ปฏิบัติในรูปแบบทุกวัน ยังฟุ้งซ่านบ่อย เคยเห็นจิตวิ่งไปดูมือแต่เป็นเหมือนมือคนแก่

คำถาม:

ปฏิบัติในรูปแบบทุกวัน รู้ว่ายังฟุ้งซ่านบ่อย แม้ตอนนอนเหมือนเคยเห็นจิตวิ่งไปดูมือซ้ายก่อนรู้สึกตื่น แต่มือนั้นมันเหี่ยวย่นมากๆ เหมือนมือคนแก่ กราบขอการบ้านค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ค่อยๆ รู้สึกไป สติ สมาธิ ปัญญาอะไร มันก็จะค่อยๆ สะสมไป เวลาเราสะสมกิเลส เราสะสมข้ามภพข้ามชาติ เวลาเราสะสมศีล สมาธิ ปัญญา จะได้พ้นจากภพชาติทั้งหลาย ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน เราพัฒนาจิตใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญาของเราดีขึ้นๆ ถือว่าใช้ได้ ฉะนั้นเราพยายามฝึกตัวเองทุกวัน อย่าปล่อยให้จิตล่องลอยท่องเที่ยวไปในภพโน้นภพนี้ จิตมันจะท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ

ถ้าเรารู้ว่าจิตสร้างภพ จิตยังใช้พลังอยู่ ค่อยๆ รู้ทันไปเดี๋ยวจิตมันก็เลิกสร้างภพไปเอง ตัณหามันผลักดัน ตัณหาอะไรที่ทำให้เราไปตั้งจิตไว้อย่างนี้ หรือว่าไปปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ เราอยากดี เราอยากพ้นทุกข์ เราอยากดี ให้เรารู้ทันความอยากไว้ แล้วเราก็เจริญศีล สมาธิ ปัญญาไป บอกไม่มีความอยากแล้วทำไมเจริญศีล สมาธิ ปัญญา ไปทำอะไร ใครจะผลักดัน สิ่งที่เป็น motive เป็นแรงผลักดันไม่ใช่มีแต่กิเลส มันมีกุศลด้วย อย่างฉันทะ ฉันทะเป็นความพึงพอใจที่จะได้ถือศีล ปฏิบัติธรรมอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแรงผลักดันของเรา ไม่ใช่ตัณหาแต่เป็นฉันทะ ฉันทะภาวนาไปเพื่อลดละ ส่วนตัณหาภาวนาไปเพื่อพอกพูน สะสมมากมายมากขึ้นๆ

ฉะนั้นเราภาวนา ไม่ได้มุ่งไปสร้างภพสร้างชาติอะไรขึ้นมาอีก ถ้าภาวนาแล้วเราไปสร้างภพ แสดงว่าไปด้วยตัณหาแล้ว ถ้าเราไปด้วยฉันทะ เราพอใจที่จะปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราพึงพอใจได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม ได้ทำทาน ได้รักษาศีล ได้แยกรูปแยกนาม พระพุทธเจ้าสอนไว้เราทำตามด้วยความพอใจ ได้ปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่เพื่อเอาอะไรทั้งสิ้น ถ้าปฏิบัติเพื่อเอาคือตัณหา ปฏิบัติเพื่อจะลดละ ปล่อยวาง คือตัวฉันทะ ฉะนั้นเราสังเกตใจตัวเราเองไปเรื่อยๆ ภาวนาไป เรียนรู้มันไป

ฝึกไปเรื่อยๆ จุดอ่อนคือใจมันยังฟุ้งซ่านเยอะไปหน่อย ใจมันยังฟุ้งซ่านเราก็ต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจอะไรก็อยู่ไป แล้วจิตมันหนีไปสร้างภพเรารู้ทัน จิตก็ค่อยๆ สงบ ค่อยๆ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นเอง

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 7 สิงหาคม 2564