รู้ตัวเร็วบ้างช้าบ้าง แล้วจึงเริ่มต้นกับการดูกายหายใจใหม่ รู้สึกว่าบางวันภาวนาได้ดี บางวันภาวนาไม่ค่อยดี

คำถาม:

ทุกวันปฎิบัติในรูปแบบโดยการนั่งสมาธิ ดูกายหายใจผสมกับภาวนาพุทโธ วันละ 20 – 30 นาที และปฎิบัตินอกรูปแบบ โดยการดูกายเคลื่อนไหว ดูกายหายใจ จิตคิด จิตไหล หรือจิตมีกิเลสก็คอยรู้ตัว รู้แล้วเห็นสภาวะนั้นดับไป โดยรู้ตัวเร็วบ้างช้าบ้าง แล้วจึงเริ่มต้นกับการดูกายหายใจใหม่ รู้สึกว่าบางวันภาวนาได้ดี บางวันภาวนาไม่ค่อยดี ขอคำชี้แนะเพื่อภาวนาต่อไปครับ

 

หลวงพ่อ:

ภาวนามันก็เจริญบ้างเสื่อมบ้าง เป็นธรรมชาติ มันถูกแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องมีเครื่องอยู่ แล้วก็อยู่กับเครื่องอยู่ของเราไป อย่างเมื่อกี้หลวงพ่อเทศน์เรื่องปัญญานำสมาธิ ปัญญานำสมาธิไม่ใช่แปลว่าไม่มีสมาธิ ก็ต้องมีสมาธิคือขณิกสมาธิ เพราะฉะนั้นเราต้องฝึก อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหนีแล้วรู้อะไรอย่างนี้ เราจะได้ขณิกสมาธิ ต้องฝึก ทุกวันทำทุกวัน สมาธิของเราก็จะค่อยๆ เข้มแข็งมากขึ้นๆ พอสมาธิมันเข้มแข็งแล้ว แล้วเราคอยรู้ทันเวลาจิตมันเคลื่อน จิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา แล้วมันจะเห็นความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว เป็นของแปลกปลอม พอร่างกายเคลื่อนไหวมันก็จะเห็นเลย ร่างกายก็ไม่ใช่จิต เป็นของถูกรู้ถูกดู

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ถูกรู้ถูกดู ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราจะเดินปัญญาได้ก็ต้องอาศัยสมาธิ แต่ว่าเป็นแค่ขณิกสมาธิ ฉะนั้นปัญญานำสมาธิไม่ได้แปลว่าไม่มีสมาธิ แต่ต้องมีสมาธิ คือขณิกสมาธิต้องมีก่อน ฉะนั้นถ้าเข้าใจตัวนี้เราก็พยายามฝึกจิตของเราให้มีสมาธิ มีขณิกสมาธินี่ล่ะ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตไปทำอะไรรู้ทัน แล้วก็พอรู้ทันแล้วมันก็จะเป็นผู้รู้ขึ้นมา มันก็มาหายใจเข้าพุท – ออกโธอีก หนีไปอีกรู้อีก มันหนีได้ 2 ลักษณะ หนีไปคิดกับหนีไปเพ่ง มันหนีอย่างไรเราคอยรู้เอาก็แล้วกัน ฝึกจนชำนิชำนาญ ต่อไปจิตขยับนิดเดียวเห็นเลย จิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ได้ทั้งวัน ในที่สุดจิตเราก็จะเป็นผู้รู้จริงๆ ในทุกๆ ปรากฏการณ์ อยู่ในชีวิตประจำวันจิตก็ยังเป็นผู้รู้ เห็นโลกธาตุนี้ว่างเปล่า ไม่มีตัวมีตนอะไรหรอก

เราภาวนาไปเรื่อยๆ ต่อไปก็เห็นตัวจิตเองก็ว่างเปล่า ไม่มีตัวมีตนหรอก ถ้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นโลก เห็นขันธ์ว่างเปล่า เห็นจิตที่ไปรู้ขันธ์ว่างเปล่า ตรงนั้นเราก็จะได้ธรรมะแล้ว นี้ก็อาศัยฝึกสมาธิทีละขณะๆ นี่ล่ะ ต้องทำ มีเครื่องอยู่ ถ้าไม่ทำจิตเดินปัญญาไม่ได้จริง มันจะฟุ้ง.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

ปฏิบัติในรูปแบบสม่ำเสมอแต่ยังฟุ้งซ่าน การปฏิบัติระหว่างวันสติหลุดจนโกรธมาก ดูจิตที่หลงไปคิดจริงจังไม่ทัน

ปฏิบัติในรูปแบบสม่ำเสมอแต่ยังฟุ้งซ่าน การปฏิบัติระหว่างวันสติหลุดจนโกรธมาก ดูจิตมัวตรงๆ ได้นานๆ ครั้ง ร่วมกับดูจิตฟุ้งซ่านหลังรู้ว่าไหลไปเบาๆ เอื่อยๆ ส่วนจิตที่หลงไปคิดจริงจัง ดูไม่ทันค่ะ ขอหลวงพ่อชี้แนะสิ่งที่ต้องปรับปรุง

 

หลวงพ่อ:

คือถ้ามันจำเป็นต้องคิด คิดเรื่องทำมาหากิน คิดเรื่องแก้ไขปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัวอะไร มันจำเป็นต้องคิด ก็คิดไปเถอะ แต่เราไม่หาขยะมาให้จิต ทุกวันนี้ขยะเต็มไปหมดเลย เปิดอินเทอร์เน็ตมาก็เจอแล้ว ขยะคือข้อมูลขยะทั้งหลาย ข้อมูลที่เห็นแล้วจิตเศร้าหมอง อย่าไปดูมัน ดูเท่าที่จำเป็น นี้พอเราไปรับข่าวสารข้อมูลที่ทำให้จิตเศร้าหมองมากอะไรนี่ ใจเราก็เดือดร้อนรำคาญ โทสะก็ครอบเรา เราก็ไม่มีกำลังหรอก

เวลานี้โรคระบาดรุนแรง บ้านเมืองวิกฤต ต้องยอมรับว่าบ้านเมืองวิกฤต เป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของบ้านเมือง ผู้คนวุ่นวาย บางคนวุ่นวาย เจตนาแกล้งให้วุ่นวาย มีผลประโยชน์แอบแฝง บางคนแตกตื่นแล้ววุ่นวาย บางคนก็มีกิเลสอย่างอื่น เช่น อยากโอ้อวด อยากแสดงความคิดความเห็นอะไรอย่างนี้ พวกนี้มันช่วยกันเพิ่มข้อมูลขยะขึ้นมาเต็มไปหมดเลย ข้อมูลขยะนี้ยิ่งเราเสพมาก ใจเรายิ่งเดือดร้อน โทสะขึ้นทั้งวันเลย ดูนี่ก็โทสะขึ้นๆ พวกที่เกลียดนายกฯ ไปอ่านข่าวคนชมนายกฯ โทสะขึ้น เกลียดนายกฯ ไปเห็นข่าวด่านายกฯ ก็ดีใจ ราคะขึ้น เกิดวิหิงสาวิตก มุ่งคิดร้ายด้วยโมหะอะไรอย่างนี้ คิดร้ายด้วยราคะ คิดร้ายด้วยโทสะอะไรนี่ ใจเราวนเวียนอยู่ในเรื่องมิจฉาสังกัปปะ คิดก็คิดไปด้วยอำนาจของราคะ คิดไปด้วยอำนาจของโทสะ คิดไปด้วยอำนาจของโมหะ ไปไม่รอดหรอก ภาวนาไม่ได้

ฉะนั้นเลี่ยงข้อมูลขยะ ดูข่าวเท่าที่จำเป็น จะรักษาตัว ป้องกันตัว ป้องกันครอบครัวอย่างไร จะทำมาหากินอย่างไร ดูพวกนี้พอแล้ว ข่าวที่เขาด่ากันไปด่ากันมา เสียเวลา คนอื่นเขามีกิเลส เราห้ามเขาไม่ได้หรอก เราก็ภาวนาของเรา รักษาตัวของเราเอาไว้ อย่าให้เป็นบ้าเสียก่อนที่ โควิดจะหาย หลายคนเป็นบ้าไปแล้ว ยังไม่ทันจะเป็นโควิด เป็นบ้าไปแล้ว

ของหนูไม่มีอะไรหรอก ของหนูใจมันฟุ้งซ่าน ฉะนั้นเราก็หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้ใจฟุ้งซ่านเสีย เลี่ยงให้มากที่สุด ก็จะช่วยให้เราสบายขึ้น วันๆ แทนที่จะเปิดอินเทอร์เน็ตไปนั่งดูเขาด่ากัน ก็เปิดฟังหลวงพ่อเทศน์ไป กิเลสไม่เกิดหรอก แต่บางทีก็ขัดกิเลสเหมือนกัน ฟังแล้วกิเลสไม่อยากฟัง ของหนูไปดู ลดละเรื่องข้อมูลไม่ดีทั้งหลาย ตั้งอกตั้งใจภาวนา ช่วงโควิดเป็นช่วงที่ให้โอกาสกับนักปฏิบัติ เรามีผัสสะที่ไม่ดี เรามีความทุกข์ เรามีความเดือดร้อน อย่างทำมาหากินยากอะไรอย่างนี้ ช่วงเวลาที่ชีวิตเดือดร้อนเป็นนาทีทองของการปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติเป็น ถ้าปฏิบัติไม่เป็น เป็นช่วงเวลาที่ตกนรก ตอนนี้ตกนรกกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กรกฎาคม 2564

ต้องโฟกัสกับงาน มีเวลาปฏิบัติในรูปแบบน้อย

คำถาม:

ช่วงที่ผ่านมามีเวลาปฏิบัติในรูปแบบค่อนข้างมาก เวลาระหว่างวันมีสติรู้เนื้อรู้ตัวดี รู้สึกโลกห่างๆ ออกไป แต่ปัจจุบันต้องกลับมาโฟกัสกับงานมากขึ้น เวลาปฏิบัติในรูปแบบน้อยลง รู้สึกกลับมาเป็นเนื้อเดียวกับโลก ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าการปฏิบัติตอนนี้ยังอยู่ในร่องในรอยหรือไม่ครับ

 

หลวงพ่อ:

อยู่ เรามีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ เราก็เรียนรู้ไปให้มากๆ จำเป็นต้องไปตะลุมบอนกับโลก เราก็ไปแบบลูกศิษย์มีครู เวลาจิตเราเครียดกับงานนี่ รู้ทันไปเลย เวลาคิดอะไรไม่ออก กลับมาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับคำบริกรรมอะไรอย่างนี้ จิตมันสงบขึ้นมาแล้วมันจะคิดอะไรต่ออะไรง่ายขึ้น เวลาคิดไม่ออกอะไร อย่าตะบี้ตะบันคิด ไม่ได้เรื่องหรอก ทำใจให้สบายก่อน เราจะได้เปรียบคนอื่น หลวงพ่อตั้งแต่เป็นโยม หลวงพ่อทำงานได้เปรียบคนอื่นเยอะเลย ฉะนั้นทำงานที่ไหนก็โตเร็ว โตพรวดพราดเลย เพราะเราทำงานได้ดี เพราะว่าสมาธิเราดี

อย่างเอกสารเป็นตั้งๆ อย่างนี้ อ่านเพื่อจะดึงประเด็นออกมา วิเคราะห์อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล อะไรเป็นเหตุหลัก อะไรเป็นเหตุรอง จะแก้ปัญหาอันนี้ เรามีทรัพยากรอะไร ถ้าแก้ปัญหาหลักไม่ได้ แก้ปัญหารองไปก่อนอะไรอย่างนี้ มันจะรู้ กำหนดยุทธวิธี กำหนดยุทธศาสตร์ กำหนดยุทธวิธีในการทำงานที่ซับซ้อนนี่ เราทำได้ดี เพราะใจมีสมาธิ นี้ถ้าเราเครียดกับงาน เราเกลียดงาน เพราะช่วงที่ผ่านมาเราว่างๆ ไม่ได้ทำมาหากิน ไม่ได้ทำงาน พอต้องมาทำงานนี่ โหย รู้สึกวุ่นวายเหลือเกิน หงุดหงิด ไม่สบายอะไรอย่างนี้ ให้รู้ทันใจที่หงุดหงิด ให้บอกตัวเองว่าตอนนี้มีหน้าที่ต้องทำ วัยทำงานต้องทำงาน ถ้าขืนเอาวัยทำงานไปพักผ่อน วัยพักผ่อนจะต้องทำงาน มันจะลำบาก ฉะนั้นตอนนี้ทำงานไป เลี้ยงตัวเองให้ได้ วางแผนอนาคตให้ดี มีหน้าที่ดูแลครอบครัวอะไรต่ออะไรก็ทำไป มีหน้าที่ต่อองค์กรก็ทำไป มีหน้าที่ต่อบ้านเมืองก็ทำไป แต่ทำไปแบบรู้เท่าทัน ทำไปแบบไม่ใช่ท้อแท้เบื่อหน่าย ไม่อยากจะทำอะไรอย่างนี้ ท้อแท้ได้แต่มีสติรู้ทันไว้ ไม่ใช่ปล่อยความท้อแท้มาครอบงำใจ จะหมดเรี่ยวหมดแรง ทำงานในทางโลกก็ไม่ดี ทางธรรมก็ไม่เจริญ

แต่ถ้าเราทำงานด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไปเรื่อยๆ งานก็ดี ธรรมะก็เจริญได้ ฉะนั้นโลกธรรม ถ้าเราภาวนาจริงๆ ทั้งโลก ทั้งธรรมนี่ มันไปด้วยกันได้ มันไม่ได้ขัดแย้งอะไรหรอก อดทน ถ้าหากเรารู้สึกว่าไม่อยากทำงานเลย แสดงว่าเราติดสงบ เบื่อโลก อยากจะหนีโลก อาการอย่างนี้เป็นอาการของคนที่ติดในความสุข ความสงบ ฉะนั้นเราภาวนาอย่าไปติดในสุข ในสงบ อยู่ตรงไหนก็เหมือนกันหมด

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 กรกฎาคม 2564