การมีคู่ชีวิตจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงหรือไม่

คำถาม:

รักษาศีลได้ ปฏิบัติในรูปแบบเอาจิตไม่อยู่ พอหลับตาจิตก็วิ่งไปเกาะเรื่องราว พอเดินจงกรมก็ยังคิด จิตฟุ้งซ่าน อ่อนกำลังในการมีสติรู้ความคิด ชอบเผลอครั้งละนานๆ ขอถามหลวงพ่อว่าการมีคู่ชีวิตจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงหรือไม่ครับ

หลวงพ่อ:

รายนี้แปลก ไม่ถามกรรมฐาน ถามเรื่องคู่ชีวิต ถ้าเรามีคู่ชีวิตที่ทิฏฐิเสมอกัน ศีลเสมอกัน ก็จะเกื้อกูลกัน ไม่ถ่วงการปฏิบัติ ถ้ามีความเห็นไม่เหมือนกัน อย่างคนนี้ชอบไหว้เจ้า เราชอบเจริญสติปัฏฐาน คนนี้ไหว้แต่ผี ขูดตอตะเคียนอะไรอย่างนี้ ทิฏฐิไม่เสมอกัน หรือเขาเชื่อว่าตายแล้วสูญ เราคิดว่ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ทิฏฐิไม่เสมอกัน อยู่ด้วยกันยาก ไม่มีความสุขหรอก แล้วพัฒนายาก ศีลไม่เสมอกัน คนหนึ่งกินเหล้า อีกคนหนึ่งบอกกินเหล้าไม่ดี อยู่กันไม่มีความสุขหรอก

ฉะนั้นอยากมีคู่ชีวิตที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติ ก็ต้องเลือกเอา สังเกตเอา อย่าทำด้วยโลภอย่างเดียว อย่าให้ราคะมันเป็นตัวเลือกแทนเรา มีสติมีปัญญาไป อย่างหลวงพ่อกับคุณแม่จะแต่งงานกัน คุณแม่บอกเลยว่าจะอยู่กับหลวงพ่อชั่วคราว เพื่อจะเรียนกรรมฐานแล้วถัดจากนั้นก็จะไปภาวนา ต่างคนต่างภาวนา เกื้อกูลกันอย่างนี้ แต่ถ้าคนหนึ่งอยากบวช คนหนึ่งไม่อยากบวช คนหนึ่งจะมีลูก คนหนึ่งไม่อยากมีลูก อยู่คนเดียวสบายกว่า ก็ไปเลือกเอาเอง

สังสารวัฏมันยาวไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ชาตินี้เราเลือกอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร ชาติหน้าใจก็อ่อนแอ ก็ต้องฝึกกันเยอะหน่อย ไปพิจารณาเอาเอง เรื่องครอบครัวเรื่องอะไร ที่สำคัญ สมมติว่าเราแต่งงานไปแล้ว ดูกิเลสตัวเองไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าไปโทษคู่ของเรา ให้ดูจุดบกพร่องของเราเอง อย่างนี้ก็ยังอยู่กันได้ง่าย ถ้ามันอยู่กันแล้ว ถ้าเราไม่เจอคนที่ดีกว่าเราหรือเสมอกว่าเรา อยู่คนเดียว สบายกว่า อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อพูด พระพุทธเจ้าพูด

พื้นที่ภาวนามา ใช้ได้ เราอยากเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า พยักหน้าเอาก็ได้ อยากเป็นพระโพธิสัตว์ไหม หรือไม่อยากเป็น อยากบรรลุมรรคผล พยักหน้า อยากเป็นพระโพธิสัตว์ จิตมันไปแบบนั้น พระโพธิสัตว์จะมีคู่ก็ไม่แปลกหรอก เป็นเรื่องธรรมดา เรียนรู้โลก เรียนรู้ธรรมะขนานกันไป ทำได้ดีอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 3 ธันวาคม 2566