มงคลชีวิต

ภาวนานิดๆ หน่อยๆ บางทีสู้กิเลสไม่ไหว กิเลสเราสะสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน หนาๆ มาก

ปุถุชนแปลว่าคนหนา คนหยาบ ก็คือกิเลสมันเยอะนั่นเอง กว่าจะค่อยๆ ขุดออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย มันเริ่มตั้งแต่เราต้องรู้จักเลือกคบคน นี่เป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญเลย ถ้าเราคบคนชนิดไหน เราก็มีแนวโน้มจะเป็นคนชนิดนั้น เราคบคนไม่ดีก็พาเราไม่ดีไปด้วย ก็ต้องรู้จักสังเกตให้ดี อย่างจะชอบใครสักคนหนึ่ง ดูให้ดีๆ เวลาจีบกันใหม่ๆ ก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นอย่างไร ต้องสังเกตนานๆ ถึงจะรู้ จะหาแฟนก็หาที่มีศีลมีธรรมเสมอกับเรา สนใจรักษาศีลเหมือนๆ กัน สนใจเรียนรู้ปฏิบัติธรรมเหมือนๆ กันอะไรอย่างนี้ ชีวิตครอบครัวมันก็จะมีความสุข ถ้ามีไปแล้วก็พยายามชักจูงกัน ไม่ใช่ให้เขาชักจูงเราไปในทางต่ำ เราก็พยายามจูงครอบครัวเราให้มันสูงขึ้นๆ ไป พามาฟังธรรมอะไรอย่างนี้ก็ดี

การได้เห็นสมณะก็เป็นมงคลชีวิต แต่มันก็ลำบากอีกในยุคนี้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นสมณะจริง หรือใครแต่งตัวเป็นสมณะเป็นพระอะไรอย่างนี้ ก็ต้องดูกันนานๆ อีกล่ะ ไม่ดูตามโซเชียล เชื่อมันไม่ได้หรอก ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอะไรกัน ก็สังเกตเอา ดูใครศีลดีไหม ได้ปฏิบัติในร่องรอยของพระพุทธศาสนาหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ นอกรีตนอกรอยเยอะ พระทำเสน่ห์ พระทำอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่ เราก็ต้องเลือกต้องดู คนไหนที่สอนธรรมะเราเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ สังเกตตั้งแต่เจ้าตัวที่สอนนั่นล่ะ ดูสะอาดหรือดูสกปรก ถ้าเราไม่มีอคติ เราภาวนาของเราเรื่อยๆ มันพอมองออกว่าใครเป็นอย่างไร มันมองเห็น ยิ่งถ้าเราภาวนาได้เยอะๆ หน่อย มองปราดเราก็รู้แล้ว ใครพระจริงหรือใครพระปลอม ดูง่าย

เราเข้าไปหาพระ ไม่ใช่ไปหาโชคลาภ ไปหาความเฮง ไประบาย เครียดๆ อะไรมา ก็ไปนั่งระบายให้พระฟัง เมื่อก่อนหลวงพ่อก็ไปอยู่ที่เมืองกาญจน์ ก็มีโยมก็ชอบมาระบาย กินเหล้าเมามาแล้วก็มาด่าเมียให้พระฟังอะไรอย่างนี้ อารมณ์ไม่ดี อย่างนั้นเรียกว่าไปหาพระไม่เป็น ทำตัวไม่ถูก เข้าวัดไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ เพื่อจะไปฟังธรรม ไม่ใช่เพื่อไประบายขยะ หรือเพื่อไปแย่งชิงเป็นลูกศิษย์เอก จะได้เด่นจะได้ดังอะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ฉลาดเลย เราเข้าไปหาครูบาอาจารย์ เราไปหาธรรมะ ไม่ได้ไปหาเรื่องอื่นหรอก

 

ใจพ้นกิเลสได้ ใจก็พ้นทุกข์

พอเรารู้วิธีปฏิบัติ เราก็ต้องเริ่มลงมือปฏิบัติจริงๆ ฟังธรรมะอย่างเดียวไม่พ้นทุกข์หรอก ฟังธรรมะอย่างเดียวก็ได้แต่จำไว้ อันนั้นรู้ด้วยการจำ กิเลสไม่กลัวหรอก คนจำได้เยอะ จำธรรมะเยอะๆ กิเลสไม่กลัว ดีไม่ดีเป็นลูกมือของกิเลสไม่รู้ตัวเลย พอเราฟังธรรมแล้วรู้ว่าควรจะปฏิบัติอะไรแล้ว ก็ลงมือสู้กิเลส เผาผลาญกิเลสด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา สะสมไปเรื่อยๆ พอเราทำสมควรแก่ธรรมะแล้ว ในที่สุดเราก็จะรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4 เรียนธรรมะแล้วมันจะไปรู้อริยสัจ ไม่ใช่รู้อย่างอื่นหรอก ไม่ใช่รู้ว่าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน ไม่มีสาระแก่นสารอะไร

ถ้ารู้อริยสัจ 4 จิตเราจะค่อยๆ หลุดออกจากโลกแล้ว มันพ้นโลก ได้โสดาบันก็รู้อริยสัจส่วนหนึ่ง ได้สกิทาคามีก็รู้เยอะขึ้นๆ ได้อนาคามีก็รู้เยอะ จิตก็เริ่มหลุดออกจากโลกที่ชาวบ้านเขาติดอยู่ โลกซึ่งมีแต่เรื่องของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของสัมผัสทางกายอะไรนี่ เห็นความไม่มีสาระแก่นสาร จิตมันก็พ้นจากกามาวจร จิตไปอยู่ในโลกที่ประณีตขึ้นไป โลกของฌาน โลกของสมาบัติอะไรพวกนี้ รูปฌาน อรูปฌานอะไรพวกนี้ ค่อยๆ ฝึกทุกวัน อาศัยการพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาของเราให้ดีขึ้นๆ ในที่สุดจิตก็รู้แจ้งอริยสัจ จิตก็พ้นจากโลก พ้นธรรมะประจำโลก โลกธรรม

คนในโลกพอจิตมันกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง เพราะลาภ เพราะยศ เพราะสรรเสริญ เพราะสุข เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เพราะนินทา ทุกข์ ถ้าจิตเรายังกระเพื่อมหวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเรายังอยู่กับโลก ยังติดโลกอยู่ ถ้าจิตเราพ้นจากโลกไปแล้ว มันจะมีความสุข มีความสงบ มีความปลอดภัย จิตของเราถ้ายังไม่แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ยังไม่เห็นพระนิพพาน ยังไม่สามารถพ้นจากทุกข์ได้ เส้นทางที่เราจะต้องเดินไป เส้นทางอันนี้

ลองไปดูในเรื่องมงคล มงคล 38 ประการ เดี๋ยวนี้เรามีแต่เรื่องวัตถุมงคล แต่มงคลที่เป็นธรรมะเราไม่ค่อยได้สนใจ ลองไปศึกษาดู ดู Google ดูอะไรก็ได้ ถ้าใจมันพ้นโลกแล้ว มันก็พ้นความเศร้าโศก ยังอยู่กับโลกก็เศร้าโศก พ้นโลกไป ใจก็อะโสกัง ไม่เศร้าโศก วิระชัง ใจปราศจากกิเลส เขมัง จิตเข้าถึงความปลอดภัย พ้นจากอำนาจของมาร นี่คือมงคลช่วงท้ายๆ มงคล 38 ประการ สตาร์ตตรงจุดที่ว่าไม่คบคนพาล คบบัณฑิต ฉะนั้นเราเริ่มลงมือปฏิบัติ ต้องรู้จักเลือกคบคน ถ้าเราคบคนไม่ดี มงคลไม่มีหรอกที่จะเหลืออยู่ ก็อัปมงคลหมดล่ะ เราคบคนที่ดี มีศีลมีธรรมอะไรอย่างนี้ มีกัลยาณมิตรเป็นกำลังใจ พากันปฏิบัติอะไรอย่างนี้ เราก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ

เราปฏิบัติธรรม เราก็ไม่ได้ทิ้งหน้าที่ของเรา การเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงลูก เลี้ยงเมียอะไร มันก็เป็นมงคลชีวิตสำหรับผู้ครองเรือน ทำมาหากินด้วยความบริสุทธิ์อะไรพวกนี้ ชีวิตมันก็จะค่อยดีขึ้นๆ แล้วถึงขั้นที่เราจะพัฒนาจิตจริงๆ เริ่มตั้งแต่เราได้เห็นสมณะที่แท้จริง ได้ฟังธรรม ฟังธรรมตามกาล ไม่ใช่ฟังตลอดกาลทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเวลาปฏิบัติ ใช้ไม่ได้หรอก พอเราได้ฟังธรรมแล้วก็ได้ลงมือปฏิบัติธรรมแผดเผากิเลสด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ในที่สุดเราก็รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ จิตเราพ้นโลก

พอจิตเราพ้นโลกแล้ว จิตก็ไม่เศร้าโศก คนที่เรารักมันจะตาย มันก็เรื่องธรรมดา ภรรยาเราจะทิ้งก็เรื่องของโลก จิตไม่เศร้าโศก จิตปราศจากธุลี ไม่มีละอองของกิเลส จิตก็แจ่มใส สว่าง หมดจด ปลอดภัย มารทำอะไรไม่ได้แล้ว จิตของเรายังตกอยู่ใต้อำนาจมาร เราอยากทำความดี มารก็มาชวนเราให้ขี้เกียจอะไรอย่างนี้

มารตัวสำคัญก็คือกิเลสมารของเรานั่นล่ะ ตัวอภิสังขารมาร ความปรุงแต่งของเราเองนั่นล่ะ ไม่ต้องโทษมารข้างนอก มารส่วนใหญ่ก็มารภายในใจเรานี้ มารอีกตัวคือกายของเรา ขันธมาร ภาวนากำลังดีๆ เลย เป็นมะเร็งตายไปเสียแล้ว อันนี้เป็นพวกมาร เรียกขันธมาร มัจจุมารคือความตาย เทวปุตตมาร คือจิตใจที่ไม่ดี พวกข้างนอก จิตมันไม่ดีรบกวนเรา กลั่นแกล้งเรา มารก็มีภายในภายนอก ถ้าเราภาวนาจนจิตเราบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว มารทำอะไรไม่ได้ ขันธมารมันจะแตก มันจะดับ ร่างกายนี้จะตายแล้ว จิตใจก็ไม่เศร้าโศกๆ ไม่มีธุลีของกิเลส ละอองของโทสะอะไรสักนิดหนึ่งมันก็ไม่มี กิเลสมารมันก็ตายไป ไม่สามารถครอบงำบงการจิตได้ จิตก็ไม่หลงปรุงแต่ง ไม่หลงคิดนึกไปตามอำนาจกิเลส ก็พ้นจากสังขารมาร

แล้วมัจจุมารคือความตาย ก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว อย่างถ้าเราภาวนา เรายังไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ความตายเป็นความสูญเสียที่เราเสียดายมาก ร่างกายนี้เป็นของที่เรารักจะต้องตายไป ครอบครัวเราเป็นของที่เรารัก เราจะต้องพลัดพราก ทรัพย์สมบัติอุตส่าห์หามา เราจะต้องทอดทิ้งไว้ให้เป็นของคนอื่นอะไรอย่างนี้ มันมีแต่ความสูญเสีย แต่ถ้าเราภาวนาดีจริงๆ อย่างพระอรหันต์ท่านคิดถึงความตาย ท่านไม่เศร้าโศก ท่านรู้สึกว่ากำลังจะได้รับรางวัลแล้ว แจ็คพอต รางวัลพิเศษ ตอนที่บรรลุพระอรหันต์จิตมันพ้นทุกข์ไปแล้ว พ้นกิเลสไปแล้ว แต่มันเหลือขันธ์ที่เป็นภาระที่ต้องดูแลรักษาอยู่ ความตายก็คือขันธ์มันจะแตก ขันธ์มันจะดับ ขันธ์มันคือตัวทุกข์ ตัวทุกข์จะแตก ตัวทุกข์จะดับไม่ใช่เรื่องเศร้าโศก เป็นเรื่องที่ร่าเริง จิตใจร่าเริงผ่องใส ฉะนั้นอย่างเวลาพระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพาน วันนั้นรัศมีท่านจะผ่องใสมาก หน้าตาท่านจะสดใสมาก ไม่ได้เศร้าหมอง อันนั้นเพราะจิตท่านพ้นไปก่อนแล้ว มารคือความตาย ทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว

พวกเราไปดูเรื่องมงคล 38 ประการแล้วพยายามทำไป เลือกคบคนดี ไม่คบคนพาล คบคนดี ค่อยๆ สังเกตเอา ตัวไหนที่ยังบกพร่องอยู่ก็ค่อยๆ ปรับไป มีหน้าที่ในโลก ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี อย่างหน้าที่ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงครอบครัวอะไร ทำหน้าที่ให้ดี แล้วศึกษาปฏิบัติแล้วใจก็จะค่อยๆ พ้นกิเลส ใจพ้นกิเลสได้ ใจก็พ้นทุกข์ เพราะตัวที่ทำให้เราจิตใจมันมีความทุกข์ก็คือตัวกิเลส เป็นศัตรูของเราไม่ใช่คนอื่น ศัตรูของเราจริงๆ ก็คือกิเลสในใจเรานี่เอง ล้างผลาญเราตลอดเวลา

 

ในทางโลกทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ในทางธรรมพัฒนาจิตใจด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา

บางทีไม่มีใครมาทำอะไรเราสักหน่อย เราก็นั่งคิดโน่นคิดนี่ให้มันกลุ้มใจเล่น คิดกังวลโน้นกังวลนี้ หรือคิดหวนอาลัยไปถึงอดีต จิตใจก็เศร้าหมอง รู้สึกชีวิตปัจจุบันไม่ดีเลย แหม แต่ก่อนตอนเด็กๆ รู้สึกชีวิตดี โลกสงบร่มเย็น รู้สึกอย่างนี้ทุกคน เพราะตอนเด็กๆ มันไม่มีภาระอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องรู้เรื่องอะไร มีกิน มีเล่น มีที่นอน มันก็สบายใจแล้ว ที่จริงโลกไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน มันก็ทุกข์ทั้งนั้น แต่ตอนเราเด็ก เราโง่ เราไม่รู้เรื่อง เราก็เลยคิดว่าอดีต แหม มันดีจังเลย ปัจจุบัน ทำไมมีแต่ปัญหา มีแต่ภาระ มีแต่เรื่องเครียด ลูกเรามันก็ไม่เครียดเท่าเรา

บางทีก็คิดถึงอนาคต แก่แล้วจะอยู่อย่างไร ลูกจะเลี้ยงไหม เรื่องให้ลูกเลี้ยง ไม่ต้องคิดถึงแล้ว ต้องวางแผนที่จะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง พวกคนแก่ต้องรวมกลุ่มกัน ดูแลกันไป หวังให้ลูกให้หลานมาเลี้ยง มันเป็นไปไม่ได้แล้ว สังคมมันเปลี่ยน ยิ่งเด็กรุ่นนี้ไม่ได้ถูกสอนให้เคารพให้กตัญญูอะไร ไม่มี ไม่ได้ถูกสอน อย่างพวกเราตั้งแต่เด็ก เราถูกสอนให้กตัญญูกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์อะไรอย่างนั้น เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถือว่าพ่อแม่ไปผลิตมันขึ้นมา ฉะนั้นต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ได้มีบุญคุณแต่เป็นหน้าที่จะต้องดูแล ไม่ใช่บุญคุณ ฉะนั้นไม่มีเยื่อใยอะไรกัน

คือมนุษย์เราทุกวันมันพัฒนาทางวัตถุจนกระทั่งกลายเป็นสัตว์ไป ไปดูพวกสัตว์ หลวงพ่ออยู่ในวัดนี่เห็นเลย แม่นก พ่อนกแม่นกมันช่วยกันเลี้ยงลูก เลี้ยงลำบาก ลูกมันกินตลอดเวลา อ้าปากตลอดเวลาเลย พ่อนกแม่นกต้องไปหาอะไรมาป้อนตลอด ศัตรูมาบางทีสัตว์ตัวใหญ่กว่ามา ต้องต่อสู้ บางทีตัวเองถึงตายเลยอะไรอย่างนี้ มันรักลูกมัน พอลูกมันโต ลูกมันก็ไปหมด บินหนีไป ไม่รู้จักพ่อจักแม่แล้ว เราเป็นมนุษย์ เราสร้างวัฒนธรรมรู้จักพ่อจักแม่ รู้จักกตัญญูกตเวทีอะไร มายุคนี้ถูกสอนให้กลายเป็นเดรัจฉานไปหมด ไม่รู้จักพ่อจักแม่ ถือว่าไม่มีบุญคุณอะไร

เพราะฉะนั้นเอาตัวเองให้รอด ภาวนา ตั้งอกตั้งใจ วันหนึ่งเราต้องอยู่ตามลำพัง ไม่มีใครดูแล ลูกหลานไม่มี มันไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้กระทั่งการกราบการไหว้ มันจะไม่ทำแล้ว ก็หนักขึ้นเรื่อยๆ การกราบมันเป็นการฝึกจิตใจของเราให้รู้จักอ่อนโยน ให้รู้จักอ่อนน้อม ให้รู้จักเห็นคุณค่าของคนอื่น อย่างเราเห็นคุณค่าของครูบาอาจารย์ รู้ว่ามีคุณค่า การกราบการไหว้ไม่ใช่เรื่องของไพร่ของทาสอะไรหรอก มันเป็นวัฒนธรรมของเรา ชาติเราเป็นอย่างนี้ คนอื่นเขามาเห็นเขายังรู้สึกว่างดงาม คนชาติอื่น อย่างเจอพระๆ เขาเชคแฮนด์ ก็ดูแปลกๆ

ทุกอย่างมันเปลี่ยน เราจะไปนั่งคิดว่า โอ๊ย อดีตดี ปัจจุบันไม่ดี อันนี้ใจก็กลุ้มใจ เห็นไหม ใจมันหลงปรุงอดีตไป ปรุงไปถึงอดีต หรือกังวลไปถึงอนาคตอะไรอย่างนี้ เราก็ทอดทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือปัจจุบัน อดีตนั้นมันจบไปหมดแล้ว คิดถึงมัน มันไม่หวนกลับมา อนาคตถึงจะไปกังวลอย่างไร อย่างไรวันหนึ่งเราก็ต้องไปเจออนาคตจนได้ เราไม่ต้องไปคาดเดาว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเลย ในทางโลกก็คือทำปัจจุบัน ก็คือวางแผนการดำรงชีวิตของเราที่จะอยู่ด้วยตัวเองได้ จนแก่จนเฒ่าอะไรก็อยู่ไป ในทางธรรมก็คือพัฒนาจิตใจด้วยศีล ด้วยสมาธิ ปัญญาไป

ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่มีแต่สอนให้คนหนีโลก ให้พ้นโลกอย่างเดียว ไม่ใช่ สอนให้เราอยู่กับโลกด้วยความไม่ประมาท รู้ความจริงของโลก โลกนี้ไม่แน่นอนไม่ยั่งยืน ไม่เป็นไปตามปรารถนา เราก็พยายามอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริงนั่นล่ะ แล้วก็วางแผนอนาคต สำหรับชาวโลกก็ต้องวางแผนว่าอนาคตเราจะอยู่อย่างไรด้วยตัวเอง ต้องวงเล็บไว้ด้วย อย่าหวังเลยว่าลูกหลานจะเลี้ยง มันถูกสอนให้เป็นวัวเป็นควาย วัวควายมันยังมีพ่อมีแม่ มันอยู่ด้วยกันเป็นฝูง มันเหมือนนก โตขึ้นแล้วไม่รู้จักพ่อจักแม่แล้ว เรากำลังใช้วัฒนธรรมของเดรัจฉานมากขึ้นๆ

ฉะนั้นอย่าไปคิดพึ่งคนอื่นเลย วางแผนชีวิตเราต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ในทางธรรมก็พัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาไป มันจะช่วยเกื้อหนุนเรา ต่อไปพอเราแก่ๆ อยู่ตามลำพัง เราก็มีศีลมีธรรมของเราเป็นเพื่อน ไม่ต้องมีเพื่อน หรือไม่ต้องมีลูกมีหลานอะไรก็ได้ มีลมหายใจเป็นเพื่อน หายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก มันเป็นเพื่อนที่ดี อยู่กับเราจนวันตาย ลมหายใจ คนอื่นไม่ได้อยู่กับเราจนวันตายหรอก เอาแน่นอนไม่ได้หรอก ลมหายใจของเราเป็นเพื่อนไปจนวันตายของเรา ฉะนั้นเวลาเรายังไม่ตาย เราก็ดูแลเพื่อนของเราให้ดี หายใจเข้า รู้สึก หายใจออก รู้สึก มีลมหายใจเป็นเพื่อนไปแล้วชีวิตมันจะสงบสุข ค่อยๆ ฝึกจิตใจ อย่างเรามีลมหายใจเป็นเพื่อนอยู่ ใจก็ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กังวล ไม่อาลัยอาวรณ์อดีต เราอยู่กับปัจจุบันไป ชีวิตเราก็จะค่อยโปร่ง ค่อยเบา มีความสุข

 

ธรรมะดีทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม

วันนี้ที่พูดเรื่องโลกๆ เพราะว่าอยากให้พวกเรารู้ว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่มีแต่ธรรมะระดับพ้นโลก ธรรมะที่จะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขท่านก็สอนเอาไว้ ฉะนั้นเราลองไปสังเกตในมงคลสูตรก็ได้ ดูสักสูตรหนึ่ง อะไรที่ท่านบอกให้ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ อะไรที่ท่านห้าม เราก็อย่าไปทำ ชีวิตเราก็จะเจริญ มีความสุข มีความเจริญมากขึ้นๆ ยิ่งอย่างเราได้ฟังธรรมแล้วเราก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรม ท่านบอกการเห็นสมณะ การฟังธรรมตามกาล การบำเพ็ญตบะคือการแผดเผากิเลสด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมงคลอย่างยิ่ง ถัดจากนั้นก็เห็นอริยสัจ พ้นจากโลกธรรมทั้งหลาย จิตใจเข้าถึงความไม่เศร้าโศก การไม่มีกิเลส จิตใจเข้าถึงความปลอดภัย ไม่ถูกอะไรมาเสียดแทงจิตใจให้เศร้าหมองลงมาได้อีก

ฉะนั้นธรรมะ ดีทั้งทางโลก ดีทั้งทางธรรม ถ้าจะเอาแต่ทางธรรม ยังเป็นฆราวาสอยู่ จะเอาแต่ทางธรรม พ่อแม่ ผู้มีพระคุณอะไรไม่สนใจ ภาวนาอย่างเดียวอะไรอย่างนี้ อันนี้ทำผิดหน้าที่ ภาวนายาก ใจมันเศร้าหมอง อย่างพ่อแม่เราจะอดตายอยู่แล้ว เราก็ยังมานั่งภาวนา มีข้าวกิน เราก็กินของเราเอง แล้วเราก็ตั้งอกตั้งใจภาวนา พ่อแม่เราจะอดตายก็ช่าง ถือว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรมอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น

เราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม เราเป็นชาวพุทธ มีวัฒนธรรมของชาวพุทธ รักษาสิ่งซึ่งเป็นคุณงามความดีเหล่านี้เอาไว้ ลูกเรามีโอกาส เราก็สอนเขา ไม่ใช่ให้เพื่อนมันสอน ให้โซเชียลสอนอย่างเดียว ทำตัวอย่างให้เขาเห็น อย่างเราเป็นพ่อเป็นแม่อย่างนี้ เราไม่ตีกันให้ลูกเห็น เราไม่กินเหล้าเมายา ไม่ติดยาเสพติดอะไรอย่างนี้ ไม่เล่นการพนัน ถึงเวลาก็ชวนลูกฟังธรรม นั่งสมาธิ สวดมนต์อะไรอย่างนี้ ทำตั้งแต่เล็กๆ ค่อยๆ ฝึกเขาไป

พอลูกมันโตขึ้นมา มีศีลมีธรรมอยู่ เราก็จะมีความสุข ไม่ใช่ว่าต้องมาเลี้ยงเราหรอก เขาอาจจะเลี้ยงเราไม่ไหว แต่เขาเป็นคนดี เรามีลูกที่เป็นคนดี ถึงมันจะจนมันจะลำบาก เราก็ยังอิ่มอกอิ่มใจได้ มีลูกมันรวย มันชั่วอย่างนี้ เราก็เศร้าหมอง ฉะนั้นในทางโลกก็ต้องดูแลให้มันดี ในทางธรรมก็พัฒนาใจตัวเองให้ดีด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เตรียมไว้ ทำใจเตรียมไว้ ต่อไปเราจะได้เป็นพวกนกพวกไหนบ้าง วัฒนธรรมเดรัจฉานมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ

วันนี้เทศน์เท่านี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวฟังแล้วจะเศร้าหมองเสียเปล่าๆ ทำไมฟังแล้วหดหู่ เพราะว่าอยาก อยากให้โลกนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้ลูกเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีความอยากเกิดขึ้นเห็นไหม มันขัดแย้งกับความจริงที่กำลังมีกำลังเป็น กำลังพัฒนาไป ใจเราก็เศร้าหมอง แต่ถ้าเราภาวนาเรื่อยๆ ใจเรายอมรับความจริงของโลกธรรม โลกธรรม 8 ประการ ได้รับผลประโยชน์บ้าง เสียผลประโยชน์บ้าง มีตำแหน่งหน้าที่ มีชื่อเสียงอะไรอย่างนี้ บางทีก็ตกเก้าอี้ ก็ดู มีคนยกย่องสรรเสริญก็มีคนนินทา

อย่างนักการเมืองได้รับตำแหน่งใหม่ๆ เขาเรียกช่วงฮันนีมูน คนก็ชม บางคนไม่ถึงเดือน คนก็เริ่มด่าแล้ว ก็อยู่ที่ความประพฤติของตัวเอง ฉะนั้นในโลกเดี๋ยวเขาก็สรรเสริญ เดี๋ยวเขาก็นินทา นี่เรื่องของโลก แต่ถ้าสิ่งที่เขานินทา เราก็สำรวจว่าเราบกพร่องจริงไหม ถ้าจริงเราก็แก้ไข อย่างนี้ถือว่าเราใช้คำนินทา คำด่าว่าของคนอื่นเป็นประโยชน์ในการพัฒนาตัวเองไป ไม่ใช่เศร้าหมอง เพราะในโลกไม่มีใครหรอกที่ได้รับคำสรรเสริญด้านเดียว กระทั่งพระพุทธเจ้าก็มีคนนินทา บางทีคนก็ด่าท่านว่าพาลูกชายเขา พาสามีเขาออกไปบวชอะไรอย่างนี้ ไม่ได้พาสักหน่อย มาขอบวชเอง แต่ไม่รู้จะโทษใคร เลยโทษใส่พระพุทธเจ้าก็มี

ขนาดพระพุทธเจ้ายังหนีคำนินทาไม่พ้นเลย แล้วเราจะเหลือหรือ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศได้ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ เรื่องธรรมดา ถ้าเราเรียนรู้ ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ โลกธรรมมันก็มากระเทือนใจเราไม่ได้ ไม่ทำให้ใจเราฟูขึ้น ไม่ทำให้ใจเราแฟบลง ภาวนาสังเกตจิตใจไป กระทบเรื่องที่ถูกใจ ใจก็ฟู ฟูก็อยู่ชั่วคราว กระทบเรื่องไม่พอใจ ใจก็แฟบไป เหี่ยวเฉาไป ความเหี่ยวเฉามันก็อยู่ชั่วคราว ทุกอย่างมันชั่วคราวหมด ไปดูของจริง สุดท้าย ใจก็พ้นจากโลกธรรมไป ก็เข้าถึงธรรมะจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องโลกแล้ว ใจก็จะสงบ

ความสุขอะไรก็ไม่เหมือนความสงบ ความสงบอะไรก็ไม่เหมือนความสงบของใจที่พ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าบอกว่าสุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี แล้วสิ่งที่สงบที่สุดเลย เป็นบรมความสงบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระนิพพาน อย่าไปวาดภาพนิพพานเป็นเมืองๆ หนึ่ง เป็นโลกๆ หนึ่งในอุดมคติ เมื่อไรใจเราไม่มีกิเลสตัณหา ใจเราก็เข้าถึงความสงบ นั่นล่ะเราพบพระนิพพานตรงนั้นล่ะ ไม่มีอะไรมีความสุขมากกว่าความสงบหรอก สงบจากกิเลส สงบจากความดิ้นรนปรุงแต่ง สงบจากการกระทบกระทั่งของธาตุของขันธ์ เราจะเข้าถึงได้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา

 

 

วันนี้เอาเท่านี้ ทีแรกจะจบก่อนหน้านี้ โอ ไม่ได้จิตยังเศร้าหมองอยู่ เดี๋ยวขับรถออกจากวัด เกิดรถบรรทุกมันทับตายไป ไปอบาย จะไปบอกยมบาลว่ามาฟังเทศน์หลวงพ่อปราโมทย์แล้วเลยตกนรกมา เลยต้องเติมธรรมะให้เบิกบานหน่อย เผื่อมันยังไม่ได้มรรคผล ตายไปเจอหน้ายมบาล ยมบาลยิ้มให้เลย ยิ้มหวานเชิญขึ้นสวรรค์ไปเลย ที่จริงถ้าเราจะขึ้นสวรรค์ ไม่ต้องให้ยมบาลมาบอก แล้วถ้าเราจะตกนรกก็ไม่ต้องให้ยมบาลมาชี้ขาด เวลาตายกรรมมันส่งผลไปเลย อย่างเราสร้างความดีมาเยอะ จิตใจเราตายไปด้วยความเป็นกุศลอะไรนี่ เราก็ไปสุคติทันที จิตที่เป็นกุศลก็มีสุคติเป็นที่ไป หวังได้ว่าจะไปสุคติ จิตที่เศร้าหมองคือมีกิเลส ก็หวังได้ว่าจะไปทุคติ

ยมบาลมาทำหน้าที่ตรงไหน ตกนรกก็ตกเอง ขึ้นสวรรค์ก็ขึ้นเอง ยมบาลทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย คนที่จะถูกตัดสินคดี คือพวกที่ทำดีกับทำชั่วก้ำกึ่งกัน ทำมาทั้งดี ทำมาทั้งชั่ว ยมบาลไม่ได้ใจร้าย ยมบาลก็จะมาเตือนว่าตอนที่เป็นคนอยู่เคยทำทานไหม เคยรักษาศีลไหม นึกได้บ้างหรือเปล่า ความดีอะไรพวกนี้ ถ้านึกขึ้นได้ก็ขึ้นสวรรค์ไปเลย ไม่ใช่ยมบาลสั่งหรอก กรรมต่างหากเป็นคนสั่ง ถ้ายมบาลเตือนแล้วก็นึกไม่ออกเลย บอกเคยกราบไหว้พระไหม เคยตัดเศียรพระอย่างนี้ อย่างนี้ก็ลงนรกเองล่ะ ไม่ใช่ยมบาลสั่ง ฉะนั้นยมบาลจะทำหน้าที่ช่วยเท่านั้น เป็นคนช่วยคอยกระตุ้นเราให้เราคิดถึงกุศลของเรา ถ้าคิดไม่ได้ ก็ตกนรกไป ไปอบาย อันนี้สำหรับพวกที่ดีชั่วก้ำกึ่งกัน ถ้าดีโดดเด่นไปเลยก็ไปสุคติเองเลย ถ้าชั่วโดดเด่นก็ไปทุคติเองเลย ไม่ต้องมียมบาลมายุ่งเกี่ยว

หรือมันมีคนอีกพวกหนึ่ง เรียกพวกเฝ้านรก พวกนิรยบาล พวกดูแลนรก อันนี้ก็เป็นอีกพวกหนึ่ง ไม่ใช่ตัวยมบาล พวกนี้คล้ายๆ เป็นพนักงาน พนักงานดำเนินกิจการในนรก พวกเราบางคนก็เคยเป็น หรือบางคนก็เคยเป็นยมบาล วิธีสังเกตง่ายๆ คนที่เคยเป็นยมบาลเกลียดความชั่ว แล้วก็เกลียดคนชั่วอย่างร้ายแรง จะเป็นพวกเห็นไม่ได้เลย เห็นแล้วทนไม่ได้เลย คันไม้คันมือ พวกนี้น่าสงสาร เป็นภูมิที่ไม่ค่อยดีเท่าไรหรอก เป็นภูมิที่บางทีก็สุขสบาย บางทีก็เร่าร้อนลำบาก

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
3 กรกฎาคม 2565