เห็นความหลงคิด ความโกรธ ความหดหู่ แต่ยังมีความไม่เป็นกลาง เมื่อโกรธอาจจะมีผิดศีลทางวาจาออกไปบ้าง

คำถาม:

พอจะเห็นความหลงคิด ความโกรธ ความหดหู่ได้อยู่บ้าง เมื่อเห็นแล้วแต่ยังมีความไม่เป็นกลาง เช่น เมื่อโกรธอาจจะมีผิดศีลทางวาจาออกไปบ้างเวลาขับรถ อยากจะขอแนวทางเพิ่มเติมครับ

หลวงพ่อ:

เราห้ามมันไม่ได้ ความโกรธอะไร กิเลสอะไรห้ามมันไม่ได้หรอก มันเกิดก็เห็น มันตั้งอยู่ก็เห็น มันดับไปก็เห็น แค่นี้พอแล้ว โดยเฉพาะเวลาขับรถ เป็นเวลาปราบเซียน หลวงพ่อตอนเป็นโยมขับรถ เป็นเหมือนกัน บางทีขับๆ อยู่ มันปาดเรา ก็ด่ามันๆ ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่ด่าอยู่ในใจๆ คนโน้นมันไม่ได้ยิน เราได้ยินๆ เอง มันด่าตัวเองนี่ เพราะเขาไม่ได้ยิน หรือบางทีแฟนเรานั่งอยู่ข้างๆ เราหลุดปากด่าออกมาใช่ไหม ไอ้โน่นมันขับรถไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แฟนเราได้ยิน ไม่ได้ทำอะไรแต่โดนด่า
เวลาขับรถแล้วโทสะขึ้นอะไรนี่ เป็นเรื่องปกติ เป็นชั่วโมงปราบเซียน เป็นทุกคนล่ะเราก็ค่อยๆ สังเกต เวลาโมโหขึ้นมา ใจเราเป็นสุขหรือใจเราเป็นทุกข์ ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ สิ่งที่เรารักที่สุดคือตัวเราเอง แต่เวลาโมโหขึ้นมาทีไร ใจเรามีความทุกข์ทุกที ค่อยๆ ดูไป แล้วมันจะค่อยๆ คลาย มันเห็นทุกข์ เห็นโทษของโทสะ มันถึงจะละโทสะได้ เห็นทุกข์เห็นโทษของราคะ มันถึงจะละราคะได้ เห็นทุกข์เห็นโทษของโมหะ มันถึงจะละโมหะได้ นอกจากการเห็นทุกข์แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นหรอก เพราะฉะนั้นกิเลสเกิดขึ้นมา ดูลงไป ใจเราทุกข์หรือใจเราสุข สังเกตไปเรื่อยๆ โทสะขึ้นมาทุกข์ 100 เปอร์เซ็นต์ ใจมันจะค่อยๆ คลายออก
แล้วการที่เรามีสติรู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ พอสติมันเร็ว พอโทสะเกิด หรือราคะ โมหะเกิด สติมันจะเกิดเร็วขึ้นๆ ราคะ โทสะ โมหะ มันทำงานได้ไม่เต็มที่ ไหวตัวขึ้นนิดหนึ่งเราเห็นแล้ว มันก็ดับ กำลังของกิเลสก็จะอ่อนลงๆ กำลังของสติก็จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นล่ะคือตัวสัมมาวายามะ อกุศลที่มีก็อ่อนกำลังลงไป อกุศลใหม่เกิดไม่ได้ ตอนที่เรามีสติ ตรงที่เรามีสติอยู่นั้น จิตเราเป็นกุศลเรียบร้อยแล้ว แล้วสติเกิดบ่อยๆ กุศลเกิดบ่อยๆ เจริญขึ้น ฉะนั้นไม่ต้องไปหาทางแก้หรอก รู้อย่างที่มันเป็นไปเรื่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 10 กรกฎาคม 2565