ยังไม่ถึงเวลาภาวนาไป เดี๋ยวคนรอดูที่บ้านเขาดูไม่ทัน ฝึกตัวเองให้เคยชินให้เป็นนิสัยไว้ มีเวลาว่าง 5 นาที 10 นาที อย่าทิ้ง ภาวนาไปเลย เอาให้เคยชิน เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อยๆ พอจิตมันคุ้นเคยที่จะปฏิบัติ มันจะขยันภาวนา จิตใจที่ไม่อยากภาวนา ทำบ้างไม่ทำบ้าง จิตมันติดโลก ติดกาม เมื่อเช้ามีทิดเก่าคนหนึ่งมาส่งการบ้าน บอกว่าสังเกตดูว่าเวลาถือศีล 8 สติเกิดน้อยกว่าตอนถือศีล 5 ฉะนั้นศีล 5 ดีกว่า เขาว่าอย่างนี้ บอกไปสังเกตให้ดี จิตมันติดกาม ติดความสุขความสบาย พอไปบังคับตัวเองถือศีล 8 มันก็เครียด พอเครียดสติก็ไม่เกิด
ไม่ใช่ว่าศีลไม่ดี แต่ใจตัวเองมันไม่ถึง ใจยังอ่อนแออยู่ ถ้าเรารู้จุดอ่อนของตัวเอง ใจมันอ่อนแอมันติดโลก ก็ต้องเข้มแข็งสู้มัน ไม่หาข้ออ้างที่จะทำให้การปฏิบัติย่อหย่อนลง อย่างบอกว่าศีล 5 ดีกว่าศีล 8 อะไรอย่างนี้ สำหรับคนนี้ บางคนศีล 5 ดีกว่าจริงๆ ถ้าเอามาเป็นข้ออ้างสนองกิเลสตัวเอง โอกาสพัฒนามันก็ยาก อยากจะพ้นทุกข์อยากข้ามวัฏฏะต้องเข้มแข็ง อ่อนแอไปไม่รอดหรอก ต้องอดทน คนรุ่นหลังๆ นี่ความอดทนน้อยลงไปเยอะเลย
อยากข้ามวัฏฏะต้องเข้มแข็ง
เมื่อเช้ายังเล่าให้พวกทิดมาส่งการบ้าน บอกคนรุ่นนี้อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ รักสุขรักสบายเหลือเกิน คนรุ่นหลวงพ่อเรียกรุ่นเบบี้บูม บ้านเมืองเพิ่งผ่านสงครามโลกมาใหม่ๆ บอบช้ำ ตอนที่หลวงพ่อเกิดสงครามโลกเพิ่งจบไปไม่ถึง 10 ปี บ้านเมืองทรุดโทรม เศรษฐกิจย่ำแย่ ผู้คนลำบาก เราเกิดในยุคนั้น เราก็ต้องรู้สึกว่าเราต้องสู้ต้องอดทน ฉะนั้นคนรุ่นนั้นจะอดทน แต่คนรุ่นนั้นเทียบกับรุ่นครูบาอาจารย์ยังเทียบไม่ติด รุ่นครูบาอาจารย์ลำบากมากๆ เลย อย่างไปปฏิบัติอยู่ในป่า เป็นไข้ป่าก็ตายแล้ว รอดบ้างตายบ้าง บางองค์อดอาหารเป็นประจำ อาหารไม่พออะไรอย่างนี้
อยู่มาพอพ้นยุคยากลำบาก หลัง 2500 อะไรอย่างนี้ ร่างกายท่านทรุดโทรมมาก เพราะช่วงก่อนหน้านั้นสู้หนักมาก ก็สิ้นไปอย่างรวดเร็วก็มี สังเกตดูคนที่เคยผ่านความยากลำบาก ใจมันต่อสู้มากกว่าคนที่เกิดมาก็สบาย รุ่นหลังๆ นี่พ่อแม่เคยลำบากมา ไม่อยากให้ลูกลำบาก เลี้ยงลูกประคบประหงมเอาอกเอาใจจนกระทั่งอ่อนแอมาก ดูแล้ว หลวงพ่อไม่ได้ดูอื่นดูไกล ดูจากพระนี่ล่ะ พระรุ่นก่อนๆ เข้มแข็ง สู้ คนไหนไม่แข็งแรงไม่เข้มแข็งก็ออกไป พวกที่เหลืออยู่นี่แกร่งจริงๆ หลังๆ นี่ดูป้อแป้ๆ กลัวลำบาก จะไปอยู่กับโลกก็กลัวลำบากกลัวเหนื่อย มาบวชจะภาวนาก็กลัวลำบากอีก คนชนิดนี้อยู่ที่ไหนไม่เจริญหรอก ไม่สู้
พวกเราอยากได้ดี จิตใจต้องกล้าหาญต้องเข็มแข็งต้องต่อสู้ เหยาะแหยะไม่ได้เรื่องหรอก หาข้ออ้างเพื่อปกป้องกิเลส ฉลาดในการหาข้ออ้าง แต่ไม่ฉลาดในจิตของตนเอง ต้องเข็มแข็งจริงๆ เส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก เส้นทางแห่งความพ้นทุกข์นี่ต้องสู้จริงๆ ประเภทนั่งสมาธิก็กลัวปวดหลัง กลัวเมื่อย ก็อ้างนั่งสมาธิมากๆ เนิ่นช้า เอาคำหลวงปู่มั่นมาพูดอีก นั่งสมาธิมากเนิ่นช้า ไม่ได้แปลว่านั่งหลายชั่วโมงแล้วทำให้เนิ่นช้า หมายถึงเอาแต่นั่งสมาธิไม่ยอมเดินปัญญามันก็เลยเนิ่นช้า ทำสมาธิแล้วก็สงบสบายเพลินๆ ไป ผ่านวันผ่านเวลาไปมากมาย บางทีเอาธรรมะมาอ้างเพื่อปกป้องความขี้เกียจ
วันนี้เจอพวกอ่อนแอหลายคนทั้งพระทั้งโยม ธรรมะก็เลยดุนิดหนึ่ง นี่นิดเดียว ถ้าเจอรุ่นครูบาอาจารย์หนักกว่านี้เยอะเลย ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อยังเหลืออีกองค์ หลวงปู่ทองท่านเป็นกรรมวาจาจารย์ อยู่ที่ลำปลายมาศ ใครไปถามกรรมฐานท่านบอกอยากได้มรรคผลนิพพาน ท่านบอกแค่ศีลเอ็งก็รักษาไม่ได้แล้ว อย่ามาคุยอวดเลยจะไปเอานิพพาน หรือเสียสละอะไรเล็กๆ น้อยๆ ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร นิพพานต้องสละโลกได้ ท่านใช้วิธีด่าเอา
ครูบาอาจารย์บางองค์สมัยก่อนดุจริงๆ แต่ไม่มีประเภทเอากระโถนขว้างอะไร ไม่มี มีแต่นิยายปรัมปราว่าครูบาอาจารย์โมโหแล้วเอากระโถนขว้าง เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เชื่ออย่างนั้น ว่าครูบาอาจารย์กรรมฐานนี่ดุ ถ้าเราไม่ถูกใจเอากระโถนขว้าง ตอนไปหาหลวงปู่ดูลย์ครั้งแรกยังกลัวเลย ไม่รู้จักท่าน ไปถึงก็ไปจดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้าไปในกุฏิ ไปรอดูหลวงปู่จะออกมาไหม ออกมาเราจะเข้าไปถามกรรมฐาน ทั้งพระทั้งคนในวัดบอกเข้าไปเลย ตอนนี้ท่านกำลังฉันอาหารอยู่ บอกท่านฉันให้ท่านฉันไปก่อนเถอะ ที่จริงไม่ใช่อะไร ที่จริงยังกลัวอยู่ นั่นเป็นครั้งเดียวที่หลวงพ่อกลัวครูบาอาจารย์ เพราะเราไม่คุ้นกับครูบาอาจารย์กรรมฐาน เลยคิดว่าท่านดุ ได้ยินนิทานเล่าว่าถ้าทำไม่ดีแล้วเอากระโถนขว้าง อย่างไรท่านก็ไม่ขว้าง ท่านเสียดายของ ขว้างเดี๋ยวกระโถนแตก
จดๆ จ้องๆ อยู่ ในที่สุดหลวงปู่ทนไม่ไหว หลวงปู่เดินออกมาหน้ากุฏิเอง เลยเข้าไปกราบท่านได้ หลวงปู่ครับผมอยากปฏิบัติ ท่านก็เงียบๆ ไม่พูด เราก็นึกหลวงปู่อายุ 90 กว่า ฉันข้าวเสร็จแล้วนั่งหลับไปแล้ว ตอนนั้นโง่มากนึกว่าท่านนั่งหลับ ที่จริงท่านกำลังสอบประวัติเราอยู่ ว่าเราเคยภาวนามาแบบไหนอะไรอย่างไร ท่านหลับตาไปสัก 45 นาที 40 นาที ลืมตามาถึงสอน ไม่ใช่เจอหน้าก็สอน หลวงปู่ดูลย์ถ้าใครไปถามอะไรก็ตอบ แต่ถ้าจะเรียนจริงๆ ท่านจะเงียบๆ เราก็ต้องนั่งภาวนาของเราไป รอให้ท่านค่อยพูดเอง นี่กว่าจะได้ธรรมะมาก็ลำบากเหมือนกัน
บางทีไปหาที่ภาวนาตามวัด แต่ละวัดก็มีเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งนั้นล่ะ เรียกผีบ้าน ผีเรือน ผีป่า ผีเขา มีทั้งนั้น ผีนี่หมายถึงคน คนที่ไปตั้งตัวเป็นใหญ่ตามวัด เข้าไปเราไม่รู้จักใครเลย จะไปกินข้าวที่ไหนเราก็ไม่รู้ เข้าไปทีแรกครูบาอาจารย์ท่านตักอาหารเสร็จแล้ว พระท่านก็ฉันข้าว โยมก็ทำวัตรเช้า สวดมนต์ทำวัตรเช้า เห็นเขาขนอาหารไปวางข้างล่าง มีโต๊ะยาวๆ อยู่ อาหารไปวางไว้เยอะเลย ก็นึกว่าเดี๋ยวสวดมนต์เสร็จคงได้ไปกินข้าว พอสวดมนต์เสร็จลงมา แต่ละคนเขาหายไปหมดเลย พวกที่นั่งสวดมนต์ แล้วอาหารที่โต๊ะไม่มีเหลือเลย คือแต่ละคนจะมีพรรคพวกมีลูกน้องมีคนรับใช้ ขนเกลี้ยงเลยไม่มีอะไรเหลือเลย
เรา เอ เราอยู่วัด เราไม่มีอะไรกินเลย เราจะอยู่อย่างไร ก็ช่างมัน ไม่กินวันสองวันไม่เป็นไรหรอก หลวงพ่อก็เดินกลับขึ้นศาลามา ครูบาอาจารย์ท่านเห็น รู้ว่าเราไม่มีข้าวกิน ท่านกวักมือเรียก เอาบาตรให้ บาตรของท่าน ไม่ได้ให้บาตรอย่างเดียว ในบาตรมีข้าวมีอะไร เรารู้เลยครูบาอาจารย์ความเมตตาสูงมาก สูง แต่ใจเราต้องเข้มแข็งพอ ประเภทห่วงกินห่วงนอนไม่ได้กินไม่ได้ปฏิบัติจริง ไปวัดทีแรกบางทีไม่รู้จักใครเลย จะค้างที่วัดไปขอครูบาอาจารย์ ขอค้างที่วัด ท่านอนุญาต เราก็ไม่รู้เขาพักกันที่ไหน หาที่พักไม่ได้ ไปอยู่โคนต้นไม้ นั่งสมาธิเดินจงกรมไป ผ่านกลางคืนไปมีความสุขมหาศาลเลย ไม่ได้ห่วงเรื่องกินเรื่องนอนอะไรนักหนา
อยู่ไปๆ ฝนตก ฝนตกอยู่กลางแจ้งไม่ไหว ฝนแรงแล้วหนาว ก็ไปหลบอยู่ใต้ถุนกุฏิ มีกุฏิของใครก็ไม่รู้เป็นส่วนโยม หลบอยู่ใต้ถุน ไม่บ่นสักคำ สู้เอา ถ้าเรื่องแค่นี้เราสู้ไม่ไหว เราจะสู้มารไหวหรือ สู้กิเลสไหวหรือ ฉะนั้นถ้าพวกเราสังเกตให้ดี มาเรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่โอ๋ ไม่เคยประคบประหงมแบบโอ๋ๆ เอาอกเอาใจอะไร ไม่เคย เพราะหลวงพ่อไม่เคยให้ครูบาอาจารย์ต้องมาโอ๋หลวงพ่อ เราสู้เอา
อ่านพระไตรปิฎกไว้บ้าง
ลงมือทำแล้วก็วัดผลด้วยตัวเอง
พวกชอบโอ๋ส่วนใหญ่ก็มีความต้องการแฝงเร้น โอ๋โยมนี่โอ๋คนรวยๆ เขาจะได้ให้เงินเยอะๆ ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อเรียนด้วย ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้น ตอนนั้นเรารับราชการไปอยู่วัดทีหนึ่งหลายวัน ช่วงวันหยุดนี่ ช่วงต้นธันวามีวันหยุดเยอะ จะลางานบ้างอะไรบ้าง ไปอยู่วัดได้ 10 วัน 11 วัน 9 วัน อะไรอย่างนี้แต่ละปีไม่เท่ากัน ถวายปัจจัยท่านเล็กน้อยเท่านั้นเอง ท่านกลับดูแลเรามาก ดูแลละเอียด เข้าไปกราบ ท่านก็สั่งพระอุปัฏฐากให้ไปจัดกุฏิพระให้หลวงพ่ออยู่ ท่านสั่งอย่างนี้ บอกคนนี้เขาภาวนาจริง ให้ไปอยู่โซนพระ
คนร่ำคนรวยคนใหญ่คนโตไปกราบ ท่านก็ยิ้มๆ ถวายอะไรท่านก็ยิ้มๆ เฉยๆ ตอนเวลาไปเรียนกับครูบาอาจารย์ บางทีคนใหญ่คนโตอะไรมากราบท่าน พระอุปัฏฐากก็ให้พวกนี้กราบๆ ไปแล้วก็ออกไปเลย แล้วก็เปิดโอกาสให้หลวงพ่อส่งการบ้าน นี่เราอยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่น แต่ไม่ใช่อบอุ่นแบบลูกแหง่ ครูบาอาจารย์ไม่ได้มาประคบประหงมเรา แต่ดูแลให้เราภาวนา
ตอนแรกหลวงพ่อก็เลยนึกว่า โอ้ พระกรรมฐานดีทุกองค์ เพราะเราเข้าไปวัดไหนก็เจอครูบาอาจารย์ ท่านก็ดีทั้งนั้นเลย เลยนึกว่าพระปฏิบัติจะต้องดีทุกองค์ กว่าจะฉลาดก็โง่มาก่อนทั้งนั้นล่ะ ก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง ฉะนั้นอย่างบางทีพวกเราร่อนเร่ไปที่โน้นที่นี่ มีบุญก็เจอที่ดีๆ อกุศลให้ผลก็เจอที่หลอกๆ ถมเถไป สิ่งที่จะช่วยเราได้มากที่สุด เราแยกแยะยากว่าครูบาอาจารย์องค์ไหนดีหรือไม่ดี อย่างจะมาเชื่อว่าหลวงพ่อดีนี่โง่ รู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่อดี เป็นแค่ความเชื่อของเรา เชื่อตามๆ กัน นั่นเป็นความไม่ฉลาดเลย
ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเราได้มากคือการอ่านตำรับตำราไว้บ้าง อ่านพระไตรปิฎกอะไรอย่างนี้ จับหลักการปฏิบัติให้แม่นๆ หรืออย่างฟังหลวงพ่อ จับหลักให้แม่นแล้วไปลงมือทำ ไม่ต้องเชื่อแต่ไม่ได้ปฏิเสธ เวลาเราฟังธรรมะ ถ้าเป็นหลวงพ่อฟัง เราก็จะดูว่าคำสอนนี้สอดคล้องกับพระไตรปิฎกไหม ถ้าไม่สอดคล้อง เราสังเกตต่อ ไม่สอดคล้องที่ Wording ที่คำพูด อย่างครูบาอาจารย์บางองค์ท่านไม่ได้เรียนปริยัติเลย ท่านก็ใช้ภาษาตามสะดวกของท่าน เราก็ต้องฟังดูว่าเนื้อหาสาระที่ท่านเทศน์นี่ถูกต้องไหม บางทีโดยพยัญชนะโดยภาษาโดยตัวหนังสือไม่ถูก แต่โดยเนื้อหาแล้วถูก อย่างนี้ก็มี
ฉะนั้นถ้าเราได้ปฏิบัติด้วย ได้อ่านตำราด้วย จะช่วยให้เราคัดกรอง ก็จะได้ไม่หลงตกเป็นเหยื่อ ถ้าเราภาวนาไปถึงช่วงหนึ่ง เราจะเข้าใจอันไหนจริงอันไหนไม่จริง มันรู้ด้วยตัวเองได้ บางทีรู้แล้วแต่มันไม่สนองกิเลส บางคนอ่อนแอ อยากได้ครูบาอาจารย์ที่คอยโอ๋อย่างนี้ก็มี อยากได้ครูบาอาจารย์ที่คอยโอ๋อยู่กับหลวงพ่อไม่ได้ เพราะหลวงพ่อไม่โอ๋ แบบนี้พอเขาทนไม่ไหว เขาก็ต้องไปหาที่เรียนที่อื่นที่มีครูบาอาจารย์คอยโอ๋อยู่
สิ่งที่หลวงพ่อพยายามสอนพวกเราคือ เรียนให้รู้เรื่องฟังให้รู้เรื่องก่อน รู้แนวแล้วเอาไปลงมือทำ ลงมือทำแล้วก็วัดผลด้วยตัวเอง ที่เราปฏิบัตินี่เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเองไหม มักน้อยสันโดษบ้างไหม คลุกคลีน้อยลงไหม สังเกตตัวเองไป ใฝ่หาความสงบวิเวกบ้างไหม หรือกระดี๊กระด๊าอยู่ตลอดเวลา วัดใจตัวเองวัดความเปลี่ยนแปลงของตัวเองไป ละเอียดขึ้นมาก็ใจคิดถึงการปฏิบัติบ่อยไหม นานๆ คิดทีอะไรอย่างนี้ไม่ได้กินหรอก
ถ้าเราภาวนา อย่างฟังหลวงพ่อไปแล้วเจริญสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริงด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง ในเวลาไม่นานเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เคยโกหกหน้าตาย เวลาจะโกหกแล้วคราวนี้ชักละอายใจแล้ว อย่างนี้ถือว่ามีพัฒนาการ เลวแล้วรู้ว่าเลว มุสาวาทไม่ดีหรอก แล้วเรารู้ว่ามันไม่ดี มันเคยชินที่จะพูดไม่ดี ฉะนั้นเวลาพูดไปแล้ว บางทีมันหลุดปากออกไป มันละอายใจ อย่างนี้ถือว่าก้าวหน้า ชั่วแล้วรู้ว่าชั่ว ก้าวหน้า ก็สังเกตได้ด้วยตัวเอง
หรือบางคนบอกทำสมาธิจิตไม่เคยมีสมาธิเลย แต่มามีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ อยู่ๆ มันมีความสุขผุดขึ้นมาเอง ความสุขผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ทำอะไร นั่นล่ะจิตมันมีสมาธิ มีสมาธิตามธรรมชาติแล้ว มีความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ คล้ายๆ เป็นรางวัลปลอบใจให้เราเข้มแข็งในการปฏิบัติต่อไป อย่างช่วงแรกๆ ที่เราภาวนา เรายังไม่เห็นผลที่สำคัญ อย่างเรายังไม่ถึงมรรคถึงผลอะไรอย่างนี้ ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำดิน ยังไม่เห็น มันมีความสุขผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ บางที 3 วันผุดขึ้นมาทีหนึ่ง อาทิตย์หนึ่งผุดขึ้นมาทีหนึ่ง มันก็มีกำลังใจ
มีกำลังใจ ธรรมะนี้ดีปฏิบัติแล้วอยู่ๆ มีความสุขผุดขึ้นมาได้ ก็จะขยันภาวนา เวลาหลวงพ่อภาวนาแต่ก่อน ความสุขมันมีอยู่แล้วล่ะเพราะนั่งสมาธิมานาน แต่บางครั้งมันเกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา พอมีความรู้ความเข้าใจผุดขึ้นมาทีหนึ่ง เราก็มีความสุขหลายวัน แต่ก็ไม่เกิน 7 วัน แล้วพอมีความรู้อย่างนี้ผุดขึ้นมา เราก็มีการบ้านไปส่งครูบาอาจารย์แล้ว ก็จะไปเล่าถวายท่านว่าผมภาวนาแล้วมันมีอาการอย่างนี้ ผมจัดการมันอย่างนี้ๆ ทำอย่างนี้ ที่กระผมทำอยู่นี่ถูกหรือไม่ถูก ถ้าไม่ถูกครูบาอาจารย์ช่วยบอกด้วย ถ้าถูกแล้วครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติที่ยิ่งๆ กว่านี้ที่ดีกว่านี้อีก ส่วนใหญ่ท่านก็จะบอกว่าที่ทำน่ะถูกแล้ว ให้ทำต่อไป อันนี้เป็นการวัด
ฉะนั้นการวัดมี 2 อัน อันหนึ่งวัดใจตัวเอง สติเกิดบ่อยขึ้นไหม ทำผิดศีลได้หน้าตาเฉยหรือว่าละอายใจบ้างหรือยัง สมาธิเกิดขึ้นบ้างไหม นี้เราวัดใจตัวเอง มีโอกาสเจอครูบาอาจารย์บางทีเราก็ต้องถาม ที่ผมทำอยู่นี่ มันถูกไหม ถ้าถูกแล้วทำอย่างไรมันจะดีกว่านี้อีก ท่านก็จะบอกว่าทำต่อไป ถ้าบอกว่าทำต่อไปแสดงว่าทำถูกแล้ว ถ้าทำไม่ถูกเดี๋ยวท่านก็บอกเองล่ะ เห็นไหมไม่มีไปอ้อนเลย “หลวงปู่ครับหลวงปู่” ต้องทำเสียงอ้อนๆ “หลวงปู่ครับอย่างโน้นอย่างนี้ ผมอย่างโน้นผมอย่างนี้ ผมอยากปฏิบัติ แต่ๆๆๆๆ” เต็มไปด้วยคำว่าแต่ เจอหลวงปู่ปราโมทย์โดนเบิ๊ดกะโหลกเลย เงื่อนไขเยอะ ตั้งใจภาวนา สู้เอา แล้วสังเกตตัวเอง
ศีลต้องรักษา สมาธิต้องทำ
การปฏิบัติมันก็ไม่ได้ยากอะไร ขั้นแรกถือศีล 5 ข้อไว้ก่อน ศีล 8 ถือเป็นครั้งคราว เป็นฆราวาสทำงานหนักๆ อดข้าวเย็นทุกวันเดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะ ก็ดูสภาวะของตัวเอง ผู้หญิงบางคนมีสามีแล้วก็ปฏิญาณตนถือศีล 8 ไม่ให้สามีถูกตัว บอกไม่เอาแล้วฉันจะไปนิพพานแล้ว ลูกผัวฉันไม่เอาแล้ว พอสามีไปมีผู้หญิงอื่น คราวนี้นิพพานไม่เอาแล้ว อาละวาดแล้ว ร้องห่มร้องไห้ คุณแม่จะได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อย คนชอบมาร้องห่มร้องไห้ นี่ถือศีลเกินฐานะ เป็นฆราวาส แหม อยากถือศีล 8 อะไรอย่างนี้ พอสามีไม่ยอมด้วย ทนไม่ได้ กรรมฐานที่ฝึกไว้ล่มเลย
ฉะนั้นถือศีลให้พอดีกับตัว ให้พอดี ถือศีลนี่เอาแบบลำบากนิดๆ ข่มใจนิดๆ ไม่ต้องข่มใจแบบหักดิบ มันจะไม่ไหว พอไม่ไหวนี่ต่อไปใจมันฝ่อ อย่างตั้งใจว่าจะประพฤติพรหมจรรย์ แล้วทำไม่ได้ใจมันฝ่อ แต่ตั้งใจว่าไม่ไปผิดลูกผิดเมียใครเขาอย่างนี้ เห็นเมียคนอื่นสวย ข่มใจตัวเองนิดหน่อย อย่างนี้ดี ใจมันจะค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น
ศีลต้องรักษา สมาธิต้องทำ หลวงพ่อเคยพลาด พลาดหลายครั้งเรื่องไม่อยากทำสมาธิ เพราะทำมาแต่เด็ก ทำแล้วก็รู้สึกมันไม่ได้อะไร ได้แต่ความสงบ ก็ขี้เกียจทำแล้ว มาเจริญปัญญารู้สึก แหม ดีๆ พอสมาธิเรากำลังไม่พอเมื่อไร การเจริญปัญญาจะผิดทันทีเลย วิปัสสนูปกิเลสจะเกิด เคยเกิดวิปัสสนูหลายแบบ ประเภทว่างอย่างนี้ พวกเราจะเจอบ่อย ดูจิตๆ แล้วมันว่างไป แล้วก็ยินดีพอใจในความว่าง แล้วติดอยู่ในความว่าง ตัวนี้ก็ไปไม่รอดก็อยู่แค่นั้น
หลวงพ่อเคยเจออีก 2 – 3 แบบ แบบหนึ่งสติเข้มแข็งมากเลย เข้มแข็งถึงขนาดมันแยกสภาวะ แยกรูปธรรมนามธรรมได้ละเอียดยิบเลย มองอากาศข้างหน้าสติมันแข็งแรงมาก เห็นอากาศนี่จริงๆ แล้วเป็นเม็ดๆ เห็นอย่างนั้น หรือบางทีเกิดปัญญามาก ภาวนาแล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจอะไรขึ้นมา แล้วก็พยายามจำไว้ โอ้ ธรรมะอันนี้ดี พอภาวนาไปอีก อ้าว เกิดความรู้อีกแล้ว ก็จำเอาไว้อีก แค่อาทิตย์เดียวมีสภาวะเหมือนคนบ้า ไม่ได้บ้าจริงหมายถึงเทียบให้ฟัง เหมือนคนบ้าชนิดที่ว่าไปไหนก็เดินแบกตู้พระไตรปิฎกไป คนดีที่ไหนจะไปทำอย่างนั้น
เรา เอ๊ เราต้องผิดที่ไหนสักที่หนึ่ง ทำไมภาวนาแล้วแทนที่ใจจะโปร่งโล่งเบาคลายความยึดถือ นี่เรากลับไปยึดถือปัญญามากมาย เห็นเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูก มีปัญญาขึ้นมาแล้วเสียดาย เก็บๆๆ ใส่สมองไว้เต็มไปหมดเลย อันนั้นก็รู้อันนี้ก็รู้ นี่ก็เป็นวิปัสนูอย่างหนึ่ง รู้เยอะไป เหมือนปัญญามากมาย ก็ใช้ไม่ได้ ภาวนาแล้วก็ยิ่งหนักขึ้นๆ แสดงว่าผิดแล้วล่ะ ภาวนาแล้วมันต้องปล่อยวางได้ ไม่ใช่ภาวนาแล้วยิ่งยึดถือ แล้วปล่อยวางต้องให้จิตมันปล่อยวางด้วยปัญญา ไม่ใช่แกล้งปล่อย
หลวงพ่อเคยอ่านหนังสือของเซน อ่านแล้วใจเราโล่งๆ ว่างๆ รู้สึกอย่างนี้ดี ก็น้อมจิตไปอยู่กับใจที่ว่างๆ โล่ง เห็นโลกนี้ว่างไปหมด อะไรๆ ก็ว่าง คิดว่าดี เสร็จแล้วก็พบว่าไม่ใช่หรอก นี่เราปรุงแต่งขึ้นมา ฉะนั้นเวลาเราภาวนาก็ต้องค่อยสังเกตไป อะไรที่ภาวนาไปแล้วมันขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า สภาวะอะไรเกิดขึ้นนี่เป็นไปเพื่อความปล่อยวางหรือเพื่อความยึดถือ สภาวะทั้งหลายตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ไหม ถ้าภาวนาแล้วไม่เข้าหลักไตรลักษณ์ ผิดแน่นอน
หรือที่เราปฏิบัติอยู่นี่เป็นสมถะหรือเป็นวิปัสสนาต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกเราก็หลงทำสมถะอยู่ แล้วเราก็คิดฟุ้งซ่านไป แล้วบอกเราเกิดปัญญา อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ หรือบางทีเดินปัญญามากสมาธิไม่พอ อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ ต้องสังเกตตัวเอง ไม่ต้องรอถามครูบาอาจารย์ นานๆ จะมีโอกาสถามครูบาอาจารย์สักครั้งหนึ่ง แต่สติปัญญามันอยู่กับตัวเราทุกวัน อาศัยสิ่งที่อยู่กับตัวเรานี่ล่ะ คอยสังเกตสิ่งที่เราทำอยู่นี่ ทำให้อกุศลลดลงไหม ทำให้อกุศลเกิดยากขึ้นไหม ทำให้กุศลเกิดบ่อยไหม เกิดแล้วถี่ขึ้นๆ ไหม หรือนานๆ เกิดที นี่วัดใจตัวเอง สังเกตไป ดูไปเรื่อยๆ
การสังเกตกิเลสเป็นเรื่องสำคัญ ภาวนาแล้วสังเกตกิเลสออกนี่ดีมากๆ เลย ในเบื้องต้นจิตใจเรามีกิเลสอะไร เราคอยรู้ ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับ ต่อไปพอเราเข้าใจธรรมะ ตรงที่เราคิดว่าเราบรรลุมรรคผล เราก็จะวัดว่าบรรลุจริงหรือไม่จริง วัดที่ไหน วัดที่กิเลส อย่างเราภาวนาแล้วจิตเรารวมวูบลงไป ถอยออกมา หลายคนรีบสรุปเลย ได้โสดาบัน จะได้หรือไม่ได้ วิญญูชนต้องสังเกตเอา ไม่มีใครเขาบอกกันหรอก เพราะบอกแล้วมันอันตราย
วัดที่กิเลสของเรา
บางทีเขาก็หลอกเอา ไปภาวนา เฮ้ย ได้โสดาบันแล้ว เขาให้ตำแหน่งก็ดีใจ มีเงินมีทองก็ยกให้เขาอะไรอย่างนี้ หรือเลื่อมใสศรัทธางมงายไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราภาวนาแล้วเราคิดว่าเราได้โสดาบัน หรือภาวนาแล้วมีใครมารับรองเราว่าได้โสดาบัน ทั้ง 2 นัยยะ คิดเอง หรือมีใครมาบอกก็ตาม ให้สังเกตที่กิเลส พระโสดาบันละกิเลสบางอย่างได้เด็ดขาดแล้ว ละสักกายทิฏฐิคือละความเห็นว่าตัวเรามีอยู่จริง มีตัวมีตน แล้วสังเกตลงไปว่ามีไหม
อย่างบางทีภาวนาจิตมันว่างๆ ไป แล้วบอกว่าตัวเราไม่มีแล้ว บอกใจเย็นๆ ดูไปหลายๆ วัน ตอนที่สมาธิเสื่อมลง จิตใจเป็นคนธรรมดานั่นล่ะ ดูสิมันจะมีตัวเราอีกไหม บางทีพอจิตมันทรงสมาธิอยู่ ก็มองตัวเราไม่เห็น มันสบาย มันว่างๆ พอสมาธิเสื่อมก็ไม่มีตัวเรา มีแต่ตัวกู หนักกว่าตัวเราอีก นี่สังเกตเอามันละได้จริงหรือเปล่า บางคนก็ภาวนาเขานึกว่าได้โสดาบัน หรือมีคนรับรองว่าได้โสดาบัน ก็ดูลงไปที่ตัวเอง ละสักกายทิฏฐิได้ไหม ศีล 5 ของเราดีไหม ถ้าศีล 5 ยังด่างพร้อยอยู่ ยังไม่ใช่หรอก
เพราะฉะนั้นวัดตรงนี้ วัดที่กิเลสของเรานี่ ถ้ากิเลสยังหยาบๆ จนทำผิดศีลได้ ไม่ใช่หรอก ค่อยๆ สังเกตเอา พวกที่ชอบพยายามมาถามหลวงพ่อว่าได้โสดาบันหรือยัง บางคนหนักกว่านั้น มาบอกว่าได้โสดาบันแล้ว เคยเจอหนักที่สุดเป็นพระ บอกได้พระอรหันต์แล้ว หลวงพ่อบอกยังไม่ได้หรอก จิตใจเศร้าหมองเลย มัว ขุ่นมัว เศร้าหมองไปหมด บอกเห็นไหมจิตมีโทสะแล้ว เห็น ไม่ใช่พระอนาคามีหรอก วัดกันด้วยกิเลสอย่างนี้ ไล่ๆๆๆ ต้อนลงไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นใครบอกเราได้โน้นได้นี่ อย่าเพิ่งเชื่อ หรือเราภาวนาแล้วเราเชื่อของเราเอง ก็อย่าเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์สังเกตกิเลสไปนานๆ เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งชื่อหลวงพ่อกิม หลวงพ่อกิมนี่ภาษาเขมรไม่ใช่ภาษาจีน เป็นคนสุรินทร์ หลวงพ่อกิมบอกว่าไปภาวนานี่ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ แล้วคิดว่าบรรลุอะไรแล้วนี่ ให้ดู 3 เดือน ดูไปเรื่อยๆ 3 เดือนนี้กิเลสจะกลับมาไหม กระทั่งคิดว่าเป็นพระอรหันต์ ดูไป 3 เดือนเดี๋ยวก็เจอ แต่ถ้าตั้งใจว่าเราเป็นไปแล้ว เชื่อไปแล้ว คราวนี้ไม่ยอมดูแล้ว ไม่กล้าดู
หลายคนภาวนาได้ใบเซอร์ฯมาจากที่อื่น บอกไม่กล้าดูแล้ว เพราะว่ากลัวจะไม่ได้เป็นโสดาบัน ไปเรียนสะเปะสะปะ อันตราย รู้ปริยัติไว้บ้างก็ดี เอาไว้ตรวจสอบตัวเอง เคยได้ยินคำว่าโยนิโสมนสิการไหม โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย คำว่าแยบคายไม่ใช่เจ้าเล่ห์แสนกล แยบคายนี่ก็คือดูว่าอันนี้สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายไหม แยบคายตรงนี้คือดูว่ามันสอดคล้องไหม
วันนี้สอนวิธีตรวจสอบตัวเอง เราจะได้ไม่งมงาย ไม่ต้องฟังใคร หลวงพ่อภาวนาหลวงพ่อไม่เคยสงสัยตัวเองเลย ภาวนาอย่างไร เพราะเราตรวจสอบตัวเองเสมอ บางทีเข้าไปหาครูบาอาจารย์ก็ไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ชมว่าฉลาดๆ คอยรู้ทันจิตใจตัวเอง
ถ้าได้โสดาบัน สกทาคามี ศีลของเราต้องบริบูรณ์ สมาธิยังเล็กน้อย แต่ว่าละกิเลสไปอีกกลุ่มหนึ่ง ละความเห็นผิดว่าในขันธ์ 5 นี่มีตัวเราอยู่ หรือมีตัวเรานอกเหนือจากขันธ์ 5 เป็นอย่างไรตัวเรานอกขันธ์ 5 บางคนนั่งสมาธิ ถอดจิตออกไปอยู่ข้างบน ย้อนมาดู ขันธ์ 5 มันอยู่ข้างล่าง นี่มีตัวเราอยู่นอกขันธ์ 5 อีก มีตัวเรา ขันธ์ 5 เป็นตัวเรา ตัวเราเป็นขันธ์ 5 อะไรอย่างนี้ ถ้าได้จริงจะไม่มี มันจะรู้เลยขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวเรานอกเหนือจากขันธ์ 5 ก็ไม่มี ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยจะไม่มี ถ้าเราได้โสดาบัน เราจะไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงไหม สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนี่นำเราพ้นทุกข์ได้จริงไหม จะไม่สงสัยในตัวพระพุทธเจ้าเลย
เด็กยุคนี้บอกพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก คิดอย่างนั้นเลย พูดไปทั้งๆ ที่ไม่ได้พิสูจน์ พูดด้วยความเห็น แล้วความเห็นตัวนั้นเป็นความเห็นผิด ความเห็นที่ไม่ทนต่อการพิสูจน์ แต่พอถ้าภาวนาได้ธรรมะแล้ว จะรู้พระพุทธเจ้ามีจริง คำสอนของท่านมีจริง พาพ้นทุกข์ได้จริง พระธรรมมีจริงไหม มี พระธรรมนำทางเราไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ มีจริงๆ พระสงฆ์มีไหม มี เราอาจจะไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระสงฆ์ แต่ตัวเองเป็นพระสงฆ์ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ยังนุ่งกางเกง ใส่ผ้านุ่งผ้าถุงอะไรอย่างนี้ ก็เป็นพระสงฆ์ไปเรียบร้อยแล้ว มันจะรู้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริง ไม่สงสัย รู้ว่าการปฏิบัติที่ถูกเป็นอย่างไร ละสีลัพพตปรามาส การถือศีลบำเพ็ญพรตอย่างงมงาย
อย่างบางคนบำเพ็ญพรตงมงาย เช่น คิดว่ากินเจแล้วบรรลุได้เร็วกว่า ถ้ากินเจถึงจะบรรลุได้ วัวควายกินหญ้ามาตลอดคงบรรลุหมดแล้วล่ะ หรือบางคนคิดว่าต้องอาบน้ำในแม่น้ำคงคาแล้วจะบรรลุเร็ว ถ้าอย่างนั้นปลาในแม่น้ำคงคาก็บรรลุหมดแล้วล่ะ อย่างนี้ที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาส งมงาย เราจะละความงมงาย เราจะรู้เลยสิ่งที่ทำให้เราบรรลุพระโสดาบันคือไตรสิกขา ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา เดินอยู่ในหลักของสติปัฏฐาน
โยนิโสมนสิการไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อย ตามใจกิเลส
ลงมือทำสติปัฏฐาน ในเบื้องต้นทำให้เกิดสติ พอมีสติแล้วศีล สมาธิ ปัญญาก็จะค่อยๆ แก่รอบขึ้น เราจะรู้ว่าเส้นทางที่ไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น สุดท้ายหนีไม่พ้นเรื่องสติปัฏฐานหรอก สติปัฏฐานเป็นทางสายเอกเป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ฉะนั้นวัดที่ตัวเอง หลายคนบางทีเขียนจดหมายมา มาเล่าหลวงพ่อบอกว่าได้โสดาบันแล้ว บางคนบอกว่าเห็นจิตกับสภาพธรรมที่แวดล้อมอยู่เป็นสิ่งเดียวกันแล้ว มันเห็นด้วยกำลังสมาธิเป็นครั้งคราวหรอก เดี๋ยวก็ไม่เห็น มันยังไม่ใช่ของแท้
ฉะนั้นต้องค่อยๆ สังเกตตัวเองให้ดี อย่าเข้าข้างตัวเอง แล้วเคล็ดลับสำคัญในการสังเกตจิตตนเอง ต้องดูจิตตนเองในภาวะปกติ อย่าไปทรงสมาธิอยู่ อย่างถ้าเราไปทรงฌานอยู่ แล้วเราบอกว่า เราไม่มีราคะแล้ว ไม่มีโทสะแล้ว ไม่มีกามราคะ ไม่มีโทสะ เป็นพระอนาคามีแล้ว ออกจากสมาธิมา อ้าว กิเลสกลับมาอีกแล้ว ราคะก็แรงยิ่งกว่าเก่า โทสะก็ยิ่งแรงยิ่งกว่าเก่าอีก พวกนั่งสมาธิหลุดออกมาจากสมาธิแล้ว กิเลสแรง กิเลสมันคิดดอกเบี้ย มันถูกเก็บกดอยู่ช่วงหนึ่ง มีโอกาสมันซัดเราหงายท้องเลย
ภาวนาเวลาเราจะสังเกตกิเลสตัวเอง สังเกตในภาวะปกติในใจที่เป็นปกติอย่างนี้ ไม่ใช่ใจที่ทรงสมาธิอยู่ บางคนเพ่งเอาไว้อย่างนี้ แล้วบอกว่าไม่มีกิเลสแล้ว หลวงพ่อพยายามทำหน้าให้ดู จิตก็เป็น ทำทั้งหน้าทั้งใจ เพ่งอยู่อย่างนี้ แล้วบอกไม่มีกิเลส ใครด่าก็ไม่โกรธ ใครชมก็เฉยๆ เห็นผู้หญิงสวยๆ เดินโป๊ๆ ก็เฉยๆ ทำไมมันเฉย จิตมันติดสมาธิอยู่ มันก็ข่มกามราคะได้ มันข่ม มันไม่ได้ละ มันข่มไว้ชั่วคราว เพราะฉะนั้นเวลาที่เราภาวนาแล้วเรานึกว่าเราได้โน้นได้นี้ เราวัดกิเลสตัวเอง วัดในภาวะที่จิตใจเป็นปกติ อย่าไปน้อมจิตให้นิ่งๆ ทื่อๆ อยู่ แล้วก็มาวัดตอนที่มันนิ่งๆ ทื่อๆ อันนั้นจะวัดไม่ออก
ถ้าเป็นคนปกติอย่างเวลานั่งสมาธิจิตรวมอยู่อย่างนี้ คนมาด่าก็เฉย เวลาออกจากสมาธิคนยังไม่ทันด่า มันมองหน้าโดดถีบมันแล้ว นี่มันจะต่างกัน เพราะฉะนั้นต้องวัดตัวจริง ไม่ถูกฌานสมาบัติอะไรมาห่อหุ้มเอาไว้ ฉะนั้นเวลาวัดกิเลส วัดตอนที่ใจเราเป็นปกตินี่ล่ะถึงจะเห็นชัด พอได้หลักไหมในการที่จะไปตรวจสอบการปฏิบัติของตัวเอง เราตรวจสอบการปฏิบัติของตัวเอง ใช้โยนิโสมนสิการเป็นสำคัญ
จะรู้โยนิโสมนสิการได้ต้องมีสุตตะ มีการเรียนรู้ สุตตะไม่ใช่พระสูตรเฉยๆ สุตตะ การฟังๆ การอ่านก็ใช้ได้ อ่านพระไตรปิฎกอะไรอย่างนี้ อ่านให้รอบคอบ อ่านแล้วก็จับประเด็นผิดๆ ถูกๆ อะไรอย่างนี้ อันตรายเหมือนกัน อ่านต้องรอบคอบ อย่างบอกว่าถ้าพระไปรักษาโรคให้คน พระหมอนี่ทำผิดศีล เป็นเดรัจฉานวิชา วิชาแพทย์ พระไปทำเดรัจฉานวิชา อาบัติ นี่พูดเอาเอง ที่จริงพระหากินด้วยเดรัจฉานวิชา อาบัติ แต่พระใช้เดรัจฉานวิชาช่วยเหลือสงเคราะห์โลกอะไรอย่างนี้ เป็นความเมตตากรุณาต่างหาก พอตีความผิดก็ใส่ร้ายพระไปทั่ว องค์โน้นผิดองค์นี้ผิด ผิดอะไรนักหนา
ต้องเรียนต้องอ่านบ้าง แต่อ่านแล้วก็เอาแขวนขึ้นหิ้งไว้ก่อน ตอนที่ลงมือภาวนา ลืมไปก่อน แล้วภาวนาเสร็จแล้วลองมาเทียบดูกับตำรา ถ้าภาวนาถูกต้องตรงกัน ต้องตรงกัน ฉะนั้นโยนิโสมนสิการไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่คิดตามใจกิเลส แต่คิดโดยดูหลักเกณฑ์ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร พระอรหันตสาวกท่านสอนไว้อย่างไร ดูตรงนั้น แล้วก็จุดสำคัญ หัดสังเกตตัวเอง สังเกตใจไว้ แล้วก็มีโอกาสถามครูบาอาจารย์ ตรงนี้เสี่ยงมากเลย บางทีเราภาวนาดี เราไปเจอครูบาอาจารย์เก๊ ไปถามเขาแก้ของเรา
เมื่อก่อนมีเรียนกับที่อื่นมา แล้วมาฟังกับหลวงพ่อ เราก็แก้ให้ กลับไปหาอาจารย์ อาจารย์แก้กลับไปอย่างเดิมอีก อย่างกับตีปิงปอง ตีกลับไปกลับมา สุดท้ายหลวงพ่อตบทีเดียว กระเด็นออกนอกโต๊ะไปเลย ไม่เอาด้วยแล้ว ฉะนั้นวัดใจตัวเองให้ได้ดีที่สุด แล้วเครื่องมือในการวัด โยนิโสมนสิการ วัดด้วยตัวนี้ ฉะนั้นอย่าได้โง่งมงาย ทุกวันนี้คนออกมาสอนมากมายเหลือเกิน เราภาวนาชำนิชำนาญ เราฟังปุ๊บเราก็รู้แล้วนี่ธรรมะระดับไหน ธรรมะระดับคิดเอาหรือว่ามีประสบการณ์ตรง ประสบการณ์นั้นตรงถูกหรือไม่ถูก ไปอีกหลายระดับ ค่อยๆ ดูเอา
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ทำไมไม่สอนวิธีปฏิบัติ สอนไปเยอะแล้ว วันนี้สอนการตรวจการบ้านตัวเอง จะได้ไม่ต้องมาถามหลวงพ่อบ่อย
วัดสวนสันติธรรม
1 ธันวาคม 2567