ทุกขาปฏิปทา

ธรรมะเรียนแล้วต้องปฏิบัติ ต้องลงมือทำถึงจะได้ผล เรียนอย่างเดียวไม่ได้ผล สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าสอนกรรมฐานให้ แล้วก็ให้พระปลีกตัวออกไปปฏิบัติ ถึงเวลาสมควรก็กลับเข้ามาส่งการบ้าน ไม่คลุกคลีกัน ของเรารุ่นหลังๆ มันไม่มีที่ที่จะปลีกตัวปฏิบัติตามลำพัง ก็ต้องเอาที่บ้าน อยู่บ้านแล้วภาวนาให้ได้ ยุ่งกับโลกข้างนอกน้อยๆ เท่าที่จำเป็น ช่วงหลังมามันก็มีคอร์สมีอะไร อบรมเป็นทีม เป็นกลุ่ม พวกลูกศิษย์หลวงพ่อก็ทำกันเหมือนกัน คอร์ส

ในทัศนะหลวงพ่อ คอร์สมันมี 2 กลุ่ม กลุ่มของคนใหม่ อันนี้ฟังให้มาก ปฏิบัติพอสมควร ฟังให้เยอะหน่อย ฟังบรรยายให้รู้หลักของการปฏิบัติ แล้วลองทดลองดูนิดๆ หน่อยๆ ก่อน ถ้าเป็นคอร์สสำหรับคนที่เคยปฏิบัติแล้ว ก็ปฏิบัติให้มาก ฟังให้น้อย พอเราบางทีอยู่คนเดียว เราท้อแท้ไม่อยากปฏิบัติ มีกลุ่มมาปฏิบัติก็จะขยันมากขึ้นหน่อย อันนี้ 2 กลุ่มแรก พวกที่ไม่รู้เรื่องเลย จะฟังเทศน์ ฟังธรรมครูบาอาจารย์ ฟังแล้วฟังอีก อย่างดูยูทูปหลวงพ่อเยอะๆ เดี๋ยวมันก็ภาวนาเป็น

คนที่ดูยูทูปหลวงพ่อแล้วภาวนาได้ถมเถไป บางคนส่งการบ้าน โอ้โห มันระดับผู้ช่วยสอนเลย คนต่างจังหวัด เก่ง อาศัยแค่ดูยูทูป ที่พวกเราช่วยกันทำนี่ล่ะ คนที่เข้ามาใหม่ๆ ยังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องฟังให้เยอะ จะฟังหลวงพ่อเทศน์ หรือว่าจะไปรวมกลุ่มกันฟังผู้ช่วยสอน แต่ขั้นแรกต้องไปเรียนหลัก ของการปฏิบัติให้ได้ก่อน ไม่ใช่ไปลงมือปฏิบัติ ส่วนใหญ่ที่หลวงพ่อเคยเห็นมา แล้วมันทำไม่สำเร็จ คืออยู่ๆ ก็ลงมือปฏิบัติเลย ยังไม่ได้รู้หลักของการปฏิบัติจริง ก็มั่วๆ ไปเรื่อย นานๆ ไปก็เบื่อ เลิก

เรารู้หลักของการปฏิบัติให้แม่นก่อน แล้วถึงจะลงมือปฏิบัติ ฟังให้รู้เรื่องก่อน การปฏิบัติธรรมนั้น จุดหมายปลายทางก็คือความพ้นทุกข์ ความดับสนิทแห่งทุกข์ มุ่งไปที่ความดับทุกข์ ไม่ใช่มุ่งที่ความสุข ความสงบ ความดีใดๆ ทั้งสิ้น ต้องรู้จุดมุ่งหมายก่อน คือจะทำอะไรแล้วไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันก็เคว้งคว้างสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง เราชาวพุทธ เราปฏิบัติเพื่อความดับสนิทแห่งทุกข์ นั่นจุดหมายปลายทางเลย ก่อนจะถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ ก็ต้องถึงความพ้นทุกข์ก่อน ตรงที่พ้นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ ตรงนี้ก็ต้องเรียน

 

ทุกข์

สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ไม่ใช่ความทุกข์ในโลกที่คนทั่วๆ ไปรู้จัก นั่นมันก็ทุกข์ชนิดหนึ่งเท่านั้น ความทุกข์ที่สำคัญที่สุด ก็ทุกขสัจ ทุกขสัจจะ คือขันธ์ 5 นั่นล่ะคือตัวทุกข์ กายใจนี้คือตัวทุกข์ เราจะเรียนเพื่อพ้นทุกข์ ก็คือพ้นจากความยึดมั่นในกายในใจนี้ อันนี้เรียกว่าพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นแล้ว แต่กายนี้ใจนี้ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ตามธรรมชาติของมัน แต่จิตเราที่ฝึกดีแล้ว มันพ้นทุกข์ มันไม่ทุกข์ไปกับกายกับใจ มันเห็นเหมือนคนอื่นทุกข์ เราไม่ได้ทุกข์ด้วย

แล้วภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง ตรงที่ขันธ์มันแตก ขันธ์มันดับ กายนี้ใจนี้มันแตกสลายไป ตัวนั้นเข้าถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ เพราะทุกข์คือขันธ์ 5 แล้วขันธ์ 5 มันดับไป ก็พ้นทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์ตรงที่ไม่ยึดถือมันก็พ้นทุกข์ ตรงที่ขันธ์มันแตกขันธ์มันดับ ตรงนั้นล่ะเราดับทุกข์ ดับทุกข์แล้วมันดีอย่างไร ทำไมเราไม่หาความสุข ทำไมเราจะมุ่งมาที่ดับทุกข์ ความสุขในโลกไม่ใช่ของยั่งยืน พวกเราลองนึกถึง ในชีวิตเราที่ผ่านมา แต่ละคนก็เคยเจอความสุขมาพอสมควร บางคนก็เจอมาก บางคนก็เจอน้อย แต่ไม่ว่าความสุขในชีวิตเรา จะวิเศษวิโสแค่ไหน สุดท้ายมันก็ผ่านไป มันไม่ยั่งยืน เราจะไปเอาของที่ไม่ยั่งยืน มาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ เหมือนที่พระอรหันต์เก่าๆ ท่านก็สอน รูปนามทั้งหลายมันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข เป็นทุกข์ ของเป็นทุกข์ ของที่มันไม่เที่ยง ของที่มันเป็นทุกข์ ควรจะยึดถือไหม ไม่ควรยึดถือ

ฉะนั้นเราลงมือปฏิบัติ เรียนรู้ลงที่กายที่ใจ จนกระทั่งเห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่น่ายึดถือ เบื้องต้นจะเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก ร่างกายเป็นแค่วัตถุธาตุ เป็นสมบัติของโลก นามธรรม ความรู้สึกทั้งหลาย เป็นของที่เกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เหมือนฝันอยู่ เราจะไปยึดความฝันอยู่ ก็ดูไร้เดียงสาเกินไป มีความสุขมันก็เหมือนเราฝันว่ามีความสุข มีความทุกข์ก็เหมือนฝันว่ามีความทุกข์ สมหวังก็ฝันเหมือนความฝันว่ากำลังสมหวัง ผิดหวังก็เหมือนฝันว่าผิดหวัง

ฉะนั้นชีวิตมันก็เหมือนความฝันเท่านั้นเอง คนอ่อนหัดเขาหวังว่าจะฝันดี ก่อนนอนก็อวยพรกันให้ฝันดี ให้กำลังใจ สุดท้ายมันก็ฝันดีบ้างร้ายบ้าง ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ถึงปีใหม่ทีหนึ่ง ถึงวันเกิดทีหนึ่ง ก็อวยพรกันขอให้มีความสุข แล้วเวลาจริงๆ ก็คือสุขบ้างทุกข์บ้าง มันเหมือนความฝันเท่านั้น ชีวิต เราเรียนรู้ลงไปเรื่อยๆๆ ใจมันจะค่อยคลายความยึดถือ จะยึดถือความฝันก็บ้าแล้ว ไปยึดมันทำไม หรือจะมายึดร่างกายนี้ยึดได้จริงไหม สั่งไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้เจ็บก็ไม่ได้ สั่งไม่ให้ตายก็ไม่ได้

อย่างหลวงพ่อ 2 ปีนี้ เห็นชัดถึงความแก่ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื้อหนังเริ่มเหี่ยว การเคลื่อนไหวการอะไรมันทำได้ช้าลง นี่ความแก่ ในโลกเขาเห็นว่าความแก่เป็นตัวทุกข์ มันก็ทุกข์นั่นล่ะ แต่จิตที่ฝึกดีมันไม่เข้าไปยึดในร่างกาย ร่างกายแก่ไม่ใช่เราแก่ ร่างกายเจ็บไม่ใช่เราเจ็บ ร่างกายตายไม่ใช่เราตาย มันเป็นแค่ธรรมดา ธรรมชาติของโลก วัตถุธาตุในโลก หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วัตถุธาตุบางกลุ่มมันรวมกัน รวมเป็นร่างกายเรานี้ ด้วยกำลังของกรรม

ชนกกรรมจัดสรร เราเลยได้ร่างกายอย่างนี้มา มีกรรมพันธุ์ ซึ่งกรรมเป็นตัวกำหนด เช่น เรามียีนจากบรรพบุรุษเรา พออายุเท่านี้จะต้องเป็นมะเร็ง มันถูกกรรมมันกำหนดไว้ มันไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา เป็นของเราที่แท้จริง เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ตาย พอตายไปร่างกายนี้ ที่เรารักเราหวงแหน มันเป็นสมบัติของโลก คนอื่นสัตว์อื่นก็เอาไปใช้ได้ อย่างเราตายไป เอาไปฝังไว้ ต้นไม้ก็ไปกิน ดูดสารเคมีต่างๆ จากซากศพ ก็กลายเป็นลูกมะม่วง คนก็มากิน สัตว์ก็มากิน

ร่างกายเราส่วนหนึ่ง ก็ไปอยู่ในคนอื่นแล้ว ไปอยู่ในสัตว์อื่นแล้ว หรือไปอยู่ในต้นไม้แล้ว ที่เรากินอาหารเข้าไปส่วนใหญ่ก็กินศพ กินศพเพราะว่า ธาตุนี้มันธาตุโบร่ำโบราณ คนอื่นเขาก็เคยใช้มาแล้ว ลมหายใจของเรา คนอื่นเขาก็เคยอาศัย หายใจมาก่อนเราแล้ว หายใจซ้ำๆๆ กันอยู่อย่างนั้น เราภาวนา เราจะเห็นความไม่มีสาระแก่นสารของร่างกาย ของจิตใจ จิตใจมันก็เหมือนความฝัน ร่างกายมันก็แค่วัตถุ แล้วก็ผลัดกันใช้ เปลี่ยนกันใช้

ด้วยการที่เราเรียนรู้ความจริงของกายของใจนี้ เรียกว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เป็นธาตุที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ร่างกายนี้ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ด้วยกำลังของชนกกรรม กำลังถูกบีบคั้นให้แตกสลายไป ตัวนี้เรียกว่าทุกขตา สิ่งที่ไม่มีแล้วก็ สิ่งที่มีแล้วมันไม่มี เรียกว่าอนิจจตา สิ่งที่มีอยู่นี้กำลังถูกบีบคั้นให้แตกสลาย นี้เรียกว่าทุกขตา สิ่งทั้งหลายจะมีหรือจะไม่มี หรือจะแตกดับ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตามที่ใครสั่ง

 

เรียนรู้ความจริงของกายของใจ เรียกว่ารู้ทุกข์

เราจะมาเรียนรู้ความจริงของกายของใจ เรียกว่ารู้ทุกข์ ถ้าเรารู้กายรู้ใจแจ่มแจ้ง เรียกรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ถ้าเรารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง คือรู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่น่ายึดถือ เพราะเห็นตามความเป็นจริงก็จะเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจะคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ความเกิดไม่มีอีกแล้ว กิจที่ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ไม่มีอีกแล้ว จะรู้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นเราต้องรู้ เราจะภาวนา ก่อนอื่นเราต้องรู้เป้าหมายก่อน เป้าหมายของเราจะต้องพ้นทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ก็คือกายกับใจนี้

ถ้าเราเข้าไปหยิบฉวย ไปยึดถือ ความทุกข์นั้นก็เข้ามาถึงจิตใจของเรา ถ้าเราไม่ยึดถือ ขันธ์มันก็เป็นทุกข์โดยตัวของขันธ์ แต่มันไม่เกี่ยวกับเรา ตรงนั้นเรียกว่าพ้นทุกข์ แล้ววันที่ มันหมดวิบาก ชนกกรรมนั้นหมดกำลัง แตกดับแล้ว เกิดอุปตฆาตกรรม ร่างกายนี้ก็แตกสลายไป ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย มันอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอารมณ์ ก็ไม่มีกายจะกระทบอารมณ์ต่อไป อาศัยจิตที่ยังมีสัญญา มีสังขารปรุงอยู่ แล้วก็เป็นการปฏิบัติที่พ้นจากร่างกาย เข้าสู่ภูมิที่ละเอียด ภูมิของพรหม ไม่ได้มีกายแบบพวกเราแล้ว ต่อไปก็วางจิตได้ ก็พ้นจากขันธ์เด็ดขาด

ตรงที่คำว่าพ้นทุกข์ๆ จะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องบรรลุพระนิพพาน ชนิดที่เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ยังมีขันธ์เหลืออยู่ วันที่ขันธ์แตกดับไป ก็เรียกอนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ไม่มีขันธ์เหลือ นิพพานเลยมี 2 ตัว ในขณะที่บรรลุพระอรหันต์นั่นล่ะ เข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพาน ในขณะที่ปรินิพพาน ธาตุขันธ์แตกดับ เข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน พระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ก็ได้สอุปาทิเสสนิพพาน ตอนปรินิพพานก็ได้อนุปาทิเสสนิพพาน

ถ้าพวกเราเดินไปตรงนี้ คนซึ่งยึดถือในกายในใจรุนแรง คิดว่าต้องมีตัวเรา ต้องมีตัวเรา เรียกว่าอินทรีย์ยังอ่อนมาก ปฏิบัติอะไรก็ต้องมีตัวเราไว้ก่อน จะปฏิบัติให้ไม่มีตัวเรา ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นธรรมะก็เลยมีขั้นมีตอน เบื้องต้นก็ธรรมะของคนที่ยังมีตัวมีตนอยู่ เรียกว่าโลกียธรรม ทำอย่างไรจะอยู่กับโลกแล้วทุกข์น้อยหน่อย แล้วก็ไม่ขัดขวางพัฒนาการทางจิต อย่างเราอยู่กับโลก เราต้องมีศีล 5 อะไรอย่างนี้ เราต้องรู้จักทำทาน รู้จักรักษาสัจจะ รู้จักอดทน รู้จักข่มใจ ธรรมะพื้นๆ พวกนี้ ต้องฝึก แล้วในขั้นภาวนาจะแตกหัก ธรรมะพวกนี้แก่กล้า ก็จะช่วยเราได้

อย่างเวลาจะแตกหัก พระพุทธเจ้าท่านก็ลงไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ ท่านตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่บรรลุพระอรหันต์ ท่านจะนั่งไม่เลิก ตายก็ตายไปเลย ยอม แล้วท่านก็นั่งไม่เลิกจริงๆ อันนั้นท่านก็มีอธิษฐานบารมี อย่างบารมีตายเป็นตาย ยอม มีขันติ อดทนต่อความเจ็บปวดทางร่างกาย ร่างกายท่านก็เหมือนร่างกายเรา นั่งนานๆ ก็ปวด เพราะฉะนั้นร่างกายท่าน ไม่ใช่ร่างกายวิเศษ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ใช่ ท่านก็รู้จักเจ็บ รู้จักแก่ รู้จักเจ็บ รู้จักตาย เหมือนเราเหมือนกัน ร่างกายท่าน เพราะฉะนั้นการที่ท่านตั้งใจนั่ง ต้องอดทน อดทน มีขันติ อดทน

เวลามารผจญ จิตใจกระเพื่อมหวั่นไหว ก็มีทมะ ข่มใจสู้ ไม่ถอย แล้วก็เจริญปัญญาบารมีไป ดูกระบวนการทำงาน ความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ความดับทุกข์มันเป็นไปได้อย่างไร อันนี้เป็นส่วนของปัญญา ฉะนั้นท่านไม่ได้นั่งเฉยๆ ในขณะที่นั่งนั้น อาศัยบารมี 10 ประการของท่านเต็มสมบูรณ์แล้ว อย่างตอนท่านเป็นพระเวสสันดร ท่านก็ตั้งใจเลย ถ้าใครมาขอดวงตาท่าน ท่านจะควักให้ มาขอหัวใจท่าน ท่านผ่าให้ ตายก็ตาย กล้าสละชีวิตเพื่อธรรมะ บารมีเต็มแล้ว ทั้ง 10 ตัวมันจะลงที่ว่า ยอม ยอมตายเพื่อธรรมะได้ ยอมตายเพื่อธรรมะ เช่น ตั้งใจจะภาวนาสู้ตายแล้ว ตายก็ตาย ข่มตัวเอง ไม่ยอมตามใจกิเลสอีกต่อไป บารมีที่เต็มถึงขั้นที่ว่าตายก็ตาย เป็นปรมัตถบารมี อันนี้ล่ะที่จะพาเราข้ามวัฏฏะได้

อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ก็สร้างบารมีธรรมดาไปก่อน เล็กๆ น้อยๆ มีเงินมาก มีเสื้อผ้ามาก มีอาหารมาก ก็เอื้อเฟื้อให้ผู้อื่น ให้สัตว์อื่นบ้าง กล้าๆ เสียสละมากขึ้นๆ อย่างกล้าสละเลือด บริจาคโลหิตได้บุญเยอะกว่าบริจาคเงิน บริจาคเงินมันเป็นทานธรรมดา บริจาคโลหิต บริจาคหัวใจ บริจาคดวงตา เป็นทานระดับอุปบารมี ถ้ากล้าสละชีวิตเป็นทานละก็ นั่นเป็นปรมัตถบารมี เราไม่ต้องรีบถึงปรมัตถบารมีหรอก เดี๋ยวสติแตก สู้ไม่ไหว ก็สร้างบารมีของเรา สะสมของเราไป ถ้าเราไม่ลงมือฝึกตัวเอง พัฒนาตัวเอง กี่ภพกี่ชาติมันก็เอาดีไม่ได้

เมื่อช่วง 2 – 3 อาทิตย์นี้ ที่หลวงพ่อปรารภบอกว่า หลวงพ่อจะอุเบกขาแล้ว สอนให้แล้ว ใครทำก็ทำไป ใครไม่ทำก็แล้วแต่เวรแต่กรรม หลวงพ่อปล่อยแล้ว แบกต่อไปไม่ไหว ก็มีหลายคน จิตใจมันสะเทือนขึ้นมา จากที่เคยประมาท โอ๊ย หลวงพ่อจะสอนได้ตลอด เริ่มประมาท ก็ไม่กล้าประมาทต่อไป เคยมียกตัวอย่างให้ฟัง ผู้หญิงคนหนึ่ง ชอบของสวยของงาม ชอบสนุกสนานเฮฮา ชอบความสุข ติดแต่ความสุข ชอบรวมกลุ่มทำกิจกรรมสนุกเพลิดเพลิน

ก่อนหน้านี้หลวงพ่อก็เคยเตือนบอกว่า “อย่างนี้มันภาวนาไม่ได้หรอก มันหนีทุกข์” ที่เล่นสนุกไปวันๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เหตุผลที่ลึกๆ เลยคือหนีทุกข์ หนีความจริง ไม่กล้ารู้กาย ไม่กล้ารู้ใจ เพราะมันทุกข์ มันรัก มันหวงแหนกายนี้ใจนี้มาก ก็เลยหนี วิธีหนีทุกข์ก็คือ ทำกิจกรรมอะไรไปเรื่อยๆ มีงานโน้นงานนี้ ทุกวันมีกิจกรรมหมดเลย หลวงพ่อก็เตือนครั้งที่ 1 ว่า “นี้หนีทุกข์นะ ให้ปลีกตัวออกปฏิบัติได้แล้ว ฟังวิธีปฏิบัติมาเยอะแล้ว ให้ไปทำเอา” ก็ยังลังเลเพราะเสียดายอยู่ เตือนครั้งที่ 2 ก็ยังลังเลอยู่ หลวงพ่อก็เลยบอกว่า หลวงพ่อจะอุเบกขาแล้ว คราวนี้เลยสะเทือนแล้ว งดกิจกรรมทั้งหมดเลย อยู่บ้าน

ก็มาเล่าให้หลวงพ่อฟังเมื่อวาน โอ๊ย นั่งสมาธิครั้งละ 3 ชั่วโมง เดินจงกรมอีก มันมีแต่ทุกข์ ร่างกายนี้ โอ๊ย มันทุกข์ มันจะตายแล้ว จะร้องห่มร้องไห้ จะคลุ้มคลั่ง ทำอย่างไรดี มาถามหลวงพ่อ หวังว่าหลวงพ่อจะบอกให้สักว่ารู้ว่าเห็นชิลๆ เปล่า หลวงพ่อไม่บอกอย่างนั้น เพราะคนนี้เป็นพวกรักสวยรักงาม แล้วกิเลสเรื่องรักสวยรักงาม รักสุขรักสบายรุนแรง คือราคะรุนแรง ไม่ใช่กามราคะหรอก ราคะรักสุขรักสบาย รักสวยรักงามนี้แรง กิเลสแรง การปฏิบัติที่เหมาะคือทุกขาปฏิปทา จะมาทำสบาย ทำเพลินๆ แป๊บๆ อะไรอย่างนี้ ไม่มีทางสำเร็จหรอก เพราะจิตใจมันจะวิ่งไปหาความสุขตลอดเวลา มันก็พาร่างกายตะลอนๆ ไปด้วย ถ้าจริตนิสัยอย่างนี้ต้องทุกข์

หลวงพ่อก็เล่าให้ฟัง เมื่อก่อนหลวงพ่อก็มีลูกศิษย์คนหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่บวชหรอก ทำงานอยู่ทีโอที มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียนกับหลวงพ่อ แกต้องเดินจงกรม แกถึงจะมีสติ แล้วนิสัยแกมันต้องทุกขาปฏิปทา สบายไม่ได้ เพลิน บอกให้เดินจงกรมไป เขาก็เดิน เดินทุกวันๆๆ เดินจนขาบวม ใส่รองเท้า มาทำงานต้องใส่รองเท้าแตะ อยู่บ้านก็ขึ้นชั้น 2 ไม่ได้แล้ว ขามันบวมมากเลย ก็มาโอดครวญกับหลวงพ่อว่า โอ้ ขาเจ็บมากเลยจะทำอย่างไร อ๋อ ไม่ต้องทำอะไรหรอก เดินต่อไป เดิน แกก็เดิน เดินไปเดินมาแล้วก็หมดแรงแล้ว ไม่เดินแล้ว แอบนั่งดีกว่า วันนี้แอบนั่ง หลวงพ่อก็โทรศัพท์ไปบ้านแก ไปเดินได้แล้ว แกเดิน เดินๆๆ จนเห็นเลย ขันธ์ไม่ใช่เรา กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา เราไม่มี

 

ภาวนาอย่ากลัวทุกข์

พวกทุกขาปฏิปทา มันต้องอดทน ผู้หญิงนี้แกบอกแกทนไม่ไหวแล้ว จะใช้วิธีแยกขันธ์ กายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง ก็แยกไม่ไหว จิตใจมันเร่าร้อนกระสับกระส่าย สมาธิเสียไปหมดแล้ว การจะดูกายให้ผ่าน ดูเวทนาให้ผ่าน ต้องใช้กำลังของสมาธิ สมาธิไม่มีแล้ว แตกหมดแล้ว เพราะว่ามันทุกข์ ทุกข์เลย ทำอย่างไรดี ขอเลิกปฏิบัติชั่วคราวได้ไหม ขอลดหย่อนได้ไหม บอกไม่ได้ ให้เปลี่ยนวิธีดูใหม่ ให้ดูไป ร่างกายมันเจ็บใช่ไหม นั่งนานๆ หลายๆ ชั่วโมง ร่างกายมันเจ็บ จิตมันเจ็บไหม จิตไม่ได้เจ็บ ร่างกายเป็นคนเจ็บ ร่างกายบ่นไหม ร่างกายไม่เคยบ่น ใครบ่น จิตบ่น บอกไปดูตัวนี้ล่ะ ร่างกายมันเจ็บ จิตไม่ได้เจ็บ ร่างกายไม่ได้โวยวาย จิตมันโวยวาย ไปดูตัวนี้

วันนี้เห็น เมื่อเช้านี้เจอ มาส่งการบ้าน พอไปนั่งแล้วก็เห็น เออ กายมันเจ็บจริงๆ จิตมันทุรนทุรายจริงๆ จิตรวม บอกรู้สึกนั่งแป๊บเดียว ผ่านไป 2 ชั่วโมง ไม่เคยทำได้เลย ทำไมทำได้ เพราะที่ผ่านมาตั้งเป้าผิด ตั้งเป้าว่าจะนั่งสมาธิให้มันหายปวด ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิ ท่านก็ปวดไม่ใช่ไม่ปวด มีคนไปถามหลวงปู่หา รู้จักไหม หลวงปู่หา หลวงปู่ไดโนเสาร์ องค์นี้เก่ง หลวงพ่อเคยได้กราบท่านครั้งหนึ่ง ท่านนอน เรานั่ง ไม่เล่า ท่านดีจริงๆ คนไปถามท่านว่า “หลวงปู่นั่งสมาธินานๆ ปวดไหม เมื่อยไหม” ท่านบอก “ร่างกายคนก็เป็นอย่างนั้น แต่จิตท่านไม่เข้าไปยึดถือ”

ของพวกเราจิตมันยึด มันก็เลยโวยวาย นั่งไปแล้วร่างกายมันเจ็บขึ้นมาอีก มันก็เลยโวยวาย จิตโวยวาย ร่างกายไม่โวยวาย เลยบอกเขา เราไม่ได้นั่งให้หายทุกข์ ทุกข์ให้รู้ ไม่ใช่ให้ละ สิ่งที่ละคือตัณหา ตัณหาไม่ได้เกิดที่ร่างกายเลย ตัณหาเกิดที่จิต จิตมันโอดครวญ คร่ำครวญ มันอยากจะเลิกแล้ว มันอยากจะนอนแล้ว มันอยากจะเดินแล้ว จิตมันมีตัณหาตัวนี้ ให้ดู ไม่ใช่ให้ละทุกข์ ร่างกายมันทุกข์ แต่จิตมันมีตัณหา เขาเห็นอย่างนี้ แต่หลวงพ่อไม่ได้สอนด้วยประโยคอย่างนี้หรอก

หลวงพ่อใช้ประโยคที่เขาจะเข้าใจก็คือ “เรานั่งสมาธิกายมันเจ็บ กายไม่บ่น จิตไม่เจ็บ แต่จิตบ่น ไปดูตัวนี้” เขาก็เลยเห็น โอ๊ย กายมันก็ตัวทุกข์ แต่จิตมันเป็นตัวมีตัณหาเกิดขึ้น แล้วมันเลยทุรนทุรายไปด้วย เลยบอกเขา เวลาที่เราทำสมาธิ มันเจ็บมาก ปวดมาก ไม่เฉพาะทำสมาธิ อย่างเวลาเราไม่สบาย ร่างกายไม่สบาย 10 เปอร์เซนต์ ปวด 10 เปอร์เซนต์ แต่ใจมันไปขยายความเจ็บปวดออกไปเป็น 100 เปอร์เซนต์ ถ้าใจมันไม่เข้าไปขยายความทุกข์ของกาย ทุกข์ของกายก็เหลือไม่มาก

หลวงพ่อเคยให้คีโม แล้วตอนที่ให้คีโม ร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน แล้วก็เลยเป็นฝีที่ทวารหนัก ซึ่งจุดนี้เส้นประสาทเยอะ หมอเขาผ่าให้ ผ่า วางยาผ่า แล้วพอตื่นมาหมอก็บอกว่า หมอสั่งมอร์ฟีนเตรียมไว้ให้แล้ว ถ้าหมดฤทธิ์ยาชา มันจะปวดมากเลย เพราะตรงนี้เส้นประสาทเยอะ จะต้องให้มอร์ฟีน หลวงพ่อก็รับทราบมีมอร์ฟีน พอเขาเข็นออกจากห้องผ่าตัดมา มาถึงห้องพัก พยาบาลก็มาถาม “หลวงพ่อจะรับมอร์ฟีนหรือยัง” “ยังๆ ยังไม่ปวด” จนเวียนมาถามเรื่อยๆ ผ่าตั้งแต่กลางวัน จนกระทั่ง 2 ทุ่มยังมาถามอยู่เลย “หลวงพ่อจะเอามอร์ฟีนหรือยัง ปวดหรือยัง” “ยัง ไม่ปวด”

สุดท้ายหลวงพ่ออยากนอนแล้ว ก็เลยบอก “เอาพาราฯ เม็ดหนึ่งก็แล้วกัน” ถ้าไม่เอาอะไรเลย ก็มาถามอยู่นั่นล่ะ เราไม่ได้นอน ทำไมมันเจ็บน้อย ไม่ใช่วิเศษวิโส กายมันเจ็บ แต่จิตนั้นมันชอบเข้าไปขยายความเจ็บปวด ถ้าจิตไม่เข้าไปขยายความเจ็บปวด ความเจ็บปวดทางกาย มันก็ไม่มากเท่าไรหรอก มันพอทนได้ ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องฝึกกัน ค่อยๆ ฝึกเอา ภาวนาอย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก อดทนเอา แต่ว่าดูตัวเอง ถ้ากิเลสของเราเป็นพวกกิเลสเบาบาง ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติโหดๆ

ถ้าพวกกิเลสหนา ราคะแรง โทสะแรง หรือโมหะแรง พวกนี้ต้องทุกขาปฏิปทา อดนอน ผ่อนอาหาร นั่งสมาธิ เดินจงกรม ให้ห้าวหาญ สู้ตาย ถ้ารอดมาก็จะได้ดี แต่บอกให้อย่างหนึ่ง ไม่เคยมีใครนั่งสมาธิแล้วตายหรอก ไม่เคยมีใครปฏิบัติแล้วตายหรอก มีแต่ปฏิบัติแล้วซุ่มซ่ามไปเหยียบงู งูกัดตายอะไรอย่างนี้พอมี หรือไม่ระวัง ช้างแทงตาย อันนี้มี แต่พวกเราอยู่ในบ้านในเมือง มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว

เพราะฉะนั้นอ่อนแอไม่ได้ ดูตัวเองเลย ถ้าเป็นคนที่กิเลสรุนแรง อดทนไว้ ขยันนั่งสมาธิ ขยันเดินจงกรม นั่งสมาธิก็สังเกตกาย สังเกตใจไว้ อย่างผู้หญิง นั่งสมาธิแล้วสังเกตไป เออ ร่างกายมันเป็นตัวเจ็บ แต่ร่างกายมันไม่บ่น ตัวที่บ่นคือจิต จิตมันไม่ยอมรับว่ากายนี้เป็นตัวทุกข์ จิตมันเลยทุรนทุราย พอรู้ทันจิต จิตมันก็เป็นกลาง พอจิตมันเป็นกลาง จิตไม่มีความทุกข์ จิตก็รวมเข้าสมาธิเลย วูบเดียว 2 ชั่วโมง ไม่แปลก บางทีเข้าทีเดียวยันสว่างก็มี คือถ้าจิตใจเราสบาย นั่งสมาธิแป๊บเดียวก็สงบแล้ว

ถ้าจิตใจเรากระสับกระส่าย โอ๊ย ไม่ชอบเลย ปวดอย่างนี้ มันไปนั่งได้อย่างไร เมื่อไรจะหาย นั่งสมาธิพอขาปวด ไม่ใช่นั่งเพื่อให้ขาหายปวด แต่นั่งเพื่อให้ใจยอมรับ ใจเป็นกลาง ร่างกายมันปวด ใจไม่ได้ปวดด้วย ใจก็เป็นกลาง สบาย พอใจเป็นกลาง สมาธิมันก็เกิด สมาธิเกิดบางทีก็พักผ่อนอยู่เฉยๆ บางทีก็เดินปัญญาต่อได้เลย ก็เห็นนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ปัญญามันเกิด บางทีก็ได้มรรคได้ผลไปเลย

 

อาศัยโยนิโสมนสิการให้มาก

เพราะฉะนั้นดูตัวเอง ขอแนะนำ ทุกคนไปสำรวจตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเอง บางคนกิเลสท่วมหัวเลย แล้วบอกว่าตัวเองไม่ค่อยมีกิเลส พวกนี้ดูตัวเองไม่ออก ว่ายากสอนยาก แล้วถ้าเตือนบอกว่า นี่มีกิเลสอยู่ โมโหอีก ถ้าโมโหก็คือไม่มีใครบอกแล้ว ไม่มีใครเตือนแล้ว เพราะฉะนั้นอย่างถ้าครูบาอาจารย์สะกิด ครูบาอาจารย์เตือนอะไร หัดสังเกตตัวเอง ทำไมท่านเตือน ครูบาอาจารย์ไม่ได้พูดเล่นๆ หรอก ฉะนั้นสังเกตตัวเองให้ดี ถ้ากิเลสรุนแรง ต้องเดินในสายทุกขาปฏิปทา ถ้ากิเลสเบาบาง ก็เดินสุขาปฏิปทาได้ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ดูอย่างนี้เลย ไม่ต้องมีอะไรที่วุ่นวาย ง่ายๆ ชิลๆ ประเภทนอนกระดิกเท้าอยู่ ก็บรรลุธรรมได้ แต่ว่าพวกเราทำไม่ได้หรอก พวกเราต้องอดทน ต้องฝึกพื้นฐานให้ดีก่อน

เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าคอร์ส ถ้าเป็นคอร์ส นี่บอกผู้ช่วยสอน พวกชอบจัดคอร์ส ไม่ใช่ผู้ช่วยสอนจัดคอร์ส มีทีมโน้นทีมนี้จัด แล้วก็ขอผู้ช่วยสอนไปสอน คือถ้ามันเป็นคนใหม่ ก็ต้องเรียนให้เยอะ ฟังให้เยอะ ปฏิบัติเล็กน้อย พอให้รู้แนวทางที่จะไปทำต่อ แต่ถ้ารู้วิธีปฏิบัติอยู่แล้ว ถ้ามาเข้าคอร์ส ปฏิบัติไปเลย วันหนึ่งอาจจะส่งการบ้านครั้งเดียวกับผู้ช่วยสอน แล้วไม่ใช่ทุกคนต้องส่งด้วย คนไหนรู้สึกว่าจำเป็นก็ส่ง คนไหนที่คิดว่าช่วยตัวเองได้ อย่าส่ง ไม่ต้องส่ง ไม่ใช่ทุกคนจะต้องส่งการบ้าน นั่นมันทารกเกินไปแล้ว ถ้ามีปัญหาถึงจะถาม หรือว่าแก้ปัญหาไม่ตกจริงๆ ถึงจะถาม

หลวงพ่อเรียนกับครูบาอาจารย์ตั้ง 30 – 40 องค์ หลวงพ่อเคยถามครูบาอาจารย์ 6 องค์ 6 องค์ทั้งหมด 7 ครั้ง ที่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์มาช่วย บางครั้งรู้ว่าผิด แต่ไม่รู้ว่าผิดอย่างไร ครูบาอาจารย์ก็บอกให้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาปฏิบัติมีปัญหาเกิดขึ้นทุกวัน เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ เกิดขึ้นในจิตใจเรา หลวงพ่อใช้โยนิโสมนสิการ ใช้การสังเกตเอา เอ๊ะ อย่างนี้มันถูกหลักไหม หรือมันผิดหลัก บางเรื่องก็สังเกตง่าย บางเรื่องก็สังเกตยาก

เรื่องที่สังเกตยากมีคราวหนึ่ง หลวงพ่อดูกิเลสนั้น แล้วดู สติแตะอย่างเบาๆ ถ้าแตะแรงนี้ขาดสะบั้นเลย แตะนิดๆ ระลึกๆ ตาม ปล่อยให้กิเลสมันทำงาน มันผุดขึ้นมาจากกลางอก แล้วมันก็เคลื่อนออกไปข้างหน้า ไปอยู่ข้างหน้าแล้วมันก็ดับ จิตมันเคลื่อนตามกิเลสออกไป แล้วมันไม่เห็นว่าจิตออกนอกแล้ว จิตมันก็เลยไปว่างสว่างอยู่ข้างนอก ไปติดแสงสว่าง ติดโอภาส ติดความว่างอยู่ข้างนอก โอ๊ย ตรงนี้ไม่มีกิเลส ตรงนี้มีแต่ความสุข ตรงนี้มันเที่ยง มันดี อยู่ได้นาน อยู่อย่างนั้น อยู่ พอลงมือปฏิบัติทีไร จิตก็เคลื่อนไปอยู่ตรงนี้ อยู่อย่างนั้นเป็นปีเลย

วันหนึ่งหลวงพ่อก็เฉลียวใจ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตดวงนี้เที่ยง เหมือนกันทุกวันเลย ท่านบอกว่าจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตดวงนี้มีแต่ความสุข ท่านว่าจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ เราผิดตรงไหนหนอ รู้แล้วว่าผิด แต่ยังดูไม่ออกว่าผิดตรงไหน พอดีเจอหลวงตามหาบัว ก็ไปถามท่าน ท่านก็บอกให้ว่า “ที่ว่าดูจิตนั้น ดูไม่ถึงจิตแล้ว ต้องเชื่อเรา ตรงนี้สำคัญ เราผ่านมาด้วยตัวเราเอง อะไรๆ ก็สู้บริกรรมไม่ได้” หลวงพ่อฟังแล้วก็รู้เลย อ๋อ สมาธิไม่พอ จิตไม่ตั้งมั่น ไม่ถึงฐาน

ท่านให้บริกรรมก็พุทโธๆๆ ไป พุทโธเฉยๆ ไม่ถูกจริต รำคาญ มานั่งท่องพุทโธแล้วรำคาญ หลวงพ่อก็ใช้กรรมฐานที่ตัวเองถนัด หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป หายใจไป 28 ครั้ง จิตก็รวมแล้ว พอจิตรวมพักพอสมควร จิตถอยออกมา อยากเขกหัวตัวเองเลย ตลอดเวลาร่วมปี จิตไปอยู่ข้างนอก จิตไปว่าง ไปสว่างอยู่ข้างนอก มองไม่เห็น มองไม่เห็น ไปต่อไม่ได้ ไม่เห็นไตรลักษณ์ เห็นแต่อัปลักษณ์ เห็นแต่เที่ยง สุข บังคับได้ อันนั้นอัปลักษณ์ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

เมื่อวันอาสาฬหบูชา มีเวลานิดหนึ่ง เลยเรียกผู้ช่วยสอนทั้งหมดมาคุย บอกผู้ช่วยสอนเองก็ยังต้องภาวนา ต้องปฏิบัติอีก ยังไม่พอหรอก ต้องทำอีก ทุกคนจิตยังออกนอกอยู่ สมาธิยังไม่พอ ยังไม่เต็ม ยังไม่ถึงฐาน ต้องภาวนาอีก ลูกศิษย์หลวงพ่อในวัดนี้ ก็มีแค่อาจารย์อ๊ากับคุณแม่ ที่จิตถึงฐานจริงๆ นอกนั้นก็ยังไม่ถึง จิตก็เข้ามาบ้างออกบ้าง เข้าบ้างออกบ้างอยู่อย่างนั้น เพราะสมาธิมันยังไม่พอ บอกว่าต้องฝึกอีก อย่าปล่อยให้จิตค้างอยู่ข้างนอก ถ้าจิตค้างอยู่ข้างนอก แล้วยิ่งออกรู้ออกเห็นอะไรต่ออะไรไป ยิ่งเสียเลย อย่าประมาท เพราะว่ายังเสียได้อยู่

มีตัวอย่างลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ ที่หลวงพ่อเห็น มี ภาวนาดี สุดท้ายเสียเพราะว่าชอบรู้ข้างนอก แทนที่จะรู้กายรู้ใจ ชอบรู้อดีต รู้อนาคต ระลึกชาติ ระลึกอนาคตอย่างโน้นอย่างนี้ รู้ไปทั่วเลย จริงหรือไม่จริงไม่รู้หรอก แต่ว่าจิตมันเที่ยวรู้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายเข้าบ้านไม่ได้ เข้าบ้านไม่ได้ไปต่อไม่ได้ แล้วนานๆ หลอน ออกรู้ข้างนอกนานๆ ไป จิตหลอน จนแยกแยะของจริงกับของปลอมไม่ออก อันนี้ต้องระวัง เพราะฉะนั้นอย่างพวกเราทั้งหมด มันเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ ตั้งแต่เบื้องต้นก็ศึกษาให้รู้วิธีปฏิบัติ พอรู้วิธีปฏิบัติแล้ว ก็พัฒนาตัวเองไม่หยุด ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังไว้วางใจตัวเองไม่ได้ ต้องสู้เอา สังเกต

ดูกิเลสคนอื่นง่าย ดูกิเลสตัวเองยากที่สุดเลย ยิ่งกิเลสชั้นละเอียดดูยากมาก เหมือนไม่มีกิเลส ฉะนั้นจำเป็นก็ให้ครูบาอาจารย์ช่วย ทางที่ดีที่สุดก็สังเกตเอา สังเกตเอาด้วยหลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ การที่สังเกตอย่างมีหลักเรียกว่าโยนิโสมนสิการ ไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อย โยนิโสมนสิการ ถ้าคิดเรื่อยเปื่อยเรียกฟุ้งซ่าน ถ้าคิดอย่างมีเหตุมีผล ถูกทำนองคลองธรรม ที่พระท่านสอน ที่พระพุทธเจ้าสอน อันนั้นถึงจะเป็นโยนิโสมนสิการ สิ่งนี้สำคัญมาก มันมี 2 สิ่ง คือกัลยาณมิตรกับโยนิโสมนสิการ มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สามารถพัฒนาตัวเอง ให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ฉะนั้นถ้าไม่มีกัลยาณมิตร ก็อาศัยโยนิโสมนสิการให้มาก แยบคายในการดูตัวเอง ที่ทำอยู่นี้มันถูกหลัก หรือมันผิดหลัก

สังเกตไปให้ดีเถอะ มันคงไม่โง่ถึงขนาดไม่รู้หรอก เพราะเวลาที่หลวงพ่อภาวนามา มันก็มีปัญหาเกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่เราก็ผ่านมันได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปถามครูบาอาจารย์ จะรอถามครูบาอาจารย์ เมื่อไรจะได้ถาม นานๆ จะได้เจอทีหนึ่ง เจอแล้วไม่แน่ว่าจะเข้าไปถึงตัวท่าน เข้าไม่ถึงท่าน บางทีท่านก็เมตตา เข้าไม่ถึงท่าน ท่านมองปราดแล้วท่านก็สอนเลย ท่านพูดลอยๆ เราก็ โอ้ รู้แล้ว ท่านสอนเรียบร้อยแล้ว

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
5 สิงหาคม 2566