ภาวนาโดยดูร่างกายที่หายใจและใจที่หลงคิด รู้สึกยังไม่ค่อยพัฒนา

คำถาม:

ภาวนาโดยดูร่างกายที่หายใจและใจที่หลงคิด สลับเดินจงกรมบ้างวันละ 40 นาที รู้สึกยังไม่ค่อยพัฒนา ที่ภาวนายังอยู่ในทางหรือไม่ มีสิ่งใดต้องปรับปรุง ขอหลวงพ่อเมตตาชี้แนะ เพื่อพัฒนาการภาวนาให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ภาวนาที่ปฏิบัติมีสติ มีสมาธิ ลงมือปฏิบัติอะไรนั้นก็ดีทั้งสิ้น ค่อยๆ สะสมไป แต่ว่าเราอย่าโลภ ภาวนาถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ไม่ได้หวังผลว่าจะต้องได้อันนั้น จะต้องได้อันนี้ จะต้องได้เมื่อนั้นเมื่อนี้ภาวนาแบบไม่หวังผล ถึงเวลาสงบ ถึงเวลาควรสงบก็ทำความสงบ ถึงเวลาควรเจริญปัญญาดูความจริงของกายของใจ ก็เจริญปัญญาไป ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรเมื่อไร ถ้าเดินสมาธิเข้ามาตรงจุดนี้ก็จะเห็นข้างในนี้มันมีความกระเพื่อมไหว มีความเคลื่อนไปเคลื่อนมา ใจเราเป็นแค่คนดู เห็นภายในมันเคลื่อนอยู่ เราไม่ถลำจมลงไปในสิ่งที่อยู่ภายใน เราเป็นคนดูอยู่ เห็นข้างในมันเคลื่อน เห็นจิตมันขยับอะไรอย่างนี้ คอยรู้ไปเรื่อยๆ แล้วถึงเวลาเราก็พักผ่อน ไหว้พระ สวดมนต์ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ไม่เดินปัญญา ถ้าเดินปัญญารวดไปเลยไม่นานมันจะฟุ้งซ่าน

การเจริญปัญญานั้น ถ้าไม่มีสมาธิหนุนหลัง มันจะไม่ใช่การเจริญปัญญา แต่มันจะเป็นความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตมันเดินปัญญาไปช่วงหนึ่ง เราจะเห็นเลยใจมันเริ่มฟุ้งๆ แล้ว เราก็วางการเจริญปัญญา กลับมาทำความสงบ ถ้าจิตใจมันสงบพอสมควรแล้ว เราก็เข้าไปเจริญปัญญาใหม่ อย่างของคุณมันเข้าไปเจริญในสมาธิอยู่ ทำใจสงบเข้ามาแล้วก็เห็นสภาวะบางอย่างผุดขึ้นมาแล้วก็ดับไป หรือบางทีก็เห็นจิตมันเคลื่อนออกไป รู้เท่าทันไปก็ได้ปัญญา แต่ถ้าทำอย่างนี้รวดไปเลยใจจะฟุ้งซ่าน เพราะสมาธิมันจะไม่พอ ฉะนั้นต้องแบ่งเวลาทำสมถะด้วย

สังเกตไหมพอเราถอยออกจากสมาธิ มันมีความมัวๆ อยู่ เพราะฉะนั้นในสมาธิที่เราทำนี้ยังไม่สะอาดจริง มีโมหะแทรก มีการน้อมใจให้ซึมลงไปด้วย ฉะนั้นตอนออกมาแล้วยังติดความซึมออกมาอีก เพราะฉะนั้นเวลาทำสมาธิข้างในนี้ เพิ่มความรู้สึกตัวขึ้นนิดหนึ่ง ถ้าสติมันอ่อนไปโมหะมันจะแทรกเข้ามา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 14 สิงหาคม 2564