ไม่ชอบสภาวะที่เกิด ปัญหาคือใจก็ยังวางไม่ได้ ใจยังคงเข้าไปคลุกกับอารมณ์อยู่

คำถาม:

ทำในรูปแบบทุกวัน วันละ 30 นาที ช่วงหลังมานี้ รู้สึกว่ามีโทสะแรงและบ่อย มีอะไรกระทบใจเล็กน้อย โทสะก็เกิดได้ง่ายๆ เมื่อโทสะเกิดก็พยายามมีสติตามรู้ ก็รู้ได้ทันบ้าง รู้ไม่ทันบ้าง ครั้งไหนรู้ทันก็จะไปเห็นใจที่รู้นั้นไม่เป็นกลางอีก ไม่ชอบสภาวะที่เกิด และปัญหาคือใจก็ยังวางไม่ได้ ใจยังคงเข้าไปคลุกกับอารมณ์อยู่ ขอหลวงพ่อเมตตาชี้แนะว่าที่ปฏิบัติมานี้ควรปรับปรุงส่วนไหนเพิ่มเติมบ้างค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ก็ปฏิบัติต่อไป การวางเป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราสั่งให้จิตวางอะไรไม่ได้หรอก แต่ถ้าปัญญามันเกิด จิตมันวางของมันเอง อย่างมันเห็นความจริงว่าร่างกายเป็นทุกข์ จิตมันวางของมันเอง ฉะนั้นเราสั่งให้วางไม่ได้ ตัวที่ทำหน้าที่ละ หน้าที่วางคือตัวปัญญา เราก็สะสมของเราไป

ใจเรายังวอกแวกมาก เราต้องมีเครื่องอยู่ ใจจะได้ไม่วอกแวกมากใช่ไหม คอยรู้สึกๆ ไปเรื่อยๆ ใจมันยังฟุ้งแรง ใจมันฟุ้งแรง ให้มันอยู่กับเครื่องอยู่ไว้ แต่ไม่ได้บังคับ ถ้าบังคับให้มันอยู่กับเครื่องอยู่แล้ว มันจะโทสะขึ้น มันจะโมโห อยู่กับเครื่องอยู่ไปสบายๆ อยู่ไปอย่างมีความสุข เห็นร่างกายหายใจอย่างมีความสุข อย่าแต่งจิต เวลาเห็นร่างกายหายใจ อย่าไปทำจิตให้มันผิดปกติ บางคนต้องแต่งจิต ทำจิตให้ระทดระทวยแล้วเห็นร่างกายหายใจ ไม่ได้ ใช้จิตปกติ เห็นร่างกายหายใจด้วยจิตปกติ เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เห็นร่างกายทำงานบ้านอะไรอย่างนี้ด้วยจิตปกติ พอเมื่อไรจิตมันไม่ปกติ เราจะได้รู้ โอ้ มีอะไรแปลกปลอมเข้ามาแล้ว มันก็จะเห็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้างแทรกเข้ามา ค่อยๆ ฝึก เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

การภาวนามันเหมือนการเรียนหนังสือ กว่าเราจะได้ปริญญาตรีเราเรียนมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม นานเป็นสิบๆ ปีเลย กว่าจะได้ปริญญาสักใบหนึ่ง ปริญญาโทง่ายมากเลย 1 – 2 ปี แต่ปริญญาตรีกว่าจะได้มาสิบกว่าปี โสดาบันกว่าจะได้มานาน กว่าจะได้เป็นพระโสดาบัน ภาวนากันนาน กว่าจะได้หลายภพหลายชาติสะสม แต่พอเป็นแล้ว ปริญญาที่สูงขึ้นไป สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์อะไรอย่างนี้ ไม่นานแล้ว ใช้เวลาไม่เกิน 7 ชาติ บางคนชาติเดียว บางคนก็จบในชาตินี้เลย ฉะนั้นขั้นแรกนี่ยาว ยาวก็ไม่ต้องตกใจ มีหน้าที่ทำไป เหมือนอย่างเราเป็นเด็ก เรายังไม่ต้องคิดหรอกว่าเมื่อไรจะจบปริญญาตรี ถ้าคิดเราก็ประสาทกินเท่านั้นเอง เราก็แค่เมื่อไรจะจบอนุบาล เมื่อไรจะจบประถม เมื่อไรเราจะรู้จักรักษาศีล เมื่อไรจิตใจเราจะอยู่กับเนื้อกับตัว

ค่อยๆ ฝึกทุกวันๆ เมื่อไรเราจะแยกขันธ์ได้ พอเราเห็นพัฒนาการมาเรื่อยๆ จนขันธ์มันแยกได้แล้ว ก็ไม่ต้องสนใจแล้วเมื่อไรจะบรรลุมรรคผล มันบรรลุเอง แยกขันธ์แล้วเห็นขันธ์ทำงานไป แล้วถึงวันหนึ่งมันก็บรรลุมรรคผลของมันเอง อย่าใจร้อน ใจร้อนไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ นอกจากมาบั่นทอนจิตใจของเราเองให้หมดกำลังใจ

 

ตอนนี้หลวงพ่อสบายใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่มีโควิดหลวงพ่อก็ห่วงพวกเรา สงสารพวกเราจะไม่ได้ส่งการบ้าน ก็คิดหาวิธีกันตั้งนาน จนมาคิดได้กับทางมูลนิธิฯ จัด Zoom ให้ส่งการบ้าน ยังมีคนอีกส่วนหนึ่ง Zoom ไม่เป็น ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีอินเทอร์เน็ตอะไรอย่างนี้ พวกนี้ยังไม่รู้จะทำอย่างไร ให้หลวงพ่อนั่งตอบจดหมายหลวงพ่อทำไม่ไหวหรอก สายตาหลวงพ่อก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว มือหลวงพ่อก็เขียนหนังสือไม่ได้ ไม่ได้พิการ ที่มือเขียนหนังสือไม่ได้เพราะตั้งแต่จบปริญญาตรีหลวงพ่อทำงาน ยุคแรกไม่มีคอมพิวเตอร์ หลวงพ่อใช้พิมพ์ดีดไม่ได้เขียน พอมีคอมพิวเตอร์หลวงพ่อก็ใช้คอมพิวเตอร์มาตลอดเลย ให้มานั่งตอบจดหมายพวกเรา นั่งเขียนโย้ไปโย้มาอ่านไม่ออก ให้ตอบจดหมายก็ทำไม่ไหวเหมือนกัน ยังนึกไม่ออก

ฉะนั้นคนซึ่งไม่สามารถจะ Zoom มาถามหลวงพ่อได้ ต้องเชื่อบุญเชื่อกรรมของเรา สงสัยในเรื่องอะไร เปิดซีดีหลวงพ่อฟัง ทำจิตใจให้สงบ นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านเปิดให้เราเจอธรรมะ เปิดกระแสของธรรมะให้เรา แล้วเปิดซีดีหลวงพ่อฟังเดี๋ยวก็เจอคำตอบ ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์อะไรหรอก เพราะว่าในซีดีหลวงพ่อมีทุกคำตอบอยู่แล้ว.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2564