ธาตุกรรมฐาน

ช่วงนี้มีคอร์สจีน คนจีนเขาเรียนกันเยอะแล้ว ฟังมาเยอะแล้ว ฟังอย่างเดียวไม่ได้ผลหรอก ต้องลงมือทำจริงๆ วันนี้หลวงพ่อดูคนไทยบ้าง คนจีนเรียนเยอะแล้ว สังเกตจิตใจของเรา มันปรุงแต่งตลอดเวลา ความปรุงแต่งมันเกิดขึ้นในใจตลอด มันไม่เคยหยุดหรอก จิตทุกดวงจะมีความปรุงแต่งเกิดร่วมด้วย เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หัดสังเกตความปรุงแต่งของจิตไว้ ในใจเราขณะนี้เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเฉยๆ มี 3 อย่างเท่านั้น ใจเราขณะนี้สุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ หัดรู้ไป ง่ายที่สุดแล้ว ถ้าเราเป็นคนขี้โมโห เราก็ดูใจขณะนี้หงุดหงิดไหม รำคาญไหม หรือว่าไม่รำคาญ ไม่หงุดหงิด สบายใจ หัดดูความปรุงแต่ง ความรู้สึกทั้งหลาย ที่เกิดร่วมกับจิตไว้

เมื่อวานหลวงพ่อไปงานศพ โยมพ่อพระอาจารย์อ๊า ที่วัดนั้นเขามีศพอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วพระเขาเทศน์อภิธรรม เอาคัมภีร์อภิธรรรมมาอ่าน เขาบอกว่าตัวรูป ตัวร่างกายอะไรนี้ มันดูง่าย แต่คนที่จะเห็นจิตใจตัวเอง นามธรรม ต้องเป็นคนฉลาดถึงจะเห็น พวกเราโง่หรือฉลาด มันไม่ยากหรอก นามธรรมจะไปยากอะไร อย่างใจเราขณะนี้มีความสุข รู้ได้ไหม รู้ได้ ตอนนี้กลุ้มใจ รู้ได้ไหม ก็รู้ได้ นี้คนส่วนใหญ่มันพลาดตรงนี้ มันไม่ดู มันไม่ใช่ดูไม่ได้ ถ้ามันจะรู้มันก็รู้ได้ แต่มันไม่อยากรู้

เวลามีความสุข แทนที่จะรู้ว่าใจกำลังมีความสุข มันก็เพลินไปดูสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข อย่างเราเห็นดอกไม้สวยๆ เห็นภูเขา เห็นเมฆ เห็นอะไร เห็นบึงน้ำ ดู แหม มันสบายตา ชอบ ก็มัวแต่สนใจของข้างนอก ไม่สนใจว่าจิตใจกำลังเพลิดเพลินมีความสุข หรือเราขับรถอยู่ คนมาปาดหน้าเรา มาขับปาด เราโกรธ มันไม่ยากหรอก ที่จะรู้ว่ากำลังโกรธ แต่ละเลยที่จะรู้ พอถูกเขาปาดหน้า ก็จะไปมองคนที่ขับรถปาดหน้าเรา จะต้องไปแก้แค้น รีบขับรถให้เร็วๆ จะไปปาดคืน

 

นามธรรมดูง่าย รูปธรรมดูยาก

ฉะนั้นจริงๆ นามธรรมรู้ไม่ยากหรอก นามธรรมจะว่าไปมันตรงไปตรงมา อย่างความรู้สึกสุข มันก็ไม่พลิกแพลงอะไร ความรู้สึกสุขมันก็สุขล่ะ ความรู้สึกทุกข์ในใจเรา มันก็ทุกข์ล่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อน เรารัก ความรักเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อย่างเราเห็นลูกเรา หรือเห็นแฟนเรา เรารู้สึกรัก ก็แค่รู้สึก นี้คนพอเกิดความรู้สึกรัก ก็ไม่มอง ก็จะไปดูลูกเราน่ารัก มันก็มองลูกทั้งวันเลย หรือหมาเราน่ารัก แมวของเราน่ารัก ก็มัวแต่มองหมามองแมว ไม่ย้อนมามองจิตใจตัวเอง

เพราะฉะนั้นการจะอ่านจิตใจตัวเอง อ่านนามธรรมไม่ใช่เรื่องยาก มันละเลยที่จะทำต่างหาก อย่างบางคนมีแมว รักแมว เวลาที่เรารักแมว เราก็มองที่แมว แมวจะทำอะไร จะกระดุกกระดิก จะกระโดด จะหงายท้อง รู้หมดเลย แต่ใจตัวเองในขณะนั้น กำลังเพลิดเพลินมีความสุข ที่ได้ดูแมวน่ารัก ไม่ดู ไม่ใช่ดูไม่ได้ แต่ไม่ดู เพราะฉะนั้นปัญหาใหญ่ ของการจะเรียนรู้นามธรรม ไม่ใช่ว่ารู้ไม่ได้ แต่มันละเลยที่จะรู้

รูปธรรม คนชอบคิดว่าดูง่าย ที่จริงรูปธรรมซับซ้อน ซับซ้อนมาก อย่างเราเห็นร่างกาย ร่างกายนั่งอยู่อย่างนี้ อันนี้ยังไม่ใช่รูปตัวจริง สิ่งที่เป็นรูปธรรมตัวจริงคือธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต้องอาศัยกำลังของสมาธิมากถึงจะแยกธาตุได้

ส่วนนามธรรมไม่ต้องอาศัยสมาธิมากมาย รู้สึกได้อยู่แล้ว มีความสุขรู้ไหม มีความสุข หรือคนจีนมาอยู่เมืองไทยหลายวัน คิดถึงอาหารจีน เวลาคิดถึงอาหารจีน ใจอยากกิน อยากกินเราไม่ดูว่ากำลังอยากกิน เราก็ไปคิดถึงอาหาร มันแค่นี้เอง มันไม่ใช่รู้ไม่ได้ แต่มันละเลยที่จะรู้ เพราะฉะนั้นตัวนามธรรม เวลาจะรู้นามธรรม ใช้สมาธิธรรมดาๆ อย่างที่พวกเรามีนี่ล่ะ สามารถรู้ได้ ถ้าสนใจ ถ้าใส่ใจที่จะรู้ แต่ตัวรูปธรรมต้องใช้สมาธิระดับสูง ถ้าเข้าฌานไม่ได้ เราจะแยกออกไหม ดิน น้ำ ไฟ ลมในร่างกายนี้ แยกไม่ออกหรอก

เมื่อวานหลวงพ่อเทศน์ ใครได้ฟังไหมเมื่อวาน ที่หลวงพ่อเล่าว่า หลวงพ่อไปเห็นขี้หมา ถ้าเราเห็นขี้หมา เราจะรู้สึกขยะแขยง ถ้าเราจะดูจิต เราก็รู้ว่าจิตตอนนี้ขยะแขยง เกลียดขี้หมา แค่นี้จบ แต่ถ้าจะดูขี้หมาให้เป็น เห็นรูปมัน ไม่ใช่ง่าย จิตต้องทรงสมาธิจริงๆ มองลงไปปุ๊บ มันแยกธาตุแยกขันธ์ของขี้หมาออกไปเลย เราพบว่าขี้หมาประกอบด้วยอะไรบ้าง ประกอบด้วยสีใช่ไหม มีสี สีไม่มีปฏิกูลอสุภะ ที่เราเห็นสีต่างๆ มันไม่มีปฏิกูลอสุภะอะไร ขี้หมามีกลิ่น กลิ่นมันก็แค่กระทบจมูก

อย่างบางคนบ้านอยู่ใกล้ๆ ที่ทิ้งขยะ เหม็นทุกวันเลย เหม็นจนชิน ไม่รู้สึก หรือบางคนกลิ่นอย่างนี้บอกว่าเหม็น พวกเดียวกัน อีกคนหนึ่งบอกว่า ของอย่างเดียวกัน หอม อย่างบางคนบอกทุเรียนเหม็นมากเลย มันก็แค่กลิ่น แต่บางคนบอกทุเรียนหอม มันก็กลิ่น เหม็น หอม ไม่ใช่ของจริง แต่กลิ่นเป็นของจริง เสียงที่พูดนี้ ตัวเสียงเป็นของจริง เป็นคลื่นเสียงที่มากระทบหู แต่เสียงนั้นจะเพราะหรือไม่เพราะ จะสุภาพหรือหยาบคาย อันนั้นไม่ใช่เรื่องของเสียงแล้ว ใจเราคิดเอา ใจเราตีค่า

ขี้หมาเหมือนกัน เราว่าเหม็น แมลงวันมันตอมเยอะแยะเลย แมลงวันมันว่าหอม เหม็น หอม ไม่ใช่ของจริง เขาเรียกว่าเป็นบัญญัติ ส่วนกลิ่นเป็นของจริง แมลงวันมันได้กลิ่น ก็เหมือนเราได้กลิ่น แต่การให้ค่าไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ทรงสมาธิแยกไม่ออก แล้วจิตมันลงไป หยั่งลงไปในกองขี้หมา แยกไปอีก มันเปียกๆ มันก็เห็นที่เปียกเป็นธาตุน้ำ แล้วจิตที่มีสมาธิมาก สามารถแยกน้ำออกไปได้ แยกน้ำออกไปก็เหลือแต่ดิน เป็นขี้หมาแห้งๆ เป็นก้อนดิน เป็นผงๆ ดิน น้ำ ไฟ ลม แยก

เวลาแยกร่างกาย ถ้าสมาธิดีก็แยกได้ นี่ยกตัวอย่างของเล็กๆ คือขี้หมา ถ้าเราแยก สมาธิเราดีเราแยกธาตุในกายนี้ แยกได้ เห็นไหมว่ามันยาก คนทั่วไปชอบคิดว่าดูรูปมันง่าย ดูนามธรรมยาก โกรธแล้วรู้ว่าโกรธ ยากไหม ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ถ้าโกรธแล้วรู้ว่าโกรธ รักแล้วรู้ว่ารัก อยากได้รู้ว่าอยากได้ ดีใจรู้ว่าดีใจ เสียใจรู้ว่าเสียใจ เพราะฉะนั้นนามธรรมจริงๆ ไม่ได้ดูยาก ดูง่าย

รูปธรรมยังมี 2 อย่าง รูปที่แท้จริง คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อันนี้ดูยาก ส่วนมากเวลาเขาภาวนากัน เขาก็เลยไม่ไปดูธาตุ ดูไม่ถึงธาตุ เขาจะดูตัวนี้ทั้งตัว เรียกว่ารูป รูปนี้ยืน รูปนี้เดิน รูปนี้นั่ง รูปนี้นอน รูปเคลื่อนไหว รูปหายใจออก รูปหายใจเข้า รูปยืน เดิน นั่ง นอน รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง อันนี้มันไม่ใช่รูปแท้ๆ ตัวนี้แท้ๆ คือดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ไปเรียนเข้าถึงดิน น้ำ ไฟ ลม น้อยคนที่จะเรียนได้ เขาก็เลยเรียนรูปอีกชนิดหนึ่ง เขาเรียกภาษาบาลี ภาษาจีนไม่รู้จะมีแปลไหม เรียกอุปาทายรูป รูปมี 2 ส่วน มหาภูตรูป เป็นตัวธาตุจริงๆ ของรูป กับอุปาทายรูป รูปที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ปรุงแต่งขึ้นมา อย่างนี้เป็นรูปที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ปรุงแต่ง รูปนี้ดิน น้ำ ไฟ ลม ปรุงแต่งขึ้นมา รูปที่เคลื่อนไหว

เพราะฉะนั้นเราดูได้ไม่ถึงรูปแท้ ที่เราปฏิบัติกันเกือบทั้งหมด ก็จะดูรูปอีกเกรดหนึ่ง ถามว่าใช้ได้ไหม ก็ได้เหมือนกัน อย่างขณะนี้เราหายใจอยู่ รู้ไหมว่าหายใจ ยากไหม ไม่ยาก เพราะฉะนั้นตัวรูปที่เคลื่อนไหวอะไรนี้ ดูไม่ยาก แต่พวกที่เรียนอภิธรรม บอกว่าทำวิปัสสนาไม่ได้ ไม่ใช่รูปแท้ พวกนี้มันก็พูดไปอย่างนั้นล่ะ คิดเอาเอง กางตำราว่า

 

การปฏิบัติต้องดูให้ถึงกายถึงใจของตัวเอง

พระพุทธเจ้าสอนไว้ ถ้าเราเห็นรูปหายใจออก เรารู้สึก เห็นรูปหายใจเข้า รู้สึก เราก็ดูรูป เห็นรูปยืน เดิน นั่ง นอน ยืนอยู่ก็รู้สึก เดินอยู่ก็รู้สึก นั่งอยู่ก็รู้สึก นอนอยู่ก็รู้สึก ไม่ยาก เพราะฉะนั้นรูปมันมีทั้งส่วนที่ดูยาก กับส่วนที่ดูไม่ยาก รูปที่เป็นรากเป็นเหง้าของรูปทั้งหลาย คือธาตุ 4 ดูยาก ในผม 1 เส้นมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ครบเลย ในนิ้วของเรานิ้วหนึ่ง มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ครบเลย ดูมันยาก ดูไม่ได้ ก็ดูรูปที่เราดูได้ เห็นร่างกายหายใจออก เห็นร่างกายหายใจเข้า รู้สึกไปเรื่อยๆ

เห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกไปเรื่อยๆ เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เคลื่อนไหว เคลื่อนไปเคลื่อนมาแล้วก็หยุด ร่างกายหยุดนิ่ง ร่างกายเคลื่อนไหว รู้ไป แล้วต่อไปปัญญามันจะมองลึกลงไปได้ รูปนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก รูปที่หายใจออก เป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา รูปที่หายใจเข้า เป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา รูปยืน เดิน นั่ง นอน เป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ถ้าเราภาวนาเป็นดูรูปก็ง่าย แต่เลือกรูปที่จะดู

ส่วนนามธรรมดูง่ายมากเลย รู้จักอิจฉาไหมๆ ยากไหมที่จะรู้ว่าอิจฉา ไม่ยาก แต่เวลาเราอิจฉาใคร เราจะไปดูคนนั้น ไปดูคนที่ทำให้เราอิจฉา หรือเวลาเราเกลียดใครสักคน สังเกตไหมเราเกลียดใครคนนั้น เรายิ่งคิดถึงบ่อย คนนี้เกลียดมาก คิดถึงบ่อย เราก็เลยไม่ได้ดูว่าใจกำลังเกลียด

การปฏิบัติต้องดูให้ถึงกายถึงใจของตัวเอง ถ้าดูรูปไม่ต้องคำนึงหรอก ว่าเป็นมหาภูตรูปหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ดูรูปที่เราดูได้ พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วในกายานุปัสสนา มีส่วนที่เป็นมหาภูตรูป รูปดิน น้ำ ไฟ ลม คือเรื่องธาตุ รูปหายใจออก รูปหายใจเข้า รู้สึกไว้ แล้วต่อไปเราเห็น รูปที่หายใจออกไม่ใช่เรา รูปที่หายใจเข้าไม่ใช่เรา ร่างกายทั้งหมดนี้จะไม่ใช่เรา มันจะเห็นว่าร่างกายทั้งหมดไม่ใช่เรา ถ้าเห็นรูปมันยืน ไม่ใช่เรา รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน ไม่ใช่เรา

ต่อไปปัญญาความรู้รวบยอดมันก็เกิด รูปทั้งหมดไม่ใช่เรา ตัวนี้ไม่เป็นเรา ที่เรามาหัดดูรูป ดูนาม ดูกาย ดูใจ เพื่อจะได้เห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เรา มันก็แค่รูปธรรมที่ประกอบด้วยธาตุ 4 ธาตุ 4 เป็นสมบัติของโลก ร่างกายเราที่มีดินอยู่นี้ ก็ดินของโลก น้ำที่เรามีอยู่นี้ ก็เป็นน้ำของโลก ฉะนั้นตัวธาตุจริงๆ ไม่ใช่ของเรา

แต่ถ้าดูตรงนั้นไม่ถึง ดูไม่เห็นธาตุ ดูร่างกายที่เรารู้สึกได้นี่ล่ะ ถ้าเราเห็นร่างกายที่หายใจออก ไม่ใช่เรา ร่างกายหายใจเข้า ไม่ใช่เรา ร่างกายก็ไม่ใช่เราเหมือนกัน ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ใช่เรา ร่างกายทั้งหมดก็ไม่ใช่เราเหมือนกัน ดูของที่ดูได้ ไม่ต้องพิสดารอะไรมากมายหรอก มันก็ถอดถอนความเห็นผิดได้ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา การที่จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ง่ายแสนง่ายเลย เป็นเรื่องง่าย แต่จะไปเห็นธาตุจริงๆ ยาก แต่จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรานี้ง่าย

พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่ไม่เคยเรียนธรรมะก็สามารถเห็นได้ว่า นี่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราเห็นคนนั้นก็ตาย คนนี้ก็ตาย ตัวนี้อีกหน่อยก็ตาย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่อมตะ สิ่งที่เราเห็นเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือจิตใจของเรา เราจะรู้สึกนี่เรา มีเรา มีเราอยู่ตัวนี้ ภาวนาตัดตรงเข้ามาเรียนให้ถึงจิตถึงใจ ถ้าเห็นจิตใจไม่ใช่เรา คราวนี้ไม่มีอะไรเป็นเราอีกแล้ว

อย่างร่างกาย คนที่ภาวนาไม่เป็น ก็รู้สึกว่าร่างกายนี้คือตัวเรา แต่คนภาวนาได้ จิตมันตั้งมั่นออกมา มันเห็นว่าร่างกายเป็นของถูกรู้ ร่างกายเปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนสถานะจากตัวเรา มาเป็นร่างกายของเราเท่านั้นเอง แล้วดูไปเรื่อยๆ ก็พบ มันไม่ใช่ของเรา เราสั่งอะไรมันไม่ได้จริง สั่งไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ก็ทำไม่ได้ ปัญญามันละเอียดขึ้นเรื่อยๆ

 

สะสมสมบัติที่แท้จริงติดตัวไว้

ตอนหลวงพ่อเด็กๆ หลวงพ่อเล่นกับเพื่อน วิ่งไล่จับกัน กติกาก็คือ ให้หนีไป แล้วคนจับจะวิ่งตามไปจับ ถ้าจับตัวได้ คนนั้นก็ต้องเป็นคนไปไล่คนอื่น เมืองจีนมีไหมเล่นแบบนี้ มีเด็กวิ่งไล่จับกันมีไหม ไม่มีเล่นอย่างนี้หรือ เด็กไทยแต่ก่อนก็มีวิ่งไล่จับกัน ใครถูกจับก็ต้องเป็นคนไล่ เป็นคนวิ่งไล่จับคนอื่นต่อ สลับกันไป

พอเริ่มเล่นเพื่อนๆ มันก็วิ่งกันใหญ่เลย หลวงพ่อก็ยืน เดินช้าๆ ไม่หนีเร็ว ไม่ต้องวิ่งเร็ว คนที่ไล่มันก็ปราดเข้ามาหาหลวงพ่อ แล้วมันคว้าข้อมือเลย พอคว้าแล้วมันก็ประกาศ “จับตัวได้แล้ว” หลวงพ่อบอก “นี่ไม่ได้จับตัว นี่จับมือ เอ็งยังไม่ได้จับตัวข้าเลย มันจับมือ” มันก็ชักงง มันก็คว้าแขน “จับตัวได้แล้ว” บอก “ไม่ใช่ นี่จับแขน” มันงง มันกอดอย่างนี้เลย “นี่จับตัวได้แล้ว” บอก “เฮ้ย นี่มันโอบรอบเอวแล้ว ยังจับตัวเราไม่ได้เลย”

ตอนนั้นเด็กๆ ยังไม่ได้เรียนวิปัสสนาด้วยซ้ำไป แต่ว่าเรื่องสมาธิทำมานาน ตั้งแต่ 7 ขวบ ตอนที่วิ่งเล่นนี้ยังเด็กๆ อยู่ แต่ทำไมจิตมันบอกได้ นี่ไม่ใช่ตัวเรา นี่ไม่ใช่ตัวเรา นี่ก็ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้มันแสดงว่า มันต้องเคยเจริญปัญญามาแต่ชาติก่อนๆ ถ้าเด็กไม่รู้เรื่องเลย มันคิดอย่างนี้ไม่ได้ แล้วหลวงพ่อพูดออกมาหน้าตาเฉยเลย มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่านี่มันไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเวลาวิ่งไล่จับ ถ้าจับได้ก็จะต้องประกาศว่า “จับตัวได้แล้ว” ปรากฎว่าจับหลวงพ่อไม่ได้ เพราะจับลงตรงไหน ไม่มีตัวเลย มีแต่จับแขนจับขา ไม่ใช่ตัวทั้งนั้น มันก็เลยสรุป “ไอ้ขี้โกง” บอก “โอ๊ย เอ็งโง่เอง แล้วมาว่าเราโกง” ก็โกงจริง

หัดเอาไว้ แล้วการที่เราประพฤติปฏิบัติ มันจะฝังลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา ในภวังคจิต ความรู้ความเข้าใจของการปฏิบัติ ไม่สูญหายไป แต่ถ้าเรียนแต่ปริยัติ ยังไม่ทันจะแก่มันก็ลืมแล้ว สอบเสร็จมันก็ลืมแล้ว ปริยัติ อย่างมากก็จำได้ พอแก่ๆ ก็จำเลอะเลือนแล้ว ในขณะที่เราปฏิบัติ อย่างเราหัดดูร่างกายแต่ละส่วน ไม่เห็นมีตัวเราอะไรอย่างนี้ ตายไป ไปเกิดอีก ความรู้สึกนี้มันกลับมาง่ายๆ หรือหลวงพ่อตอนเด็กๆ จิตมันดีดตัวขึ้นมาเป็นผู้รู้ จิตผู้รู้เกิดได้ง่ายๆ เพราะมันเคยทำ

ฉะนั้นพวกเราตั้งอกตั้งใจปฏิบัติไว้ ฝึกทุกวันๆ ไม่สูญหายไปไหนหรอก สมบัติอันนี้จะติดเนื้อติดตัวเราไปเป็นอริยทรัพย์ เหมือนกับสติเป็นอริยทรัพย์ เราฝึกของเราไปเรื่อย ปัญญาเป็นอริยทรัพย์ เป็นสมบัติที่จะติดเนื้อติดตัวเราไปได้ ส่วนสมบัติข้างนอก เป็นสมบัติผลัดกันชม เรามีเงินเยอะแยะ วันหนึ่งโจรมาปล้น ไม่ใช่สมบัติเราแล้ว เป็นสมบัติของโจรแล้ว หรือเราตาย คนอื่นก็มาเอาไปหมด ฉะนั้นสมบัติอย่างนี้ไม่ยั่งยืนอะไร ไม่ใช่สมบัติที่แท้จริง การที่เราประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วมันฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเรา อันนั้นเป็นสมบัติที่แท้จริง พาเราข้ามภพข้ามชาติไป ก็ยังอยู่กับเรา

อันนี้ไม่เฉพาะของดี ความชั่วก็เหมือนกัน เป็นสมบัติเหมือนกัน เวลาเราขี้โมโห สะสมแต่ความขี้โมโห ไปเกิดอีก มันก็ขี้โมโหอีก มันจะพร้อมจะขี้โมโหง่าย เพราะจิตมันมีความเคยชิน มันเคยชิน เพราะฉะนั้นเราสร้างสมบัติที่ดีติดตัวไว้ รักษาศีล ต่อไปรักษาศีลง่าย ฝึกสติ ต่อไปสติก็เกิดง่าย ฝึกให้จิตอยู่กับเนื้อกับตัว ต่อไปจิตใจก็อยู่กับเนื้อกับตัวง่ายๆ แล้วก็เดินปัญญาดูกายดูใจทำงานไป สะสมไปเรื่อยๆ

ชาตินี้บางคนบุญบารมีพอ ก็อาจจะได้มรรคผลไป บางคนยังไม่พอ ก็ไปต่อชาติต่อไป ตายแล้วไม่สูญหรอก ถ้าเรามีหูมีตา เราจะรู้ ตายแล้วไม่ได้สูญไปไหนหรอก ร่างกายมันแตกสลาย จิตดวงเดิมดับไป มันเกิดจิตดวงใหม่ ซึ่งรับสมบัติที่สะสมไปทั้งดีและชั่ว มันเหมือนลูกของจิตดวงเก่านี้

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
23 ตุลาคม 2566