ความอยากเป็นเจ้านายตัวร้ายกาจ

อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน โลกก็เป็นอย่างนี้ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่างเดียว หลวงพ่อเคยบอกพวกเราเสมอว่าในโลกปัญหามันไม่เคยสิ้นสุด มีปัญหาอันหนึ่ง พอปัญหานั้นผ่านไป หรือใกล้จะผ่านไป ปัญหาใหม่มันก็มาแล้ว มันเป็นอย่างนี้มาตลอด อย่างตั้งแต่ปี 2563 มา มีปัญหาโควิด ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เศรษฐกิจกำลังดี มีโควิดมาลำบากกันถ้วนหน้า

พอโควิดซาลงก็มีปัญหา ระหว่างประเทศขึ้นมาอีก น้ำมันแพงอะไรต่ออะไร ผลกระทบเยอะ มหาอำนาจเขาต่อสู้กัน เราตัวเล็ก เราก็ลำบาก แต่เรายังสบายกว่าหลายๆ ประเทศ ประเทศเราเป็นประเทศที่ผลิตอาหาร เราก็ยังไม่อด คนอื่นเขาอดก่อน หมดจากโควิดก็มาเรื่องยูเครน หมดจากนี้ก็ไม่รู้จะเรื่องอะไรอีก พวกเราคนไทยก็เจอเรื่องน้ำท่วมอีกแล้ว

ฉะนั้นชีวิตมันเป็นอย่างนี้ล่ะ เราก็มักจะใฝ่ฝัน ว่าพอผ่านความยากลำบากอันนี้ไปแล้ว ชีวิตจะมีความสุขมีความสบาย มันก็ฝันอย่างนี้มาตลอดชีวิตนั่นล่ะ หมดปัญหาอันหนึ่งก็มีปัญหาอีกอันหนึ่ง บางทีปัญหาในสังคมส่วนรวมไม่มี ก็มีปัญหาของเราเอง เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร หรือคนที่เรารักเจ็บป่วย หรือพลัดพรากจากคนที่เรารักอะไรอย่างนี้ หรือลูกเราติดยาขึ้นมา ในโลกมันไม่มีความสุขที่แท้จริงหรอก มันเต็มไปด้วยความทุกข์

ทำอย่างไรเราจะอยู่กับมันโดยทุกข์น้อยๆ เรามาฝึกภาวนาเข้า ความทุกข์มันมี 2 อัน ความสุขทุกข์ทางร่างกายกับความทุกข์ทางจิตใจ ความทุกข์ทางร่างกายอย่างไม่มีจะกินอย่างนี้ ร่างกายก็อยู่ไม่ได้ เจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ในร่างกาย ยิ่งยากจนไม่มียา ไม่มีเงินไปหาหมออะไรอย่างนี้ ทุกข์มาก ไม่มีจะกินทุกข์ที่สุด ความหิวเป็นทุกข์ เป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษย์เรา อันนี้มันกระทบทางร่างกาย

 

ความอยากนานาชนิดมันหมุนอยู่ในใจเราตลอดเวลา

หรือความทุกข์ทางจิตใจ มันเกิดจากความอยาก อย่างเราอยากไม่แก่แล้วมันแก่ เราก็ทุกข์ อยากไม่เจ็บแล้วมันเจ็บ เราก็ทุกข์ อยากไม่ตายแล้วมันตาย เราก็ทุกข์ อยากอยู่กับคนที่เรารักตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้ก็ทุกข์ อยากจะเจอแต่สิ่งที่ดี ไม่อยากพบสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย แต่มันต้องเจอก็ทุกข์ อันนี้ทุกข์ในใจ

ทุกข์ทางร่างกายเพราะมันมีร่างกาย มันก็ทุกข์ แต่ทุกข์ทางใจมันต่างกับร่างกาย คือทุกข์ทางใจ ถ้าเราไม่อยากใจมันก็ไม่ทุกข์ ถ้าเรามีความอยากขึ้นเมื่อไร ใจก็มีความทุกข์เมื่อนั้น ยิ่งอยากแล้วไม่สมอยากยิ่งทุกข์มาก ถ้าอยากแล้วสมอยากสบายใจอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง เดี๋ยวก็มีเรื่องอื่นมาให้อยากใหม่แล้วใจเราก็เหน็ดเหนื่อย มีความอยากขึ้นมา ความอยากมันเป็นเจ้านายที่มองไม่เห็นตัว มันบงการให้จิตใจของเราวิ่งพล่านๆ ไปตลอดเวลา เป็นตัวร้ายกาจมาก

จิตใจของเรานั้นตกเป็นทาสของตัณหามาแต่ไหนแต่ไร คือตกเป็นทาสความอยาก แต่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น บางคนถึงขนาดอหังการ บอกว่าฉันนี่ไม่มีใครมาสั่งฉันได้เลย ฉันเป็นอิสระอย่างแท้จริง มีอำนาจในตัวเอง มีเงิน มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครมีอำนาจเหนือฉันได้หรอก ในมุมมองของนักปฏิบัติ สิ่งที่มีอำนาจเหนือจิตใจของคนทั้งหลายคือตัวตัณหา มันสั่งเราตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็อยากดู พอได้ดูแล้วชอบใจ มันก็อยากให้สิ่งที่เราชอบใจอยู่ไปเรื่อยๆ พอเราไปดูรูป เห็นรูปที่ไม่ชอบใจ เราก็อยากให้รูปนั้นหายไป

อย่างเราเห็นหน้าคนที่เราเกลียด เราทำงานในที่ทำงาน สังเกตดูในที่ทำงานเราถ้ามีคนหลายๆ คน มันก็จะมีคนที่เรารักกับคนที่เราเกลียด คนที่รัก ถ้าคนในที่ทำงานมีเยอะ ก็จะมีคนที่รักมากรักน้อย มีคนที่เกลียดมากเกลียดน้อย เวลาเราเจอคนที่เราชอบอกชอบใจ เราก็สบายใจ ผ่อนคลาย หันมาอีกทีหนึ่ง แค่เปลี่ยนองศาในการมองนิดเดียวไปเห็นหน้าคนที่เกลียด ความสบายใจหายไปแล้ว เพราะเราไม่อยากเห็น เราไม่อยากเห็นคนนี้ เราเกลียดมัน

สังเกตไหมในชีวิตจริงของเรา เรามักจะหาคนเอาไว้เกลียดสักคนหนึ่งอย่างน้อยๆ เป็นเบอร์ 1 ของความเกลียดในแต่ละช่วงเวลา ส่วนใหญ่ก็จะมีอย่างนี้แทบทุกคน คนนี้เกลียดที่สุดเลย พอคนที่เราเกลียดที่สุดมันไม่อยู่แล้ว เราก็ไปเกลียดอีกคนหนึ่งต่อ ใจมันจะพาลหาเรื่องคนอื่นเขาตลอดไป ฉะนั้นตรงที่เราไม่อยากเห็นหน้าคนนี้ เราเกลียดคนนี้ เราไปเห็นหน้าเขา เราก็ทุกข์แล้ว เพราะเราไม่อยากเห็น

บางทีเราไม่ได้เห็น แค่เรานึกถึงเขา ใจเราก็หงุดหงิดแล้ว เคยเป็นไหม คิดถึงใครสักคนแล้วมันหงุดหงิดขึ้นมาเลย จะห้ามใจไม่ให้คิดถึง ห้ามไม่ได้ จิตมันเป็นอนัตตา คนนี้เราเกลียดมากเลย ไม่อยากคิดถึงมัน ยิ่งคิดบ่อย คิดขึ้นมาใช่ไหม สัมผัสอารมณ์ที่ไม่พอใจ ก็อยากจะไม่คิดถึงเขา แค่อยากไม่คิดถึงก็ทุกข์แล้ว

ฉะนั้นความอยากนานาชนิดมันหมุนอยู่ในใจเราตลอดเวลา ใจเรามันไม่ยอมรับความจริง สิ่งที่มากระทบเรามันก็แค่รูป แค่เสียง แค่กลิ่น แค่รส แค่โผฏฐัพพะ คือสิ่งที่กระทบร่างกาย เรียกโผฏฐัพพะ เช่น ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็งอะไรอย่างนี้ เป็นโผฏฐัพพะ สิ่งที่กระทบใจเราเรียกธรรมารมณ์ สิ่งที่มากระทบเรา บางทีก็ดี บางทีก็ร้าย บางทีเราก็เห็นรูปที่ดี บางทีเราก็เห็นรูปที่ไม่พอใจ

อะไรมันกำหนดเรา เรากำหนดได้เองไหม ลืมตาขึ้นมาจะต้องเห็นแต่สิ่งที่สวยงาม เรากำหนดไม่ได้ ตัวที่มากำหนดเราคือตัวกรรม วิบากให้ผลมา มีกรรมดีให้ผลมา ลืมตาขึ้นมาเจอแต่ของดีๆ มีวิบากชั่วให้ผลมา ลืมตาขึ้นมาเจอแต่ของที่ไม่ชอบใจ เราเลือกไม่ได้

หลวงพ่อเคยเห็นคนนั่งรถไปอย่างนี้ เห็นรถชนกันข้างหน้า เปิดวิทยุฟัง เขาบอกมีรถชน มีศพเกลื่อนเลย ตายเยอะแยะ รถก็ติด ใช้เวลานานกว่าจะไปถึงจุดที่รถชน เราก็ไม่กล้ามอง กลัวเห็นภาพอุจาด คนตายเละเทะอะไรอย่างนี้ ก็หันหน้าหนีจากจุดที่รถชน หันหน้าไปมองทางอื่น ปรากฏว่าเขาขนศพมาวางไว้ข้างถนนแล้ว ข้างที่เราหันไปมอง บางคนเขาไม่มีอกุศล ไม่ต้องเห็นรูปที่ไม่สวยไม่งาม รถชนกันชะโงกดู ไม่เห็นอะไรเลย

ทำไมคนหนึ่งเห็นรูปที่ดี คนหนึ่งเห็นรูปที่ไม่ดี มันเป็นวิบาก เลือกไม่ได้หรอก เราจะเห็นรูปที่ดี หรือเห็นรูปที่เลว เลือกไม่ได้ เราจะได้ยินเสียงที่พอใจ หรือได้ยินเสียงที่ไม่พอใจ ก็เลือกไม่ได้ อันนี้เป็นวิบาก เมื่อผัสสะ เมื่อสิ่งมากระทบ อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรพวกนี้ เราเลือกไม่ได้ พอเรากระทบแล้ว ถ้าใจเรามีความอยากเกิดขึ้น ใจจะดิ้นรน ใจจะมีความทุกข์เกิดขึ้น อย่างเราอยากเห็นรูปที่ดี อยากเจอคนที่เรารัก ใจมันก็เริ่มดิ้นรนแล้ว ทำอย่างไรจะเห็น ทำอย่างไรจะได้เห็น

อย่างคนโบราณไปรักสาวอย่างนี้ อยากเห็นหน้า แต่คนโบราณจะกลัวผู้ใหญ่ จะไปดูสาว จะบุกเข้าไปบ้านเขาก็ไม่ได้ ผิดประเพณีอะไรอย่างนี้ ทำไม่ได้ แค่ไปยืนมองหลังคาบ้านเขา ก็มีความสุขแล้ว เห็นแค่นี้ ยุคนี้สบายผู้ใหญ่ไม่รู้เรื่อง เราก็คุยกัน เปิดจอคุยกันได้ เห็นหน้าเห็นตา

รูปที่เราเห็น รูป ถึงเราอยากเห็นรูปที่พอใจ ใจเราก็ดิ้นรน อย่างตะเกียกตะกายไปเพื่อจะได้เห็นหน้าเขาอะไรอย่างนี้ หรือพวกเราจำนวนมากมาที่วัด บอกอยากเห็นหลวงพ่อสักครั้งหนึ่ง เห็นในจอทีวียังไม่เต็มอิ่ม อยากเห็นตัวเป็นๆ มันต่างกันตรงไหน เห็นหลวงพ่อในจอ สิ่งที่เราเห็นคือแสง คือแสงตัดกันเป็นรูปหลวงพ่อ แล้วที่บอกมาดูตัวหลวงพ่อตัวเป็นๆ เห็นอะไร มันก็เห็นแสงสะท้อนนั่นล่ะ ก็เห็นแสงเหมือนกันล่ะ ใจเราก็ นี่ล่ะ ตัวจริง อย่างนี้เรียกว่าเห็นตัวจริงแล้ว อันนี้เห็นตัวปลอม ดูในจอ ที่จริงเราไม่ได้เห็นอะไรเท่าไรหรอก ที่เราเห็น เราเห็นแค่แสงแค่สีเท่านั้นเอง จะแสงสะท้อนจากจอ หรือสะท้อนจากตัวจริง มันก็แสงเท่านั้นล่ะ ไม่ได้มีจริงอะไร เราไม่รู้เราก็อยากเห็นตัวจริง

อยากเห็นแล้วทำอย่างไร ต้องดิ้นรน ดิ้นมาที่วัดจะมาเจอ เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เป็น อยากไปหาครูบาอาจารย์ แต่หลวงพ่อไปหาครูบาอาจารย์เพื่อจะไปถามกรรมฐาน พยายามไปหาครูบาอาจารย์ อุตส่าห์เดินทาง ครูบาอาจารย์อยู่ไกลๆ อยู่เชียงใหม่ อยู่หนองคาย ไปตั้งไกล นั่งรถทั้งคืนเลย ไปถึงวัด บอกท่านมากรุงเทพฯ ใจเราแค่อยากเห็นท่าน อยากถามท่าน อยากคุยกับท่าน อยากส่งการบ้านท่าน ตั้งใจเดินทางไปแล้วไม่เจอก็ผิดหวัง ก็เสียใจเหมือนกัน ฉะนั้นเวลาเราอยากอะไรขึ้นมา ไม่ว่าจะอยากดีแค่ไหน อยากเจอครูบาอาจารย์อย่างนี้ อยากฟังธรรมะ อยากปฏิบัติให้ดีๆ ก็อยากทั้งสิ้นล่ะ

 

ไม่มีความอยาก ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดความทุกข์ทางจิตใจ

เราสังเกตตัวเองเรียนรู้ตัวเองเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ความอยากเกิดขึ้น ความทุกข์จะเกิดขึ้นเสมอ ตัณหาเป็นผู้สร้างภพ ภพไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ทุกข์ทั้งสิ้น ฉะนั้นสิ่งที่ตัณหามันสร้างขึ้นมาคือทุกข์นั่นเอง ภพมันก็เป็นตัวทุกข์นั่นล่ะ เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป สังเกตตัวเอง การสังเกตตัณหาในใจของเราเองไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ง่ายๆ ใจเราอยากได้อะไรขึ้นมา เรารู้ทัน ใจเราอยากให้อะไรคงอยู่ เรารู้ทัน ใจเราอยากให้อะไรไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแล้วอยากให้หมดไปสิ้นไป เรารู้ทัน นี่ลีลาของความอยากก็มีอยู่เท่านี้ล่ะ ยังไม่มีก็อยากให้มี พอมีแล้วก็มี 2 ชอยส์ อยากให้คงอยู่กับอยากให้หมดไป

บางทีของยังไม่มี เราก็ไม่อยาก อยากให้มันไม่มี อย่างบางอย่าง อย่างเราไม่อยากป่วยไข้อะไรอย่างนี้ เราอยากให้มันไม่มี ตอนนี้ไม่ได้ป่วย แต่พอเราอยากแข็งแรงตลอด อยากไม่ป่วยไม่ไข้ ใจกังวล ใจกลุ้มใจ อย่างเราจะไปไหนมาไหน เราใส่หน้ากาก เรากลัวโควิด เราอยากให้ไม่เป็นโควิด แค่เรากลัวโควิดขึ้นมา ใจก็ทุกข์แล้วล่ะ

เพราะฉะนั้นความอยาก ไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที ยิ่งความอยากรุนแรง โอกาสที่ความทุกข์จะรุนแรงก็มาก ความอยากรุนแรงก็ดิ้นๆๆ อย่างแรง ถ้าความอยากเบาบาง โอกาสที่จะเกิดความทุกข์ มันก็เบาบางลง ไม่มีความอยาก ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดความทุกข์ทางจิตใจ

ตัณหาทำให้เราเกิดความทุกข์ทางใจ แต่ทางร่างกายมันเกิดมาแล้ว มันเป็นวิบาก แก้ไม่ได้แล้ว มันมีร่างกายอยู่ ร่างกายนี้ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อันนี้แก้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องแก่ อย่างไรก็ต้องเจ็บ อย่างไรก็ต้องตาย

ขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็แก่ ตอนอายุใกล้ๆ 80 ท่านก็บอกพระอานนท์ บอกตอนนี้ร่างกายท่านย่ำแย่เต็มทีแล้ว เหมือนเกวียนที่ผุพัง ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนซ่อมไม่ไหวแล้ว ขนาดพระพุทธเจ้าร่างกายก็แก่ ร่างกายท่านก็เจ็บไข้ อย่างตอนจะปรินิพพาน ท่านไปฉันสูกรมัททวะ สูกรมัททวะ คนไทยก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ก็คิดว่าเป็นหัวอะไรสักอย่างอยู่ใต้ดินที่มีพิษอะไรอย่างนี้ หรือเป็นเห็ดพิษอะไรอย่างนี้ ฉัน ท่านก็รู้ว่าอาหารสูกรมัททวะอันนี้มีพิษ ท่านก็สั่งเจ้าภาพบอกว่าไม่ต้องถวายพระอื่น ให้ถวายท่านองค์เดียวล่ะ แล้วท่านก็ฉันองค์เดียว ส่วนที่เหลือท่านบอกให้เอาไปฝัง ฝังลึกๆ ไม่ให้สัตว์มาคุ้ยเขี่ยเอาไปกินอีก

ท่านรู้ว่ามันมีพิษแต่ทำไมท่านไม่หนี ท่านหลบเลี่ยงได้ ท่านก็ไม่หลบเลี่ยง ท่านรู้ว่ามันถึงเวลาของท่านแล้วล่ะ ถึงวาระของท่านแล้ว แล้วท่านปฏิเสธที่จะฉัน นายจุนทะใช่ไหมท่านอาจารย์ เจ้าภาพเขาจะเสียใจ เห็นไหมความเมตตาของท่าน ยอมฉันของที่เป็นพิษ กลัวคนถวายเสียใจ ท่านฉันเข้าไป ท่านก็อาพาธ ถ่ายเป็นเลือด อันนี้ท่านก็บอกพวกพระ บอกพระอานนท์ มันเป็นวิบาก ท่านเคยเป็นหมอในชาติหนึ่งแล้ววางยาพิษคนไข้ ก็ต้องรับวิบาก ท่านไม่อยากหนี ไม่อยากจะหนี เลี่ยงก็เลี่ยงได้ เพราะบุญบารมีท่านเต็มไปแล้ว ความดีสูงก็เจือจางอกุศลวิบากลงไปได้ แต่ท่านก็ไม่ได้หนี ยังสงเคราะห์คนที่ถวายอาหารท่าน

สูกรมัททวะ จริงๆ ที่หลวงพ่อเคยศึกษา มันเป็นหัวๆ ในตำรายาของอินเดีย มันเป็นยาอายุวัฒนะ แต่ว่ามันมีพิษร้ายแรงที่เปลือกของมัน ตัวมัน เนื้อมัน ไม่มีพิษหรอก พิษมันอยู่ที่เปลือก เวลาเอามาทำอาหาร ถ้าเปลือกมันกระเทือนมาก ช้ำอะไรอย่างนี้ พิษมันจะเข้าไปอยู่ในเนื้อ ทางปักษ์ใต้เราก็มีลูกอะไร เรียกลูกเหนียงหรือลูกอะไรจำไม่ได้ คือถ้ากระเทือนแรงๆ พิษที่เปลือกมันจะเข้าไปที่เนื้อเหมือนกัน แต่กินแล้วมันไม่ถึงตายก็แค่ไม่สบาย

เพราะฉะนั้นร่างกาย สรุปก็คือร่างกายมันเกิดจากวิบากกรรม เราเลยได้ร่างกายแบบนี้ กรรมดีให้ผลมา เราก็มีร่างกายที่ดี แข็งแรง ดูดี ดูสวย ดูงาม กรรมชั่วให้ผลมา ร่างกายเราก็ดูไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยมาตั้งแต่เกิด หรือว่าเกิดมาแล้วไม่นานก็เจ็บป่วยอะไรอย่างนี้ ฉะนั้นทางร่างกาย ร่างกายมันเป็นตัววิบากแล้ว แก้อะไรไม่ได้ แต่ตัวตัณหาเป็นของใหม่ๆ เราสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปเห็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือใจเราคิด สิ่งเหล่านี้เป็นวิบากมากระทบ พอกระทบแล้วใจมันทำงานต่อ มันก็ปรุง ปรุงขึ้นในปัจจุบันนี้ล่ะ คือปรุงตัณหาขึ้นมา

ฉะนั้นตัวนี้เราสามารถแก้ไขได้ ตัวตัณหานี้ เราสามารถทำให้มันดับไปอย่างรวดเร็วได้ ก่อนที่มันจะคายพิษให้จิตใจของเรา หรือถ้าภาวนาเต็มที่แล้ว เราทำลายรากเหง้าของตัณหา ตัณหาไม่เกิดอีก ถ้าตัณหาไม่เกิดอีก ความทุกข์ทางใจก็ไม่มีอีก ทำอย่างไรเราจะทำลายตัณหาได้ ใจเรามีความอยาก ห้ามมันไม่ได้หรอก เราก็เรียนรู้ความจริงลงไป ทำไมมันอยาก มันอยากเพราะมันไม่เห็นความจริงของสิ่งที่มันอยาก เพราะมันไม่เห็นความจริง คือความโง่หรือตัวอวิชชานั่นเอง ไม่เห็นความจริง

ความอยากของเรามีมากมายมหาศาล โบราณเขาบอกกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด เยอะแยะไปหมดเลย ตัวความอยากนี้แต่ย่อๆ ลงมามันก็นิดเดียว อยากให้กาย อยากให้ใจเป็นสุข อยากให้กายอยากให้ใจไม่ทุกข์ก็แค่นี้ล่ะ ฉะนั้นความอยากที่มีมากมาย จริงๆ ก็คืออยากให้กายให้ใจเป็นสุข อยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์

เราไปดูว่าจริงไม่จริง ในชีวิตเราทำไมเราอยากได้เมียสวยๆ ได้เมียสวยๆ มันโก้ มันอิ่มอกอิ่มใจ ยิ่งเมียเราสวยกว่าคนอื่นได้ แหม มันเท่มากเลย สนองกิเลสของเราอีก สนองตัณหา สนองความอยากของเรา ทำไมอยากรวย อยากรวยเพื่อว่าจะได้ซื้อโน่นซื่อนี้มาปรนนิบัติร่างกายให้สุขสบาย ถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ก็พาไปหาหมอ มีเงิน หมอไทยยังไม่พอใจ บินไปหาหมอต่างประเทศ ก็คืออะไร ทำไมยอมเสียเงินมากมาย ก็เพื่อให้ร่างกายมีความสุข

บางคนก็ยอมเจ็บตัว บินไปเกาหลี ไปผ่าตัด ผ่าอย่างไรก็เจ็บให้ดูสวยอะไรอย่างนี้ สวยแบบเกาหลี ตามแฟชั่น ดูกี่คนๆ ก็เหมือนกันหมดเลย กลายเป็นหน้าโหล พอหน้าโหล คราวนี้ไม่มีความสุขอีกแล้ว ต้องไปผ่าเพิ่มให้มันไม่เหมือนคนอื่นอีกหน่อย ทำไมต้องการเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเอง ทำแล้วจิตใจมีความสุข ยอมเจ็บตัวเพื่อให้จิตใจมีความสุข ยอมเสียเงินเพื่อให้จิตใจมีความสุข

ฉะนั้นถ้าเราไปสังเกตให้ดี ความอยากทั้งหลายแหล่ ย่อๆ ลงมาคืออยากให้กายให้ใจเป็นสุข อยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ มีเท่านั้นล่ะ อยากให้กายให้ใจมีความสุข ทำไมอยากแล้วมันต้องทุกข์ด้วย เพราะมันปฏิเสธความจริง กายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ ขันธ์ 5 นี้คือตัวทุกข์ รูปนามนี้คือตัวทุกข์ เราอยากให้มันไม่ทุกข์ก็คือเราปฏิเสธความจริง เมื่อปฏิเสธความจริงยอมรับความจริงไม่ได้ ใจมันถึงจะมีความทุกข์ขึ้นมา ถ้าเรายอมรับความจริงได้ ใจมันก็จะไม่ทุกข์หรอก

อย่างร่างกายมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เรายอมรับไม่ได้ อยากไม่แก่ อุตส่าห์ไปฉีดโบท็อกซ์ ฉีดจนหน้าแข็งเป็นปูนซีเมนต์ แล้วยังฉีดไม่เลิก บางคนฉีดจนหน้าบวม พิลึกพิลั่นไปเลย บางคน คล้ายๆ เป็นโรคติด ติดโบท็อกซ์ ไปฉีดมันอยู่นั่น ฉีดจนหน้าตาผิดมนุษย์มนาก็มี ยอมเจ็บตัว ยอมเสียเงินเพื่อจะได้สบายใจ เพื่อจะได้มีความสุขในใจแล้วไม่เห็นว่ากายนี้จริงๆ หาความสุขไม่ได้หรอก

กายนี้มีแต่ทุกข์ จิตใจนี้จะให้มันมีความสุขตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ ตาเห็นรูป ตากระทบรูป จิตก็กระเทือน หูได้ยินเสียง จิตก็กระเทือน จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด จิตก็กระเทือนขึ้นมา มันกระเทือนขึ้นกลางอกนี่ล่ะ กระทบทีไรกระเทือนทุกทีเลย สติปัญญาเราแหลมคม เราจะเห็นเลย มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย จิตนี้มีแต่ทุกข์ ตาเห็นรูป จิตก็กระเทือน มันก็ทุกข์แล้ว หูได้ยินเสียง จิตก็กระเทือนขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว ดูลงไปเรื่อยๆ ไม่เห็นมันจะมีตรงไหนดีเลย ไปเห็นของที่พอใจ จิตยังกระเทือนเลย ไม่ต้องนับว่าเห็นของที่ไม่พอใจหรอก

 

ทางเดียวที่จะล้างตัณหาออกจากใจได้

เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์ เรายอมรับความจริงไม่ได้ เราก็อยากให้มันไม่ทุกข์ อยากให้มันมีความสุขถาวร ความสุขถาวรไม่มีจริง ความสุขมันเป็นของที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป เช่นเดียวกับสภาวธรรมที่เป็นสังขารธรรมทั้งหลาย เหมือนๆ กันหมดล่ะ ฉะนั้นความอยากนำความทุกข์มาให้เพราะอะไร เกิดตัณหา เกิดความอยากขึ้นมาได้เพราะอะไร เพราะเราโง่ เราไม่เห็นความจริงของกายของใจนี้ เราไปอยากให้กายให้ใจเป็นสุข กายกับใจมันคือตัวทุกข์ ไปอยากให้มันสุข มันเป็นไปไม่ได้ เราอยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ นี่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกายกับใจมันคือตัวทุกข์

เพราะฉะนั้นการเห็นทุกข์ เห็นความจริงของกายของใจเรื่อยๆ ไป แล้วมันจะเห็นทุกข์ กายนี้คือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย จิตนี้ก็คือตัวทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ถ้าเห็นอย่างนี้ก็หายโง่ พอหายโง่ ความอยากมันจะไม่เกิดขึ้นอีก ทีนี้คนในโลกเขาเห็นเวลาความอยากเกิด มันมีความทุกข์ ก็พยายามสนองความอยากไปเรื่อยๆ ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อสนองความอยาก แต่พอสนองได้ความอยากใหม่ก็เกิดขึ้นมาอีกแล้ว แล้วสนองไปก็อยู่ได้ชั่วคราว เดี๋ยวก็มันก็เสื่อมสลายไปอีก ก็อยากขึ้นมาอีก

อย่างไม่มีบ้านของตัวเอง ไปเช่าบ้านอยู่ ก็อยากมีบ้านของตัวเอง ลำบากแทบแย่เลย ไปซื้อเงินผ่อน เป็นหนี้เป็นสิน อดออมมากมาย คิดว่ามีบ้านแล้วจะมีความสุข พอมีบ้านเป็นของตัวเองขึ้นมา ภาระมันก็ตามขึ้นมาทันทีเลย ต้องดูแล ต้องรักษา ขโมยมันจะมางัดไหม น้ำมันจะท่วมไหม มีอะไรก็ทุกข์เพราะอันนั้นทันที มีกายก็ทุกข์เพราะกาย มีจิตก็ทุกข์เพราะจิต มีบ้านก็ทุกข์เพราะบ้าน มีรถก็ทุกข์เพราะรถ

เรื่องน้ำท่วม มันคงท่วมไปเรื่อยๆ ล่ะ เพราะน้ำทะเลมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีๆ อย่างที่ลุ่มภาคกลางเรา เมื่อก่อนมันก็เป็นทะเลนั่นล่ะ พอน้ำแข็งมันเกิดขึ้นเยอะ น้ำทะเลมันลดลง เราก็มีที่ราบภาคกลางขึ้นมา ตอนนี้โลกมันร้อนใช่ไหม น้ำแข็งบนภูเขา ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ละลาย น้ำก็เพิ่ม ก็จะเอาที่ภาคกลางนี้คืน วัฏจักรของโลกก็เป็นอย่างนั้นล่ะ แต่ก็ไม่น่าตกใจกลัวอะไรนักหนา เนเธอร์แลนด์ก็ทำทะเลให้อยู่ได้ ก็ทำได้ถ้าจะทำ ไม่ต้องตกใจมากหรอก แต่ว่าถ้าน้ำมันท่วมบ้าน ก็อย่าตกใจ มีบ้านก็ทุกข์ ถ้ามันเป็นบ้านเช่าก็ทุกข์น้อยหน่อย ไม่ห่วงบ้าน ปาเก้ลอยก็ไม่เป็นไร ถ้าอะไรของเราๆ ทุกข์เยอะ

ดูลงไป มีกายก็ทุกข์เพราะกาย มีจิตใจก็ทุกข์เพราะจิตใจ มีสมบัติก็ทุกข์เพราะสมบัติ มีลูกมีเมียก็ทุกข์เพราะลูกเพราะเมีย มีตำแหน่งหน้าที่การงานก็ทุกข์ มีอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้นล่ะ ทำไมมันทุกข์ เพราะเราอยากให้มันดีตลอด อยากให้มันสุขตลอด เรายอมรับความจริงไม่ได้ การที่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คอยมาดูกายมาดูใจบ่อยๆ เพื่อให้จิตมันยอมรับความจริงของกายของใจได้ ถ้าจิตมันยอมรับความจริงได้ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา อะไรเกิดขึ้นกับกาย อะไรเกิดขึ้นกับใจ มันจะไม่ทุกข์หรอก เพราะตัณหามันไม่เกิด

ฉะนั้นเราพยายามเรียนรู้ความจริงของร่างกาย เรียนรู้ความจริงของจิตใจตัวเองบ่อยๆ นี่ล่ะเป็นทางเดียวที่จะล้างตัณหาออกจากใจได้ ถ้าล้างตัณหาออกไป ลดตัณหาก่อน ตัณหาเบาบาง ชีวิตเราก็โปร่ง เบา สบายขึ้น ถึงวันหนึ่งเราล้างตัณหาได้เด็ดขาด ทำลายความโง่ได้เด็ดขาด รู้ความจริงแจ่มแจ้งเลย รูปเป็นทุกข์ นามเป็นทุกข์ กายเป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์ โลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไร มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์มันก็แตกสลายไป ถ้าใจมันเห็นอย่างนี้ ใจมันจะหมดตัณหา ทุกวันนี้เราไม่ได้เห็น

อย่างเราเห็นร่างกาย เราก็เห็นร่างกายเราทุกข์บ้างสุขบ้าง สังเกตจิตใจตัวเอง จิตใจเราก็ทุกข์บ้างสุขบ้าง มันมีทางเลือก มีทุกข์บ้างสุขบ้าง เราก็ต้องดิ้นรน ต้องอยาก อยากมีความสุข อยากให้มันไม่มีความทุกข์ ความอยากเกิดแล้ว แต่ถ้าเราเห็นความจริง กายนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย จิตนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย มันจะเอือมระอา มันจะเบื่อหน่าย มันก็จะคลายความยึดถือแล้วมันก็หลุดพ้น แต่ถ้าเรายังเห็นว่ากายนี้มันทุกข์บ้างสุขบ้าง จิตนี้ทุกข์บ้างสุขบ้าง ชีวิตนี้ทุกข์บ้างสุขบ้าง ก็ทุกข์ต่อไปจนกว่าวันหนึ่งฉลาดขึ้นมา หายโง่ จะรู้เลยในโลกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป เห็นอย่างนี้ตัณหาจะไม่เกิดอีกแล้ว

 

 

วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ก็พอแล้ว สรุปก็คือสังเกตใจตัวเองไว้ เวลาความอยากใดๆ เกิดขึ้น ดูไปสิ ทุกข์จริงหรือไม่จริง ง่ายๆ เวลาใจเราอยากอะไรขึ้นมา อยากกินข้าวอย่างนี้ อยากกินข้าวเพราะอะไร ร่างกายมันหิว ไม่เป็นไร เป็นธรรมชาติ ก็ต้องบำบัดทุกขเวทนา ร่างกายนี้ก็ต้องดูแลมันตามหน้าที่ ร่างกายนี้เป็นของที่เรายืมเขามาใช้ ยืมโลกมาใช้ ของที่เรายืมเขามาใช้ เราก็ต้องดูแลรักษาเท่าที่ทำได้

ร่างกายมันหิว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ร่างกายอยากกินพิซซ่าไหม ร่างกายไม่ได้อยากกินพิซซ่า ไม่ได้อยากกินสเต๊ก ไม่ได้อยากกินไข่ปลาคาเวียร์ ร่างกายไม่ได้อยากกินหูฉลาม นั่นจิตต่างหากอยาก ร่างกายต้องการอาหารเท่านั้นเอง ฉะนั้นดูให้ดีว่าที่เราอยาก ใจมันอยากหรือเปล่า หรือว่าเป็นความต้องการทางร่างกาย ความต้องการทางร่างกายก็บำบัดมัน ดูแลรักษาร่างกายไป มีหน้าที่รักษามันเพื่อเอาไว้สร้างคุณงามความดีต่อไป ไม่มีร่างกายแล้วสร้างความดียาก

อย่างพวกเทวดาอยากจะทำทาน อยากจะใส่บาตร ทำอย่างไร ไม่มีวัตถุจะใส่บาตร ลำบาก ถ้าพวกเราทำได้ มันมีร่างกาย ฉะนั้นเรามีร่างกาย ถึงมันจะทุกข์แต่มันก็สามารถใช้ร่างกายสร้างความดีได้ แต่เราคอยดูไป ถ้าใจมันอยากขึ้นมา ใจมันทุกข์ คอยรู้ไปเรื่อยๆ มันอยากได้รูป ได้เสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ไม่มีอะไร แล้วอยากได้เรื่องราวทางใจที่สนุกสนาน อย่างบางคนแก่มาก นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียง ลุกไม่ขึ้น จมอึจมฉี่อยู่ คิดถึงสมัยเป็นหนุ่มเป็นสาวมีความสุข เพ้อๆ ฝันๆ มารู้สึกกับความจริง มีแต่ทุกข์

ไปดูเอาว่าความอยากเกิดขึ้น แล้วความทุกข์เกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง ไปดูเอา อันนี้ง่ายๆ ถ้าลึกลงไปก็ดูว่าทำไมมันอยาก มันอยากเพราะว่ามันไม่เข้าใจความจริงของกายของใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ไม่เป็นไร ขั้นนั้น ขั้นปล่อยวาง ของเราตอนนี้ให้แค่เห็นว่าอยากเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น ดูแค่นี้ก่อน ข้ามขั้นมันทำไม่ไหว

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
11 กันยายน 2565