เมตตาเป็นธรรมสำคัญมาก

ปีใหม่แล้วนะ ปี 2564 ไม่มีแล้ว ไม่มีทางกลับมาแล้ว หลวงพ่อเห็นพระโอวาทของสมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านสอนดี ท่านไม่ได้อวยพรเพ้อๆ ว่าอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำกัน ท่านบอกให้พวกเรา “มีความเมตตาต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือกัน ให้ได้มีความสุขด้วยกัน” โอวาทที่ท่านสอนให้เราเอาไปทำ ถ้าเราเอาไปทำแล้วตัวเราก็มีความสุข คนที่แวดล้อมเราอยู่ก็มีความสุข อยู่ตรงไหนที่ตรงนั้นก็มีความสุขไปหมด ความเมตตาเป็นธรรมะที่สำคัญ พระพุทธเจ้าท่านสอน “เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก” โลกก็คือหมู่สัตว์ทั้งหลาย ถ้าขาดความเมตตาเสียอย่างเดียว มันก็เบียดเบียนกัน

เวลามีความเมตตาเกิดขึ้น คนแรกที่ได้รับประโยชน์คือตัวเราเอง ใจที่มีเมตตามันนุ่มนวล อ่อนโยน มันเบาสบาย มันเป็นกุศล ใครเข้าใกล้เราก็พลอยร่มเย็นไปด้วย ถ้าใจเราคิดแต่ประหัตประหาร เบียดเบียน แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากคนอื่น ใครเขาเข้าใกล้เราเขาหวาดผวา หาความสุขไม่ได้ ฉะนั้นเมตตาไม่เพียงแต่ตัวเองได้ประโยชน์ ผู้อื่นคือสัตว์โลกทั้งหลายได้ประโยชน์ด้วย

ทุกวันนี้เราถูกสอนให้แย่งชิงกัน แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าผลประโยชน์ เราลืมผลประโยชน์ที่สำคัญ คือผลประโยชน์ทางจิตใจของเรา ผลประโยชน์ในโลกมันของชั่วครั้งชั่วคราว อย่างแย่งได้เป็นหมื่นๆ ล้าน ถามว่ากินหมดไหม มันก็กินไม่หมด มันก็กินข้าวได้เท่าๆ คนอื่นนั่นล่ะ สิ่งที่ไปแย่งๆ เขามาก็ไม่ได้บริโภคทั้งหมดหรอก แต่กรรมมันมี ความเร่าร้อนมันเกิดกับตัวเองคนแรกเลย แล้วก็ความเร่าร้อนก็แผ่ไปสู่คนรอบๆ ตัวด้วย ถ้าเป็นคนมีอำนาจมาก แล้วเป็นคนไม่มีเมตตา ก็ทำให้คนจำนวนมากไม่มีความสุขไปด้วย

 

เมตตาจะเกิดได้เฉียบขาดเมื่อรู้เหตุรู้ผล

ถ้าเราอยากมีความสุข หัดเจริญเมตตาให้มากๆ ไว้ การเจริญเมตตาไม่ใช่แค่นั่งท่องเมตตาๆ พยายามหัดมองคนอื่น หัดมองสัตว์อื่นในมุมของเขาเองบ้าง ไม่ใช่มองทุกสิ่งทุกอย่างหรือเอาตัวเราเป็นตัวตั้ง เอาตัวเองเป็นตัวตั้งไม่ค่อยเมตตาหรอก อย่างเก่งก็เป็นราคะ ถ้ามองคนอื่นสัตว์อื่นในมุมมองของเขา ทำไมเขาคิดอย่างนี้ ทำไมเขาทำอย่างนี้ ทำไมเขาพูดอย่างนี้ เราจะเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำของเขา เข้าใจ พอเราเข้าใจแล้วความโกรธ โทสะอะไรพวกนี้จะไม่เกิดหรอก อย่างบางคนพ่อยังไม่แก่มาก แม่ป่วย แม่ตาย พ่อก็ไปมีอีหนู เรามองในมุมของเรา เราก็ว่าไม่ดีไม่ถูก ลองมองในมุมของเขา เขาอาจจะเหงาเขาอาจจะว้าเหว่ เราแค่ปรับมุมมองนิดเดียวใจเราก็เปลี่ยนแล้ว

ตอนเป็นโยมหลวงพ่อก็เป็นคนขี้โมโห เป็นพวกโทสจริต ทำงานมีหัวหน้ากองจู้จี้จุกจิก ทำงานทำแล้วทำอีก ทำแล้วก็เลิกแล้วก็ทำใหม่ รื้อทิ้งทำใหม่อยู่อย่างนั้น เสียเวลามาก งานก็ไม่เห็นว่ามันจะดิบดีอะไรนักหนา ทีแรกก็โกรธเขาว่าทำให้เราเสียเวลาเยอะ ทำให้ลูกน้องลำบากไปทุกคนเลย เด็กพิมพ์ดีดก็พิมพ์แล้วพิมพ์อีก พิมพ์จนเป็นลม กลับบ้านไม่ถูกมันเบลอไปเลย พอเราปรับมุมมอง ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ อ๋อ ทำไมเขากลัวขี้กลัว ดูก็รู้ว่าอ้อมันเกิดจากปมจิต เขาเกิดในยุคสงครามโลกบ้านเมืองไม่สงบ มีทั้งการทิ้งระเบิด มีทั้งโจรผู้ร้ายเพียบเลย บ้านเมืองไม่ได้ร่มเย็นเลย ชีวิตเติบโตมาพร้อมๆ กับความหวาดระแวง พอเรารู้เหตุรู้ผลของเขา ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมเขาคิดอย่างนี้ ทำไมเขาพูดอย่างนี้ พอเรารู้เหตุรู้ผลแล้ว มันเปลี่ยนจากโกรธเป็นสงสาร ก็เข้าใจแล้วก็เกิดความรู้สึก โถ ลำบากนะ ชีวิตลำบากจริงๆ สงสาร เห็นอกเห็นใจ เราไม่ต้องแกล้งเมตตาหรอก ความเมตตามันเกิดขึ้นอัตโนมัติเลย

แต่อย่างถ้าเราเจริญเมตตาแล้วเราก็ท่อง เช่น ท่อง “เมตตา คุณณัง อรหัง เมตตา” หรือ “พุทธะ เมตตัง จิตตัง มะมะฯ” อะไรอย่างนี้ ท่องๆ ได้สงบ ได้ความสุข ได้ความสงบ ใจที่มีความสุขมีความสงบมันก็อ่อนโยนลง ความเมตตาก็เกิดได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะเกิดให้เฉียบขาด ก็รู้เหตุรู้ผลลงไป เข้าใจ คนเราถ้าเข้าใจกัน ไม่ได้เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง นั่นล่ะมันจะเมตตาจริงๆ ขึ้นมาได้ อย่างถ้าเราเมตตาด้วยการบริกรรม จิตมีสมาธิแล้วเมตตา พอสมาธิเสื่อมโทสะมันก็ขึ้นมาอีก มันแก้ไขปัญหาไม่ได้จริงจังหรอก หรือเราทำธุรกิจมีลูกน้อง ลูกน้องบางคนเรารู้สึกแย่มากเลย ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ก่อนจะลงโทษก็ดูก่อนว่า ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ เป็นการให้โอกาสตัวเอง ไม่ใช่ให้โอกาสลูกน้องข้างเดียว

เรามีอำนาจอยู่ในมือ ก่อนจะไล่เขาออก พิจารณาทำไมเขาเป็นอย่างนี้ พอเข้าใจแล้วความเมตตามันเกิด เลยไม่ได้ตัดสินด้วยโทสะ หลวงพ่อเคยอ่านเรื่องหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องของพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง มีผู้ร้ายหรืออะไรจำไม่ได้ แล้วตอนที่ท่านพิจารณาโทษ ตอนที่ทำความผิดแล้วใหม่ๆ ท่านยังโกรธอยู่ ท่านไม่ตัดสิน ท่านทิ้งวันทิ้งเวลาให้ผ่านไปก่อน พอใจท่านหายโกรธแล้ว ไม่ถูกความโกรธครอบงำ ท่านก็พิจารณาคดีมันก็ยุติธรรมมาก เพราะไม่มีโทสะแทรก มองคนอื่น มองสัตว์อื่นตรงไปตรงมา ไม่ได้เจือความรู้สึกของเราลงไป ความรู้สึกที่เป็นโทสะ

เราค่อยๆ ฝึกตัวเองไป ใจเราก็จะค่อยๆ ร่มเย็นมีความสุขมากขึ้นๆ อย่างหลวงพ่อตอนก่อนจะบวช หลวงพ่อเข้าวัดครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่เราไปกราบไปไหว้ ไปเคารพนับถือ แต่ละองค์ๆ ล้วนแต่งดงาม ไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาท่านงดงาม แต่จิตใจท่านงดงาม เข้าใกล้แล้วก็ร่มเย็นเป็นสุข ก็เห็นในวัดท่านบางทีมีพระเหลวไหลอยู่ ท่านก็เฉยๆ ไม่ว่าอะไร ท่านคงรอเวลาที่เหมาะสมที่จะจัดการ การที่หลวงพ่อตอนนั้นเจอแต่พระดีๆ พอมาบวชแล้วมาเจอพระไม่ดี แรกๆ ใจมันยอมรับไม่ได้ รู้สึกแย่มากเลย มาบวชทำอะไร มาบวชเพื่อหาผลประโยชน์ เพื่อจะแย่งตำแหน่ง เพื่อช่วงชิงเรื่องโน้นช่วงชิงเรื่องนี้ ไม่ได้ต่างกับฆราวาส คือไม่ใช่ไอดอลที่เราเคยเห็นจากครูบาอาจารย์ ไม่ได้มีแบบอย่างที่ดี พอดูไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ สังเกต ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้เพราะว่าอะไร เขาไม่ได้บวชเพราะเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา เขาบวชโดยต้องการสิ่งอื่น แล้วเขาไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมะ ไม่มีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี ใจของเขาก็ไปแสวงหาสิ่งอื่น ซึ่งมันไม่ใช่สาระแก่นสาร ดูแล้วน่าสงสาร น่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ

 

เมตตาเท่าเทียมกัน แต่ไม่ใช่ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน

พระมาอยู่ในวัดหลวงพ่อ ปีหนึ่งๆ ก็มีบวชเข้ามาใหม่ๆ 30 กว่าองค์ บวชแล้วสึก สึกแล้วบวชอะไรอย่างนี้ มี พระที่อยู่ประจำมี 10 กว่าองค์ พระที่หมุนเวียนอีกส่วนหนึ่ง อย่างพระที่อยู่ประจำหลวงพ่อก็ค่อยๆ อบรมไป อบรมไม่ได้บางองค์อบรมไม่ได้จริงๆ ใจเขารับไม่ได้เลย ก็ให้ไปเรียนที่อื่น ไปศึกษาอยู่ที่อื่น เรียนอยู่กับเราแล้วไม่เจริญเราก็ให้ไป ไม่ได้เกลียด แต่รู้สึกว่าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ อยู่แล้วมีโทษมากกว่ามีคุณ ก็ให้ออกไป พวกที่เหลือก็จะค่อยๆ คล้ายๆ เป็นครีมที่เราปั่นจนมันเข้มงวดขึ้นมา สวยงามขึ้นมา เป็นพระที่สวยงาม อย่างพระบวชใหม่เข้ามา มันดูกระโดกกระเดก ดูไม่ได้เลย จริงๆ คือฆราวาสที่ห่มผ้าเหลืองเท่านั้นเอง ดูไม่สวยไม่งาม ก็ต้องค่อยๆ อบรมไป มีบางคนไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถามว่าเมตตาไหม เมตตาทุกคน แต่บางคนก็สอนได้ บางคนก็สอนไม่ได้ อย่าว่าแต่หลวงพ่อที่กระจอกๆ เป็นพระปลายแถวนี้เลย คนบางคนพระพุทธเจ้ายังสอนไม่ได้เลย

ท่านเคยเปรียบเทียบเหมือนคนเลี้ยงม้า ท่านไปสอนคนเลี้ยงม้า บอกม้าบางตัวนิสัยมันดี ว่าง่ายสอนง่าย เขาก็ให้มันกินอาหารพอดีๆ พามันออกกำลังกาย พามันฝึก บางตัวมันดื้อเขาก็ทรมานมันต่างๆ นานาเพื่อปราบพยศมัน บางตัวสอนไม่ได้ฝึกไม่ได้ พระพุทธเจ้าถามว่า ถ้าเจอม้าเกเรฝึกไม่ได้จะทำอย่างไร เขาบอกเขาก็ฆ่าทิ้ง พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าท่านก็ทำแบบเดียวกัน ตัวไหนดีท่านก็อบรมอย่างเรียบร้อย ไม่ดุเดือดอะไร พวกที่หยาบหน่อยก็สั่งสอนแบบดุเดือดหน่อย พวกสั่งสอนไม่ได้ท่านฆ่าทิ้ง ฆ่าทิ้งคือไม่สอน ถ้าจิตใจเรากระด้างจนครูบาอาจารย์ไม่สอน รู้เลยเราเป็นม้าระดับถูกฆ่าทิ้ง ฉะนั้นถ้าครูบาอาจารย์ยังดุด่าว่ากล่าวอยู่ แสดงว่ายังเป็นม้าชนิดฝึกได้อยู่

ความเมตตา ไม่ใช่ว่าเมตตาแล้วปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน อย่าเข้าใจผิดว่าถ้ามีความเมตตาแล้ว เราปฏิบัติกับคนดีคนชั่วเสมอกัน คนหยาบคนละเอียดเสมอกันอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ๆ ถึงเราเมตตาเท่าเทียมกันกับคนทุกคน แต่การปฏิบัติ ปฏิบัติให้สมควรแก่คนๆ นั้นที่เขาจะได้ประโยชน์สูงสุด เราอยู่ในบริษัท ลูกน้องเราเยอะ เราเมตตาทุกคน เรารู้ว่าแต่ละคนมีความทุกข์ทั้งนั้น เราเมตตาทุกคน คนไหนมีฝีมือนิสัยดีก็โปรโมต ให้เขาเติบโตไป ให้โอกาสเขาทำงาน คนซึ่งแย่ลงมาคุณสมบัติบกพร่องตรงนั้นตรงนี้ ก็สั่งสอน สั่งสอนแล้ว ให้โอกาสปรับตัว ให้โอกาสทำงาน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ออก ให้ออกก็คือเหมือนเราฆ่าทิ้ง ถามว่าฆ่าทิ้งด้วยความโหดร้ายทารุณไหม ไม่ใช่ เมตตามาก่อนแล้ว สุดท้ายก็ลงที่อุเบกขา

สัตว์โลกแต่ละตัวๆ มันมีอัธยาศัยใจคอแตกต่างกัน บางตัวยังหยาบเกินไป ก็ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนอะไร ในวัดที่เราเห็นสังเกตดูพระเหลวไหลท่านก็เมตตา แต่ท่านก็ดุด่าว่ากล่าว แต่ท่านไม่ดุให้โยมเห็นเท่านั้นเอง บางคนท่านสอนไม่ได้ท่านให้ไปอยู่ที่อื่น ก็เป็นหลักอันเดียวกันนั่นล่ะ ฉะนั้นเรามีเมตตาไม่ใช่เมตตางมงาย เมตตาแล้วก็ต้องมีเหตุมีผล เข้าใจเหตุ เข้าใจผล ทำไมเขาเป็นอย่างนี้ พอจะปรับได้ไหมให้โอกาสได้ไหม นี่ล่ะเมตตา ถ้าเราเมตตาเอาโจรมาไว้ข้างตัวเยอะแยะ นั่นไม่เมตตาตัวเอง ไปเมตตาพวกหยาบช้าสามานย์ มันไม่หาย

 

ทำบ้านของเราให้เย็นเสียก่อน

ฝึกมองคนอื่นในมุมของเขาบ้าง ไม่ใช่มองในมุมของเรา ถ้าเรามองคนอื่นจากมุมของเขา เราจะเข้าใจเขา เข้าใจเขาแล้วเราควรปฏิบัติต่อเขาอย่างไร สติปัญญามันจะเกิดมันจะรู้ว่าควรทำอย่างไร ความเมตตาสำคัญมาก ทุกวันนี้โลกมันเต็มไปด้วยความร้อน มันร้อนตั้งแต่ระดับอินเทอร์จนถึงระดับหมู่บ้าน ระดับครอบครัว ร้อนไปหมดทุกหนทุกแห่ง ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์สากล รู้เลยโลกไม่เคยสงบหรอก ในโลกมันก็มีการเบียดเบียนกันตลอดเวลา สมัยโบราณก็ยกทัพไปตีกันไปกวาดต้อนกัน ต่อมาก็พัฒนาวิธีครอบงำเอาเปรียบคนอื่น พัฒนาไปอีก ก็มายึดเป็นอาณานิคม ยังให้เจ้าของบ้านคนพื้นเมืองมันปกครองกัน แต่ถูกควบคุมอีกชั้นหนึ่ง มันเป็นอาณานิคม ต่อมาก็เอาเรื่องของอุดมการณ์เข้ามา ต้องอุดมการณ์อย่างนี้ถึงจะใช้ได้ เอาอุดมการณ์มาเป็นข้ออ้างครอบงำประเทศอื่น

ในประวัติศาสตร์มันเอาเปรียบกันตลอด ไม่มีหรอกที่อยู่กันแบบไม่เอาเปรียบ ธรรมชาติของสัตว์มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจมันเราไม่โกรธหรอก แต่เราก็รู้จักป้องกันตัวเอง ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะโทสะขึ้น ดูการเมืองในประเทศก็เหมือนกัน การเมืองการปกครองในประเทศ ตอนที่หลวงพ่อเกิด เปลี่ยนแปลงการปกครองมา 20 ปี ตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาถึง 40 ปี หลวงพ่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มาถึงวันนี้จะ 90 ปีอยู่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ครบ 90 ปี ถามว่าบ้านเมืองมีปัญหาไหม มี คนแต่ละคนเข้ามา มันไม่ได้เมตตาต่อกัน มันมาเพื่อจะมาฉกฉวย มาแย่งชิงอะไรต่ออะไร เอาเปรียบกัน

จิตใจซึ่งไม่มีคุณธรรม ตัวเองก็เร่าร้อน คนที่อยู่ในอำนาจของตัวเองก็เร่าร้อน เราไปเปลี่ยนแปลงสังคมใหญ่หรือสังคมโลกให้ร่มเย็น เราทำไม่ได้ ขั้นแรกสุดทำในบ้านเราให้ร่มเย็นให้ได้ก่อน ในบ้านเราอยู่กันด้วยความเมตตาต่อกันไหม พ่อแม่เมตตาลูกไหม ลูกเมตตาพ่อแม่พี่น้องไหม ค่อยๆ ไปดู ค่อยๆ ปรับ จากจุดเล็กๆ นี่ล่ะ ถ้าในบ้านเราร่มเย็น ข้างนอกมันร้อน เรายังเหลือที่หลบภัย เราตกทุกข์ได้ยากมาจากที่ทำงาน หรือจากสังคมข้างนอก กลับมาบ้านแล้วร่มเย็นมีคนให้กำลังใจกัน มีคนเข้าใจกัน ชีวิตมันก็ยังพออยู่ไหว ถ้ากลับเข้ามาในบ้านแล้วบ้านก็ร้อน ไม่ต่างจากข้างนอก เราไม่มีที่หลบภัยแล้ว

เพราะฉะนั้นจุดแรกที่พวกเราควรทำก็คือในบ้านเรา อยู่กันด้วยความเมตตาต่อกัน เข้าใจ ถ้าเข้าใจกันจะเมตตากันได้ง่าย ถ้าไม่เข้าใจมันเมตตายาก มันแกล้งเมตตาฝืนๆ ไป เดี๋ยวก็ตบะแตกทนไม่ได้เอา พวกผู้หญิงส่วนใหญ่ตอนแต่งงานก็เรียบร้อย แต่งไปนานๆ ขี้บ่น เราก็มาสังเกตใจ ใจมันอยากบ่นแล้วอยากว่าแล้ว รู้ทันมันเข้าไป ใจไม่ได้มีเมตตานี่นา ใจมันมีโทสะขึ้นมาแล้ว อ่านใจตัวเองให้ออกเลย ก่อนที่เราจะพูด จิตใจเรามีเมตตา หรือจิตใจเรามีโทสะ อยู่ในบ้านฝึกอย่างนี้ เลี้ยงแมว แมวมาทำแจกันเราแตก ก็ด่าล้งเล้งๆ แมวฟังไม่รู้เรื่องหรอก การด่าของเรานั้นเป็นโทสะแน่นอนเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำ หรือจะเอาแมวไปตี แมวมันรู้เรื่องไหม มันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้ว่าตีมันทำไม วิธีอย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ ต้องหาวิธีอย่างอื่น ทำบ้านของเราให้เย็นเสียก่อน แต่ก่อนที่บ้านเราจะเย็น เบอร์ 1 เลยใจเราต้องเย็นเสียก่อน ฉะนั้นจุดแรกที่เราต้องเปลี่ยนแปลงคือใจของเรา ที่จริงถ้าใจเราเป็นกุศล มันเย็นอัตโนมัติ

 

ธรรมะเปลี่ยนหัวใจคนได้

ครูบาอาจารย์มีนะดูประวัติท่าน หลวงพ่อเข้าวัดท่านยังอยู่ แต่ท่านอยู่ในห้องกระจกแล้ว หลวงพ่อเลยไม่ได้ไปหา เราต้องเลือกไปหาครูบาอาจารย์ที่ยังสอนได้ ตอนนั้นหลวงปู่ขาวท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ไม่มีใครเทียบเหมือนกันเลย สุดยอดเลยเรื่องความเมตตา ไปดูประวัติท่านแต่เดิมท่านเป็นพวกโทสะ ขี้โมโหหงุดหงิด ท่านเป็นนายร้อย นายร้อยคือเป็นหัวหน้ากอง กองเกวียน ต้อนวัวจากภาคอีสานมาขายในภาคกลาง ต้อนวัวต้อนควายมาเขาเรียกนายฮ้อย จิตใจท่านก็เป็นคนห้าวหาญเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นคุมกองเกวียนมาอย่างนั้นไม่ได้หรอก โจรปล้นตายหมด ท่านคุมกองเกวียนผ่านดงพญาเย็นมาได้ ไม่ใช่ธรรมดา

วันหนึ่งพวกญาติๆ ท่านก็บอกท่านว่า เมียท่านมีชู้แล้ว เพราะเวลานำกองเกวียนมาภาคกลาง กว่าจะไปกว่าจะกลับใช้เวลาหลายเดือน บอกเมียมีชู้แล้ว ฐานะทางบ้านท่านก็ดี ท่านมีทรัพย์สินมากมีอะไรมาก ท่านได้ยินแล้ว ท่านไม่ใช่โมโหโทโสอย่างเดียวไปไล่ฆ่าฟัน ไม่ใช่ ท่านก็ค่อยแอบไปดูว่าจริงๆ เป็นไหม ไม่ให้เมียรู้ว่ากลับมาแล้ว พอไปดูอยู่กับชู้จริงๆ ท่านก็ชักดาบของท่านออกมา พังประตูเข้าไปเลยกะจะฟันให้ตาย ตอนที่กำลังจะฟันให้ตาย บุญบารมีที่ท่านสะสมมามันเตือนสติท่าน โทสะของท่านซึ่งมันมหาศาล มันพร้อมจะฆ่าคนแล้ว ฆ่าทั้งชู้ฆ่าทั้งเมีย มันเปลี่ยนไปเลย รู้สึกว่าจะไปฆ่าเมียตายแล้วลูกก็ลำบากอีก ตัวเองก็ไปติดคุกเมียก็ตาย ฆ่าชู้ตายไปมันก็ไม่มีอะไรขึ้นมา มีแต่บาปกรรมติดตัว ท่านก็วางอาวุธออกบวชเลย นิสัยของท่านห้าวหาญเข้มแข็งมาก ตัดสินใจบวชเลย บุญบารมีของท่านมี โทสะกำลังขึ้นถึงขนาดกำลังจะฆ่าคนแล้ว ก็จิตมันพลิกนิดเดียวเท่านั้นเอง มองด้วยความเข้าใจ มองด้วยความเมตตาสงสารก็วางอาวุธได้ ออกมาบวชภาวนา พอท่านเข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง จากจิตของคนที่มีโทสะมาก กลายเป็นจิตของคนที่เมตตามาก กลับข้างเลย ท่านเมตตาอัตโนมัติ ไม่ได้ว่าแกล้งเมตตาหรอก ฉะนั้นธรรมะเปลี่ยนหัวใจของคนได้

ธรรมะเปลี่ยนหัวใจคนได้ ฉะนั้นเราพยายามฝึกตัวเอง จนกระทั่งหัวใจของเราที่หยาบกระด้าง มีความเมตตากรุณาเกิดขึ้นอย่างแท้จริง คนแรกที่ร่มเย็นเป็นสุขคือตัวเรา คนถัดไปก็คือคนที่แวดล้อมเราอยู่ ส่วนสังคมวงนอกนั้นเราก็ไม่เพิ่มผู้ร้าย ไม่เพิ่มตัวที่จะสร้างความเดือดร้อนขึ้นอีกตัวหนึ่ง คือไม่เพิ่มตัวเองให้เป็นตัวสร้างปัญหา สังคมข้างนอกสังคมใหญ่เราไปแก้ไม่ได้ แต่ว่าเราไม่ไปเพิ่มปัญหาให้สังคมใหญ่

ค่อยๆ ฝึกตัวเอง แล้วก็ให้ใจมันร่มเย็นเป็นสุข ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ทำทุกวันสม่ำเสมอ บุญกุศลมันจะหล่อเลี้ยงจิตใจเรา จิตใจมันจะเริ่มมีความสุข พอจิตใจมีความสุข ความสุขมันก็จะล้นออกมา กลายเป็นความเมตตาต่อผู้อื่นต่อสัตว์อื่นไปด้วย คนที่จิตใจไม่มีความสุขเมตตาไม่ได้จริงหรอก แกล้งเมตตา แต่ถ้าจิตมันเต็ม มันอิ่ม มันมีบุญ อิ่ม คือได้ทำความดี ได้ทำทาน รักษาศีล ได้ภาวนา พอจิตใจมันอิ่ม มันเต็ม มันร่มเย็นเป็นสุข มันจะไม่มองคนอื่นในทางร้ายแล้ว มันจะมองคนอื่นด้วยความเมตตากรุณาที่เกิดขึ้นมา

ฉะนั้นเราพยายามฝึกตัวเองทุกวันๆ ทำทาน ทานไม่ใช่ว่าต้องจ่ายเงินอย่างเดียว การที่เราเห็นเขายกของหนักๆ สงสารไปช่วยเขายก เห็นคนแก่จะข้ามถนน ข้ามยากรถมันเยอะ คนก็ไม่มีเมตตาต่อกัน ทุกคนรีบร้อน จะดูว่าไม่เมตตา จริงๆ แต่ละคนรีบร้อน รีบไปทำงาน ไปธุระ ไปโน่นไปนี่ จะไปโรงพยาบาลก็ต้องรีบร้อนไปจองตั้งแต่ตี 4 อะไรอย่างนี้ คนแก่ข้ามถนนไม่ได้ เราหูตาดียังแข็งแรงจูงเขาข้าม แค่นี้ก็คือการทำทานแล้ว ถ้าเราทำอย่างนั้น ใจเราจะรู้สึกอิ่มขึ้นมา มีความสุข พอใจเรามีความสุข โทสะมันจะไม่เข้ามาหรอก เราจะมองสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้สึกที่ดี ด้วยความรู้สึกที่เมตตา

หลวงพ่อเคยสังเกต ในคลิปวิดีโออะไรต่ออะไร เขาซื้อไอแพดมาให้ดู ก็เห็นมีบางคลิปดูแล้วกิเลสเกิด นานๆ เราจะเจอคลิปที่เห็นแล้วรู้สึกจิตใจเราอิ่มเอิบ อิ่มเอิบขึ้น อย่างเราเห็นคลิปด่าตำรวจนี้เยอะเลย มีวันหนึ่งเราเห็นมีคนถ่ายคลิป โอ๊ย ตำรวจคนนี้ดีจังเลย ไปช่วยจูงคนแก่ข้ามถนน ไปช่วยยกของ เราไม่ได้ไปเห็นด้วยตาเราเอง แค่เราเห็นจากคลิปใจเราก็พลอยเบิกบานไปด้วย ความดีที่มันแผ่ออกไป ถ้าเราแผ่ของไม่ดีออกไป บาปนะ อย่างไปโพสต์ของที่คนอ่านแล้วกิเลสเกิดนั้น บาปแน่นอนเลย ถ้าเราโพสต์อะไรแล้วจิตใจของคนมันสูงขึ้น อย่างนั้นล่ะดี ไม่เป็นไร

 

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกจิตฝึกใจของเรา ให้มันมีเมตตาขึ้นมา ทีแรกจะบริกรรมก่อนก็ได้ อันนั้นเด็กที่สุดเลยบริกรรมเมตตาไป พอจิตมันมีสมาธิมันก็สงบไม่ฟุ้งซ่าน ก็เมตตาได้ชั่วคราว พอฟุ้งซ่านแล้วโทสะมันขึ้นใหม่ เมตตาจริงๆ หัดมองคนอื่นในมุมของเขาบ้าง ก็จะเมตตามากขึ้น แต่ก็เมตตาได้เป็นคนๆ เราเข้าใจคนนี้ เราก็เมตตาคนนี้ คนที่เรายังไม่เข้าใจเราก็ยังไม่เมตตา แต่ถ้าใจของเรามีบุญ เราทำทาน รักษาศีล ภาวนา ทำของเราทุกวัน ใจเราร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยความเมตตามันเกิดเอง อันนี้มันจะเมตตาไปหมด ไม่ใช่เมตตาเฉพาะคนที่เราชอบ หรือเมตตาเฉพาะคนที่เราเข้าใจ กระทั่งคนที่เราไม่เข้าใจมันยังเมตตาเลย แต่ส่วนว่าเมตตาแล้วจะคบเขาไหมอะไรไหม ก็ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป ถามว่าใจเมตตาไหม เมตตา เมตตาเสมอกันไปหมด

อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เคยบอกว่าท่านเมตตาพระราหุล ลูกชายของเจ้าชายสิทธัตถะ พระราหุล พระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านเมตตาราหุลเท่าๆ กับที่เมตตากับเทวทัตนั่นล่ะ นี่ความเมตตา เพราะจิตท่านเป็นบุญเป็นกุศลสุดขีดไปแล้ว ความเมตตาอัตโนมัติมันเกิดอย่างนั้น เรายังไม่ได้อย่างท่าน เราก็ทำทาน รักษาศีล ภาวนาของเรา ทำให้ทุกวันๆ ถ้าใจเราร่มเย็นเป็นสุข มันจะไม่อยากโกรธใครหรอก เห็นคนย่ำแย่อะไรอย่างนี้ มันเมตตาไปหมด เห็นคนที่มีความสุขยังเมตตาเลย อย่างหลวงพ่อเห็นบางคน รูปร่างหน้าตาก็ดี ฐานะก็ดี สามีก็ดี ลูกก็ดี ดีหมดเลย อะไรๆ ก็ดี ยังสาว ยังสวย ชอบทำบุญ ชอบภาวนา ดูเขาดีไปหมดเลย หลวงพ่อเห็นหลวงพ่อก็ยังเมตตา ว่าต่อไปเธอก็แก่ เธอก็เจ็บ เธอก็ตาย เธอก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ เธอยังไม่เข้าใจตรงนี้ เธอก็ยังเพลิดเพลินในบุญของเธออยู่ นี่ก็ยังเมตตา เห็นคนไม่ดีก็เมตตา คนดีเราก็เมตตา

ฉะนั้นเราพยายามสร้างบุญให้เกิดขึ้นในใจเราให้มาก พอใจเราเป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ความเมตตามันเกิดอัตโนมัติ ไม่ต้องแกล้งบิลต์เลย อย่างนั่งท่อง “เมตตา คุณณัง อรหัง เมตตา” นี่บิลต์เอา แล้วเข้าสมาธิได้ก็เมตตา ออกจากสมาธิก็โมโหร้าย หรือถ้าเราเข้าใจเขา เข้าใจเหตุผลของเขาที่เขาต้องเป็นอย่างนี้ เราก็จะเมตตาคนที่เราเข้าใจ แต่ยังไม่เมตตาคนที่ไม่เข้าใจ แต่ถ้าใจเราเป็นบุญมันเมตตาไปหมด เห็นหมาก็เมตตาหมา เห็นแมวก็เมตตาแมว ถามว่าเมตตาแล้วเอาหมามาเลี้ยงเต็มบ้านไหม ไม่ ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะรู้เหตุรู้ผล สงเคราะห์ได้เท่าที่สงเคราะห์ ไม่ใช่ไปแบกหมาไว้ทั้งโลก เป็นไปไม่ได้ ตัวที่เป็นตัวกำกับ คือตัวสติปัญญากำกับ เทศน์เรื่องนี้เย็นรู้สึกไหม

 

 

หลวงพ่อได้ยินว่า พวกเราปีใหม่เราก็ตั้งปณิธานกัน ปีนี้จะทำอันนี้จะไม่ทำอันนี้ เดี๋ยวปีหน้าจะตั้งให้เข้มกว่านี้อีก ถ้าผ่านไป 10 ปีคงเข้มจนกลายเป็นอัตตกิลมถานุโยคไปแล้ว ฉะนั้นจะเข้มพิจารณาให้ดี พิจารณาให้ดีนะไม่ใช่เข้มๆๆ ไปเรื่อยๆ สุดท้ายสติแตก มันก็เกินไป เหมือนอย่างเป็นพระปีนี้ถือธุดงค์ 1 ข้อ ปีที่สอง 2 ข้อ ปีที่สิบสามถือ 13 ข้อ ไม่ได้ภาวนาเลยวันๆ นั่งนับธุดงค์อยู่ ฉะนั้นจะตั้งอะไรตั้งพอประมาณ กิเลสของเราอยู่ตรงไหนเราก็ตั้งตรงนั้น อย่างเราเจ้าชู้ก็ตั้ง ต่อไปนี้จะซื่อสัตย์ต่อภรรยาของเราไม่เจ้าชู้ ไม่ใช่ตั้งอะไรโน่นเยอะแยะไปหมด เราจะกินข้าวมื้อเดียว ปีหน้าจะกิน 2 วันหนึ่งมื้ออะไรอย่างนี้ ประสาทกิน ดูที่มันพอดีๆ ต้องมีเหตุมีผล เราจะขัดเกลา เราตั้งปณิธานอะไรขึ้นมาเพื่อขัดเกลาตัวเอง เราดูตอนนี้กิเลสตัวไหนแรงที่สุด เรามุ่งไปที่ตัวนั้น ไม่ใช่ตั้งเฝือไป ตั้งเฝือๆ ไปแล้วก็นั่งนับว่าตั้งอะไรไว้แล้วกลัวจะผิด เครียดไปเรื่อยๆ ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้นใครตั้งผิดไปตั้งเสียใหม่ ยังทัน วันนี้ยังวันที่ 1 อยู่ อย่างมงาย มีข้อกำหนดอะไรของตัวเองเยอะจนรุงรังในใจ ใช้ไม่ได้หรอก ใจไม่โปร่ง.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
1 มกราคม 2565