โลกธรรม 8 ประการ

กรรมฐาน ฟังแล้วก็ต้องทำ ฟังแล้วไม่ได้ทำก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ดีไม่ดี เกิดทะนงตัวว่ารู้เยอะ ธรรมะเราเรียน ต้องลดละกิเลสได้ ถ้าเรียนแล้วกิเลสไม่สะเทือนนี่ ถือว่าล้มเหลวแล้ว ยิ่งถ้าเรียนแล้วกิเลสเพิ่มขึ้นยิ่งแย่ใหญ่ บางคนภาวนาแล้วก็กูเก่งๆ บางทีเก่งกว่าพระพุทธเจ้าขึ้นมา อันนี้ถือว่าล้มเหลวมาก เราพยายามศึกษาแล้วลงมือปฏิบัติให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าสอนธรรมะเรามีวัตถุประสงค์ชัดเจน เราศึกษาเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์ พ้นทุกข์สิ้นเชิง ฉะนั้นเวลาเราลงมือปฏิบัตินี่เราอย่าลืมวัตถุประสงค์หลัก ต้องทำไปเพื่อความสิ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำไปพอกพูนกิเลสขึ้นมา แต่สิ้นทุกข์ได้ก็ต้องสู้มาก ต้องต่อสู้ คนแต่ละคนไม่ใช่ว่าศึกษาธรรมะแล้ว ทุกคนจะบรรลุมรรคผลนิพพานในชีวิตนี้ ส่วนน้อยบรรลุไป ส่วนมากก็สะสมบุญบารมีไป แต่คนส่วนใหญ่สะสมบาป ไม่ค่อยสะสมบุญบารมีอะไรเท่าไหร่ คนเหล่านั้นก็ปล่อยไป ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่คนทั้งหมดจะเข้าใจได้ เป็นศาสนาของคนที่มีปัญญาจริงๆ ถึงจะเข้าใจได้ ฉะนั้นเราก็ดู ถ้าเราเห็นว่าเรามีกำลัง มีโอกาสที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เราก็ทำ ถ้ายังไม่ได้ เราก็สะสมบุญบารมีของเราไป อย่างเป็นพระก็ตั้งอกตั้งใจรักษาศีล รักษาพระวินัยไว้ ศึกษาปริยัติก็ยังดี ทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นฆราวาส ภาวนาได้ก็ภาวนา จริงๆ แล้วมรรคผลนิพพานไม่ใช่เรื่องเฉพาะของพระ ฆราวาสก็บรรลุมรรคผลได้ จะทำที่สุดแห่งทุกข์ยากหน่อยสำหรับฆราวาส แต่ก็มี ดูในพระไตรปิฎกก็มีหลายท่านที่เป็นฆราวาส ท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ สีหอำมาตย์อะไรพวกนี้ เป็นฆราวาสและทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บารมีเขาเต็ม

คนทั่วๆ ไป ชาวบ้านธรรมดาๆ นี่ ถ้าเป็นชาวพุทธที่ดีก็มีพวกจริยธรรม อะไรที่พระพุทธเจ้าบอกว่าดีก็ทำ อะไรที่ท่านว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ อย่างมีศีล ท่านสอนให้มีศีล 5 ก็รักษาไป รักษาศีล 5 ไม่ใช่เพื่อพระพุทธเจ้า ก็เพื่อตัวเองนั่นล่ะ คนมีศีลชีวิตมันก็ร่มเย็นเป็นสุข คนไม่มีศีลมันก็เดือดร้อน อย่างไปกินเหล้าเมายาอะไร มีโรคระบาดมาก็ติดก่อนคนอื่นเขา เพราะมันไปรวมกลุ่มกัน ถ้าเราสนใจการปฏิบัติ ถึงจะเป็นฆราวาสหมดเวลาทำงาน เรากลับบ้านเรา ภาวนาของเราไปทุกวันๆ เก็บเล็กเก็บน้อยไป หลวงพ่อก็ทำอย่างนั้นตอนเป็นโยม เลิกงานแล้วก็กลับบ้าน ถ้าไม่มีธุระต้องไปที่อื่น กลับบ้านแล้วก็ภาวนาทุกวัน คนซึ่งเติบโตมาพร้อมๆ กับเรา พร้อมๆ กับหลวงพ่อนี่ แต่ที่เขาไม่สนใจการปฏิบัติ อย่างญาติพี่น้องอะไรนี่ เพื่อนฝูง ตั้งแต่เด็กๆ เขาก็ไม่สนใจ เพื่อนในที่ทำงานน้อยคนจะสนใจ ฉะนั้นหลวงพ่อไม่สนใจหรอกว่าใครจะสนใจการปฏิบัติธรรมไหม หลวงพ่อปฏิบัติของหลวงพ่อ ไม่ใช่ต้องตามเพื่อน ผ่านวันผ่านเวลามา รุ่นเดียวกันจำนวนมากก็ตายไปแล้ว บางส่วนยังไม่ตายก็เป็นตาแก่เป็นยายแก่ ชีวิตที่ดิ้นรนแย่งชิงกันมาแทบจะไม่มีความหมายเลย เคยใหญ่เคยโต ถึงวันนี้เกษียณไปก็ไม่ใหญ่แล้ว มันทำให้เห็นถ้าเราอยู่กับโลกแล้วเราไม่หลงระเริง ไม่เพลิดเพลินไปกับโลก เรามองไปรอบๆ ตัวเรา เราก็จะเห็นธรรมะ

ธรรมะที่อยู่ประจำโลก เขาเรียกโลกธรรม มี 8 ประการ มีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข แล้วก็มีทุกข์ ธรรมะ 8 ข้อนี้เป็นของประจำโลก จะชอบหรือจะไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เคยหายไปไหน ก็อยู่ประจำโลกอยู่อย่างนี้ คนซึ่งเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมดีๆ ไม่มีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีๆ อะไรอย่างนี้ หรือว่าเขาไม่สนใจ ไม่มีของเก่า ไม่มีต้นทุนที่จะปลุกเร้าให้สนใจการปฏิบัติ เขาอยู่กับโลก เขาก็อยากได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ลาภก็คือผลประโยชน์ อยากได้ผลประโยชน์ พอเสียผลประโยชน์แล้วไม่ชอบ อยากได้ผลประโยชน์อย่างเดียว ตรงที่อยากได้ผลประโยชน์ใจก็ดิ้นรนแล้ว ใจดิ้นรนเมื่อไหร่ ใจทุกข์เมื่อนั้น ตรงที่กลัวที่จะเสียผลประโยชน์ ใจก็ดิ้นรน ใจก็ทุกข์อีก แต่ถ้าคนซึ่งมันเห็นความจริง มีโอกาสทำมาหากิน ได้เงินได้ทองอะไรก็ทำ เป็นฆราวาสไม่ใช่ต้องอดๆ อยากๆ รวยได้ก็รวย แต่ไม่ได้รวยในทางที่ผิด มีโอกาสทำมาหากินมีรายได้ดีก็รู้จักบริหารจัดการ พระพุทธเจ้าก็สอน ส่วนหนึ่งไว้บริโภคใช้สอย เลี้ยงดูคนในความดูแลของเรา เลี้ยงดูพ่อแม่ลูกเมียอะไรพวกนี้ เดี๋ยวนี้ต้องเลี้ยงสามีด้วย รู้จักเก็บออม รู้จักลงทุน นี่ท่านสอนไว้ทั้งนั้น

ฉะนั้นธรรมะในโลกพระพุทธเจ้าท่านก็เมตตา ไม่ใช่ว่าจะสอนธรรมะเพื่อพ้นโลกทุกคนหรอก คนที่อยู่ประจำโลกท่านก็สอนให้รู้จักธรรมะของโลก อย่างเรามีลาภ มีโอกาสทำมาหากิน ร่ำรวยมาก็ทำไป แต่รู้จักเก็บออม รู้จักลงทุน รู้จักคบคนที่ดี กัลยาณมิตร ถ้าคบคนไม่ดี รวยแค่ไหนก็หายนะ นี่ธรรมะที่จะทำให้เราอยู่กับโลกสบายๆ แต่เราต้องรู้อย่างหนึ่ง มีลาภวันหนึ่งก็เสื่อมลาภได้ อย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมานี่ มันเป็นสิ่งที่คนนึกไม่ถึงใช่ไหม ธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่อยู่ๆพังทลาย อย่างสายการบินนี่ ล้มระเนระนาดไปทั่วโลกเลย ใครจะนึกถึงว่าอยู่ๆ มันจะเป็นไปได้อย่างนั้น การผลิตรถยนต์การผลิตอะไรเสียหายหมดเลย เคยขายน้ำมันร่ำรวย คนใช้น้ำมันลดลงพรวดพราดลงไป บริษัทน้ำมันเจ๊งก็มี นี่เคยมีลาภฟู่ฟ่าอุดมสมบูรณ์ แล้ววันหนึ่งสถานการณ์มันพลิก แบบนึกไม่ถึงเลย มันพังทลายลงไป ธุรกิจของหลายๆ คนล่มสลาย โอกาสที่จะพลิกฟื้นมาทำธุรกิจอย่างเก่าก็ยาก ก็ต้องมองลู่ทางทำมาหากินใหม่ๆ อันนี้ก็เข้ากับธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน รู้จักการลงทุน ไม่ใช่เล่นการพนันนะ บางคนบอกลงทุนด้วยเล่นการพนันอะไรอย่างนี้ ไม่มีทาง การพนันเป็นอบายมุข เป็นทางเสื่อม ไม่มีทางเจริญหรอก ฉะนั้นถ้าเรารู้จักมีธรรมะเตือนตัวเองอยู่ ช่วงนี้เราทำมาหากินได้ดี เรามีลาภ เราต้องรู้ โอกาสเสื่อมลาภสูญเสียผลประโยชน์นั้นมีอยู่เสมอ นี่ถ้าเราเป็นชาวพุทธแท้ๆ ทำกิจการรุ่งเรืองแล้วพังโครมลงไปนี่ เราจะเห็นว่ามันธรรมดา ทีนี้ถ้าเราเคยมีธรรมะหรือรู้จักอดออม เราก็ยังพอประคองตัวได้ในช่วงวิกฤตได้ แล้วก็มองหาลู่ทางทำมาหากินต่อไป

นี่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งนั้นเลยสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่มีแต่ว่าวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว แต่คนซึ่งมีสติปัญญามีบุญบารมีพอ ต้องการพ้นทุกข์ก็เจริญสมถะเจริญวิปัสสนาด้วยสติปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่ทำโง่ๆ ทำแบบมีสติมีปัญญา คนที่จะอยู่กับโลกก็เรียนธรรมะสำหรับโลก รู้ว่ามีผลประโยชน์ได้ก็เสียผลประโยชน์ได้ ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่แสดงความไม่เที่ยงเหมือนกันทั้งหมด เห็นไหมในโลกนี้ก็แสดงธรรมะชั้นสูง คือแสดงไตรลักษณ์อยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้ล่ะ เพียงแต่ว่าคนในโลกมันหลงระเริง ช่วงไหนหาเงินได้มากก็ถลุงเลย ใช้เงินอย่างเพลิดเพลิน หลวงพ่อเคยอ่าน เป็นคล้ายๆ คำสารภาพของพระเอกหนังคนหนึ่ง พระเอกหนังไทยนี่ล่ะ บอกว่าตอนที่รายได้ดีนี่เคยใช้เงินวันละล้าน มีความสุขมากเลย ตอนอายุเยอะขึ้นไม่มีใครจ้างเล่นหนังแล้ว มาโอดครวญขอให้คนช่วยจ้างเล่นหนัง บอกไม่มีรายได้อะไรอย่างนี้ อันนี้เขาดำรงชีวิตด้วยความประมาท ไม่ได้อยู่ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า มีรายได้มาก ก็ยิ่งถลุง อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์เลย มันหลงระเริง อย่างบางคนเล่นหุ้นได้เงินเยอะใช่ไหม ก็ถลุงแหลกเลย บริโภคกระเป๋าใบหนึ่งเป็นล้านๆ ก็ซื้อมาใช้ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร บริโภคไม่ได้คิดถึงวันข้างหน้า ไม่ได้คิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิต เราเป็นชาวพุทธเราไม่หลงระเริง มีโอกาสทำมาหากินก็ทำ มีโอกาสรวยก็รวย แต่ไม่ทุจริต รวยอย่างทุจริตมันก็ได้ประโยชน์ในเฉพาะหน้านี้ อนาคตเสียหาย บางคนก็เสื่อมไปหมดเลย ติดคุก ติดตาราง ไม่ต้องพูดถึงชีวิตหลังความตายหรอก อย่างเราก็เห็นตัวอย่างใช่ไหม ยิ่งใหญ่ขึ้นมาก็หาเงินได้เยอะแยะเลย หาเงินได้เยอะแยะ สุดท้ายอยู่ไม่ได้ เงินทองไม่ได้นำความสุขมาให้ บ้านเมืองก็ไม่ได้อยู่ของตัวเอง ไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้มีความสุขจริง นี่ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราไม่ประมาท ทำมาหากินสุจริต ได้เงินรู้จักอดออม รู้จักต่อทุนต่อยอดไป ดูลู่ทาง แล้วที่สำคัญต้องรู้จักคบกัลยาณมิตร คนซึ่งแนะนำสิ่งที่มีประโยชน์ เรียกว่ากัลยาณมิตร เรารู้จักคบคนอย่างนี้ ชีวิตเราก็จะก้าวหน้าได้

นี่แค่เรื่องธรรมะอันหนึ่งของโลก คือมีลาภ ก็เสื่อมลาภได้ มียศ ก็เสื่อมยศได้ มีน้อยคนที่ว่าไม่เสื่อมยศ แต่ก็ไม่จริงหรอก สุดท้ายก็หมดไป อย่างบางคนเป็นจักรพรรดิ อย่างพระเจ้าอโศกเป็นจักรพรรดิ ถึงจุดหนึ่งก็ไม่ได้เป็น ไม่มีใครมาแย่งอำนาจ แต่ว่าสังขารร่างกายไม่อำนวยหมดอายุขัย ถัดจากจักรพรรดิไปเกิด ถ้าจำไม่ผิดเคยอ่านเจอไปเกิดเป็นสัตว์ ตัวอะไรจำไม่ได้แม่นแล้ว แล้วก็ลูกท่านเป็นพระอรหันต์ พยายามโปรดสัตว์ โปรดพ่อ ก็เอาตัวรอดขึ้นมาได้ ทำไมทำคุณงามความดีตั้งเยอะยังพลาดได้ ก็เพราะว่าคนเราไม่ได้ทำดีตลอด มันก็ทำชั่วมาบ้าง ดีกับชั่ว มันคละเคล้าปะปนกันมา ตอนจะตายแล้วแต่ว่ากรรมตัวไหนมันจะให้ผล เราเลือกไม่ได้หรอก กรรมมันจัดสรรเอง

มียศ เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ไม่เป็นเห็นไหม หรือเคยเป็นขุนนางใหญ่ เป็นเจ้าคุณโน้นเจ้าคุณนี้ถึงจุดหนึ่งก็ตาย คนอื่นเขามาเป็นแทน ฉะนั้นมีตำแหน่งหน้าที่ เคยเป็นปลัดกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ ถึงจุดหนึ่งอย่างมากเขาก็บอกอดีตปลัดกระทรวง คำว่า อดีตปลัดกระทรวง ก็คือไม่ได้เป็นปลัดกระทรวง นี่มียศมันก็เสื่อม บางคนไม่เข้าใจตรงนี้ ดิ้นรนแสวงหายศอยากได้ตำแหน่ง ซื้อตำแหน่งเอาบ้าง ปัดแข้งปัดขาคนอื่นบ้าง คิดว่าจะนำความสุขมาให้ ตัวเองปัดแข้งปัดขาคนอื่นขึ้นไป หรือซื้อขึ้นไป ตลอดเวลาที่ครองตำแหน่งอยู่ ใจก็กังวลว่าคนอื่นจะมาปัดแข้งปัดขาตัวเองบ้างไหม อย่างที่ตัวเองเคยทำ คนอื่นจะมาซื้อตำแหน่งแทนไหม อย่างที่ตัวเองเคยทำ มีขึ้นมานะไม่ได้มีความสุขจริงหรอก บางคนมาหาพระมาขอพร ขอให้ได้เลื่อนตำแหน่งอะไรอย่างนี้ เลื่อนไปก็ไม่ใช่ว่ามีความสุข อยู่ที่การกระทำของเราเองเป็นหลัก

เคยมีนายทหารคนหนึ่งไปจัดพิธีพุทธาภิเษก น่าจะที่วัดสุทัศน์ ก็นิมนต์พระมาเยอะเลย พระเกจิดังๆ มา มีองค์หนึ่งชื่อหลวงปู่เที่ยง วัดม่วงชุม อยู่ที่เมืองกาญจน์ องค์นี้ยุคหนึ่งท่านก็ดังมาก นายทหารนี่ก็เข้าไปหาท่านหลังจากเสร็จพิธีแล้ว ไปกราบท่าน “หลวงปู่ครับ ผมเป็นพันเอกมานานแล้วไม่ได้เป็นนายพลสักที ขอพรหลวงปู่ช่วยให้ผมได้เป็นนายพลครับ” หลวงปู่ท่านมองหน้าแล้วบอก “มึงโง่อย่างนี้ มึงถึงไม่ได้เป็น อยากได้ตำแหน่งก็ไปขอนายสิ มาขอพระได้ยังไง” ดูท่านฉลาดไหม คนนี้ได้สติไปขอนาย ก็ได้เป็นนายพล แต่เป็นนายพลอยู่ไม่นานก็เกษียณ ก็เป็นอดีตอีก สุดท้ายมียศขึ้นมา สุดท้ายมันก็เป็นอดีตของยศทั้งนั้นเลย อย่างเพื่อนหลวงพ่อเป็นอธิบดี เป็นเอกอัครราชทูต เป็นนู่นเป็นนี่กัน ถึงวันนี้ก็เป็นข้าราชการบำนาญ ก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว ฉะนั้นถ้าเรารู้จักความจริงว่ายศทั้งหลายนี่มันก็ของไม่ยั่งยืน ได้ยศมาแล้วเอาไปทำประโยชน์ได้ ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนอื่นได้ อันนั้นเป็นประโยชน์ ถึงเราจะอยู่ในตำแหน่งไม่นาน แต่เราได้สร้างคุณงามความดีอะไรอย่างนี้ คนมีอำนาจมีโอกาสทำดีมากมีโอกาสทำชั่วมาก อยู่ที่ตัวเองเลือก ฉะนั้นเรามียศขึ้นมาด้วยความสุจริตของเรานี่ทำความดีไป อย่างเป็นตำรวจเห็นไหม เคยเห็นเขาถ่ายรูปลง Facebook อะไรกัน เคยเห็นอยู่ว่าตำรวจคนนี้ไปช่วยคนแก่ แม่ค้าหาบของแก่ๆ จะข้ามถนนอะไรอย่างนี้ก็ไปช่วยเขาหาบ จูงยายข้ามถนนอะไรอย่างอย่างนี้ อย่างนี้คนก็สรรเสริญ สร้างความดีไป ถ้าเป็นตำรวจแล้วก็ตั้งด่านรีดไถอะไร คนก็ไม่สรรเสริญหรอก ไม่นานหมดอำนาจไป ย้อนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำมันเศร้าหมอง ในขณะที่เรามีอำนาจอยู่ เราทำความดี หมดอำนาจแล้วเรานึกย้อนหลังไป เราอิ่มอกอิ่มใจ ไม่เหมือนกัน คุณค่ามันต่างกันมากเลย ฉะนั้นเราก็ต้องรู้ ยศเป็นของเหมือนหัวโขนสวมได้ก็ต้องถอด ไม่มีใครสวมหัวโขนไปตลอดหรอก ถึงเวลาก็ต้องถอดออกไป ฉะนั้นเวลาสวมเราก็สวมหัวโขนแล้วก็แสดงบทบาทให้มันดี ก็มีความสุขได้ ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อสอนว่าทุกคนต้องไม่มียศ มียศได้ก็มี ไม่ใช่ไม่มี เหมือนรวยได้ก็รวย ไม่จำเป็นว่าต้องไม่รวยหรอก แต่รวยให้เป็น มียศให้เป็น

นี่ท่านสอนธรรมะประจำโลก มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ สังเกตไหมว่าตัวนี้มันกลับข้างกับคนอื่น อันแรกเป็นส่วนดี มีลาภแล้วเสื่อมลาภ ลาภมันดีใช่ไหม เริ่มจากดี มียศนี้ส่วนดี แล้วก็หมดยศไป เสื่อมยศ พอมาถึงสรรเสริญกับนินทา ท่านไม่เริ่มจากสรรเสริญ ท่านพลิก นินทากับสรรเสริญ ทำไมนินทากับสรรเสริญ เอาเริ่มนินทาก่อน ในโลกนี้คำสรรเสริญกับคำนินทา อะไรมีมากกว่ากัน ใครไม่ถูกนินทามีไหม ไม่มี หลวงพ่อกล้าพูดเลย ในโลกนี้คนที่ไม่ถูกนินทา ไม่มี หลวงพ่อรู้ได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ ในโลกนี้คนที่ไม่ถูกนินทา ไม่มี คนที่ได้รับคำสรรเสริญนี่น้อยเต็มที ที่สรรเสริญ แต่ประจบสอพลอนั่นไม่นับว่าสรรเสริญจริงหรอก อันนั้นคือประจบสอพลอ อย่างเขาเป็นใหญ่เป็นโต ท่านอย่างโน้น ท่านอย่างนี้ ท่านเก่งอย่างโน้น ท่านฉลาดอย่างนี้ ท่านดีอย่างนั้น เขาประจบสอพลอเพื่อหาผลประโยชน์ เขาไม่ได้สรรเสริญด้วยใจ ทีนี้บางคนมีอำนาจขึ้นมา คนสรรเสริญ ก็ต้องดูว่าเขาสรรเสริญด้วยใจหรือเปล่า หรือว่าเขาหวังผลประโยชน์ นี้ในโลกนี้เต็มไปด้วยคำนินทา ถ้าเรายอมรับความจริงตรงนี้ไม่ได้ เราจะทุกข์

อย่างทีมงานของหลวงพ่อนี่ทุ่มเททำไลฟ์สด ทำกันเข้มแข็งมากเลย ลงทุนลงแรงเหน็ดเหนื่อย มีคนมาบอก “เสียงไม่ชัด” เสียงไม่ชัด นี่เขายังไม่ถึงขั้นนินทาด้วยซ้ำไป นี้เขา respond บอก “เอ้อ วันนี้เสียงไม่ชัด” อะไรอย่างนี้ เรามาปรับแก้ อย่างนี้เราได้ประโยชน์ ถ้าเราใจเสีย “ตายละเขาว่าเรา เราทำงานแทบตายแล้วมันนินทาเรา” อะไรอย่างนี้ หรือทีมแม่ครัว ก็มีคนสรรเสริญกับมีคนนินทา สรรเสริญก็ “โอ้ ดีจังเลยนะ อุตส่าห์เสียสละมาช่วยทำอาหารให้วัด” อะไรอย่างนี้ นินทาก็มี “ไม่อร่อยเลย” ทีแรกก็ชมว่าอร่อย พอเขาชมว่าอร่อย แม่ครัวก็ได้กำลังใจ ทำบ่อยๆ อะไรที่กินบ่อยๆ ไม่อร่อยหรอก เราก็ “โอ๊ย มาว่าเราอีกแล้ว ไอ้โน่นก็ไม่ชอบ ไอ้นี่ก็ไม่ชอบ” ถ้าเรารู้ว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ คนมันชมบ้าง คนมันตำหนิบ้าง ส่วนใหญ่ตำหนิ ชมไม่ค่อยมีหรอก ทำไมคนไม่ค่อยชมกันเพราะคนมันอิจฉา ใครเขาดีมันก็อิจฉาเขา มันจะไปชมเขาทำไม ถ้าเราเข้าใจโลก เราถูกนินทาเราไม่หวั่นไหวถือเป็นเรื่องปกติ คนสรรเสริญก็เป็นเรื่องปกติ

อย่างหลวงพ่อตั้งแต่เด็กๆ เรียนหนังสือก็เก่ง แล้วทำกิจกรรมอะไรได้แปลกๆ พอทำอะไรขึ้นมา กิจกรรมพิเศษต่างๆ อะไรอย่างนี้ คนก็ชม เราฟังจนชิน ฟังแล้วเฉยๆ ใจมันคงเคยภาวนามาเยอะ ใจฟังเขาชมก็เฉยๆ ฟังเขาว่าแล้วหงุดหงิดเล็กๆ ถ้าว่าเรื่อยๆ เฉยๆ “เอ้อ ธรรมดา” ถ้าจะแก้ปัญหาคนถูกนินทาด้วยกิเลส เราก็นึกสิ “อุ้ย เราต้องมีดีน่ะเขาถึงจะนินทา” อันนี้แก้ด้วยกิเลส กลายเป็นยกตนข่มท่าน “โอ้ย เราถูกนินทาเพราะเราดีกว่าเขา ถ้าเราเลวกว่าเขา เขาไม่นินทาเราหรอก” อันนี้ก็ไม่จริง บางคนทำตัวไม่ดีชาวบ้านก็นินทา ลูกบ้านนี้ไม่ได้เรื่องเลยติดยาอะไรอย่างนี้ คนเขาก็นินทา ฉะนั้นนินทาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเรามีธรรมะ เราก็รู้ว่าคำสรรเสริญ คำนินทามันออกจากปากคนแต่มันมาสะเทือนที่ใจของเรา ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติจริงๆ คำสรรเสริญเกิดขึ้นใจเราฟู เรารู้ทัน คำนินทาเกิดขึ้นใจเราแฟบ เรารู้ทัน ใจเราเป็นกลางต่อคำสรรเสริญและคำนินทา อันนี้เป็นวิธีสุดยอดเลย เป็นวิธีของนักปฏิบัติ

ถ้าวิธีอย่างชาวโลกก็ทนเอา ปลอบตัวเอง ไม่มีใครหรอกที่ไม่ถูกนินทา นี่ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ แล้วก็ทนต่อการนินทา อันนี้ใช้ทนเอา บางทีก็ใช้กิเลสเลย ยกตนข่มท่านไปเลย ฉะนั้นวิธีต่อสู้กับคำนินทามีเยอะแยะเลย แล้วแต่เราจะเลือก เลือกไปตามสติปัญญา แต่ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา สวยเกินไปก็ถูกนินทา เป็นไปได้ไหม สวยไปก็ถูกนินทา “มิน่าล่ะ ชอบไปเกาหลี” ความจริงพ่อแม่เขาเก่ง ลูกออกมาสวย เราก็หมั่นไส้ พยายามแต่งเรื่องว่าเขาไปศัลยกรรมมา “เนี่ย สวยด้วยมีดหมอ มีดอาคมทั้งหลาย” อดนินทาไม่ได้ ทำไมต้องนินทาเขา นินทาแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มันสบายใจ มันสะใจ มันสบายใจ มันเพิ่มกิเลสของตัวเอง ไม่เห็น ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงของโลก เราไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและคำสรรเสริญ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ ทุกคนต้องเจอ เขาชอบเขาก็สรรเสริญ เขาไม่ชอบเขาก็นินทาก็แค่นั้นเอง

มีสุขแล้วก็มีทุกข์ได้ ตัวสุดท้ายของโลกธรรม 8 ประการ อันแรก มีลาภเสื่อมลาภ อันที่สอง มียศเสื่อมยศ อันที่สามมีนินทามีสรรเสริญ อันที่สี่ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ เวลาเรามีสุขอย่าหลงระเริง ความสุขสั้นเสมอ ความสุขมันสั้นเสมอในความรู้สึกของเรา เวลามีความสุข เราอย่าหลงระเริง อย่าประมาท อย่างบางคนฐานะดี รูปร่างดี หน้าที่การงานดี ครอบครัวดี ดีหมดเลย มีความสุขมาก มีทุกสิ่งที่ต้องการ แล้วมีความสุขมหาศาล ใจบุญด้วย ชอบทำบุญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สังคมสงเคราะห์อะไรอย่างนี้ ดีหมดเลยชีวิต วันหนึ่งไปตรวจร่างกายเป็นมะเร็งแล้ว ความสุขที่เคยมีมันหายทันทีเลย มีเงินร้อยล้านพันล้าน พอเป็นมะเร็งขึ้นมาเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม เหมือนอย่างคนรุ่นเราทำงานเก็บเงินไว้ตั้งมาก ตอนแก่ๆ พอเจ็บป่วยนี่โรงพยาบาลเอาไปกินหมดเลย หลวงพ่อไม่อยากพูดว่าหมอเอาไปกินหมด โรงพยาบาลเป็นคนรับเงินไป หมอไม่ได้รับเงินเรา มีเงินก็เอาไปทุ่มๆๆ ลงไป ค่ารักษาตัวเองเยอะแยะเลย มีคนรู้จักกันอยู่ทางเมืองกาญจน์ มีที่ดินเยอะแยะเลย รวย มีปั๊มน้ำมัน มีอะไรเยอะแยะ ฐานะดี เจ็บป่วยขึ้นมาทีหนึ่ง เข้าโรงพยาบาลทีหนึ่งหลายสิบล้าน ขายที่ขายอะไรไปเรื่อยๆ คล้ายๆ ความเหน็ดเหนื่อยที่ทำมานี่มันสลายไปในช่วงสุดท้าย เอาไปแลกกับการมีชีวิตรอด บางคนหลวงพ่อเห็นแล้วน่าสลดใจ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ใช้เครื่องปั๊มหัวใจ คลุมหมดเลยทั้งตัวเลย มีชีวิตอยู่ด้วยการเอาเงินเข้าไปแลก ลมหายใจนี่ก็แลกมาด้วยเงิน หายใจเองไม่ได้แล้ว เคยหายใจฟรี ต่อไปนี้หายใจต้องเสียเงินแล้ว ต้องปั๊มออกซิเจนเข้ามา ต้องอะไรขึ้นมา ความสุขที่มีมันอันตรธานไปหมดเลย

ฉะนั้นเราอย่าประมาท ความสุขในโลกไม่ยั่งยืนหรอก ถ้าไม่โหดร้ายอย่างที่หลวงพ่อเล่า ไม่ถึงสถานการณ์เลวร้ายว่าจะป่วยจะตายหนักๆ อะไรอย่างนี้ หรือพิการอะไรอย่างนี้ มีชีวิตอยู่ธรรมดาอย่างนี้ เราก็จะเริ่มสังเกตเห็น ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ เราจะเห็นว่าความสุขทั้งหลายไม่คงที่หรอก อย่างเราชอบสาวคนหนึ่งได้เห็นหน้าเขาทุกวันๆ เราก็มีความสุขแล้ว มีความสุขอยู่ไม่นาน เห็นหน้าแล้วอยากได้มาเป็นแฟนเรา การที่ลำพังแค่เห็นนี่เคยให้ความสุขเราได้ต่อไปนี้ไม่ให้แล้ว อยากได้มาเป็นแฟน หาทางทำให้เขาชอบ ให้เขาชอบได้เป็นแฟนแล้ว อยากได้เขาเป็นเมียอีกแล้ว พออยากได้เป็นเมียนานๆ ไป เบื่อ อยากให้ไปให้พ้น อยากเลิกกัน มันไม่เลิกสักที ไม่ยอมเลิก มันเกาะเราแน่นเหลือเกิน ลืมไปว่าเป็นกฎแห่งกรรม ก่อนเราจะแต่งงานกับเขา เราไปจีบเขา เราไปเกาะเขาแน่นเลยไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็น พอเขามาอยู่กับเราแล้ว เราจะไปว่าเขาเกาะเราแน่น มันเป็นกรรมของเรา เขาก็เกาะเราแน่นเหมือนอย่างที่เราเคยเกาะเขาแน่นบ้าง อันนี้ยังดี บางคนเรารักอยู่แท้ๆ ก็ไปมีกิ๊กก็ได้ ยุคนี้คเสรีอะไรอย่างนี้

ความสุขในโลกมันเป็นความสุขที่อิงอาศัยคนอื่น อิงอาศัยสิ่งอื่น ซึ่งไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ไม่เหมือนความสุขในธรรมะ ไม่ได้อิงอาศัยคนอื่น ไม่ได้อิงอาศัยสิ่งอื่น แต่อิงอาศัยตนเอง พึ่งตนเองได้ ภาวนาไปเรื่อยๆ พึ่งตนเองได้ มีความสุข หลวงพ่อพูดเต็มปากเลยว่าหลวงพ่อมีความสุขเยอะ ภาวนามาเรื่อยๆ นี่ชีวิตมีความสุข แก่ก็แก่อย่างมีความสุข เจ็บก็เจ็บอย่างมีความสุข ต่อไปก็จะตายอย่างมีความสุข คิดอย่างนั้น จะทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตายแล้วอาจจะเกิดเป็นแมวก็ได้ โลกนี้ไม่แน่นอน แล้วแต่เวรแต่กรรม ฉะนั้นอย่างถ้าเราดำรงชีวิตถูกต้องเป็นธรรม โลกธรรม 8 ประการจะแปรปรวนยังไง เราก็มีความสุขได้ เราก็จะมีความสุขได้ในทุกๆ สถานการณ์

เหมือนหลวงพ่อไปอยู่โรงพยาบาล วันนี้ก็เจาะนู่นเจาะนี่ผ่านู้นผ่านี้ เจ็บตัวอยู่ทุกวัน วันที่ไม่เจ็บตัวนี่แทบไม่มีเลย มีแต่เรื่องเดือดร้อนทางร่างกายเราเรื่อยๆ บางทีก็เหนื่อยมาก ไม่สบาย เหนื่อย ไม่มีแรง ญาติโยมก็มาเยี่ยม ส่วนใหญ่ก็พวกหมอพวกพยาบาลอะไรอย่างนี้มาเยี่ยม ก็คุยกับเขา เขาไปเราก็รีบลงไปนอนแผ่หมดแรง ก็ทำสงเคราะห์ สงเคราะห์เท่าที่สงเคราะห์ได้ ยังมีกำลังอยู่ ก็ทำหน้าที่ของเราไป มีคนมาถามว่าหลวงพ่ออยู่โรงพยาบาลนานแล้วคิดถึงวัดไหม เบื่อไหม หลวงพ่อบอก หลวงพ่อไม่เบื่อหรอก เบื่อมันเป็นโทสะ เราไม่รู้จะเบื่อไปทำไม เบื่อเราก็ออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ เบื่อแล้วกลุ้มใจเปล่าๆ อย่างเวลาเราไปอยู่โรงพยาบาล เราเบื่อ เรากลับบ้านได้ไหม กลับไม่ได้ ความเบื่อทำให้เราเป็นทุกข์เปล่าๆ นี่พอเราภาวนา เราเข้าใจ เบื่อมันทำไม อยู่กับมันนี่ล่ะ อยู่ตรงไหนมันก็ต้องอยู่ อยู่โรงพยาบาลก็ทุกข์ อยู่วัดมันก็ทุกข์อย่างอยู่วัดนั่นแหล่ะ คนละแบบกันเท่านั้นเอง ที่ไหนมันก็ทุกข์เหมือนกัน ทุกข์ทั้งนั้น แต่ว่าทุกข์ต่างๆ กันไปตามสถานการณ์

พอเรารู้สุขกับทุกข์อะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก เราก็ไม่หวั่นไหวกับสุข ไม่หวั่นไหวกับทุกข์ ฉะนั้นอย่างเราไม่ได้คิดจะบรรลุมรรคผลนิพพาน เราก็เรียนโลกธรรม 8 ประการนี่แล้วก็หัดปฏิบัติให้สอดคล้อง เข้าใจมัน เริ่มต้นจากเข้าใจโลกธรรม เจริญได้ก็เสื่อมได้ พอเข้าใจแล้วก็ดำรงชีวิตให้สอดคล้อง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วทั้งนั้น อย่างลาภ ยศ อะไรอย่างนี้ ท่านก็สอนคาถาที่จะทำให้เป็นเศรษฐี รู้จักทำมาหากิน รู้จักอดออม รู้จักลงทุน รู้จักคบคนอะไรอย่างนี้ มันมีธรรมะ อันนี้ไปถามหลวงพ่อกู๋ดู (Google) อยู่บ้านไปถามหลวงพ่อกู๋ดู แกตอบได้หมดล่ะ อีตาคนนี้มันรู้มากจริงๆ อยู่ที่เราอ่านแล้วเอามาทำให้ได้ แล้วชีวิตเราจะมีความสุข

วันนี้สมควรแก่เวลา นี่เทศน์เรื่องปรมัตถ์มาหลายวันแล้ว วันนี้เทศน์เอาใจชาวโลกบ้าง แต่มันก็เจืออยู่ในเรื่องของปรมัตถ์นั่นล่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
31 พฤษภาคม 2563