คำถาม:
หลวงพ่อ:
เฝ้ารู้อยู่แค่นั้นก็พอแล้ว แล้วใจยังฟุ้งซ่านอยู่ ใจฟุ้งซ่านก็ต้องทำความสงบ แบ่งเวลาไว้เลยถึงเวลาไหว้พระ สวดมนต์ แล้วก็มานั่งหายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้าพุท ออกโธอะไรนี้ ทำไปเถอะ จิตมันจะได้มีกำลัง ที่คุณปฏิบัติอยู่ จิตกำลังมันยังไม่พอมันยังฟุ้งอยู่ ฉะนั้นเราเพิ่มสมาธิขึ้นมา แล้วที่ดูจิตเดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลงอะไรนี้ ปัญญามันจะเกิด ถ้าเราไม่มีสมาธิพอ เราเจริญปัญญาไป ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบ เหมือนเรามีมีดทื่อๆ อยู่เล่มหนึ่ง มีดเล่มนี้ใช้มาตั้งแต่สมัยปู่ ไม่เคยลับเลย เราเอาไปผ่าฟืน ไปตัดต้นไม้ แป๊กๆๆ ไม่เข้าหรอก คล้ายๆ เราเจริญปัญญาด้วยจิตซึ่งไม่มีสมาธิ เหมือนเราไปฟันต้นไม้ด้วยมีดทื่อๆ ก็ป๊อกๆๆ ไปเรื่อยๆ ต้นไม้ จั๊กกะจี๋เล่น เราก็ต้องหยุดลับมีดก่อน การลับมีดก็คือการทำสมาธิ พอจิตเรามีสมาธิ มันเหมือนเรามีมีดคมๆ ฟันฉับเดียวขาดเลย
เพราะฉะนั้นบางทีที่เราภาวนาแรมเดือนแรมปี มันไม่ตัดเสียที ไม่เกิดมรรคเกิดผลเสียที บางทีแบ่งเวลาไปทำสมาธิ พอจิตมันมีกำลังของสมาธิพอ อริยมรรคเกิดเลย ตัดขาดเลย อย่างพอจิตมันมีกำลังพอแล้วมันเห็นสภาวะบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับปั๊บ เห็นแค่นั้น สภาวะอริยมรรคก็เกิดต่อได้เลย เพราะกำลังของมันพอ ฉะนั้นถ้าเราเดินปัญญารวดไปเลย เหมือนเอามีดทื่อไปฟันต้นไม้ ไม่มีประโยชน์อะไร เหนื่อยเปล่า เดินปัญญาก็ต้องรู้จักพักบ้าง เดินปัญญาอย่างเดียวมันจะฟุ้งซ่าน
วัดสวนสันติธรรม 7 สิงหาคม 2564