อนุปุพพิกถา

วันนี้เจริญพร ให้ดูเป็นทางการหน่อย มีเจริญพรด้วย หลวงพ่อไม่คุ้นงานพิธีกรรมพวกนี้ ไม่ถนัด ก่อนออกมายังคุยกับพระอาจารย์อ๊าเลยว่าจะเทศน์อย่างไรหนอ เพราะคนจำนวนมากไม่ได้ปฏิบัติ คนมาทำบุญเฉยๆ การที่เรามาทอดกฐินมันก็เป็นการทำทาน เป็นทานอย่างหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นทานสำคัญ ทำยาก ที่ทำยากเพราะว่าเป็นทานที่กำหนดเวลา 1 เดือนหลังออกพรรษา เกินนั้นก็ทอดกฐินไม่ได้

ทอดกฐินจริงๆ แต่ดั้งเดิมก็เป็นวิธีการที่จะรวมพระมาช่วยกันตัดเย็บสบงจีวรอะไรพวกนี้ สมัยโบราณผ้าหายาก พระต้องไปเก็บเศษผ้าที่เขาทิ้ง รวบรวมไว้แล้วก็ถึงเวลาพอแล้วก็มาช่วยกันทำ พระทั้งวัดช่วยกันตัด ช่วยกันเย็บ ช่วยกันย้อม แล้วก็มอบให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง มันเป็นกิจกรรม ของพระ กฐินจริงๆ เป็นการฝึกให้พระสามัคคีกัน ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือกัน พื้นฐานจริงๆ ของกฐินมันเป็นแบบนี้

ทีนี้ญาติโยมเห็นว่าพระเที่ยวไปหาเศษผ้าที่เขาทิ้ง กว่าจะหาได้ลำบาก ก็เลยเอาผ้ามาถวาย ถ้าเป็นวัดครูบาอาจารย์ก็จะถวายผ้าขาว แล้วพระก็จะมาช่วยกันตัด เย็บ ย้อม มาทำให้เสร็จในวันเดียว แล้วก็กรานกฐิน เรื่องของพระทั้งนั้น ฆราวาสก็สงเคราะห์พระด้วยการหาผ้ามาให้ พระไม่ต้องไปเที่ยวเก็บเศษผ้ามาต่อกัน ทุกวันนี้พระก็เย็บผ้าไม่ค่อยเป็นแล้ว ก็เลยเอาชุดสำเร็จตัดมาแล้ว เย็บย้อมมาแล้วมาถวาย

กฐินจริงๆ มันแค่นั้นสำหรับญาติโยม ที่จริงแต่เดิมไม่เกี่ยวกับโยม เป็นเรื่องพระหาผ้ากันมาเอง ช่วยกันตัดเย็บย้อมกันเอง ก็มอบให้พระองค์ใดองค์หนึ่งที่เหมาะสม ญาติโยมก็สงสารพระ สงเคราะห์เอาผ้ามาให้ ต่อมามันก็ค่อยๆ พัฒนาไปอีก เอาผ้าอย่างเดียวมาน้อยไป ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียวเอง เอาผ้ามาผืนหนึ่งไม่จุใจ คนอยากทำกฐินทานก็มีเยอะ เลยเกิดเรื่องบริวารกฐิน ก็เลยเถิดไปถึงเรื่องแจกซอง แจกอะไรกัน ค่อยๆ กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ

แต่พระต้องรู้สึกว่ากฐินคืออะไรแน่ๆ ต้องรู้ ส่วนโยมไม่รู้ พระก็มีหน้าที่บอกโยม จริงๆ กฐินก็แค่สงเคราะห์พระเอาผ้ามาให้สักผืนหนึ่ง อย่างที่นี่หลวงพ่อก็ไม่เรียกร้องว่าจะต้องหาข้าวของเงินทองอะไรมาทำทอดกฐิน ที่นี่ไม่มีกระทั่งให้ไปพิมพ์ซอง ไม่ให้ไปพิมพ์ซองแจกเรี่ยไร เราไม่มี มันเกินพระวินัยไป ส่วนโยมทำก็เป็นบุญของเขาล่ะ แต่ถ้าพระยินดี ยินดีว่าได้เงิน อาบัติ ฉะนั้นพระยินดีไม่ได้

 

ถ้าจิตประกอบด้วยกุศล สุคติก็เป็นอันหวังได้

พอเรารู้เรื่องกฐิน ส่วนใหญ่ก็จะไปพูดถึง อานิสงส์กฐิน ทำแล้วจะได้บุญอย่างนั้นอย่างนี้ จะได้ขึ้นสวรรค์ จะได้เป็นเทวดา การขึ้นสวรรค์หรือจะลงนรกมันอยู่ที่จิตของเรา ถ้าจิตของเราประกอบด้วยกิเลสเป็นเนืองนิตย์ เราก็มีทุคติเป็นอันหวังได้ คือมีโอกาสสูงที่จะไปทุคติ ถ้าเราอยากไปสุคติ อยากไปสวรรค์อะไร จุดสำคัญก็อยู่ที่จิตของเราเอง ถ้าจิตของเราไม่ถูกกิเลสย้อม ไม่ถูกกิเลสครอบงำ สุคติก็เป็นอันหวังได้

มีภาษิตอยู่อันหนึ่ง บอกว่า ‘จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา’ จิตที่ประกอบด้วยอกุศล มีทุคติเป็นอันหวังได้ โอกาสสูง ‘จิตเต อสังกิลิฏเฐ’ อสังกิลิฏเฐ ไม่ประกอบด้วยกิเลส ‘สุคติ ปาฏิกังขา’ ถ้าจิตไม่ประกอบด้วยกิเลส สุคติก็เป็นอันหวังได้ ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราจะทอดกฐินเท่านั้นวัดเท่านี้วัดแล้วเราจะขึ้นสวรรค์ ก็ดูให้ดี ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก เพราะจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าจิตเราเป็นอกุศล ทอดกฐินร้อยวัดมันก็ตกนรก บางคนก็อาศัยเรื่องกฐินแอบอ้างเรี่ยไรทอดกฐิน ถึงเวลาบอกว่ารวบรวมมา เงิน ถึงเวลาก็ไม่ได้เอาไปให้วัดก็มี เอาเข้ากระเป๋าไปก็มี

พวกเราไหนๆ ก็มาทอดกฐินทั้งที ทำจิตให้มันเป็นบุญเป็นกุศลเอาไว้ อย่าทำด้วยอำนาจของกิเลส กิเลสก็คือโลภะ โทสะ โมหะนั่นล่ะ ทอดกฐินอย่างไรมีโลภะ ทอดกฐินแล้วอยากได้บุญเยอะๆ อยากเด่น อยากดังเหนือคนอื่น แหม เราเป็นเจ้าภาพ เราเหนือคนอื่นทอดกฐินแล้ว โอ๊ย เราจะต้องขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ นี่มันทำด้วยโลภะ ฉะนั้นจิตยังเศร้าหมองอยู่ โอกาสจะไปสุคติก็หวังยาก

ทำด้วยโทสะก็มี เวลาจัดงานทอดกฐินงานใหญ่ๆ อย่างนี้ ผู้คนมาเยอะแยะ กระทบกระทั่งกัน ไม่ได้อย่างใจ แค่จอดรถจิตก็เป็นอกุศลแล้ว แย่งกันจอด แย่งกันเข้าศาลา แย่งกันกินข้าว แย่งกันเข้าห้องน้ำ เต็มไปด้วยความหงุดหงิดในทุกๆ ช่วงจังหวะ จะกินข้าวก็หงุดหงิด จะทำโน่นก็หงุดหงิดๆ อันนั้นจิตประกอบด้วยโทสะ ถึงจะมาทอดกฐินแต่จิตเป็นโทสะ ทุคติก็เป็นอันหวังได้

ส่วนโมหะเข้าใจยาก ทำด้วยความหลง หลงว่าถ้าเราเป็นเจ้าภาพได้บุญเยอะ คนอื่นได้บุญน้อยกว่าเราอะไรอย่างนี้ บอกแล้วว่าบุญมากบุญน้อยมันอยู่ที่จิต คนไม่มีเงินเลยก็ทำบุญได้ เห็นคนเขาทำบุญ เห็นคนเขาทำความดี อนุโมทนากับเขาก็ได้บุญแล้ว ฉะนั้นบุญไม่ได้อยู่ที่ว่าจ่ายเท่าไร ทฤษฎีที่บอกว่าทำทานให้เงินพระเยอะจะได้สวรรค์ชั้นสูง ทำทานน้อย มันได้สวรรค์ชั้นต่ำ ถ้าไม่ทำทานก็ต้องตายอดตายอยาก คนที่สอนอย่างนั้นนั่นล่ะมันจะลงนรก

บอกแล้วว่าตัวที่ชี้ขาดว่าเราจะไปสุคติหรือทุคติอยู่ที่จิตของเราเอง ถ้าจิตประกอบด้วยกิเลส ทุคติก็เป็นอันหวังได้ ถ้าจิตประกอบด้วยกุศล สุคติก็เป็นอันหวังได้ เพราะฉะนั้นเรามาทอดกฐิน เราก็สังเกตจิตใจของเราให้ดี เรามีโทสะเกิดขึ้น ให้รู้ทัน อย่าปล่อยให้มันครอบงำจิตของเรา บางครั้งมันเกิดแวบเดียวขึ้นมา ถ้าเราเห็นมันจะดับทันทีเลย อย่างคนเยอะๆ เราเดินอยู่ดีๆ มีคนถอยมาเหยียบเท้าเรา หรือบางคนชอบไลฟ์ มีมือถือก็แกว่งไปแกว่งมา จะไปทิ่มหน้าคนที่อยู่ข้างๆ อะไรอย่างนี้ โทสะเราขึ้น ให้เรารู้ทันจิตที่มีโทสะ โทสะจะดับทันที จิตเราก็จะเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมา ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่จองเวร

คนที่จองเวรกันข้ามภพข้ามชาติ จุดเริ่มต้นมันก็มาจากการขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ นั่นล่ะ แล้วก็ค่อยๆ สะสมความเกลียดชังกันไว้ เลยโกรธกันข้ามภพข้ามชาติ อย่างเทวทัตกับพระพุทธเจ้า นานแสนนานมาแล้วก็เป็นพ่อค้าด้วยกัน เทวทัตก็จะไปต้มตุ๋นชาวบ้าน พระพุทธเจ้าไม่ต้มตุ๋น ได้ผลประโยชน์ ได้ถาดทองคำไป เทวทัตโกรธ ตัวจะหลอกเขา ทีนี้หลอกไม่สำเร็จก็โกรธอาฆาตกันข้ามภพข้ามชาติ

เพราะฉะนั้นเรามาทำบุญมาทอดกฐิน ระมัดระวังจิตใจของเรา อย่าให้กิเลสมันครอบงำใจเรา พวกบ้าบุญอะไรกิเลสครอบงำ อยากได้บุญเยอะๆ อยากขึ้นสวรรค์สูงๆ มันเต็มไปด้วยโลภะ เต็มไปด้วยความอยาก แทนที่จะได้บุญเยอะ มันก็ได้บุญน้อย ได้บาปเยอะไป

อย่างบางคนเมื่อก่อนหลวงพ่อเคยเจอ ไปเช็งเม้ง ไปเช็งเม้งจริงๆ ไปไหว้บรรพบุรุษ ไปคิดถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษแล้วก็เป็นวันรวมญาติ เพื่อญาติจะสามัคคีกัน นี่เช็งเม้ง เมืองชลมีเยอะ สุสาน มีบางคนไปถึงก็ต้องรีบแย่งปักธูปเป็นคนแรก คิดว่าถ้าได้ปักธูปเป็นคนแรกแล้วจะเฮงที่สุด นี่มันไม่มีบุญเลย มันเต็มไปด้วยโลภะ เต็มไปด้วยโมหะ หลง โง่

 

มีธรรมะเป็นที่พึ่งที่อาศัย

เพราะฉะนั้นเราจะดีหรือจะเลว จะไปสุคติหรือไปทุคติ อยู่ที่จิตดวงเดียวนี้ล่ะ ถนอมรักษามันให้ดี อย่างบางคนมีลูก ดูแลรักษาอย่างดี หวังว่าต่อไปจะดูแลพ่อแม่ มีความหวังพึ่งลูกพึ่งหลานอะไรอย่างนี้ มันไม่มีความแน่นอนหรอก แต่ถ้าเราพึ่งธรรมะ พัฒนาจิตใจของเราเอง จิตใจของเราจะมีที่พึ่งที่อาศัยที่แท้จริง เวลาเรากระทบอารมณ์ที่ไม่ดี จิตใจเศร้าหมองเรามีสติรู้ทัน ความเศร้าหมองในจิตใจก็หายไป จิตใจก็มีความสุข เบิกบาน

เราอาจจะเป็นคนแก่ที่ถูกทอดทิ้ง วันข้างหน้าจะมีเยอะคนแก่ที่ถูกทอดทิ้งอยู่คนเดียว แรงจะหาข้าวกินก็จะไม่มี เจ็บป่วยก็ไม่มีใครพาไปหาหมอ นอนซมอยู่ จมอึจมฉี่อยู่ ถ้าจิตเป็นอกุศล โมโหลูกหลาน ทำไมมันใจร้าย ไม่มาดูแล จิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติก็เป็นอันหวังได้ แต่สมมติว่าเราป่วยหนัก เป็นคนแก่ถูกทอดทิ้ง หาข้าวกินเองก็ไม่ไหว หาน้ำกินเองก็ไม่ไหว นอนจมอึจมฉี่อยู่ เราก็ดูไป ร่างกายนี้มีแต่ทุกข์ ไม่มีของดีไม่มีของวิเศษอะไรเลย

เมื่อก่อนเรายังหนุ่มยังสาวเราก็ยังเคลื่อนไหวได้ พออายุเยอะขึ้นแล้ว ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะไหวแล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้ เวลานี้ไม่มีใครช่วยเหลือเราแล้ว ต้องอยู่คนเดียวแล้วเราต้องมีธรรมะเป็นที่พึ่งที่อาศัย สังเกตจิตใจของเราไปเลย กำลังหายใจแขม่วๆ ลมหายใจกำลังจะขาดอยู่แล้ว ทำใจสบายๆ ดูไปสิ ลมหายใจมันจะหยุดตอนไหน เราจะตายตอนไหน ดูเหมือนดูคนอื่นป่วย ดูเหมือนดูคนอื่นตาย ใจของเราสบาย ใจของเราเป็นผู้รู้ผู้ดู สุคติก็เป็นอันหวังได้

เมื่อก่อนหลวงพ่อเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง หมาตัวนี้ดี ไปเก็บมาจากจุฬาฯ เก็บมาจากคณะ ตอนนั้นยังเรียนอยู่รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ไปเอาหมามาตัวหนึ่ง มาเลี้ยงไว้ หมาตัวนี้มีศีล สัตว์เล็กสัตว์น้อยเข้ามาในบ้าน ไม่เคยกัด ไม่เคยทำร้ายเลย ลูกแมวหลงเข้ามาในบ้าน ยังแบ่งข้าวให้กินเลย บางทีสัตว์อื่นมา ให้กินข้าว เราคลุกข้าวตั้งไว้ให้ มีสัตว์อื่นมา เขาให้กินก่อน สัตว์อื่นกินอิ่มแล้วก็ค่อยกิน เราดู ตัวนี้ไม่ธรรมดา เป็นหมาแท้ๆ

หมาตัวนี้ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ทำร้ายสัตว์อื่น มีศีลข้อหนึ่ง หมาตัวนี้ไม่ลักไม่ขโมย บางทีปิ้งปลาตากเอาไว้ เขาอยากกิน ยังไม่ได้หยิบเอาไปให้เขากิน ก็ไม่ขโมย นั่งน้ำลายไหลอยู่อย่างนั้น ไม่เอา ไม่ขโมย หมาก็มีศีลได้ มีศีล 2 ข้อแล้ว ส่วนข้อสามประพฤติผิดในกาม ไม่รู้ๆ หรอก เพราะว่าบางทีมันออกไปข้างนอก เราก็ไม่รู้มันไปยุ่งกับสามีชาวบ้านหรือเปล่า อันนี้ไม่รับรอง ข้อสี่ หมาตัวนี้ไม่มุสา มันไม่พูดโกหกอยู่แล้วล่ะ มันพูดไม่ได้ แต่มันไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่เห่า ไม่เห่าอะไรสะเปะสะปะ เงียบๆ อยู่ของตัวเองสงบๆ แล้วหมาตัวนี้ก็ไม่กินเหล้าด้วย 5 ข้อ หมาตัวนี้มีศีลตั้ง 4 ข้อแล้ว

เวลาที่มันตาย จิตของมันดีมาตลอดเลย ตอนมันจะตาย มันลุกไม่ขึ้นแล้ว มันนอน สมัยโน้นสัตวแพทย์อะไรมันก็ไม่ค่อยมี หลายสิบปีมาแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้มันนอน ปูผ้าให้มันนอนสบายๆ มันก็นอนนิ่งๆ ไม่กระสับกระส่าย ตาของมันใสแจ๋วเลย ตาของมันสงบ พวกเราดูออกไหม ตา เรามองตาคนเรารู้ คนโมโหดูออกไหม ตาขวางอะไรอย่างนี้ คนมีราคะ แหม ตาหยาดเยิ้ม มันดูได้ หมานี้มีตาที่ใสแจ๋วเลย สงบ ก็นึก โอ้ อย่างนี้กระทั่งเป็นหมา แต่ว่าพยายามสร้างคุณงามความดี รักษาศีล รักษาอะไรไว้ เวลาจะตาย ตายด้วยความมีสติ ตายด้วยความมีสติ รู้ทันทีอย่างไรเขาก็ไปสุคติ เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอก จิตเต อสังกิลิฏเฐ จิตซึ่งไม่ประกอบด้วยกิเลส สุคติ ปาฏิกังขา ไปสุคติ

ส่วนบางคน ตายไปด้วยทุคติ จะตายเพราะโมโหลูก โมโหหลานอะไรอย่างนี้ มีคนโมโหตัวเอง เจ็บมาก ไม่รู้จะโมโหใคร โมโหตัวเอง เขย่าเตียงใหญ่ เขย่าเหล็กที่กั้นข้างๆ โครมๆๆ โมโห เมื่อไรมันจะตายสักทีโว้ย โอกาสไปทุคติมี เพราะฉะนั้นพวกเราไหนๆ ก็มาทำบุญทำทานมาทอดกฐินแล้ว จุดสำคัญอยู่ที่จิตของเรา สังเกตจิตใจของเราไป อย่าปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันมาครอบงำ การที่เราคอยสังเกตจิตสังเกตใจตัวเอง นั่นล่ะมันเป็นบุญเป็นกุศลอย่างใหญ่

การที่เรามาทำทานถวายผ้ากฐิน ถวายอะไร ข้าวของมากมายเอามาถวาย ก็เป็นบุญ ไม่ใช่ไม่เป็นบุญ แต่ว่ามันเป็นบุญที่เทียบกับการปฏิบัติทางจิตแล้ว มันเป็นบุญเล็กน้อย ไม่ให้ความชื่นอกชื่นใจเท่าไรหรอก แต่สำหรับคนซึ่งภาวนาไม่เป็น อันนี้จำเป็น อาศัยบุญเหล่านี้ไปก่อน แล้วได้ใกล้ชิดคุ้นเคยกับพระ คุ้นเคยกับวัด วันหนึ่งอาจจะได้ยินได้ฟังธรรมะภาคปฏิบัติในการฝึกจิตฝึกใจตัวเอง จะได้ลงมือฝึกจิตใจตัวเอง ยกระดับขึ้นไปสูงขึ้นๆ ไป

ก็อาศัยมาทอดกฐินด้วยกัน มากันเยอะแยะเลย ชวนลูกชวนหลานมา ให้จิตใจมันคุ้นเคยกับการทำบุญทำทาน ให้จิตใจมันคุ้นเคยกับวัด ให้จิตใจมันคุ้นเคยกับพระ คุ้นเคยกับศาสนา ก็เป็นจุดตั้งต้นที่ดี ไม่ใช่ไม่ดี แต่พอเราทำทาน แล้วเราก็รักษาศีลด้วย บุญของเราก็จะใหญ่ขึ้นไปอีก

 

ธรรมะอนุปุพพิกถา

พระพุทธเจ้าท่านสอนฆราวาส ท่านสอนธรรมะบทหนึ่งชื่อ อนุปุพพิกถา ท่านสอนให้ทำทาน เป็นเรื่องดี สอนให้รักษาศีลไว้แล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ พวกเราก็จะไปจบอยู่ตรงขึ้นสวรรค์นี้ล่ะ ที่จริงสวรรค์คืออะไร สวรรค์ก็คือที่ซึ่งเราได้สัมผัสอารมณ์ที่ดี สวรรค์อยู่ที่ไหน สวรรค์ไม่ได้อยู่บนฟ้า สวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ต่างหาก ในขณะที่ตาเราเห็นรูปที่ถูกใจ นั่นล่ะจิตเราก็ขึ้นสวรรค์ ขณะที่เราได้ยินเสียงที่ถูกอกถูกใจ นั่นล่ะเรากำลังขึ้นสวรรค์ ขณะที่เราได้กลิ่นที่ถูกอกถูกใจ เราก็ขึ้นสวรรค์ เราได้รสอาหารที่ถูกอกถูกใจ นี่กำลังขึ้นสวรรค์ เรามีจิตใจที่ร่มเย็นเป็นสุข ขณะนั้นเรากำลังขึ้นสวรรค์อยู่

ถ้าเราเห็นรูปที่ไม่ดี จิตใจหงุดหงิดขัดเคือง ขณะนั้นเราตกนรกอยู่ เราได้ยินเสียงแล้วจิตใจเราหงุดหงิดขัดเคือง ขณะนั้นเราตกนรกอยู่ ฉะนั้นโบราณสอน สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี่เรื่องจริงเลย ส่วนสวรรค์ข้างบนอะไรอย่างนี้ ตรงไหนคือข้างบน โลกมันกลม ข้างบนตรงนี้มันก็ข้างล่างของฝรั่ง ตรงข้ามกับเรา มันเอาเท้าชี้สวรรค์ของเรา สวรรค์มันเป็นมิติๆ ที่ทับซ้อนกันอยู่ มันไม่ได้กลมๆ โค้งๆ อะไรอย่างโลกหรอก เป็นมิติที่ทับซ้อนกันอยู่

ถ้าเราภาวนาบางทีเราก็จะเห็นนรก สัตว์นรกก็เดินเบียดเสียดอยู่กับเราก็มี เทวดาก็เดินกระทบไหล่กันอยู่ก็มี มันเป็นมิติที่ทับซ้อนกันอยู่ แล้วก็ไม่สัมผัสกัน มิตินั้น การจะข้ามมิติ สิ่งที่ข้ามมิติได้ต้องมีความเร็วสูง ต้องเร็วกว่าแสง สิ่งเดียวที่เร็วจริงๆ คือจิต จิตเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก เพราะฉะนั้นจิตข้ามมิติได้ ถ้าจิตเราไม่ดี เราพาข้ามมิติลงอบายไป จิตเราเป็นบุญเป็นกุศล ก็ข้ามมิติไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นๆ อย่างเรารู้จักทำทาน เรารู้จักรักษาศีลอย่างนี้ เราก็จะได้เป็นคน ได้เป็นเทวดา

เทวดาเขาอัพเกรดกว่ามนุษย์หน่อยหนึ่ง พวกเราไม่ทำผิดศีล เพราะว่าได้ยินพระบอกไม่ดี ไม่ทำผิดศีล พวกเทวดาเขาสูงกว่านั้น เขาไม่ทำผิดศีลเพราะเขามีหิริโอตัปปะ มีธรรมะของเทวดา เขาเรียกเทวธรรม จิตใจที่มีหิริมีโอตัปปะ มีความละอายใจที่จะทำชั่ว มีความเกรงกลัวผลของความชั่ว คนที่จิตใจอย่างนี้ก็มีจิตใจเป็นเทวดาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ตาย พอตายแล้วก็เป็นเทวดาต่อไปอีก เพราะจิตมันมีคุณภาพในระดับที่จะเป็นเทวดาได้

อย่างคนโกง คนโกงบ้านโกงเมือง ไม่มีใครรู้แล้วโกง อันนี้เรียกว่าไม่มีหิริ ไม่มีความละอายที่จะทำชั่ว แล้วเวลาหน้ามืดขึ้นมา ไม่กลัวผลของความชั่วจะเล่นงาน ติดคุกติดตารางอะไรอย่างนี้ ไม่กลัวแล้ว ตอนนั้นหน้ามืด อย่างนี้เป็นเทวดาไม่ได้ ถ้าเป็นเทวดาได้ ไม่มีคนเห็นก็ไม่เอาของใคร เพราะละอายใจ มีหิริมีโอตัปปะ รู้เลยว่าถ้าเราทำชั่วจิตเราจะเศร้าหมอง ถ้าจิตเศร้าหมอง ทุคติก็เป็นอันหวังได้ ถ้าเรามีจิตใจระดับนี้ เรามีหิริมีโอตัปปะ เราก็จะขึ้นสวรรค์ เราขึ้นสวรรค์ตั้งแต่ขณะนี้เลย ตายไปก็ขึ้นสวรรค์อีก ถ้าเราชั่วตั้งแต่ขณะนี้เราก็ตกนรกตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ แล้วตายไปก็ตกนรกอีก มันมี มันไม่ใช่ไม่มี นรกสวรรค์ไม่ใช่ของหลอกเด็ก มีหูมีตา ภาวนาไปมันก็พอรู้พอเห็นได้ แต่อย่าไปหลงกับมัน นรกหรือสวรรค์มันก็แค่ภพภูมิอันหนึ่งเท่านั้นเอง

พระพุทธเจ้าท่านสอนฆราวาส ท่านสอนให้ทำทานให้รักษาศีลแล้วจะได้ไปสวรรค์ ทำไมต้องบอกไปสวรรค์ คนทั้งหลายยังติดในความสุขความสบายอยู่ อยากได้สวรรค์ แต่ไม่รู้ทางไปสวรรค์ คิดว่าไปโกงเขามาได้รวยๆ แล้วเหมือนขึ้นสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นหรอก จิตใจเศร้าหมอง อันนั้นท่านเลยสอนให้รู้จักทำทานรักษาศีลให้ดี พอจิตใจดี จิตใจรู้จักเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจก็ดีเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาได้ พอขึ้นสวรรค์ ท่านบอกมีความสุข ได้เห็นรูปที่พอใจ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสที่พอใจ ได้อารมณ์ที่ชอบอกชอบใจ นี่คือสวรรค์ สวรรค์ก็คือได้อารมณ์ที่ชอบใจนั่นล่ะ จิตใจสบาย

 

สูงกว่าสวรรค์ขึ้นไปอีก คือการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4

พระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดคำสอนอยู่แค่นี้ ส่วนใหญ่ที่เขาสอนกัน เขาหยุดอยู่แค่นี้ล่ะ พระพุทธเจ้ายังสอนต่อไปอีก สวรรค์มันก็ไม่ยั่งยืน ความสุขจากการเห็นรูปที่สวยๆ มันก็ไม่ยั่งยืน สวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบอารมณ์ที่ดี เราเห็นรูปที่ดีได้ บางทีเราก็เห็นรูปที่ไม่ดีได้ ได้ยินเสียงที่ดีได้ บางทีก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดีได้ ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสที่ดีได้ บางทีก็เจอของไม่ดีได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นตัวกามคุณทั้งหลาย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทั้งหลาย ที่ว่าเราอุตส่าห์ทำบุญทำทาน เราขึ้นสวรรค์มาเพื่อจะได้สิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน ถึงวันหนึ่งเทวดาก็ตกสวรรค์ หรือเราเป็นคนดีแท้ๆ เลย บางทีอกุศลให้ผลมา เราก็เจอสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา ฉะนั้นท่านยังสอนว่ามันมีโทษ สอนให้รู้จักปลีกตัวออกจากสวรรค์บ้าง สวรรค์ก็คือกามคุณอารมณ์ทั้งหลาย ท่านก็สอนบอกสิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน ให้มาพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไป

สูงกว่าสวรรค์ขึ้นไปอีก คือการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 นี่หลักธรรมที่ท่านสอน จะมาสู่จุดนี้ เรียกว่าอนุปุพพิกถา คนแรกที่ได้ฟังอนุปุพพิกถาคือพระยส เคยได้ยินชื่อไหม พระยสกุลบุตร คนไทยจะเรียกพระยส พระยสกุลบุตร แล้วคนต่อมาก็คือพ่อของพระยส พระยสฟังตรงนี้ อนุปุพพิกถา ได้เป็นพระโสดาบัน อนุปุพพิกถาก็คือสิ่งที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี้ล่ะ พระยสบารมีท่านเต็มแล้ว ท่านฟังแล้วได้โสดาบัน เสร็จแล้วพ่อของท่านมาตาม พ่อเป็นเศรษฐีใหญ่

ลูกชายออกจากบ้านมาแต่กลางคืน ลูกชายเบื่อ เบื่อกาม หมกหมุ่นอยู่แต่เรื่องความสุขทางโลก ยุ่งกับดนตรี ขับร้องฟ้อนรำ สาวๆ สวยๆ อะไร บารมีท่านเต็มแล้ว ท่านเบื่อ ท่านออกมาจากบ้าน พระยสเดินบ่นมาเรื่อยๆ ที่นี่ขัดข้องหนอ ว่าไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าบอกที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านก็เลยเข้าไปฟังธรรม ฟังอนุปุพพิกถานี่ล่ะ แล้วได้โสดาบัน ตอนเช้าพ่อมาตาม พระพุทธเจ้าก็ให้ซ่อนพระยสไว้ก่อน ท่านซ่อนพระยส ยังไม่ให้พ่อเห็น พอพ่อพระยสมาถึง พระพุทธเจ้าก็สอนอนุปุพพิกถาให้อีก พ่อพระยสได้โสดาบัน พระยสฟังแล้วได้พระอรหันต์

คราวนี้ท่านก็เลยอนุญาตให้พ่อลูกเจอกัน พ่อก็ชวนพระยสกลับบ้าน พระยสก็มองพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าพระยสเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่เหมาะที่จะอยู่บ้านหรอก พ่อเป็นพระโสดาบัน ได้ยินว่าลูกเป็นพระอรหันต์ ปลื้มใจ ไม่ชวนลูกกลับบ้านแล้วล่ะ ก็นิมนต์พระพุทธเจ้า นิมนต์พระยสไปทำบุญที่บ้าน ไปเทศน์อันนี้ล่ะให้คนที่บ้านฟัง ก็ได้ธรรมะกัน แล้วต่อมาเพื่อนๆ ของท่าน 50 กว่าองค์ก็ออกมาบวชๆ บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

ธรรมะอนุปุพพิกถาไม่ใช่เรื่องธรรมดา เคยสร้างพระอรหันต์มาแล้ว ทำไมท่านฟังแค่นี้ ท่านเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะบุญบารมีท่านมากพอ ท่านหยั่งจิตตามกระแสธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง ให้เห็นเลยว่าสวรรค์เองก็ไม่ยั่งยืน ไม่ใช่สิ่งที่น่ายึดน่าถืออะไร เกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งสิ้น ท่านเห็นอย่างนี้ กระทั่งสวรรค์เกิดได้ก็ดับได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา ท่านเห็นอย่างนี้ท่านก็ได้เป็นพระโสดาบัน

ฉะนั้นพวกเราเวลามาทอดกฐิน ได้บุญได้อะไรก็ดีแล้วล่ะ ก็อนุโมทนาด้วย แต่สังเกตจิตใจตัวเองไป อย่าให้กิเลสมันมาครอบงำ แล้วก็พัฒนาจิตใจของเรา ให้มันเป็นกุศลที่ยิ่งๆ ขึ้นไป สังเกตง่ายๆ จิตใจที่เป็นกุศล มันไม่เห็นแก่ตัว จิตใจที่เห็นแก่ตัว เป็นจิตอกุศล สังเกตตัวเองเรื่อยๆ แล้วใจเราก็จะสูงขึ้นๆ ไป ถึงเราไม่ปรารถนาสวรรค์ เราก็ไปสวรรค์ เพราะว่าตัวที่ทำให้เราไปสวรรค์ไม่ใช่อยู่ที่เราพอใจจะไปหรือไม่พอใจจะไป แต่อยู่ที่เหตุ

ถ้าจิตของเราไม่ประกอบด้วยกิเลส ไม่ถูกกิเลสครอบงำ เราก็มีแนวโน้มจะไปสุคติ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอะไรขึ้นไป ฉะนั้นไม่ใช่อยู่ที่เราอยากไปหรือไม่อยากไป แต่อยู่ที่การกระทำของเราเอง

 

(เริ่มพิธีถวายกฐินสามัคคี)

 

เสร็จแล้ว ง่ายดีไหม เราไม่ต้องมีดนตรีฉลองอะไร ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่เรียบง่ายๆ ฉะนั้นเราเป็นลูกหลานพระพุทธเจ้า ทำอะไรให้มันง่ายๆ อย่าทำอะไรวุ่นวายเกินความจำเป็นไป งานกฐินจริงๆ มีแค่นี้ล่ะ ที่เหลือเดี๋ยวพระก็ไปกรานกฐินกันเอง หลวงพ่อก็อนุโมทนาทุกคน กฐินที่นี่ถึงจะมีเจ้าภาพหลัก แต่ทุกคนร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นกฐินสามัคคีกัน ได้บุญด้วยกัน

เมื่อใจเราเป็นบุญแล้ว ต้องรักษาบุญนี้ไว้ในใจเราให้ได้ ทำบุญวูบๆ วาบๆ แล้วบุญก็ตกหายไป ไม่ได้เรื่อง บุญไม่เต็มสักที พยายามดูแลจิตใจของตัวเองไว้ อ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ ใจเราเป็นที่เก็บสะสมบุญ อย่างเราสร้างความดีเราก็นึกถึงสิ่งที่เราสร้างอย่างดีๆ นึกถึงบ่อยๆ หรือนึกถึงสิ่งที่ดีงาม นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

อย่างกฐินมันก็เป็นทาน นึกถึงทานที่เราได้ทำแล้วด้วยดี นึกบ่อยๆ จิตจะมีสมาธิขึ้นมา ถ้าเรามีสมาธิอยู่ จิตใจเราตั้งมั่นอยู่ บุญเราไม่รั่วไหลไป บางคนบอก แหม ทำบุญแล้วไม่ได้ดีสักที ก็บุญมันหนีไปหมด ฉะนั้นถ้าเรารักษาจิตของเราไว้ได้ บุญเราจะมากขึ้นๆ มันจะเต็ม ถ้าเราไม่รักษาจิต บุญจะหนีไปเลย เดี๋ยวบาปมันก็เข้ามาแทนที่แล้ว ฉะนั้นงานรักษาจิตเป็นงานใหญ่ ผู้ใดรักษาจิตของตัวเองไว้ได้ก็จะพ้นจากความทุกข์ ถ้าเรารักษาจิตดูแลจิตตัวเองไม่ได้ ไม่มีทางพ้นจากความทุกข์หรอก ขออนุโมทนาอีกครั้งหนึ่ง ต่อไปพระก็จะอนุโมทนาตามธรรมเนียม นิมนต์

เสร็จงานแล้ว เรารักษาบุญของเราไว้ บุญรั่ว ส่วนใหญ่ก็รั่วออกทางปากก่อน พูดอะไรเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน จิตใจก็เศร้าหมองแล้ว รักษาจิตใจไว้ให้ดี ต่อไปก็ถึงวาระสำคัญ กิจกรรมวาระสุดท้ายนี้ก็คือขอให้กลับบ้านด้วยความปลอดภัย

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
5 พฤศจิกายน 2566