คำถาม:
หลวงพ่อ:
อยู่กับคนก็ดีแล้ว ดีกว่าอยู่กับผี ทำงานอยู่กับคนก็ดีแล้ว อยู่กับคนเราก็คอยรู้ทันใจของเราไว้ พอเราเห็นเขาอย่างนี้ ใจเราเป็นอย่างนี้ เราได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ใจเราเป็นอย่างนี้ รู้ทันใจของตัวเองไปเรื่อยๆ เราก็อยู่กับคนนั่นล่ะ กระทบทางตาบ้าง กระทบทางหูบ้าง กระทบทางจมูกบ้าง กระทบทางจมูกก็มี อย่างบางคนเหม็นๆ บางคนใส่น้ำหอมมามากเกินไป เหม็นฉุนอะไรอย่างนี้ กระทบแล้วใจเราไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ เราอย่าหลีกเลี่ยงการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ หรือกระทั่งการกระทบทางใจเราก็เลี่ยงไม่ได้ ใจเราจะคิดอะไรเราห้ามไม่ได้ แต่เมื่อกระทบแล้วมันเกิดปฏิกิริยา มันเกิดชอบอันนี้ เกลียดอันนี้ มันเกิดโลภ โกรธ หลง หงุดหงิด ฟุ้งซ่านอะไรขึ้นมา มีสติรู้ตัวนี้ ตามรู้ไปเรื่อยๆ
ความฟุ้งซ่านกับการเจริญปัญญาคาบเส้นกันนิดเดียว ความฟุ้งซ่านก็คือจิตมันทำงานแต่เราไม่เห็น การเจริญปัญญาก็คือจิตมันทำงานแต่เราเห็น เห็นจิตมันทำงานมันปรุงแต่ง มันปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว เราเห็น มันปรุงตอนไหน มันปรุงตอนที่มีการกระทบ การกระทบจะไม่ให้เกิดขึ้นได้ไหม ไม่ได้ เรามีตามันก็ต้องเห็นรูป มีหูก็ต้องได้ยินเสียง เมื่อเราอยู่กับคนอื่น สิ่งที่ว่าคนอื่นๆ ที่มากระทบเรา มันก็คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เท่านั้นเอง กระทบแล้วเราคอยรู้ กระทบแล้วคอยรู้ที่ใจของเรา ไม่ห้ามมัน ไม่บังคับว่าต้องดี ให้เห็นว่ากระทบทีไรก็กระเทือนทุกที เฝ้ารู้เฝ้าดูจนจิตมันเป็นกลาง
คราวนี้อยู่กับคนอย่างไร ใจเราก็เป็นกลาง เฉยๆ เฉยๆ ถึงเวลาที่ควรยิ้มเราก็ยิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มเพราะหลงเพลิน ถึงเวลาบางทีต้องทำหน้าบึ้งๆ หน่อย เหมือนเราทำงานกับลูกน้อง ลูกน้องเราขี้เกียจเราจะมายิ้มหวานตลอดเวลา ไม่ได้ บางทีต้องทำหน้าบึ้ง แต่ใจเราไม่บึ้ง เราก็รู้ต้องทำ ต้องเล่นบทอย่างนี้ เป็นนักแสดง แล้วจะเห็นเราต้องแสดงทั้งวัน แสดงบทบาทนั้น แสดงบทบาทนี้ แต่ใจเราซื่อตรงต่อตัวเอง ใจเราไม่หลงไปในความปรุงแต่งทั้งหลาย มันสุข มันทุกข์ มันดี มันชั่ว รู้ทัน กระทบอารมณ์ปุ๊บมีความสุขรู้ทัน กระทบปุ๊บมีความทุกข์รู้ทัน กระทบปุ๊บโลภ โกรธ หลงเกิดแล้ว รู้ทัน รู้อย่างนี้ไป นี่ล่ะคือการเจริญปัญญาแล้ว แล้วถึงเวลาก็มาไหว้พระ สวดมนต์ ทำความสงบจิตเข้ามาเป็นระยะๆ ไป ให้จิตได้พักผ่อนบ้าง
วัดสวนสันติธรรม 30 เมษายน 2565