ยาจิตเวช มีผลข้างเคียงคือกระวนกระวาย จดจ่อกับอารมณ์อันเดียวไม่ได้ หมอลดยาแล้วดีขึ้นบ้าง อาการของโรคกลับมาเล็กน้อย แต่เป็นกลางได้ง่ายกว่า

คำถาม:

หลวงพ่อ:

เห็นไหม มันไม่ได้หนีจากหลักที่หลวงพ่อบอกนี้หรอก จิตไม่ตั้งมั่นเลย เป็นกลาง ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น เป็นกลาง จิตจะไม่ดิ้นรน จิตไม่ดิ้นรน จิตจะสงบ ที่ทำอยู่ ดี ดีมากๆ ด้วย พูดถึงจิตเวชๆ ตอนนี้มันไม่ใช่โรคประหลาด หลวงพ่อเห็นสถิติเมื่อปี 2564 หลังจากนั้นยังไม่เห็น คนไทยเป็นโรคซึมเศร้า 1,500,000 คน คนเดี๋ยวนี้มีอยู่มีกิน มีความสุข มีความสบายทางวัตถุมากขึ้น ก็เป็นโรคซึมเศร้าเยอะ เยอะมากเลย เพราะฉะนั้นทุกคนพร้อมจะเป็นได้ คือเครียดจัดๆ กังวลมากๆ ชีวิตมองไม่เห็นทางออก สุดท้ายมันก็ซึมเศร้า บางคนก็หนีโลก หลบโลก

พวกญี่ปุ่น พวกคนหนุ่มคนสาว มีโรคอยู่อันหนึ่ง โรคฮิคิโคโมริ จริงๆ ก็คือโรค อยู่กับโลกก็ไม่ได้แล้ว หลบตลอดเวลา เผชิญหน้าอะไรกับความจริงของชีวิตอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันเป็นโรคสามัญประจำบ้านไปแล้ว โรคนี้ ใครก็เป็นได้ แล้วเขาพบว่ายิ่งนานวัน คนที่อายุน้อยๆ เริ่มเป็นเยอะขึ้น แต่ก่อนคนที่ทำงานหนักๆ ก็เป็น เดี๋ยวนี้เด็กๆ ก็เป็น เพราะชีวิตมันเคร่งเครียดเกินไป มันต้องแข่งขันมากมาย

อย่างตอนหลวงพ่อเด็กๆ ในบ้านเรา โอ้ พี่น้องเยอะแยะเลย ในบ้านเป็นครอบครัวขยาย ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่กันเยอะแยะเลย คนนี้ดุเรา เราก็วิ่งไปให้อีกคนหนึ่งปลอบ ย่าว่าเรา เราวิ่งไปหายาย ยายก็ไปว่ากับย่า เอ้อ เราสบาย เห็นไหม มีคนเข้าข้าง โอ้ ชีวิต relax มากเลย เวลาปิดเทอมก็ไปเล่น วิ่งเล่นได้ เรียนหนังสือเสร็จกลับมาบ้าน มีเวลาไปปลูกต้นไม้ ไปเลี้ยงปลาเลี้ยงอะไร มีอะไรให้ทำ ทุกวันนี้มีแต่เรื่องเรียนพิเศษ แข่งตลอดเวลา คนมันก็เครียด แล้วทำมาหากินก็เครียด อะไรก็เครียดไปหมด

ฉะนั้นเราอย่าไปรังเกียจจิตแพทย์ จำเป็น แล้วก็หลวงพ่อแนะนำเลย ถ้าเป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคเครียด เป็นโรคผิดปกติทางจิตใจ ไปหาจิตแพทย์เขา อย่ามาหาหลวงพ่อ เดี๋ยวหลวงพ่อเป็นไปด้วย ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาพระ เป็นเวลาที่ต้องไปหาหมอ จะมาหาพระก็คือสุขภาพจิตดีแล้ว มาเรียนกรรมฐาน เออ อันนี้จะเกิดภูมิต้านทาน จะเกิดภูมิคุ้มกัน ไม่เป็นโรคเครียด