ธาตุ 6

ธรรมะ เราไม่ได้เรียนเพื่อหาความสุข ความสงบ ความดี สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ผลพลอยได้ จุดสำคัญก็คือความพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้จิตต้องพ้นจากความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ความปรุงแต่งนั้นเรียกว่าภพ จิตจะพ้นความปรุงแต่งได้ ต้องรู้แจ้งเห็นจริงว่าความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นไตรลักษณ์ จิตก็จะวางความปรุงแต่ง เข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติ ตัวที่ทำให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์จริงๆ คือตัวปัญญา

เมื่อก่อนพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนท่านเคยถามหลวงปู่เทสก์ว่า อะไรเป็นที่สุดของศีล อะไรเป็นที่สุดของสมาธิ อะไรเป็นที่สุดของปัญญา หลวงปู่เทสก์ก็วิสัจชนา ที่สุดของศีลคือเจตนาวิรัติ เจตนางดเว้นการทำบาปอกุศล โดยเฉพาะการทำบาปอกุศล 5 ข้อ คือศีล 5 ตัวเจตนางดเว้นคือตัวศีล ศีลมันก็มีหลายระดับ เบื้องต้นก็เป็นเจตนาของเราที่จะงดเว้น พอเรารักษาศีลนานๆ มีสติดีๆ มีสมาธิดีๆ จิตมันเจตนางดเว้นของมันเอง เราไม่ต้องเจตนา อันนั้นมันมีศีลอัตโนมัติขึ้นมา

 

ที่สุดของศีลคือเจตนางดเว้น

เจตนางดเว้นหมายถึงว่ามีโอกาสทำบาปอกุศลก็ไม่ทำ มีโอกาสจะทำผิดศีลก็ไม่ทำ อันนั้นถึงจะเรียกว่าเจตนางดเว้น เบื้องต้นก็ข่มใจไม่ยอมทำผิดศีล เบื้องปลาย สติ สมาธิ มันแก่กล้าขึ้น มันว่องไว จิตมันก็มีเจตนาไม่ทำเอง เราไม่ต้องเจตนาแล้วถึงวันนั้น

ตัวเจตนา ตัวศีล เจตนางดเว้นทำบาปอกุศล อย่างบางคนยังหนุ่ม ยังแข็งแรง มีเงินมีทอง รูปหล่อ สาวๆ ติดเยอะแยะเลย พร้อมจะเป็นชู้ ผู้หญิงยอมมาเป็นชู้ด้วยเยอะแยะ แต่มีเจตนางดเว้นไม่เอา ไม่ทำผิด อย่างนี้เรียกว่ามันมีศีล คนอีกคนหนึ่งอายุ 90 กว่าปีแล้ว เห็นผู้หญิงอาบน้ำข้างบ้านแล้วก็ไม่คิดจะไปเป็นชู้กับเขา เพราะว่าไม่มีแรง จะออกจากบ้านยังไม่มีแรง เลยไม่ได้คิดจะไปเป็นชู้กับใคร หรือเห็นของตกอยู่ข้างบ้าน ไม่มีแรงจะเดินไปหยิบ อันนี้ไม่ใช่ศีล เรียกว่าไม่มีแรงจะทำกรรมชั่ว

ถ้าศีล หมายถึงเรามีแรงที่จะทำชั่วได้ มีโอกาสจะทำชั่วได้แล้วเราไม่ทำ อย่างโจรจะปล้นธนาคาร เห็นตำรวจยืนเฝ้าแล้วไม่ปล้น โจรไม่ได้มีศีล แต่ยังไม่มีโอกาสทำชั่ว แต่ถ้าเห็นตำรวจก็ไม่อยู่ ประตูก็เปิด เห็นของเขาอยากได้ ไม่เอา เจตนางดเว้น อันนี้ถึงจะเป็นศีล

ศีลเบื้องต้นก็ตั้งใจรักษาไว้ 5 ข้อนั้นล่ะสำคัญมาก ทำไมสำคัญอย่างไร ถ้าเรามีศีล สมาธิมันจะเกิดง่าย ถ้าเราไม่มีศีล สมาธิมันจะเสื่อมเร็ว ไม่มีศีลก็คือจิตมันถูกกิเลสครอบงำ เมื่อจิตมันถูกกิเลสครอบงำ ก็กระตุ้นให้อยากโน้นอยากนี้วุ่นวายไปเรื่อยๆ จิตใจก็ไม่สงบ

สมัยพุทธกาลก็มีคนซึ่งมีสมาธิดี คือเทวทัต มีสมาธิดีมากเลย แต่ไม่มีศีล ทะเยอทะยาน ถึงขนาดวางแผนฆ่าพระพุทธเจ้าตั้งหลายรอบ รอบแรกยุอชาตศัตรูปล่อยช้างมาจะให้เหยียบพระพุทธเจ้า ช้างก็วิ่งมา ท่านก็เจริญเมตตา กระแสเมตตาร่มเย็นทำให้ช้างใจเย็น ช้างก็ไม่ทำร้าย จ้างคนมายิงด้วยลูกธนู พวกนั้นก็ไม่ยิง กลับใจ สุดท้ายลงมือด้วยตัวเอง ใช้สัตว์ก็ไม่ได้ ใช้คนก็ไม่ได้ ก็ไปกลิ้งก้อนหินลงมาจะให้ทับพระพุทธเจ้าลงจากภูเขา ไม่สำเร็จ แต่ทำให้พระพุทธเจ้าบาดเจ็บที่แข้ง ก็เป็นกรรมหนัก เคยมีสมาธิดี ค่อยๆ เสื่อมไป เพราะจิตมีแต่บาปอกุศล สมาธิดีมากๆ เลยเทวทัต สุดท้ายก็ลงอเวจี

ก่อนจะตายสำนึกในความผิด ทำอนันตริยกรรมตั้งหลายข้อ ทำพระพุทธเจ้าบาดเจ็บข้อหนึ่ง ทำให้สงฆ์แตกแยกนี่อีกข้อหนึ่ง ทำอนันตริยกรรมใหญ่ 2 ข้อ อนันตริยกรรมฝ่ายดีที่มีคือฌานสมาบัติเสื่อม อนันตริยกรรมฝ่ายชั่วก็ให้ผลก่อน ถึงจะสำนึก คิดจะขอโทษพระพุทธเจ้าแต่พอตายก็ตกนรกอเวจีไปก่อน

พอไม่มีศีลสมาธิก็เสื่อม ชื่อเสียงเกียรติยศอะไรเสียหายหมดเลย ถูกคนตราหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อก่อนคนเขาด่าพวกอกตัญญู พวกอะไรพวกนี้ เรียกว่าพวกเถรเทวทัต ตายไปต้องไปอยู่กับเถรเทวทัต ที่จริงเถรมันแปลว่าเถระ เรียกเถรเทวทัตนี่ให้เกียรติมากไป เดี๋ยวนี้นับถือ ไหว้ชูชกกัน มันเป็นความอ่อนแอทางจิตใจของคน เป็นความอ่อนแอทางจิตวิญญาณ เคารพโน่นเคารพนี่สารพัดจะเคารพ เคารพชูชกซึ่งกำลังอยู่ในอเวจี เคารพรูปปั้นต่างๆ ที่เรามโนขึ้นมา หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่จำนวนมากที่เรามโนขึ้นเองไม่ได้มีจริง

อย่างไปไหว้แม่นากพระโขนงอย่างนี้ แม่นากพระโขนงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วแกก็ไม่ได้เป็นผีหลอกใครด้วย ในความเป็นจริงก็คือแกเป็นเมียของคุณพระคนหนึ่ง ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นขุนนางชั้นคุณพระ มีลูกชาย 2 คน แกมีลูกหลง เกิดท้องลูกหลงขึ้นมาตอนอายุเยอะ คลอดลูกแล้วตาย พ่อก็คิดจะมีเมียใหม่ ลูกไม่อยากให้พ่อมีเมียใหม่ ลูกชายโตๆ 2 คน กลัวมันจะมาแย่งสมบัติ เดี๋ยวพ่อหลงเมีย สมบัติยกให้เมียน้อยไปหมด ไม่ใช่เมียน้อย เพราะเมียหลวงตายไปแล้ว

ถามว่าพ่อผิดศีลธรรมอะไรไหม ไม่ได้ผิด ก็เมียตายไปแล้ว ก็ยุติแล้ว แต่ลูกไม่อยากให้พ่อมีเมียใหม่ เลยทำผีหลอกคน หลอกอยู่หน้าบ้าน ยุคก่อนบ้านมันหันหน้าลงคลอง เวลาคนพายเรือมากลางคืน ทำเป็นผีหลอกเขา เอาผ้าขาวคลุมร้องฮือๆ อะไรอย่างนี้ แล้วก็เล่าลือไป ผีนางนากดุ เลยไม่มีใครกล้ามาเป็นสะใภ้บ้านนี้ ไม่มีใครกล้ามาอยู่แต่งงานกับคุณพระ

เรื่องนี้ลูกชายคนหนึ่งของนางนากไปทำงานกระทรวงมหาดไทย เป็นเสมียนในกระทรวงมหาดไทย เป็นลูกน้องของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กรมดำรงฯ ท่านก็ไปถามว่าบ้านอยู่พระโขนง ได้ข่าวเรื่องผีนางนากบ้างไหม เขาบอกเขานี่ล่ะคือผีนางนาก ไม่ได้มีจริงๆ เรื่องหัวกะโหลกนางนาก สมเด็จโตไปเอา เรื่องแต่งทั้งนั้น เพราะผีนางนากไม่มี สมเด็จโตจะไปปราบนางนากทำอะไร

เรื่องอย่างนี้มีเยอะ มีมากมาย เรื่องพันท้ายนรสิงห์ ไหว้แม่นวล เมียพันท้ายนรสิงห์ นั่นเป็นเรื่องละครทั้งนั้น แต่งขึ้นมา ยุคหลังๆ ก็มีเรื่องแม่บุญเหลือ หลานย่าโม คนแต่งขึ้นมา ชื่อสมภพ จันทรประภา หลวงพ่อเคยเจอ แกเล่าเอง แกบอกว่าเล่นละครเรื่องย่าโมมานานแล้ว มันจืดแล้ว ใครๆ ก็รู้เรื่อง เลยต้องหาตัวละครใหม่ เอาหลานย่าโมมาเป็นตัวละครใหม่ เราก็ไปกราบไปไหว้ ไปโน่นนี่ บางทีก็อุปโลกน์เทวรูป อุปโลกน์อะไรขึ้นมา มนุษย์สร้างเทวรูปมาช่วยอะไรมนุษย์ คนสร้างขึ้นมา

เราต้องค่อยๆ เข้าใจ เรียนรู้ เชื่อในศีล เชื่อในธรรม เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อในความสามารถของตนเอง พึ่งตนเองให้ได้ พึ่งตนเองก็พยายามรักษาศีล เจตนางดเว้นไว้ก่อน ถัดจากนั้นเราก็ยกระดับสูงกว่าศีล ก็คือฝึกสมาธิ ในคำสอนของคนรุ่นก่อนๆ ท่านสอนกันเยอะ บอกถ้าจิตเราสงบแวบเดียว ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ใช้เวลานิดเดียว อานิสงส์อันนั้นยิ่งใหญ่กว่าสร้างโบสถ์ทั้งหลังสร้างวัดทั้งวัดอีก ถ้าสร้างโบสถ์สร้างวัดก็จะพาให้เราเวียนว่ายตายเกิดในสุคติ แต่ถ้าจิตเราตั้งมั่นขึ้นมา เราอาจจะพ้นวัฏฏะขึ้นไปได้ เมื่อเอาสมาธินั้นไปเดินปัญญาต่อ

 

ที่สุดของสมาธิคืออัปปนาสมาธิ

ในหลวงท่านก็ถามหลวงปู่เทสก์ว่าอะไรเป็นที่สุดของสมาธิ ที่สุดหมายถึงว่าสุดยอด สุดยอดของศีลก็คือเจตนางดเว้น จนกระทั่งกลายเป็นเจตนาอัตโนมัติ ที่สุดของสมาธิคืออัปปนาสมาธิ สมาธิมันมี 3 ระดับ มีขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ อุปจารสมาธิ สมาธิในระดับที่เกือบจะได้ฌาน ถ้าเป็นแบบมีนิมิต ก็ได้ปฏิภาคนิมิต แล้วก็สมาธิระดับอัปปนาสมาธิ ระดับรูปฌาน อรูปฌาน อัปปนาสมาธิก็เลยเป็นสมาธิที่สูง สูงกว่าขณิกสมาธิ แล้วก็อุปจารสมาธิ

ในขณะที่จะเกิดอริยมรรค เกิดอริยผล จะเกิดในขณะที่จิตทรงรูปฌาน อรูปฌาน ต้องถึงอัปปนาสมาธิ แต่อาจจะเข้าไปชั่วแวบเดียวเท่านั้นเองสำหรับคนซึ่งเข้าฌานไม่เป็น พวกเรารุ่นนี้เป็นพวกสมาธิสั้น ส่วนใหญ่ก็ได้แค่ขณิกสมาธิ ขณิกสมาธิก็เกิดเป็นขณะๆ เมื่อไรเรามีสติรู้สภาวธรรม รู้ได้ทันสภาวธรรม สติรู้ทันปุ๊บ ขณิกสมาธิก็เกิดร่วมในขณะนั้นเลย ฉะนั้นเมื่อไรมีสติที่ถูกต้อง ขณิกสมาธิก็เกิดขึ้นในขณะนั้นเลย

อย่างที่หลวงพ่อสอนพวกเรารุ่นนี้ซึ่งเป็นคนสมาธิสั้น ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตหนีไปคิดแล้วรู้ จิตถลำไปเพ่งแล้วรู้ ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปไม่ได้เจตนาจะรู้ พอจิตหลงไปคิดปุ๊บ รู้เอง ตรงนั้นสติที่แท้จริงเกิดแล้ว สติอัตโนมัติเกิด แล้วตรงถัดจากนั้น ถัดจากจิตที่หลงไป สติเกิดปุ๊บ เกิดพร้อมๆ กับจิตที่ตั้งมั่น เกิดขึ้นมาอัตโนมัติเลย แต่ตั้งมั่นอยู่ชั่วขณะ หลงอีก รู้อีก หลงอีก รู้อีก ขณิกสมาธิก็เกิดถี่ๆๆ ขึ้น จิตเราก็มีกำลังขึ้นมา บางทีทรงตัวขึ้นไปถึงอุปจารสมาธิ บางทีเราจะรู้สึกมันจะสงบ สงัด ว่างทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่อย่างนี้ ทรงตัวอยู่ได้ช่วงยาวๆ แต่ไม่ถึงขนาดหลายๆ วันหรอก สมาธิที่เราเข้าไปแล้วทรงตัวอยู่ได้ไม่เกิน 7 วันก็คืออัปปนาสมาธิ

ถ้าเราทำขณิกสมาธิ จิตเราทรงตัวมีกำลังขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนที่พวกเราทำ แล้วมาบอกหลวงพ่อว่าช่วงนี้จิตมีแรง ช่วงนี้จิตไม่มีแรง ตรงที่จิตมีแรงขึ้น จิตมันทรงอัปปนาสมาธิขึ้นมาแล้ว ตรงนั้นเอาไว้เดินปัญญาได้อย่างดีเลย ขณิกสมาธิก็ใช้เดินปัญญาได้ แต่มันสั้นๆ นิดเดียว ถ้าจิตมันทรงตัวเด่นดวงขึ้นมา มันจะเห็นง่ายว่าขันธ์มันแตกตัวออก ร่างกายก็แยกออกจากจิต ความรู้สึกสุขทุกข์ก็แยกออกจากจิต ความจำได้หมายรู้ก็แยกออกจากจิต ความปรุงแต่งคือสังขารทั้งหลายก็แยกออกจากจิต จะทรงตัวขึ้นมาแล้วมาเห็นสิ่งทั้งหลายมันแยกออกไปจากจิต

ตรงนี้เป็นการเจริญปัญญาขั้นต้น เรียกว่านามรูปปริจเฉทญาณ รูปนาม เห็นรูป เห็นนาม ถ้าพูดในหมวดของธรรมวิสุทธิ 7 วิสุทธิ 7 ข้อ อันนี้ก็คือทิฏฐิวิสุทธิ เริ่มมีความเห็นที่บริสุทธิ์ขึ้นมาแล้ว คือเริ่มเห็นความจริงว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวเราๆ ความเป็นจริงมันคือขันธ์ 5 กลุ่มก้อนของสภาวธรรม 5 ชนิดที่มารวมตัวกันอยู่แล้วสัญญาเข้าไปหมายว่านี่คือตัวเรา นี่ของเรา

ค่อยๆ ดู ค่อยๆ ฝึก ถ้าจะฝึกถึงอัปปนาสมาธิ ทุกวันนี้ทำยากมาก สิ่งเร้ามันเยอะเกิน แล้วธรรมชาติจิตของพวกเราวอกแวก ฉะนั้นได้ขณิกสมาธิบ่อยๆ ก็ดีแล้วล่ะ เราก็จะเห็นจิตเดี๋ยวนี้รู้ จิตเดี๋ยวนี้หลง ดูซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันก็เกิดปัญญาได้ จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ ดูอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าจิตมันทรงตัวด้วยอุปจารสมาธิขึ้นมา ขันธ์มันแตกเลย ขันธ์มันแยกออกเป็นส่วนๆ ให้เราดูได้เลย

 

วิสุทธิ 7

ฉะนั้นถ้าพูดถึงวิสุทธิ 7 7 ข้อมีสีลวิสุทธิ เห็นไหมต้องถือศีลก่อน อันที่สองคือจิตตวิสุทธิ ฝึกให้จิตมีสมาธิก่อน พอเรามีศีลเราก็ฝึกจิตให้มีสมาธิได้ ศีลจะส่งทอดให้สมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย พอมีสมาธิเกิดขึ้นแล้ว กำลังมากพอ โดยเฉพาะถ้ามันขึ้นมาตั้งมั่นขึ้นมา อย่างที่พวกเราหลายๆ คนรู้สึก จิตมันมีแรงตั้งมั่น ขันธ์มันแยก ตรงที่ขันธ์มันแยก มันแตกออกจากกันได้ ตรงนี้เรียกว่าทิฏฐิวิสุทธิ

วิสุทธิ 7 อยู่ในพระไตรปิฎก มีอยู่ในรถวินีตสูตร เรียกรถ 7 ผลัด เป็นสูตรซึ่งพระสารีบุตร สนทนาธรรมกับพระปุณณมันตานีบุตร 2 องค์นี้พระอรหันต์ชั้นเลิศทั้งคู่ คุยกัน ก็จดบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก บางคนบอกไม่ใช่พุทธวจนะ ตัดทิ้ง น่าเสียดายมาก ของวิเศษขนาดนั้น

พอเรามีทิฏฐิวิสุทธิ เราเห็นกายกับใจมันคนละอันกัน สุขทุกข์ก็คนละอันกับกาย คนละอันกับใจ ความจำได้หมายรู้ คนละอันกับกาย คนละอันกับความสุขทุกข์ คนละอันกับจิตใจ สังขารคือความปรุงแต่งของจิต ปรุงดีปรุงชั่วทั้งหลาย เป็นคนละอันกับร่างกาย เป็นคนละอันกับเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นคนละอันกับสัญญา ความจำได้หมายรู้ เป็นคนละอันกับจิต จิตเป็นคนไปรู้ไปเห็น ขันธ์มันแตกตัวออกมาเป็น 5 ขันธ์

ขันธ์แปลว่ากอง แปลว่าส่วน อย่าไปตกใจ อย่าไปกลัวคำว่าขันธ์ ขันธ์คือ 5 ส่วน ขันธ์ สิ่งที่ประกอบเป็นตัวเรา แยกย่อยออกไปแล้วมี 5 ส่วน คือส่วนของรูป ส่วนของความรู้สึกสุขทุกข์ ส่วนของความจำได้หมายรู้ ส่วนของความปรุงดีปรุงชั่ว แล้วส่วนของความรับรู้คือจิต มี 5 ส่วน พอมี 5 ส่วนแล้วก็จะเริ่มเห็น 5 ส่วนนี้ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งสิ้น เกิดดับ มีแล้วไม่มี สิ่งที่มีกำลังถูกบีบคั้นให้ไม่มี สิ่งทั้งหลายจะมีก็เพราะมีเหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นก็ดับ นี่คือการเห็นไตรลักษณ์ เห็นรูปธรรม นามธรรมแสดงไตรลักษณ์ ตรงนี้ก็เป็นการเจริญวิปัสสนา

วิปัสสนาเบื้องต้นเห็นเกิดดับ เรียกอุทยัพพยญาณ ตรงที่เจริญอุทยัพพยญาณแล้วสมาธิเราจะไม่พอ อันนี้เป็นธรรมดาเลย เจริญปัญญาไปช่วงหนึ่ง สมาธิจะตก พอสมาธิตก วิปัสสนูปกิเลสจะเข้ามา เราก็กลับมาทำสมาธิใหม่แล้วรู้ว่าอาการของวิปัสสนูปกิเลสไม่ใช่บรรลุมรรคผลหรอก บางทีจิตโล่ง จิตว่างไป นึกว่าบรรลุมรรคผล ที่จริงเป็นวิปัสสนูปกิเลสอย่างหนึ่ง

บางคนก็เกิดความแตกฉานในธรรมะ ใจนี่ โอ๊ย คัน ต้องใช้คำว่าคัน มันตรงสภาวะ มันอยากพูดธรรมะทั้งวันทั้งคืนเลย มนุษย์ไม่ฟัง ก็ไปพูดให้หมาฟัง หมาไม่ฟัง ไปพูดให้ต้นไม้ฟัง มันอยากเทศน์ ใจมันคันในธรรมะ อันนั้นก็เป็นวิปัสสนูปกิเลสชนิดหนึ่ง

วิธีที่จะผ่านวิปัสสนูปกิเลสไป เวลาเราทำวิปัสสนา อย่างไรก็เจอวิปัสสนูปกิเลส ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะสมาธิมันหมดเปลืองอย่างรวดเร็วในขณะที่เดินปัญญา เราทำสมาธิมาดี แล้วพอมาเดินปัญญา สมาธิมันก็เหมือนแบต เราใช้แบต ใช้กิจกรรมเยอะ แบตก็หมดเร็ว พอหมดเร็วเราก็หลงผิดแล้ว เกิดวิปัสสนูปกิเลส นึกว่าได้มรรคได้ผลอะไรอย่างนี้

ถ้ารู้วิธีก็คือกลับมาทำสมาธิใหม่ พอจิตเราตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เราก็จะพ้นจากวิปัสสนูปกิเลส ตรงที่เกิดวิปัสสนูปกิเลสแล้วเราพ้นจากวิปัสสนูปกิเลสได้ ตรงนี้เขาถือว่าเป็นอุทยัพพยญาณ อุทยัพพยญาณคือเป็นวิปัสสนาขั้นแรกที่เห็นความเกิดดับ ถ้าเทียบกับวิสุทธิ 7 ก็คือเข้าถึงสีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธินี่แยกขันธ์ได้แล้ว กังขาวิตรณวิสุทธิ หมดความสงสัยแล้วว่าอะไรเป็นทาง อะไรไม่ใช่ทาง ถ้าเข้ามาถึงตรงนี้

ถ้าผ่านตรงวิปัสสนูปกิเลสไปได้ เราก็จะรู้ตรงไหนเป็นทาง ตรงไหนไม่ใช่ทาง แล้วถัดจากนั้นเราก็ลงมือปฏิบัติ วิปัสสนาของเราต่อไป เรียกว่าปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ สุดท้ายก็เกิดมรรคเกิดผล เรียกญาณทัสสนวิสุทธิ แล้วก็ตัวสุดท้าย ก็คือวิมุตติญาณทัสสนวิสุทธิ ถ้าเทียบกับญาณ 16 ก็คือปัจเวกขณญาณ รู้ว่ากิเลสอะไรละแล้ว อะไรยังไม่ละ การเดินปัญญาจะเดินไปได้

 

ที่สุดของปัญญาคือไตรลักษณ์

สังเกตไหมที่เล่า ทีแรกแยกรูปนามเฉยๆ ยังไม่ใช่ที่สุดของปัญญา แต่ตรงที่เริ่มเห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ เริ่มเข้าที่สุดของปัญญาแล้ว เพราะว่ามันจะเห็นสังขารทั้งหลายทั้งปวง สิ่งที่เรียกว่าสังขารมีทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม เขาเรียกว่าสังขาร สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา คำพูดแต่ละคำมันมีนัยยะ มีความหมายของมัน

ถ้าเราภาวนามีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดไตรลักษณ์ว่า สังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ล้วนแต่ไม่เที่ยง หมายถึงว่ามีอยู่แล้วก็ดับไป ดับไปแล้วก็อาจจะมีอยู่ขึ้นมาใหม่ มันไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม เป็นทุกข์ คือถูกบีบคั้นให้แตกสลาย อย่างร่างกายเรานี้เติบโตมา มันกำลังถูกบีบคั้นให้แตกสลาย วันหนึ่งข้างหน้าก็ต้องแตกสลาย อันนั้นเรียกว่าทุกขตา สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ส่วนธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

คำว่าธรรมะตัวนี้ครอบคลุมทั้งสังขารทั้งหลาย คือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ครอบคลุมถึงนิพพาน เป็นอนัตตา ฉะนั้นนิพพานเป็นอนัตตา ใครมาบอกเราว่านิพพานเป็นอัตตา เราก็ฟังวาทะของเขาไว้ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่านิพพานเป็นอนัตตา แล้วมันก็เป็นอนัตตาจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของนิพพาน ถ้านิพพานเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าค้นพบนิพพาน แล้วพอท่านนิพพานไป ท่านตายไป นิพพานก็ต้องหายไปด้วย นี่ไม่หาย

ฉะนั้นธรรมทั้งหลาย คำว่าสังขาร หมายถึงสิ่งที่ปรุงแต่ง ทั้งรูปธรรมนามธรรม คำว่าธรรมหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งรูปธรรมนามธรรม แล้วก็สิ่งที่เหนือรูปธรรมนามธรรม คือนิพพาน เป็นอนัตตาทั้งหมด ตรงที่เห็นไตรลักษณ์อย่างนี้ จิตจะข้ามวัฏฏะได้แล้ว ยิ่งถ้าเห็นความจริงว่าจิตเป็นอนัตตา จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นเพียงมุมใดมุมหนึ่ง แล้วปล่อยวางจิตได้ จิตก็จะพ้นจากสังขารทั้งปวง

พอจิตพ้นจากสังขารทั้งปวง จิตก็แปลงสภาพตัวเองไปเป็นธรรมธาตุ เป็นวิญญาณธาตุที่บริสุทธิ์ ธาตุทั้งหลายในความเป็นจริงแล้ว มันก็สะอาดบริสุทธิ์ของมันเองอยู่แล้ว เมื่อวานหลวงพ่อแนะนำพวกเราบางคน เวลาใจฟุ้งซ่านมาก ให้สังเกตเลย ลองเอามือจับผม ทุกคนที่มีผม ลองจับผมดู ลองสัมผัสผมดู ผมมันบอกไหมว่ามันคือตัวเรา ผมมีกิเลสไหม ผมไม่ได้มีกิเลส ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกก็เหมือนกัน มันไม่เคยบอกว่ามันเป็นตัวเรา มันเป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ

ตัวที่เราแตะต้องได้เป็นพวกธาตุดิน เห็นไหมธาตุดินไม่มีกิเลส ธาตุดินไม่มีกิเลส เอาของสกปรกไปเทใส่ดิน ดินก็ไม่ว่าอะไร เอาน้ำหอมไปพรมใส่ดิน ดินก็ไม่ชื่นชมอะไร ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน เอาน้ำหอมไปใส่มัน มันก็ไม่ได้ชื่นชมอะไร คนที่ชื่นชมคือจิต เพราะฉะนั้นถ้าเรามองเห็นร่างกายเป็นเพียงธาตุ ธาตุดิน ไม่มีกิเลสในธาตุดิน ไม่มีความยินดียินร้าย ในธาตุดิน ในธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟก็เหมือนกัน ธาตุแต่ละธาตุนั้นไม่ได้มีกิเลส ไม่มีกิเลส แล้วก็ไม่มีเจ้าของด้วย ไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของโลก

ธาตุอีกตัวหนึ่ง ธาตุตัวที่ห้าคือ space อากาศธาตุ ช่องว่าง พวกเราดูไม่ค่อยได้หรอก ถ้าทรงสมาธิอยู่ ถึงจะพอดูได้ ธาตุ 4 ตั้งอยู่อย่างนี้ได้ เพราะมันจุอยู่ในช่องว่าง อย่างสมมติว่าเสานี้ไม่มีช่องว่าง สมมติ จริงๆ ก็มีช่องว่างอยู่ข้างใน เสาไม่มีช่องว่าง เราเดินเข้าไปไม่ได้ เอาดินใส่เข้าไปไม่ได้ถ้าไม่มีช่องว่าง แต่ทำไมดิน น้ำ ไฟ ลมที่รวมเป็นตัวเราทรงอยู่ได้ มันทรงอยู่ได้ใน space ในช่องว่าง ช่องว่างเอง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เหมือนกัน ไม่มีกุศล อกุศลในช่องว่างนี้ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นดิน น้ำ ไฟ ลม ในช่องว่าง ไม่มีกุศล อกุศล เป็นของธรรมชาติ ธรรมดา ไม่มีเจ้าเข้าเจ้าของ

ธาตุไม่ได้มีแค่ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ ยังมีวิญญาณธาตุอีกตัวหนึ่ง วิญญาณธาตุของสัตว์ทั้งหลาย มันไม่ได้สะอาดเหมือนดิน น้ำ ไฟ ลม แต่มันปนเปื้อนด้วยความปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันปนเปื้อนด้วยกิเลส ฉะนั้นเราก็จะค่อยภาวนา เพื่อซักฟอกจนกระทั่งธาตุวิญญาณธาตุนี้ เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นจากความยึดมั่น ถือมั่นในสังขารทั้งปวง หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวง

ทำไมมันหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวงได้ เพราะมันมีปัญญาแก่รอบ เห็นว่าสังขารทั้งหลาย ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นความปรุงแต่งทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ต่อไปวิญญาณธาตุมันก็จะสดสะอาด ผ่องใส สะอาด ไม่ปนเปื้อนด้วยกิเลส

การที่เราฝึกเรื่อยๆ ต่อไป ตัวจิตหรือวิญญาณธาตุของพระอรหันต์ มันก็จะมีอาการอย่างเดียวกับธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ 6 ธาตุนี้จะเสมอกัน ทั้ง 6 ธาตุ

 

“วันใดจิตของเราเสมอด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม
จิตเราก็พ้นโลก พ้นทุกข์แล้ว
ที่สุดของปัญญา มันเห็นไตรลักษณ์
เห็นดิน น้ำ ไฟ ลมเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์”

 

ครั้งหนึ่งท่านพระสารีบุตร ท่านจะเดินทางไปที่เมืองอื่น ทูลลาพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เตรียมข้าวของ เก็บบาตร เก็บจีวร ออกเดินทาง พวกพระจำนวนมากก็นับถือพระสารีบุตร ก็ไปยืนเข้าแถวส่ง ส่งพระสารีบุตร จะออกจาริกไป พระสารีบุตรท่านก็เดินทักทายไปทีละองค์ๆๆ ทักทายมาหลายองค์แล้ว คงจะหมดเวลาแล้ว จะต้องรีบไป ท่านไม่ได้ทักทายพระอยู่องค์หนึ่ง แล้วท่านก็หมุนตัวไป ตอนที่ท่านหมุนตัว ชายผ้าของท่านไปกระทบพระองค์นั้น พระองค์นั้นเซลฟ์จัด คิดว่าอย่างไรพระสารีบุตรก็ต้องร่ำลาท่าน ต้องคุยกับท่าน ท่านจะได้ได้หน้าได้ตา

พอพระสารีบุตรไม่ได้คุยด้วย หันหน้าไปแล้วไปเลย โกรธเลย ไปฟ้องพระพุทธเจ้า ว่าพระสารีบุตรทำร้ายข้าพเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่าทำร้ายอย่างไร บอกประหาร ประหารหมายถึงตี คำว่าประหาร ตีด้วยผ้า ตีด้วยผ้าสังฆาฏิ ผ้าไตร หมุนตัวปุ๊บ ผ้าตี พระพุทธเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่พระสารีบุตรจะไปตีใคร แต่ท่านต้องการให้คนอื่นได้รับรู้ถึงคุณธรรมของพระสารีบุตร แล้วก็ได้ฟังธรรมะที่ดี

ท่านก็ให้คนไปตามพระสารีบุตรกลับมา แล้วก็คล้ายๆ ขึ้นศาลๆ ท่านเป็นผู้พิพากษา ถามพระสารีบุตรว่าพระองค์นี้มาฟ้องว่าพระสารีบุตร ทำร้ายเขา ตีเขาด้วยชายผ้า จริงหรือไม่จริง พระสารีบุตรบอกว่าจิตของท่านไม่เคยคิดประทุษร้ายใคร เหมือนแผ่นดิน แผ่นดินนี้ไม่เคยรักใคร ไม่เคยโกรธใคร เอาของหอมไปใส่แผ่นดินก็เฉย เป็นอุเบกขา เอาของเหม็นไปใส่ แผ่นดินก็เป็นอุเบกขา จิตของข้าพระองค์ เหมือนแผ่นดิน ไม่ได้คิดร้ายกับใคร ไม่ได้รัก ไม่ได้เกลียดอะไรทั้งสิ้น

แล้วพระสารีบุตรก็พูดต่อไปว่า น้ำเราเอาของหอมใส่ลงไปน้ำก็ไม่ได้ยินดี เอาของเหม็นเทลงไป น้ำก็ไม่ได้ยินร้าย จิตข้าพระองค์ก็เหมือนน้ำ ไม่ได้มีความยินดียินร้ายอะไรในโลก เสมอกับน้ำ แล้วทำนองเดียวกัน เสมอกับลม เสมอกับไฟ อย่างลมพัดผ่านซากศพ ลมก็เฉยๆ พัดผ่านดอกไม้หอม ลมก็เฉยๆ หรือไฟ จะเผาไม้หอม เผากำยาน หรือเผาซากศพ ไฟก็ทำหน้าที่ของไฟ ไม่ได้ยินดี ไม่ได้ยินร้ายอะไรเลย

บอกจิตของข้าพระองค์เหมือนดิน น้ำ ไฟ ลม พระองค์นั้นสำนึกผิด แล้วสั่นสะเทือนมากจิตใจ ในขณะที่คนอื่นได้ฟังได้บรรลุมรรคผลได้อะไรกัน ได้ประโยชน์มากเลย คือถ้าวันใดจิตของเราเสมอด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม จิตเราก็พ้นโลก พ้นทุกข์แล้วล่ะ ที่สุดของปัญญา มันเห็นไตรลักษณ์ เห็นดิน น้ำ ไฟ ลมเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์

พระองค์นั้นตัวสั่น ลงกราบขอขมาพระสารีบุตรว่าได้ใส่ร้ายพระสารีบุตรเพราะว่าเซลฟ์จัด เพราะว่ากิเลสของข้าพเจ้าเอง ขอพระสารีบุตร ได้โปรดอดโทษให้ พระสารีบุตรท่านก็ให้อภัย ไม่ได้ว่าอะไร กรรมหายไปไหม ไม่หาย กรรมไม่ได้หายไป เพราะกรรมทำแล้ว ไม่มีใครแก้กรรมได้ พระพุทธเจ้าก็แก้กรรมให้ใครไม่ได้ พระพุทธเจ้าเกิดปัญญาแทนใครก็ไม่ได้ ต้องทำเอง ต้องปฏิบัติเอง ทั้งข้างดีข้างชั่ว

เหมือนเทวทัต ตอนท้ายของชีวิตสำนึกบาป จะมาไหว้พระพุทธเจ้า แล้วถูกแผ่นดินสูบลงไปก่อน มือจมดินลงไปแล้ว ไหว้ไม่ได้แล้ว เหลือแต่หัวโผล่ กำหนดจิต เหลือลูกคาง เอาลูกคางแตะแผ่นดินลงไป ขอนอบน้อมแด่ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยกระดูกลูกคางนี้ สำนึกผิด กระทั่งจะตายแล้วสำนึกผิด ลงอเวจีเพราะได้ทำอนันตริยกรรมไว้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้

เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดว่าใครจะแก้กรรมให้เราได้ เทพองค์ไหนจะช่วยเราแก้กรรมได้ ไม่จริงหรอก อันนั้นเป็นความอ่อนแอของเราเอง เหมือนเด็กถูกหลอก ขนาดพระพุทธเจ้ายังแก้กรรมให้เทวทัตไม่ได้เลย เห็นเทวทัตสำนึกผิดขนาดนั้น

ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นแดนเกิดอย่างนี้ ฉะนั้นไม่มีทางหนี เราจะพ้นจากกรรม พ้นจากสังขาร พ้นจากวัฏฏะได้เมื่อเห็นไตรลักษณ์ สังขารทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม ล้วนตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ถ้าจิตเห็นอย่างนี้ จิตจะวาง จิตก็พ้นจากสังขาร

ถามว่าพระอรหันต์มีสังขารไหม มี ทำไมจะไม่มี มีขันธ์ 5 อยู่ สิ่งที่ท่านต่างกับพวกเราคือท่านไม่ยึด ในขณะที่พวกเรามีสังขารทั้งรูปธรรมนามธรรม เรายึด พระอรหันต์มีรูปธรรม มีนามธรรม แต่ไม่ยึดต่างหาก ไม่ใช่ไม่มี บางคนเขา โอ๊ย วาดภาพพระอรหันต์เหมือนหุ่นยนต์ ต้องนั่งนิ่งๆ ยิ้มก็ไม่ได้ หาว่าโลภ หน้าบึ้งก็ไม่ได้ ว่าโกรธ พระอรหันต์นี้เป็นยากจริงๆ เลย เหมือนคนพิการ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อันนั้นมันมโนเอาทั้งนั้น

พระอรหันต์ก็คือคนอย่างพวกเรานี่ล่ะ แต่ฝึกฝนจิตใจจน เข้าถึงความสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา รู้แจ้งแทงตลอด ว่าความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ แล้วจิตท่านวางต่างหาก ไม่ใช่ไม่มี

 

 

วันนี้เทศน์ให้ฟังพอประมาณ พอรู้เรื่องไหม ปฏิบัติอย่างไรดี เอาล่ะสิ รักษาศีล ข้อที่หนึ่ง ทุกวันต้องฝึกสมาธิ ต้องฝึก ถัดจากนั้นก็เจริญปัญญา เวลาเจริญปัญญา สติระลึกรู้อะไร ทั้งกายหรือระลึกรู้นามธรรม ก็ดูไตรลักษณ์ไป ดูไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งจิตกับร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุทั้งหลายก็เสมอกัน ร่างกายนี้กับโลกข้างนอกก็ประกอบด้วยธาตุก็เสมอกัน ทั้งโลกข้างนอก ทั้งร่างกาย ทั้งจิตเสมอกัน ไม่เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่น เพราะว่ามันรู้แจ้งเห็นจริง สังขารทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม

จิตก็เป็นสังขารชนิดหนึ่ง เป็นความปรุงแต่งชนิดหนึ่ง ก็ไม่ใช่เป็นที่ตั้งของความยึดถือได้ ยึดเข้าไปเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น พอวางลงไปได้แล้ว จิตมันจะเข้าสู่ความเป็นวิญญาณธาตุ วิญญาณธาตุก็เหมือนธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมนี่ล่ะ พ้นจากความยินดี พ้นจากความยินร้ายต่ออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง พ้นจากการเสียดแทงด้วยความปรุงแต่งทั้งดีและชั่ว

อย่าไปวาดภาพให้พิกลพิการไป พระอรหันต์เป็นคนธรรมดายิ่งกว่าพวกเรา พวกเราเป็นคนไม่ธรรมดา เพราะเราถูกกิเลสผลักดันให้เรารู้สึกว่าเราไม่ธรรมดา กูดี กูหนึ่ง กูแน่ กูเก่ง กูสวย กูรวย กูดังอะไรอย่างนี้ นี่พวกไม่ธรรมดา หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยพูด บอกว่าพระอรหันต์เป็นคนธรรมดา คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ต่างหากที่ไม่ธรรมดา เพราะถูกกิเลสแต่งให้เป็นโน่นเป็นนี่ พระอรหันต์ไม่ได้เป็นอะไรเลย

พอสมควรแก่เวลา ว่าจะเทศน์ง่ายๆ ยากขึ้นทุกทีเลย โทษท่านอาจารย์นี่ล่ะ คนเก่งแล้วมานั่งข้างหน้า ธรรมะก็เลยสูงขึ้นๆ

ดูสิ ผมมันบอกว่าเป็นเราไหม ลองดึงดูสิ มันบอกไหม ขนตา ขนคิ้ว มันบอกไหมว่ามันเป็นเรา ฟันไม่ต้อง เพิ่งกินข้าวยังไม่ได้แปรง เอาหนังก็ได้ หนังหูอย่างนี้ มันบอกไหมว่าเป็นเรา ดูเล็บ ถามเล็บสิเล็บเป็นเราไหม ดู ดูลงไปทีละส่วนๆ มันไม่ได้เป็นเรา แล้วมันก็ไม่ได้มีกิเลสด้วย

การให้ค่า มันอยู่ที่จิตโง่ไปให้ค่าเอง ถ้าเราดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันไม่มีเรา มันเป็นธาตุเฉยๆ สมาธิมันได้ สมาธิมันเกิดทันทีเลย ฉะนั้นกายคตาสติ ทำแล้วได้สมาธิ สมาธิดีด้วย จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงเลย เห็นผมกับจิตคนละอันกัน หลวงพ่อไม่มีเสียด้วยสิ มันคนละอันกัน

ไปทำเอา ธรรมะยังเหลืออยู่ให้พวกเราเรียน ถ้าถึงวันหนึ่ง ธรรมะอย่างนี้ก็จะหมดไป ที่จริงธรรมะอย่างนี้ ไม่มีการสอนกันมานานหลายสิบปีแล้ว ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดกันในวงแคบๆ เฉพาะผู้ปฏิบัติบางคนเท่านั้น อย่างหลวงพ่อเข้าไปหาครูบาอาจารย์ท่านสอนธรรมะที่ประณีต สอนธรรมะที่ละเอียด ที่ประณีตให้ ถ้าเราไม่ได้ภาวนา ท่านก็บอกไปพุทโธไป ไปถือศีล 5 ไป สอนให้ตามชั้นตามภูมิ

เพราะฉะนั้นธรรมะที่ดีประณีตลึกซึ้ง มันค่อยๆ สูญหายไป เพราะครูบาอาจารย์ไม่รู้จะถ่ายทอดให้ใคร หลวงพ่อดูไปๆ โอ๊ย เราเรียนมาปล่อยให้ตายไปพร้อมตัวเราก็น่าเสียดาย คนรุ่นหลังร้อยคนพันคนได้ยินจะได้เข้าใจสักสิบคนก็ยังดี ถึงได้เอาธรรมะอย่างนี้มาเล่าให้ฟัง

ตอนบวชใหม่ๆ สอนธรรมะครูบาอาจารย์บางองค์ท่านยังติงเลย ปราโมทย์สอนลึกไป ท่านไม่ได้ว่าสอนผิด ท่านว่าสอนลึกไป สอนฆราวาส สอนให้มันทำทาน ถือศีล แค่นี้มันก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่ต้องเรื่องภาวนาหรอก มันทำไม่ได้หรอก หลวงพ่อครับๆๆ ครูบาอาจารย์บอก เราก็ไม่ว่า ไม่เถียง แต่ไม่ใช่หลวงปู่ดูลย์ ไม่ใช่หลวงพ่อพุธ ไม่ใช่หลวงปู่เทสก์ ไม่ใช่หลวงปู่สิม เป็นครูบาอาจารย์อื่น ท่านบอกว่ามันยากไป หลวงพ่อครับๆ ไปอย่างนั้น เชื่อไหม ไม่เชื่อ

ทำไมไม่เชื่อ เพราะหลวงพ่อเป็นฆราวาส ทำไมเราทำได้ คนอื่นเขาก็ทำได้ พวกเราไม่ได้โง่กว่าหลวงพ่อ แต่พวกเราใส่ใจในการปฏิบัติน้อยกว่าหลวงพ่อเท่านั้นล่ะ เป็นพวกตุ่มรั่ว ใครยังเป็นตุ่มรั่วอยู่ ยกมือให้ดูหน่อย ขอดูตุ่มหน่อย ถ้าไม่รั่ว มันก็เต็มเร็ว พอเต็มแล้วก็ขันธ์มันก็จะแตกตัวให้ดู จะแยกตัวให้ดูเลย แล้วมันจะเห็นไตรลักษณ์ ที่สุดของปัญญาคือไตรลักษณ์ ถ้าเห็นไตรลักษณ์แล้ว ถัดจากนั้นก็เกิดมรรคผลแล้วล่ะ ที่สุดของศีลคือเจตนางดเว้น ที่สุดของสมาธิคืออัปปนาสมาธิ ที่สุดของปัญญาคือไตรลักษณ์ ถ้าเข้าใจถึงไตรลักษณ์ก็พ้นความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงแล้ว ถึงที่สุดแห่งทุกข์

วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ว่าจะเทศน์เอาใจตลาดเทศน์ง่ายๆ หน่อย ก็ยากทุกวัน มีภิกษุณีจีนมาเยอะเลย แล้วไปฟ้องว่าไม่ได้เรียนกับหลวงพ่อตัวต่อตัวเลย เรียนเป็นกลุ่มๆ เรียนทีละคนไม่ไหว ส่วนใหญ่ยังไม่มีพื้นฐาน ยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็เลยไปเรียนกับผู้ช่วยสอนก่อน พอเรียนพื้นฐานดีแล้วมาฟังหลวงพ่อ มันก็ต่อยอดได้ หลวงพ่อจะไปเริ่มต้นสอนตั้งแต่เริ่มต้นเลยเดี๋ยวนี้ทำไม่ไหวแล้ว แล้วก็สอนมาเยอะแล้วด้วย

ไปฟังซีดีรุ่นเก่าๆ ที่หลวงพ่อสอนจะสอนวิธีแทคติกในการปฏิบัติเยอะแยะไปหมดเลย มาถึงวันนี้คล้ายๆ เรียนมานานแล้ว หลายคนเรียนมาเยอะแล้ว คำสอนมันก็ประณีตมากขึ้นๆ เพราะนักเรียนที่เรียนเก่งๆ มันโตขึ้นมา ก็ได้ยินได้ฟังธรรมที่สูงขึ้น พวกนี้ล่ะก็ไปช่วยหลวงพ่อสอนเบสิกให้ดี สร้างคนให้เข้าใจพื้นฐาน ทำอย่างไรไม่เผลอไม่เพ่ง รักษาศีล 5 มีชีวิตอยู่กับเครื่องอยู่สักอย่างหนึ่ง แบบไม่เผลอไม่เพ่งอะไรนี่ สอนพื้นฐานไว้ แล้วค่อยต่อยอดมาเรียนกับหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อสอนเบสิกกับทุกคน มันทำไม่ได้แล้วล่ะ แล้วหลวงพ่อก็แก่เกินไปแล้วด้วย ไม่มีแรงขนาดนั้นหรอก

จนคนเขาเรียกหลวงปู่แล้ว แต่หลวงพ่อยังเรียกตัวเองว่าหลวงพ่อ เพราะว่าเคยชิน จะต้องซ้อมๆ เรียกตัวเองว่าหลวงปู่บ้างแล้ว ที่จริงพระอายุ 60 กว่าๆ เขาก็เรียกหลวงปู่กันแล้ว นี่หลวงพ่องอมแล้ว ดูจากยูทูปเห็นเลย ปีนี้เหี่ยวลงไปเยอะเลย แก่ อย่างพระอาจารย์ท่านยังเป็นหลวงพี่ได้ ท่านยังหนุ่ม หลวงพ่ออย่างนี้ระดับหลวงปู่แล้ว แก่

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
10 กันยายน 2566