คำถาม:
หลวงพ่อ:
ภาวนามันก็เจริญบ้างเสื่อมบ้าง เป็นธรรมชาติ มันถูกแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องมีเครื่องอยู่ แล้วก็อยู่กับเครื่องอยู่ของเราไป อย่างเมื่อกี้หลวงพ่อเทศน์เรื่องปัญญานำสมาธิ ปัญญานำสมาธิไม่ใช่แปลว่าไม่มีสมาธิ ก็ต้องมีสมาธิคือขณิกสมาธิ เพราะฉะนั้นเราต้องฝึก อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหนีแล้วรู้อะไรอย่างนี้ เราจะได้ขณิกสมาธิ ต้องฝึก ทุกวันทำทุกวัน สมาธิของเราก็จะค่อยๆ เข้มแข็งมากขึ้นๆ พอสมาธิมันเข้มแข็งแล้ว แล้วเราคอยรู้ทันเวลาจิตมันเคลื่อน จิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา แล้วมันจะเห็นความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว เป็นของแปลกปลอม พอร่างกายเคลื่อนไหวมันก็จะเห็นเลย ร่างกายก็ไม่ใช่จิต เป็นของถูกรู้ถูกดู
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ถูกรู้ถูกดู ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราจะเดินปัญญาได้ก็ต้องอาศัยสมาธิ แต่ว่าเป็นแค่ขณิกสมาธิ ฉะนั้นปัญญานำสมาธิไม่ได้แปลว่าไม่มีสมาธิ แต่ต้องมีสมาธิ คือขณิกสมาธิต้องมีก่อน ฉะนั้นถ้าเข้าใจตัวนี้เราก็พยายามฝึกจิตของเราให้มีสมาธิ มีขณิกสมาธินี่ล่ะ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตไปทำอะไรรู้ทัน แล้วก็พอรู้ทันแล้วมันก็จะเป็นผู้รู้ขึ้นมา มันก็มาหายใจเข้าพุท – ออกโธอีก หนีไปอีกรู้อีก มันหนีได้ 2 ลักษณะ หนีไปคิดกับหนีไปเพ่ง มันหนีอย่างไรเราคอยรู้เอาก็แล้วกัน ฝึกจนชำนิชำนาญ ต่อไปจิตขยับนิดเดียวเห็นเลย จิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ได้ทั้งวัน ในที่สุดจิตเราก็จะเป็นผู้รู้จริงๆ ในทุกๆ ปรากฏการณ์ อยู่ในชีวิตประจำวันจิตก็ยังเป็นผู้รู้ เห็นโลกธาตุนี้ว่างเปล่า ไม่มีตัวมีตนอะไรหรอก
เราภาวนาไปเรื่อยๆ ต่อไปก็เห็นตัวจิตเองก็ว่างเปล่า ไม่มีตัวมีตนหรอก ถ้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นโลก เห็นขันธ์ว่างเปล่า เห็นจิตที่ไปรู้ขันธ์ว่างเปล่า ตรงนั้นเราก็จะได้ธรรมะแล้ว นี้ก็อาศัยฝึกสมาธิทีละขณะๆ นี่ล่ะ ต้องทำ มีเครื่องอยู่ ถ้าไม่ทำจิตเดินปัญญาไม่ได้จริง มันจะฟุ้ง.
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564