รู้โลกแจ่มแจ้งจิตก็วางโลก

ตอนนี้โควิดก็เข้าถึงในวัดแล้ว มีพระบวชใหม่เข้ามาติดโควิดมา รอบนี้กระจายเร็ว ชลบุรีตัวเลขเป็นทางการวันละ 5,000 – 6,000 กระจายระดับนี้ไม่นานก็เลิกแล้ว คล้ายๆ ไฟโหมฮือก่อนจะดับ คนฉีดวัคซีนก็ไม่เป็นอะไรเท่าไร พวกไม่ได้ฉีด พวกฉีดแล้วแต่ว่าร่างกายไม่ไหว ถึงไม่มีโควิดก็ใกล้จะตายแล้ว พวกนี้เจอโควิดก็ตายเลย

ฉะนั้นไม่นานเราก็จะอยู่กับมันได้ เป็นเพื่อนคนใหม่ ตอนมันเริ่มระบาดหลวงพ่อก็บอกแล้ว ไม่ต้องตกใจหรอก มันมาได้เดี๋ยวมันก็ไปได้ อยู่แค่ว่าระหว่างมันกับเราใครจะไปก่อนกัน เสร็จแล้วมันก็คงกระจายอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่หายไปไหนหรอก ร่างกายเราคุ้นเคยเข้ามันก็ไม่เท่าไร เมื่อก่อนก็โรคระบาดเยอะแยะไป ฝีดาษ ไข้ทรพิษ กาฬโรค อหิวาต์ อหิวาต์ระบาดทีคนตายตั้งหลายหมื่นคน ในกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลต้นๆ ตั้งแต่ต้นกรุงมาก็มีเป็นระยะๆ อหิวาต์ระบาด มาถึงวันนี้เราก็เอาคำว่าอหิวาต์มาเป็นคำทักทายกัน เป็นเรื่องปกติไปแล้ว เจอหน้าใครก็ไอ้ห่าเป็นอย่างไร เป็นคำทักทาย

 

โลกธรรมคือของประจำโลก

โลกก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สงบ เดี๋ยวก็วุ่นวาย คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยากวุ่นวาย พอคนส่วนน้อยวุ่นวายขึ้นมาสักคนสองคน คนส่วนใหญ่ก็วุ่นวายไปด้วย เดือดร้อน จะไปสั่งทุกคนให้เรียบร้อย หรือไปบอกทุกประเทศให้ไม่เห็นแก่ตัว มันทำไม่ได้ ฉะนั้นโลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เราอยู่กับมันเดี๋ยวเราก็สุข เดี๋ยวเราก็ทุกข์ บางช่วงก็ได้ผลประโยชน์เยอะ บางช่วงก็เสียผลประโยชน์ หรือหาผลประโยชน์ไม่ได้ บางช่วงก็มีตำแหน่งหน้าที่มีชื่อเสียง บางช่วงก็หมด โลกก็เป็นอย่างนี้ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ นี่เป็นของประจำโลก เมื่อมันเป็นของประจำโลกความหมายคือมันมีตลอด จะไปหวังให้มันมีด้านเดียวที่ดี มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอะไรอย่างนี้ หวังอย่างนี้ไม่มีทาง

ถ้าเราเข้าใจมันก็อยู่กับมันได้ไม่ทุกข์ ถ้าไม่เข้าใจพอมันเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้าย หรือเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรขึ้นมา เรารับไม่ได้เราก็ทุกข์ ทำอย่างไรเราจะยอมรับได้ สังเกตมันไปเรื่อยๆ โลกภายนอกมันก็มีโลกธรรม 8 ประการนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ มันก็ต้องมี พระพุทธเจ้ายังถูกนินทาเลย ไม่มีใครไม่โดน ถ้าเรายอมรับได้ว่านี่เป็นของธรรมดาของประจำโลก สิ่งใดเกิดขึ้นเราก็จะไม่หวั่นไหว เวลาสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับเรา เราก็ไม่หวั่นไหวหลงยินดีไป ถ้าเราตระหนักอยู่กับใจว่าสิ่งที่ดีๆ นั้นไม่นานมันก็ผ่านไป เวลาสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราก็ตระหนักว่าไม่นานมันก็ผ่านเหมือนกัน ไปอยากให้มันผ่านไปเร็วๆ ทำไม่ได้ หรือสิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้น อยากให้มันอยู่ตลอด ทำไม่ได้

ฉะนั้นความอยากทั้งหลายมันเป็นเรื่องไร้เดียงสา มันเกิดจากการไม่เข้าใจความจริงของโลกของชีวิต อยากได้สิ่งที่ดีตลอด แล้วก็ไม่ให้มันสูญหายไป มันเป็นไปไม่ได้ มีลาภมันก็ต้องเสื่อมลาภได้ มียศก็เสื่อมยศได้ ถูกนินทาก็มีสรรเสริญได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้ ดูทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรานี้ มันสอนโลกธรรมให้เราเห็นทั้งนั้น มองที่คนอื่นมันก็มีโลกธรรมให้ดู มองที่ตัวเราเองมันก็มีโลกธรรมให้ดู ฉะนั้นอยู่กับโลกก็ต้องรู้จักโลกธรรม ถ้าเรายอมรับโลกธรรมไม่ได้ ใจจะมีความอยากเกิดขึ้น อยากมีความสุข มีความสุขแล้วก็อยากให้ความสุขอยู่ตลอด ไม่อยากให้มีความทุกข์เกิดขึ้น อยากให้ความทุกข์มันไม่มา หรือมาแล้วอยากให้มันไปเร็วๆ ความอยากของเราก็วนเวียนอยู่กับเรื่องเหล่านี้

ถ้าเราเข้าใจว่าทุกอย่างมันก็ของชั่วคราว อารมณ์ที่ดีเรียกอิฏฐารมณ์ สิ่งที่มากระทบเราอย่างดีๆ มันก็ชั่วคราว สิ่งที่มากระทบที่ไม่ดีเรียกอนิฏฐารมณ์ทั้งหลาย มันก็ของชั่วคราว ไปรักมัน มันก็ไม่ได้รักเรา ไม่อยู่กับเราตลอด สิ่งที่ดี ไปเกลียดสิ่งที่ไม่ดี เราก็ห้ามมันไม่ได้ ถึงเวลามันก็มา เรียนรู้ลงไปทั้งโลกข้างนอก โลกข้างใน โลกภายนอกก็ดูจากสังคม ดูจากคนอื่น จากสิ่งอื่น ก็ตกอยู่ใต้โลกธรรม 8 ประการนี้เหมือนๆ กัน กระทั่งหมา กระทั่งแมวยังถูกนินทาเลย ถูกสรรเสริญ หมาตัวนี้สวย ตัวนี้น่าเกลียด กระทั่งพระพุทธรูปเอาไว้กราบไว้ไหว้ก็ยังมีคนนินทาได้ องค์นี้ไม่สวย องค์นี้จมูกใหญ่ไป องค์นี้อย่างโน้นอย่างนี้ มีเรื่องว่าได้ตลอด กระทั่งพระพุทธรูปยังหนีไม่พ้นเลย ฉะนั้นถ้าเราจะโดนบ้างก็เรื่องปกติ

ค่อยๆ สอนใจตัวเอง สอนไปให้มันยอมรับความจริงได้ ความจริงก็โลกธรรมนี้ล่ะ หนีไม่พ้นหรอกถ้าตราบใดที่ยังเวียนว่ายอยู่กับโลก เหนือโลกก็เรียกโลกุตตระ ถ้าโลกุตตระแล้วยังมีขันธ์อยู่ อย่างพระอริยะทั้งหลายท่านก็ยังหนีโลกธรรมไม่พ้น แต่จิตท่านไม่หวั่นไหวเท่านั้นเอง ค่อยสังเกตไป สังเกตไปในชีวิตเราตรงไหนที่เรียกว่ามีความสุข ลองนึกถึงทบทวนไป สังเกตไหมความสุขที่มีมันก็ชั่วคราว ลองทบทวนแล้วชีวิตเราตรงไหนที่มีความทุกข์รุนแรงบ้าง อย่างบางคนพ่อแม่ตาย สามีภรรยาตาย ลูกตาย ล้มละลาย หรือเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง นึกทบทวนไปตรงที่ทุกข์ๆ มันก็ผ่านไปเหมือนกัน สุขมันก็ผ่านไป ทุกข์มันก็ผ่านไป มีแต่ของที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดูเข้าไปกระทั่งในตัวเราเอง ที่ว่าสุขๆ นั้นมันสุขได้ตลอดไหม ก็ไม่ตลอด ที่ว่าทุกข์ๆ นั้นมันทุกข์ตลอดไหม มันก็ไม่ตลอด ดูไปเรื่อยๆ เรียนรู้ความจริงไป จนใจมันยอมรับความจริงได้ ตรงที่ใจยอมรับความจริงได้เรียกมีดวงตาเห็นธรรม

 

เรียนรู้ความจริงของโลก

ฉะนั้นธรรมประจำโลก โลกธรรม ก็เห็นมันเข้าใจมันอยู่กับมันได้ โลกุตตรธรรมเราก็เห็น เจริญมรรคไปเกิดอริยผลสัมผัสพระนิพพาน มีความสุขมหาศาล ไม่ได้ทำอะไร แต่จิตไม่ได้มีกิเลสมาครอบงำ ไม่ได้มีตัณหาความอยากมาครอบงำ ไม่ได้มีความดิ้นรนปรุงแต่ง จิตมันก็คิดนึกปรุงแต่งไปตามธรรมชาติ แต่ว่าความคิดนึกปรุงแต่งนั้นมันมาย้อมจิตไม่ติด มันก็ไม่ทุกข์หรอก ก็อยู่กับโลกไปเห็นโลกมันทุกข์ เห็นขันธ์มันทุกข์ บางทีขันธ์ก็เรียกว่าโลกนั่นล่ะ โลกข้างนอกมันก็ทุกข์อย่างนี้ เจริญแล้วเสื่อมๆ โลกภายในก็เจริญแล้วเสื่อมเหมือนกัน สุดท้ายจะเห็นความจริง ภายนอกหรือภายในมันก็อันเดียวกัน ก็โลกเหมือนกัน

พอรู้โลกแจ่มแจ้งจิตก็วางโลก ไม่มีอะไรโลกนี้ จะโลกภายในก็คือกายนี้ใจนี้ หรือโลกภายนอกกายคนอื่นใจคนอื่น หรือสิ่งแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวง มันก็เป็นอันเดียวกัน ไม่ใช่ของเรา เกิดแล้วก็ดับไป มีแล้วก็หายไป แล้วใจเข้าใจโลก ใจก็อยู่เหนือโลก เหนือโลกคือคำว่าโลกุตตระ คำว่าโลกุตตระมาจากคำว่าโลกกับคำว่าอุดร อุตระ อุดร คนไทยใช้คำว่าอุดร เป็นทิศเหนือ เหนือโลก อะไรมันอยู่เหนือโลก ร่างกายอยู่เหนือโลกได้ไหม ไม่ได้ เวทนาอยู่เหนือโลกได้ไหม เวทนาก็อยู่เหนือโลกไม่ได้ สัญญาก็อยู่กับโลก สังขารก็อยู่กับโลก แต่จิตนั้นพัฒนาจนจิตมันอยู่เหนือโลกได้ จิตมันจะอยู่เหนือโลกได้มันก็ต้องเข้าใจโลก เห็นโลกตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของโลก ก็คือโลกธรรมทั้งหลายนั่นล่ะ ถ้าเข้าใจแล้ว เห็นตามความเป็นจริงก็เบื่อ

อย่างเมื่อเช้าหลวงพ่อถามพระในนี้องค์หนึ่ง ว่าบวชมาพักหนึ่งแล้ว บวชมาเป็นปีๆ แล้ว รู้สึกไหมเวลาสัมผัสกับโลกข้างนอก โลกข้างนอกมีแต่ความร้อน มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความวุ่นวาย อย่างคนที่บ้านโทรฯ มาคุยด้วยมีแต่เรื่องวุ่นวาย คนนั้นจะแต่งงาน คนนี้จะออกลูก คนนั้นป่วย มีแต่เรื่องยุ่งๆ คนนั้นตกงาน คนนี้ถูกหวย มีแต่เรื่องกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงทั้งนั้นเลย อย่างบวชแล้วภาวนาไปนานๆ ออกไปดูโลกข้างนอก บางทีได้กลับไปที่บ้าน มีนะในนี้พระบางองค์เคยมี บวชมานานๆ แล้วเริ่มเบื่อ อยากสึก พออยากสึกพอดีที่บ้านมีธุระ หลวงพ่อบอกก็ไปเยี่ยมที่บ้านหน่อย ไปเยี่ยมกลับมา รีบกลับมาเลย ไปได้แป๊บเดียวรีบกลับเลย โลกไม่เห็นมันมีอะไรเลย มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ใจที่มันภาวนามันจะเบื่อโลก พอเห็นโลกตามความเป็นจริงแล้ว โลกไม่มีสาระแก่นสาร พอมันเบื่อโลกใจมันจะคลายความหิวโหยในโลก ความหิวโหยในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส หรือเรื่องราวทางโลก กระทั่งเรื่องโลกๆ ยังไม่ได้อยากฟังเลย ไม่รู้จะฟังไปทำไม

พอเห็นตามความเป็นจริงก็เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายก็คลายความผูกพัน คลายความยึดถือ สุดท้ายใจมันก็พ้นโลก พอใจมันพ้นโลกมันอยู่เหนือโลกเรียกโลกุตตระ ฉะนั้นเราอยากได้โลกุตตรธรรม เรียนรู้ความจริงของโลกไป ไม่ใช่หนี หนีโลกไม่ได้เพราะอย่างไรเราก็ต้องอยู่กับโลก เรียนรู้มันไปเรื่อยๆ จริงไหม ในโลกนี้มีลาภแล้วเสื่อมลาภ จริงไหม มียศแล้วก็เสื่อมยศ จริงไหม มีนินทา มีสรรเสริญ จริงไหม มีสุขมีทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนแปลงดับไป จริงไหม ดูไปเรื่อยๆ จนใจมันฉลาดหายโง่ หายโง่ก็คือล้างอวิชชาได้ ล้างอวิชชาได้ ความอยากที่ไร้สาระทั้งหลายมันก็ไม่มีขึ้นมา อวิชชาดับไปคือความไม่เข้าใจความจริงดับไป ความอยากไร้เดียงสาทั้งหลาย มันก็ดับไม่เกิดหรอก ใจมันก็ไม่ดิ้นรน ใจมันไม่ดิ้นรนใจมันก็เข้าถึงความสงบ มันไม่ดิ้นมันก็สงบ สงบนั้นเป็นลักษณะของพระนิพพาน สันติ

 

“พอหมดความอยากใจมันก็หมดความดิ้นรน
หมดความยึดถือ หมดความดิ้นรน ใจมันก็วางโลก”

 

ฉะนั้นถ้าพระนิพพานอะไรยังมีรูปธรรม ยังมีนามธรรม ไม่สงบหรอก เพราะรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย เป็นของแปรปรวน ฉะนั้นนิพพานไม่ใช่โลกๆ หนึ่ง นิพพานไม่ได้มีพระพุทธเจ้าไปนั่งเข้าแถวกัน นิพพานเป็นความสงบ เป็นสันติสุข มีสันติมันก็มีความสุข ความทุกข์ทั้งหลายมันเป็นความกระเพื่อมไหวของโลก ฉะนั้นใจมันพ้นออกไปแล้ว มันพ้นความโง่ ไม่เข้าใจความจริงของโลก พอมันพ้นมันเข้าใจความจริงของโลก มันก็พ้น มันก็หมดความอยาก พอหมดความอยากใจมันก็หมดความดิ้นรน หมดความยึดถือ หมดความดิ้นรน ใจมันก็วางโลก สมบัติของโลกชิ้นสุดท้ายที่เราภาวนาแล้วมันวาง ก็คือตัวจิตผู้รู้นั่นล่ะ ตัวจิตที่ดีที่วิเศษที่เราพยายามฝึกขึ้นมา สุดท้ายมันก็ยังไม่พ้นโลก

ฉะนั้นการวาง มันวางเองอย่าอุตริไปวางมัน มันเห็นความจริงของกาย มันก็วางกาย มันเห็นความจริงของเวทนา มันก็วางเวทนา เห็นความจริงของสัญญาและสังขารมันก็วาง เห็นความจริงของจิตมันก็วาง เรามีหน้าที่เห็นความจริงของมันเท่านั้นเอง ความจริงของมันก็คือเจริญแล้วก็เสื่อม เกิดแล้วก็ดับ มีแล้วก็หายไป ทุกอย่างของโลก เป็นธรรมะของโลก ถ้าเข้าใจมันวาง อย่างท่านที่ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านไม่มานั่งคิด ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าคิดถึงมีที่จะไปอีก มันก็ไปในโลกอีกล่ะยังไม่พ้นโลกหรอก ท่านก็เห็นแค่ว่าโลกมันก็แค่นี้ เกิดแล้วก็ดับ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ท่านก็สงบสุขเพราะท่านไม่หวั่นไหวไปกับความเกิดดับของโลก จิตมันพ้นความหวั่นไหว พ้นความเสียดแทงของโลกได้ ต้องเห็นโลกตามความเป็นจริง ตรงเห็นโลกตามความเป็นจริงอย่างแท้จริง เข้าใจอริยสัจมันก็ละตัณหาได้ ละความอยากได้ ละความยึดถือได้ ละความดิ้นรนปรุงแต่งของจิตได้ แต่จิตมันก็ยังดิ้นรนปรุงแต่ง มันคิดได้ ไม่ใช่พระอรหันต์เป็นต้นไม้ไม่คิดอะไร คิดได้ แต่มันเป็นสักแต่ว่าคิดไปอย่างนั้นเอง มันไม่เข้ามาถึงจิต จิตมันเป็นอิสระจากโลก

 

ฝึกนะฝึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็เข้าใจเอง ลองไปสังเกตดูตรงไหนที่เราว่าเราสุข มันยั่งยืนไหม ตรงไหนที่เราว่าทุกข์ มันยั่งยืนไหม มีไหมสภาวะที่สงบสุขในโลก มันไม่มีหรอก ไม่มีหรอกที่จะสงบสุขอย่างแท้จริงในโลก มันแค่เป็นช่องเว้นวรรคเอาไว้ให้เราหายใจเท่านั้นเอง มีความวุ่นวายอันหนึ่งเกิดขึ้นยังไม่ทันจบ เรื่องใหม่มาอีกแล้ว โลกเป็นอย่างนี้ เห็นไหมเราทนกับโควิดใช่ไหม เรากะว่าโควิดหมดแล้ว เราจะได้ชีวิตที่สงบสุขกลับมาเหมือนเดิม เราลืมไปแล้วว่าก่อนโควิด เราทุกข์อะไรมาบ้างเราลืมหมดแล้ว นี่จุดอ่อนของมนุษย์เลย เราลืมความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราไม่เคยซาบซึ้งกับความทุกข์

หลวงพ่อถึงบอกลองทบทวนไปดู แล้วก็ความทุกข์มันทยอยเข้ามาตลอดเวลา อย่างเราคิดว่าโควิดจบแล้วเราจะได้สบาย โควิดไม่ทันจะจบเลยมีเรื่องยูเครนอีกแล้ว น้ำมันแพงอีกแล้วอะไรต่ออะไร ข้าวของแพงไปทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อไปน้ำมันเกิดลดราคาของก็ไม่ลดด้วย มีแต่ขึ้นไม่มีลด ฉะนั้นโลกก็เป็นอย่างนี้ ปัญหาหนึ่งยังไม่ทันจะจบเลย เรื่องใหม่ก็จ่อเข้ามาอีกแล้ว บางทีก็กลบเรื่องเก่าไปเลย เรื่องเก่าเราคุ้นเคยแล้ว อย่างโควิดเราเริ่มเคยชินแล้ว ต่อไปนี้ก็มาสู้กับเรื่องอดอยาก ข้าวของแพง ก็ทุกข์ไปอีก หมดจากเรื่องนี้ก็เรื่องโน้น หมดจากทุกข์ข้างนอกบ้านก็มีทุกข์ในบ้านต่อ ลองไปทบทวนดูว่าสิ่งที่หลวงพ่อพูดนี้จริงไม่จริง

ถ้าเราดูทบทวนตัวเองดู ไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่มันมีความสุขอย่างแท้จริง อาจจะไปเที่ยวทัศนาจร ไปกินโต๊ะแชร์ แหม มีความสุข สุขประเดี๋ยวเดียวแวบเดียว ความสุขในโลกมันเป็นแค่เหมือนพาราเซตามอล กลบความปวดเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ความสุขในโลกมันมากลบความทุกข์ในโลกเอาไว้ชั่วคราว จริงๆ เราทุกข์ทุกวันเลย แต่เราไปหาอะไรเล่นเพลินๆ มีความสุขเพราะอะไร เพราะเผลอเพลิน ก็เลยไม่เห็นว่าความทุกข์กำลังดำรงอยู่ ความทุกข์กำลังทำงานอยู่ ฝึกนะฝึกไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจโลก ถ้าเข้าใจโลกแล้วก็มันจะวางออกจากโลก ต่อไปโลกมันกระเพื่อมอย่างไร เราก็อย่างนั้นล่ะ ใจเราก็สบายอยู่อย่างนั้น

 

เอ้า วันนี้เทศน์เท่านี้ก็พอ ต่อไปว่าจะพยายามฝึกเทศน์สั้นๆ แบบหลวงปู่เหรียญ ใครเคยไปฟังหลวงปู่เหรียญเทศน์ที่ศาลาลุงชิน ท่านเทศน์ 20 นาทีเป๊ะเลย น่าฟังมาก ไม่รู้เขาอัดเทปอัดอะไรไว้หรือเปล่า ท่านสอนธรรมะได้นุ่มนวล แล้วก็ได้แก่นสารสาระมากเลย มีแต่เรื่องจิตทั้งนั้นเลย หลวงปู่เหรียญตอนอายุท่านยังไม่มาก หลวงพ่อก็ไปกราบท่าน ท่านก็สอนพุทโธพิจารณากาย แล้วพอท่านภาวนาไปเรื่อยๆ ท่านไม่พูดแล้วเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องจิตอย่างเดียว เมื่อจิตมันไม่ทุกข์ใครมันจะทุกข์ จิตมันพ้นทุกข์มันก็พ้นทุกข์นั่นล่ะ ส่วนกายมันก็ทุกข์มันของโลก มันก็ทุกข์อยู่กับโลกนั่นล่ะ น่าฟัง ถ้ามีโอกาสได้ฟังก็ไปฟัง ไม่รู้จะฟังที่ไหน

หลวงพ่อเมื่อก่อนต้องไปฟังทุกวัน ทุกเดือนละครั้งหรืออย่างไรจำไม่ได้แล้ว หรืออาทิตย์ละครั้งจำไม่ได้แล้ว นานหลายสิบปีแล้ว เป็นครูบาอาจารย์ที่เทศน์แล้วถึงอกถึงใจพวกที่ชอบดูจิต องค์ที่เทศน์แล้วถึงใจนักดูจิต หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่สิม ท่านก็เทศน์เป็นคนๆ คนไหนเรื่องจิตท่านก็สอนเรื่องจิต แล้วท่านเทศน์ไม่ยาวหรอก หลวงพ่อว่าจะพยายามฝึกบ้างให้เทศน์สั้นๆ บ้าง พวกเรายุคนี้ไม่ชอบอะไรที่ยาว ดูคลิปก็ดูได้ไม่กี่วินาที

ธรรมะฟังพอเป็นไกด์ไลน์เท่านั้นล่ะ พอให้รู้วิธีปฏิบัติ รู้วิธีปฏิบัติแล้วก็ดูเอา ดูกายดูใจของเราไป หรือบางคนสมาธิดีๆ ดูโลกข้างนอกก็ได้ แต่ต้องสมาธิดี แล้วเห็นโลกข้างนอกมันก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนกัน แต่ถ้าสมาธิไม่ดี ดูโลกข้างนอกแล้วมันกลับเข้ามาที่ฐานไม่ได้ มันจะไปเลย ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านจะเน้นบอกให้ดูกายดูใจตัวเอง มันจะได้ไม่หลุดไปไกล ดูโลกข้างนอกมันมีไตรลักษณ์ไหม มี มีเหมือนกันเปี๊ยบเลย แต่ดูแล้วมันย้อนกลับเข้าหาจิตตนเองไม่เจอ แต่ถ้าสมาธิเราดีดูอะไรมันก็เหมือนกันหมด ดูอะไรมันก็แสดงไตรลักษณ์ทั้งนั้น นี้ถ้าเรายังไม่แกร่งอย่าไปยุ่งกับโลกข้างนอก เรียนโลกข้างใน รู้กายรู้ใจของเรานี้.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
19 มีนาคม 2565