สะอาดหรอก การปฏิบัตินี่ก็เหมือนๆ กัน ค่อยๆ ดู ค่อยๆ สังเกตุ ค่อยๆ ทำไป ถึงจะเข้าสู่ความสะอาดหมดจดได้” นี่ท่านมาสอน
แล้ว 2 องค์ก็เลยพากันกวาดวัดไปด้วยกันได้ ไม่หนีคราวนี้

ฉะนั้นจริงๆ การกวาดเป็นการปฏิบัติธรรม อย่าไปกลุ้มใจ
ตัวที่ทำให้ทำความสะอาดบ้านแล้วกลุ้มใจ คือความคิดของเราเอง
ทำไมคนอื่นไม่ทำ ทำไมคนอื่นเอาเปรียบเรา ความคิดตัวนี้ที่ทำให้เราเศร้าหมอง ไม่ใช่การทำงานกวาดบ้านถูบ้านทำให้เราเศร้าหมอง ความคิดของเราเองทำให้เราเศร้าหมอง
ฉะนั้นเราต้องระวัง คอยรู้ทันใจของเราไว้ พอเราชำนาญ เราจะเหมือนหลวงตาที่หลวงพ่อเล่าเมื่อกี้
กวาดจนไม่รู้จะกวาดอะไรก็กวาดอีก กวาดจนสะอาดแล้วสะอาดอีกก็กวาดไปเรื่อย ที่จริงคือการทำกรรมฐาน
กรรมฐานที่นั่งก็อย่างนั้น ใครๆ เขาก็ทำ กรรมฐานที่เคลื่อนไหว ทำงานได้นี่สิเก่งจริง
 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
22 กุมภาพันธ์ 2563
ไฟล์ 630222B